ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง..พระเมตตาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ดร.สุทิน ลี้ปิยะชาติ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ ๑๘ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแสดงให้เห็นแล้วว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีพระเมตตาห่วงใยพสกนิกรอย่างแท้จริง ดังจะเห็นได้จากการที่ทรงทดลองปลูกข้าว เพาะพันธุ์ปลา เลี้ยงวัวในบริเวณพระราชวัง และต่อมาทรงทดลองคิดค้นเทคโนโลยีที่ง่ายๆ แต่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น กังหันน้ำชัยพัฒนา หรือทรงศึกษาภูมิปัญญาจากธรรมชาติมารักษาธรรมชาติ เช่น การใช้ผักตบชวาในการบำบัดน้ำเสีย หรือการใช้สารเคมีเพื่อให้มีเมฆฝนและเกิดฝนตกเพื่อประโยชน์แก่การเกษตร เช่น โครงการทำฝนเทียม เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของราษฎร และเพื่อความอยู่ดีมีสุขของพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง นับเป็นโชคดีของพสกนิกรชาวไทยที่ได้เกิดมาใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร และในวันนี้ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ผมขอนำเรียนท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่านเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแนวทางการนำไปประยุกต์ใช้ของประชาชน เพื่อผลแห่งการพัฒนาตน ชุมชน สังคม และประเทศ โดยได้รับความสนับสนุนด้านข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดังนี้ครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน และทรงมองเห็นผลจากการพัฒนาที่ขาดสมดุล ที่เน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความเจริญทางวัตถุมากกว่าการพัฒนาทางจิตใจ อันเป็นผลให้เกิดการนำทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่มาใช้อย่างฟุ่มเฟือย และส่งผลให้การกระจายความเจริญไปสู่ชนบทหรือผู้ด้อยโอกาสเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง ด้วยทรงมีพระเมตตาและเป็นห่วงพสกนิกรในพื้นแผ่นดินไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและเพื่อพัฒนาแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้นในสังคมไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ ที่มุ่งพัฒนาคน และพัฒนาจิตใจของแต่ละคนให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขอย่างยั่งยืน โดยทรงเน้นย้ำการพัฒนาให้ดำเนินไปตามลำดับขั้น และทรงชี้แนะให้พัฒนาที่มุ่งสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ ให้ประชาชนในประเทศส่วนใหญ่ให้ได้ก่อน ตามแนวทางการพัฒนาที่รู้จักกันในชื่อว่า ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงชี้แนะปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง เพื่อผลแห่งความสมดุลและพร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไว้ ดังที่เผยแพร่ในวารสารชัยพัฒนา ฉบับประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๔๒ ความตอนหนึ่งว่า
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิตรากฐานความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเมืองตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนมากมองไม่เห็นเสาเข็ม และลืมเสาเข็มเสียด้วยซ้ำไป
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ภาษาอังกฤษแทนคำเศรษฐกิจพอเพียงว่า Sufficiency Economy ซึ่งคำว่า เศรษฐกิจพอเพียงนี้มีความหมายที่ครอบคลุมความพอเพียงมากกว่าการพออยู่พอกินสำหรับตนเอง แต่ครอบคลุมไปจนถึงระดับองค์กร ชุมชนและประเทศด้วย โดยแบ่งเป็น เศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐานและเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า ดังพระราชดำรัสที่ได้พระราชทานไว้ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๒ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ความตอนหนึ่งว่า
เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือเสร็จแล้ว เขาก็มาบอกว่า คำว่า Sufficiency Economy ไม่มีในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่
เศรษฐกิจพอเพียงก็มีเป็นขั้นๆ แต่ว่าต้องดูว่า เศรษฐกิจพอเพียงที่จะมาบอกว่า ให้พอเพียงเฉพาะตัวเอง ๑๐๐% เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน ต้องมีการช่วยกัน ถ้ามีการช่วยกันแลกเปลี่ยน ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง แต่ว่าพอเพียงในทฤษฎีหลวงนี้คือสามารถที่จะดำเนินงานได้
ในการปฏิบัติตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนให้ปฏิบัติทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ โดยในระดับบุคคลนั้น คือ ให้แต่ละคนพอมีพอกิน ส่วนในระดับประเทศนั้น คือ จะต้องทำให้นโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงให้ทุกคนมีพอเพียงได้ คือ มีอยู่ มีกิน ไม่ฟุ่มเฟือย แม้บางอย่างจะดูหรูหรา แต่ถ้าทำให้มีความสุขและไม่เบียดเบียนคนอื่นก็สามารถปฏิบัติและใช้การได้ ดังพระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ความตอนหนึ่งว่า
คำว่าพอเพียงมีความหมายอีกอย่างหนึ่ง มีความหมายกว้างออกไปอีก ไม่ได้หมายถึงการมีพอสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่มีความหมายว่า พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ถ้าใครได้มาอยู่ที่นี่ในศาลานี้ เมื่อปี ๒๕๑๗
วันนั้นได้พูดถึงคำว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเอง ถ้าแต่ละคนพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี สมัยก่อนนี้ พอมีพอกิน มาสมัยนี้ ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้ทุกคนมีพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้แต่ว่าพอ แม้บางอย่างอาจจะดูฟุ่มเฟือยแต่ถ้าทำให้มีความสุข ถ้าทำได้ ก็สมควรที่จะทำ สมควรที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็ความหมายอีกอย่างของเศรษฐกิจหรือระบบพอเพียง
พอเพียงนี้อาจจะมีมากอาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง
ในด้านการพัฒนาประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นย้ำให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน ให้สามารถเลี้ยงตนเองได้ โดยไม่ปิดประเทศหรือไม่ติดต่อกับสังคมภายนอก ดังพระราชดำรัสพระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาชนมพรรษา เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ความตอนหนึ่งว่า
การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง อันนี้ก็เคยบอกว่า ความพอเพียงนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเองจะต้องทอ แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงงานหนักและบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ ด้วยทรงถือว่า ทุกข์สุขของราษฎรประดุจดังทุกข์สุขของพระองค์เอง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าให้ดีขึ้น ดังจะเห็นได้จากการพระราชทานแนวพระราชดำริเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้ประชาชนน้อมนำไปใช้เพื่อการพัฒนาตนเอง ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณค่าของสังคม โดยในปัจจุบันแนวพระราชดำริปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้รับการยอมรับในระดับสากล ดังเช่นที่องค์การสหประชาชาติได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งนายโคฟี่ อานัน เลขาธิการในขณะนั้น ได้กล่าวสดุดีไว้เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ ว่า
หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์มีความหมายอย่างยิ่งต่อชุมชนทุกแห่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปรัชญาดังกล่าวซึ่งเน้นแนวทาง การเดินสายกลาง มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาคนของสหประชาชาติที่เน้นการให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและการใช้กระบวนการพัฒนาที่ยั่งยืน พระราชปณิธานในการพัฒนาประเทศของพระองค์และพระราชดำริที่แสดงถึงพระวิสัยทัศน์อันชาญฉลาด ได้สร้างแรงบันดาลใจให้แก่พสกนิกรของพระองค์และประชาชนทั่วทุกแห่ง
//www.chaoprayanews.com/2014/10/07/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%8a%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%9e%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%87-%e0%b8%9e/
Create Date : 07 ตุลาคม 2557 |
Last Update : 7 ตุลาคม 2557 21:55:57 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2816 Pageviews. |
|
|