พระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับ หลักการทรงงานพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(๑)
บทสัมภาษณ์พระราชทานเกี่ยวกับหลักการทรงงานพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นเอกสารที่ถ่ายทอดพระมหากรุณาธิคุณ อันเกิดจากพระราชหฤทัยห่วงใยด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ ทั้งพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่เป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะได้ถ่ายทอดสู่พสกนิกรชาวไทยได้สัมผัสเพื่อร่วมกันซึมซับซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณไปพร้อมเพรียงกันทั้งประเทศ ผ่านบทสัมภาษณ์พระราชทานอันเป็นโอกาสที่จะได้ตั้งมั่นในการเดินตามรอยพระยุคลบาท ทำความดีเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศล หน้าในหลวงของเรา หนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันขอพระราชานุญาตเชิญบทสัมภาษณ์พระราชทานเผยแพร่ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า 2558 ต้อนรับปีใหม่ 2559 เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ปวงประชาชนคนไทยทั้งประเทศด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะทำงานจัดทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติ พระมหากษัตริย์นักพัฒนา เพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา นำคณะผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และทีมงานจัดทำหนังสือฯ อันประกอบด้วย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ นางเพ็ญจา อ่อนชิต นายปรเมธี วิมลศิริ นายสุทิน ลี้ปิยะชาติ นางสาวกัญญารักษ์ ศรีทองรุ่ง และนางจันทร์ทิพย์ ปาละนันทน์ เข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท เพื่อขอพระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับหลักการทรงงานและแนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประสบการณ์ที่โดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2554 ณ อาคารชัยพัฒนา สวนจิตรลดา สำนักงานฯ รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ได้รับพระราชทานสัมภาษณ์เกี่ยวกับหลักการทรงงานพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันทรงคุณค่ายิ่ง เพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานและภาคส่วนต่างๆ ได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และดำเนินตามรอยพระยุคลบาท โดยนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศต่อไป สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับหลักการทรงงานพัฒนาประเทศ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งขอน้อมอัญเชิญมาดังนี้ ทรงแก้ไขปัญหาให้ประชาชน โดยใช้องค์ความรู้ เรื่องหลักการทรงงานและแนวพระราชดำริในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสที่เผยแพร่เป็นที่รู้ทั่วไป หลักกว้างๆ ของพระองค์คือ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรว่ามีสิ่งอะไรที่ควรปรับปรุงได้ดีกว่านี้ ทำประโยชน์ให้เจริญรุ่งเรืองได้มากขึ้นกว่านี้ หรือประชาชนยังมีปัญหาความทุกข์ในพื้นที่แบบนี้ จะทำอย่างไร โดยพระองค์จะทรงใช้ความรู้ที่มีอยู่แล้ว หรือหากยังทรงไม่มีความรู้ในสิ่งที่คิดว่าสำคัญ พระองค์จะทรงหาความรู้ โดยทรงศึกษาและสนทนากับผู้รู้ต่างๆ แล้วนำมาประยุกต์ปรับปรุง ด้วยความตั้งพระราชหฤทัยที่จะทำประโยชน์ให้แก่ประชาชน พระองค์เองจะทรงลำบากเดือดร้อนอย่างไร ก็ทรงไม่สนพระทัย ถ้าทรงเห็นว่าดีแล้วก็ต้องเข้มแข็งพอที่จะทำ หากว่ามีปัญหาหรือใครว่ามา ก็ทรงต้องมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่ว่าพอมีปัญหาก็หลีกเลี่ยงไป ต้องอดทน ตั้งใจ ระมัดระวัง และรอบคอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งสมความรู้พื้นฐาน โดยทรงเรียนรู้จากการคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ถวายรายงานในเรื่องต่างๆ จากนั้นทรงค่อยๆ สร้างองค์ความรู้ของพระองค์เอง หลังจากทรงทำนานๆ ก็ทรงมีประสบการณ์ จนทรงประเมินราคาโครงการได้เลย ทรงใช้ความรู้อย่างบูรณาการ
มิได้ทรงตั้งทฤษฎีไว้ก่อน นอกจากนี้ ทรงนำความรู้และวิชาการต่างๆ มาใช้ร่วมกัน หรือที่สมัยนี้เรียกว่า บูรณาการ ไม่ทิ้งแง่ใดแง่หนึ่ง อย่างเช่น เรื่องอย่างนี้ในแนววิศวกรรมศาสตร์ทำได้ แต่ว่าอาจจะไม่เหมาะสมในเชิงเศรษฐศาสตร์ หรือเหมาะสมดีในเชิงเศรษฐศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ แต่ไม่เหมาะสมกับความสุขหรือความเจริญก้าวหน้าของประชาชน ก็ไม่ได้ เมื่อพระองค์เสด็จฯ ไปพบประชาชนที่ทุกข์ยาก ทรงช่วยได้ก็จะช่วยทันที พระองค์ไม่ได้ตั้งทฤษฎีไว้ก่อน แล้วทรงทำตามทฤษฎี อย่างทฤษฎีใหม่หรือทฤษฎีอื่นๆ พระองค์ทรงเห็นอะไรที่กระทบ หรือเห็นว่ามีปัญหา ก็ทรงหาทางแก้ไข และเมื่อทำไปมากๆ ก็ออกมาเป็นทฤษฎี ฉันเห็นว่า พระองค์ไม่ได้ตั้งทฤษฎีโดยที่คิดตามปรัชญาและทฤษฎีมาก่อน แล้วหาตัวอย่างเข้าไปปฏิบัติตาม แต่มีความรู้สึกว่าพระองค์ทรงมีตัวอย่างมากมายจากการเสด็จฯ ไปยังที่ต่างๆ เพื่อทอดพระเนตรสภาพปัญหาที่แท้จริง ทรงพัฒนาเพื่อมุ่งสู่ การพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายในการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของคน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ให้คนมีความสุข โดยต้องคำนึงเรื่องสภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา เชื้อชาติ และภูมิหลังทางเศรษฐกิจ สังคม แม้ว่าวิธีการพัฒนามีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือนักพัฒนาจะต้องมีความรัก ความห่วงใย ความรับผิดชอบ และการเคารพในเพื่อนมนุษย์ จะเห็นได้ว่า การพัฒนาเกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ และเป็นเรื่องของจิตใจ การทำงานพัฒนาไม่ได้เป็นเรื่องการเสียสละเพียงอย่างเดียว เป็นการทำเพื่อตนเองด้วย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ด้วยกัน ถ้าเราอยู่อย่างสุขสบาย ในขณะที่คนอื่นทุกข์ยาก เราย่อมอยู่ไม่ได้ นักพัฒนาควรมีจิตสาธารณะ รักที่จะช่วยเหลือให้ผู้อื่นมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนอยู่เสมอว่า งานพัฒนานั้นต้องเป็นที่ต้องการของบุคคลเป้าหมาย และผู้ร่วมงานต้องพอใจ งานพัฒนาเป็นงานยากและกินเวลานาน ผู้ที่ทำงานพัฒนาหรือที่เรียกว่า นักพัฒนา จึงต้องเป็นผู้ที่อดทน เชื่อมั่นในคุณความดี มีใจเมตตากรุณา อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์และอยากให้ผู้อื่นมีความสุข ต้องมีความรู้กว้างขวาง เพราะงานพัฒนาเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ มาก ต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้าใจ และยอมรับนับถือผู้อื่น เพราะเป็นงานที่ไม่มีทางทำสำเร็จได้โดยลำพัง นอกจากนี้ นักพัฒนาต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ถ้าคอร์รัปชั่นหรือโกงเสียเองแล้วก็จะเป็นที่เกลียดชัง ผู้อื่นไม่ไว้ใจ หรือไม่เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อพัฒนาสำเร็จ มีความเจริญรุ่งเรือง ก็จะเกิดความสุขถ้วนทั่วทั้งบุคคลเป้าหมายและนักพัฒนาเอง ด้วยวิธีเช่นนี้ และด้วยความตั้งใจจะทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น ตัวเองจะลำบากเดือดร้อน ไม่สนใจ หรือหากเห็นว่าดีแล้ว ก็ต้องมีความตั้งใจ เข้มแข็ง และอดทนพอที่จะทำต่อไปโดยไม่ย่อท้อ ระเบิดจากข้างใน พัฒนาให้ชาวบ้านเข้มแข็งก่อน การพัฒนาราษฎรในพื้นที่จะทรงมีวิธีของพระองค์ คือ การเสด็จฯ ไปในป่าบนเขา ตอนแรกจะเสด็จฯ แบบยังไม่ได้มีการตัดถนนเข้าไป พระองค์ต้องเสด็จฯ เข้าไปอย่างลำบาก เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องการจะให้คนอื่นมาเอาเปรียบคนข้างใน ในขณะที่เขายังไม่เข้มแข็งพอ พอพัฒนาให้เขาเข้มแข็งแล้ว เขาจะออกมาเอง คือ ระเบิดจากข้างใน แต่เดี๋ยวนี้เวลาเขาทำการพัฒนา เขาจะต้องการถนนก่อน และคิดว่าจะได้ผลที่สุด ซึ่งไม่ใช่เฉพาะที่เมืองไทย ที่เมืองจีนก็เช่นกัน และจากเอกสารของเอดีบี หรือธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย ก็ใช้ถนนเป็นตัวชี้วัดการพัฒนา อย่างไรก็ตาม สมัยนี้การพัฒนาจะเป็นอีกแบบ จะให้คงแบบเดิมไว้คงไม่ได้ เราก็ต้องปรับปรุง เช่น มีอาจารย์มาปรึกษาฉันว่า ตอนนี้ผลผลิตในพื้นที่มีมาก แล้วจะตั้งโรงงานในพื้นที่ก็เห็นจะเป็นไปไม่ได้ โรงงานที่เราตั้งอยู่เดิมนี่ดีแล้ว ฉันกำลังพยายามจัดการทำถนนดีๆ ให้ไปถึงไร่ เพื่อนำพืชผลออกมา และต่อไปก็ต้องจัดหารถ 10 ล้อ สำหรับบรรทุกพืชผล เพื่อขนส่งไปโรงงาน และต้องเป็นรถ 10 ล้อที่แล่นได้ปลอดภัย ไม่ใช่จะยึดแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ให้สร้างถนนเข้าไป ต้องดูตามเหตุผล พระองค์ทรงไม่ว่า หากมีเหตุผลและความจำเป็น ทรงเป็นต้นแบบ ประชาพิจารณ์ ก่อนจะเสด็จฯ ไปทรงงานตามที่ต่างๆ จะทอดพระเนตรจากแผนที่ทางอากาศก่อนว่าควรจะเสด็จฯ ที่ไหน หรือจะทรงแก้ปัญหาในพื้นที่อย่างไร เช่น สามารถนำน้ำจากตรงนี้ไปเลี้ยงนาตรงโน้น ได้ประโยชน์และจะต้องมีรายจ่ายจากการก่อสร้างหรือดำเนินงานเท่าไหร่ จะได้ผลจ่ายกลับคืนภายในกี่ปี และที่สำคัญต้องไปคุยกับชาวบ้านก่อนว่าเขาต้องการไหม ถ้าเขายังไม่ต้องการ ยังไม่สบายใจที่จะทำ เราก็ไปทำที่อื่นก่อน นั่นคือ ทรงทำประชาพิจารณ์ด้วยพระองค์เอง ทรงทำตรงนั้นเลย บางครั้งมีคนกราบบังคมทูลหรือถวายความเห็น บางทีก็ดี บางทีก็แย่ คือประโยชน์เข้าที่ตัวเขาคนเดียว คนอื่นไม่ได้ พระองค์ก็ทรงทำตามเขาไม่ได้ เพราะถ้าทรงทำ เขาสบายคนเดียว เพื่อนบ้านไม่สบาย ก็ต้องดูด้วย ทรงพิจารณาอย่างรอบคอบ.
ที่มา : สยามรัฐ สำนักข่าวเจ้าพระยา
Create Date : 23 มกราคม 2559 |
Last Update : 23 มกราคม 2559 14:08:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3548 Pageviews. |
|
|