เมื่อตะวันยอแสง..เรี่ยวแรงก็เริ่มอ่อนล้า..พักลงตรงนี่ที่เดิมแล้วหลับตา..
Group Blog
 
<<
มกราคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 มกราคม 2559
 
All Blogs
 
หลังจากนี้...เมื่อไม่มี ‘ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์’

“การให้” ครั้งสุดท้ายของ “ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์” นักแสดงหนุ่มที่จากไปแล้ว นับเป็นการให้ที่สำคัญมาก นั่นคือ “ให้สติ”
แก่สังคมที่ขาดสติ

ปอเป็นนักแสดง เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ครอบครัวของเขา “ไม่ใช่”

และต่อให้ใช่ ความเป็นบุคคลสาธารณะก็ย่อมมีขอบเขตที่คนอื่นจะต้องแสดงออกต่อเขาด้วยความมีขอบเขตของความเป็นมนุษย์

“น้องมะลิ” ไม่ควรเป็นเด็กที่ใครนึกจะถ่ายรูป ถ่ายคลิป เมื่อไรก็ได้ เช่นเดียวกับ โบว์ แวนดา ภรรยาของปอ

น้ำตาของเธอ แววตารันทดของเธอ เสียงสะอื้นของเธอ เป็นเสียงของมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวร่ำไห้ คิดถึง อาวรณ์ ถึงสามีที่จากไป โดยไม่มี “กล้อง” ของใครคอยจับภาพการจากไปของปอ ทฤษฎี และการ “ล้ำเส้น” ของสื่อมวลชน ในวันเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลกลับบ้านเกิดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงนับเป็น “จุดเริ่มต้น” ที่เป็นรูปธรรมของการเรียกหา “การปฏิรูปสื่อ” นี่คือสิ่งที่ปอให้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา

จากนี้ เมื่อไม่มีปอ ทฤษฎี ให้ตามทำข่าว ถ่ายรูป เซลฟี่ กันอีกแล้ว สังคมไทยและคนไทยที่ปากบอกว่ารักปอ ควรต้องทำอะไรกันบ้าง

1) ทบทวนการทำหน้าที่สื่อมวลชน เสียงที่สังคมก่นด่าสื่อ ผมเชื่อว่าสื่อส่วนใหญ่สะเทือนใจ และรู้แล้วว่า การใช้ข้ออ้าง
ที่ว่า “คนดูเขาอยากดู เราก็ต้องรายงาน” เริ่มมี “ขอบเขตอันควร” ชัดขึ้นแล้ว จะอ้างกันพล่อยๆ อย่างเห็นแก่แบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว กรณีของปอบอกให้สื่อรู้ว่า ผู้อ่าน ผู้ชม ผู้รับข้อมูลข่าวสารเขามี “จริยธรรม” พอสมควรทีเดียว และเขาไม่ยินดีให้สื่อกระทำอะไรก็ตามที่สะท้อนความไร้จริยธรรม แล้วเอาพวกเขามาอ้าง

จากนี้ สื่อต้องทบทวนการก้าวล่วงความเป็นส่วนตัวของแหล่งข่าว เคารพสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก กาลเทศะ และการปรุงแต่งจินตนาการเอาเอง เช่น บรรยายสารพัดว่าน้องมะลิคงคิดถึงพ่อ คงอย่างนั้น คงอย่างนี้

องค์กรวิชาชีพสื่อต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามี “หลักการ” ไม่ใช่นิ่งเฉย ไม่แสดงสำนึก ความรู้สึกรู้สาใดๆ ได้แต่ “หากิน” กับอาชีพที่บรรยายภาพเสียสวยหรูว่า เป็นกระจกของสังคม เป็นหมาเฝ้าบ้าน เป็นผู้รายงานความจริง

ไม่ใช่แค่สื่อบันเทิงแล้วนะครับ สื่อทุกสายข่าว สมควรต้องทบทวนตัวเองอย่างแข็งขัน ว่าระดับบุคคล ต่างยึดมั่นการทำหน้าที่อย่างมีจริยธรรม ระดับองค์กรก็มีหลักการหลักเกณฑ์ในการเลือกภาพ เลือกเนื้อหามาเผยแพร่ต่อ โดยไม่กระทบสิทธิส่วนบุคคล ไม่ละเมิดกฎหมายและศีลธรรมอันดี ไม่กระทบจิตใจของผู้ที่ตกเป็นข่าวอย่างเกินสมควร และสำคัญที่สุด ต้องไม่เป็นความเท็จ

เช่น นายกรัฐมนตรี บอกว่า จะใช้อำนาจสั่งการให้บอร์ด สสส. ที่เหลืออยู่ ทำหน้าที่ได้ ก็อย่าไปพาดหัวข่าวว่า จะให้บอร์ด 7 คน ที่ถูกปลดออกกลับเข้าทำงาน พอวันรุ่งขึ้น นายกฯ ย้ำในประเด็นเดิม ก็ไปหาว่าท่านพูดกลับไปกลับมา หรือไม่ได้มีการดำเนินเรื่องซิงเกิ้ลเกตเวย์ ก็อย่าไปทำให้สังคมแตกตื่นว่าเขาจะดำเนินการ นายกฯ พูดอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ไล่ที่มาที่ไปของการเข้ามายึดอำนาจและภารกิจที่ต้องเดินหน้าตามโรดแมป ทิ้งท้ายประโยคเดียวว่า ถ้าไม่ไปอย่างนั้น ไม่ร่วมกันทำอย่างนั้นก็ “จะปิดประเทศก็ต้องปิด” รุ่งขึ้นพาดหัวข่าวเปรี้ยง บิ๊กตู่จะปิดประเทศ อย่างนี้ สื่อต้องเลิก เลิกขายข่าวตื่นเต้น เลิกค้าความขัดแย้ง แต่หันมาย้ำเตือนความจริงเพื่อให้สังคมใช้เป็น “ฐานคิด” จะได้ไม่คิดอะไรที่ไม่ใช่ความจริง แล้วลุกขึ้นมาขัดแย้งกัน

2) ประชาชนทั่วไปก็เช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ก็เป็น “เจ้าของสื่อ” กันทั้งนั้น มีทั้งเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ไลน์ ฯลฯ จะเขียนอะไร จะส่งต่ออะไร ก็ใช้สติปัญญาสืบสวนทวนความให้แน่ชัดเสียก่อนว่า จริงหรือไม่ ภาพบางภาพควรส่งต่อไหม ไม่ใช่ด่าสื่อกระแสหลักเรื่องทำข่าวปอ ทฤษฎี แต่ตัวเองก็แอบส่งรูปปอ ซึ่งเป็นรูปที่ไม่ควรถ่าย ไม่ควรส่งต่อกันโครมๆ ต้องหยุดปากว่าตาขยิบ ถ้าไม่ชอบภาพดารานุ่งน้อยห่มน้อยขนาดใหญ่ยักษ์บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ก็ต้องเลิกซื้ออย่างเด็ดขาด ข่าวซุบซิบดารา ถ่ายภาพหลุด ภาพนม ภาพกางเกงในของเขา ก็ต้องตำหนิ ประณาม ไม่ใช่แชร์กันต่ออย่างสนุกมือสนุกปาก จริยธรรมเกิดขึ้นที่ตัวเราเอง จากนั้นเราก็ไปเรียกร้องต่อจากคนอื่นได้ ไม่ใช่เป็นคนจำพวก “มือถือสาก ปากถือศีล”

3) รักปอ ชื่นชอบปอ นับถือปอ เพราะความดีที่ปอทำ ก็ทำอย่างเขากันบ้าง ชอบที่เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พอเพียงตามอัตภาพ ก็ใช้ชีวิตอย่างเขา ชอบที่เขาแบ่งปัน เช่น บริจาคโลหิต บริจาคร่างกาย ซื้อที่ดินมาให้คนยากคนจนเช่าในราคา
ไม่แพง ให้ทุนการศึกษาเด็กดีแต่ยากจน ช่วยเหลืองานการกุศล ฯลฯ เราก็ทำกันสิ หนึ่งคนทำ หนึ่งคนสานต่อ จากไปหนึ่งปอ แต่เกิดขึ้นมาอีกแสนปอ ล้านปอ สังคมของเราก็ดีขึ้น ไม่ใช่สักพักก็ลืม ไปสนใจเรื่องอื่น คนอื่นกันต่อ ซึ่งมันเป็นเช่นนี้มานานเกินไปแล้ว สำหรับสังคมเรา

4) บรรดาดารานักแสดง บุคคลในวงการบันเทิง บุคคลที่มีชื่อเสียง ก็ควรดูปอเป็นตัวอย่าง คนจำนวนมากที่อาลัยรักในการจากไปของเขา ไม่ใช่เพราะเขาเหล่านั้นเป็นแฟนคลับ คลั่งดารา บางคนเพิ่งจะมารู้จักปอในเชิงลึกก็หลังจากที่เขาป่วยและเป็นข่าวมา 70 วันนี่เอง แต่เมื่อได้รู้ ความรักความศรัทธาก็เกิด คนดังทั้งหลาย ก็อย่ามัวแค่อาศัยความดังของตนทำมาหากิน กอบโกยเข้าตัวอย่างเดียว แต่ต้องช่วยกันดูแลสังคม สร้างค่านิยมที่ดีให้แก่สังคม เป็นแบบอย่างของสังคม

เช่น เราเป็นนางแบบมาตั้งไม่รู้กี่ปี วันหนึ่งมีนายทุนเอาเงินมายื่นให้ บอกให้เราเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา อาศัยความเป็นนางแบบและเมนเทอร์ของเรา ยัดคำพูดต่ำๆ ที่ไม่ใช่ความจริง อย่างคำว่า “แค่ขาวก็ชนะ” เราก็อย่าเห็นแก่เงิน รับพูดถ้อยคำต่ำๆ นั้น เราต้องยกระดับความคิดให้เขาเลยว่า “พี่คะ นางแบบที่ประสบความสำเร็จ ดาราที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ มันมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่สำคัญมากกว่าสีผิวค่ะ หนูไม่สามารถพูดถ้อยคำที่พี่ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อจะขายของของพี่แบบนี้ได้ เพราะมันขัดแย้งกับความจริงในอาชีพของเราค่ะ และมันเป็นการทำให้คนมีค่านิยมที่ผิด ยึดติดกับสีผิว จนไม่สนใจที่จะพัฒนาตัวเอง
ในด้านอื่นๆ หนูขอปฏิเสธงานนี้นะคะ”

อาหารเสริมอะไรที่เราไม่รู้จัก ไม่ได้มีความรู้ ก็อย่าเที่ยวทำตัวเป็นดาราผู้แสนรอบรู้ นั่งอธิบายเป็นฉากๆ ฉอดๆ เพื่อแลกกับงานโฆษณาที่เข้ามา แต่ไม่ไยดีว่า ผลกระทบต่อประชาชนเป็นอย่างไร ได้ประโยชน์จริงไหม มีผลข้างเคียงหรือเปล่า มีงานวิจัยอะไรรองรับไหม ไอ้ที่เราให้พูด ราวกับเราเป็นหมอ เป็นนักวิทยาศาสตร์เนี่ย มันจริงหรือเปล่า มันจะทำให้คนใช้จ่ายเงินอย่างสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ เพราะเขาเชื่อในความเป็นเราหรือไม่

แทนที่จะชวนเขากินรังนกต้มน้ำตาลใส่ขวดขาย ซื้อไปให้พ่อให้แม่ วันพ่อ วันแม่ วันตรุษจีน ก็บอกให้เขากินอาหารปกติให้ครบห้าหมู่ได้ไหม ช่วยๆ กันดูแลสังคม ที่เขานิยมชมชอบและเชื่อใจในตัวเราให้มากขึ้น เราอาจได้รายได้ลดลง โดยเฉพาะรายได้ประเภท “ลาภลอย” พวกนี้

5) ลดการบริโภคข่าวแบบ “ดื่มด่ำใจ” แต่ใช้ปัญญาให้มากขึ้น หลายคนติดตามข่าวปอ ทฤษฎี เหมือนดูรายการเรียลิตี้ จนพลัดหลงเข้าไปในโลกของมายา เสมือนว่าปอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราแล้ว น้องมะลิเหมือนคนในครอบครัว โบว์ แวนด้า เหมือนพี่สาวคนหนึ่ง คุณอาจจะรู้จักพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้รู้จักคุณ แต่ความเป็นคนที่อยู่ในครอบครัวของคนมีชื่อเสียง เขาก็ต้องตกกระไดพลอยโจน ต้องยิ้มรับ ต้องยอมให้ถ่ายรูป ฯลฯ ความรู้สึกผูกพันกันเพราะติดตามเขามานานแบบนี้ ทำให้บางที ตื่นเต้นยินดีที่ได้เจอ แล้วโลกยุคนี้มันเป็นยุคที่ “เจออะไรก็ต้องถ่ายรูปมาอวด” มันจึงเกิดปรากฏการณ์เซลฟี่น้องมะลิ จนถูกสังคมตั้งคำถาม บางคนถึงกับด่าเอา จนต้องออกมาขออภัยกันไปแล้ว เรื่องแบบนี้ ก็ต้อง “เจริญสติ” กันให้เยอะๆ ด้วย

6) การตื่นตัวในการสร้างความรู้เรื่องสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บ จะต้องเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ อย่ารอให้เกิดกรณีแบบปอ ถึงค่อยมาสนใจ ให้ความรู้ ดูแลการระบาดของ “ไข้เลือดออก” พูดกันตรงๆ เถิดว่า สังคมไทยให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพกับประชาชนของตัวเองน้อยเกินไป ทำให้กินผิด นอนผิด ใช้ชีวิตผิดๆ จนเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็กลายเป็นค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ผ่านระบบสวัสดิการการรักษาพยาบาลปีๆ หนึ่ง เป็นจำนวนมหาศาล

ถึงเวลาสร้างนิสัยใฝ่รู้ให้คน อยากมีความรู้ที่จะดูแลตัวเองกันอย่างถูกต้องให้มากขึ้นเถิด สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ควรนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ให้มากขึ้น คนดูคนอ่านก็ต้องสนใจให้มากขึ้น ไม่ใช่เขานำเสนอแล้วก็ไม่มีคนดู ในที่สุดรายการพวกนี้ก็หายไป เหลือแต่รายการชวนกินอาหารเสริม แต่อาหารหลักควรกินยังไง ไม่ให้เจ็บไม่ให้ไข้ ไม่มีคนบอก

แต่สื่อสังคมออนไลน์นี่ เจ้าพ่อจ้าแม่แชร์กันเลยนะครับ เรื่องสุขภาพ สมุนไพรสูตรผีบอกมาจากไหนก็ไม่รู้ ส่งต่อกันเป็นบ้าเป็นหลัง บางเรื่องบางอย่างก็ไม่ได้สมเหตุสมผลเลย โดยเฉพาะยาฆ่ามะเร็งทั้งหลาย กระทรวงสาธารณสุขจะต้องใส่ใจการทำงานเชิงป้องกันให้มากขึ้น ไม่ใช่ตั้งรับอย่างเดียว แล้วงบประมาณก็ไม่เพียงพอที่จะตั้งรับ เพราะนับวันค่ารักษาพยาบาลจะมีต้นทุนสูงขึ้น คนไข้ป่วยเร็วขึ้นด้วยโรคที่ยังไม่ควรจะเป็นด้วยซ้ำไป

7) รัฐจะต้องจัดการกระบวนการสร้างความรู้ในเรื่องสุขภาพ ออกกฎหมายควบคุมการโฆษณาเกินจริง โฆษณาแฝง พร้อมบทลงโทษที่หนักขึ้น และสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งยังตกเป็นจำเลยของข่าวลือว่า “ซื้อได้ จ่ายได้” นำความรู้เข้าสู่ห้องเรียนสำหรับเด็กและเยาวชน และเข้าสู่สื่อสำหรับผู้ใหญ่นอกวัยเรียน ซึ่งต้องยอมรับว่า คนไทย พอเรียนจบแล้วก็แทบไม่เรียนอะไรเพิ่ม ไม่มองอะไรรอบๆ ตัวเป็นเรื่องของ “การเรียนรู้” เท่ากับเรื่องของ “ความอยากรู้อยากเห็น”

8) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ เอาเรื่องปฏิรูปสื่อขึ้นมาหารือกับองค์กรสื่อทั้งหลายโดยด่วน เลยเวลาของการยอมให้สื่ออวดอ้างว่า “เราจะดูแลกันเอง” อีกต่อไป เพราะเขาไม่เคยดูแลกันเองได้ เช่น อีเอฟเอ็ม ออนทีวี ปั้นกะเทยคนหนึ่งซึ่งรู้กันกับทีมงาน มาปั้นเรื่องว่าบุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เรื่องมาก วีนแตก อย่างนั้นอย่างนี้ พวกเขาจบที่การออกมาขอโทษ ไม่รู้เลยว่ามีบทลงโทษใดๆตามมาหรือไม่ ทีมข่าวเนชั่น แต่งตัวเป็นอาเดม คาราดัก เข้าไปจะทำรายงานข่าวเรื่องเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ คนด่ากันทั้งเมือง ต้นสังกัดลงโทษอย่างไร องค์กรสื่อว่าอย่างไร ก็ไม่ชัดเจนหรือเป็นระบบ เป็นมาตรฐาน

ลองดูแพทยสภา, สภาทนายความ, หรือกลุ่มวิชาชีพวิศวะดูสิครับ เขามีกติกาที่เข้มงวด เคร่งครัด ที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ใครละเมิดมีบทลงโทษเร็วและชัด ไม่ใช่ทำท่าจะลงโทษ ก็ลาออกได้ เหมือนกรณี สรยุทธ สุทัศนะจินดา กับค่ายมติชน ลาออกจากองค์กรสื่อ เพื่อจะบอกว่า องค์กรสื่อจะมาสอบถาม สอบสวน หรือลงโทษอะไรพวกเขาไม่ได้อีก

หลังจากนี้ สื่อจะดูแลกันเอง แต่ต้องยกระดับขึ้นมาเหมือนองค์กรเหล่านี้ไหม องค์กรสื่อที่กระจัดกระจายและมีหลากหลายเหลือเกิน ต้องรวมเป็นองค์กรหลักสัก 1 องค์กร ทุกคนต้องเป็นสมาชิก และสมาชิกที่ทำผิด ต้องได้รับการลงโทษ อะไรทำนองนี้ เพื่อคุ้มครองสังคม จากการทำงานแบบ “ไร้จรรยาบรรณ” หรือขาดความระมัดระวัง หวังแต่เรตติ้งอย่างเดียวอีกต่อไป

อย่าให้การตายของปอ ทฤษฎี ที่ทิ้งบทเรียนเอาไว้ให้เรียนรู้ เชิดชู และทำตามอีกมากมายต้องเงียบหายไปและสูญเปล่า

อย่าให้คำว่ารักและชื่นชมของเราเป็นแค่ “คำมักง่าย” ที่พูดไปชั่วครั้งชั่วคราว


เอาจริง ทำจริง ในหลายๆ เรื่องดีๆ เหมือนปอ ทฤษฎี กันเสียที

 

 

//www.naewna.com/politic/columnist/22605




Create Date : 25 มกราคม 2559
Last Update : 25 มกราคม 2559 0:57:20 น. 0 comments
Counter : 1081 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

สาว17
Location :
ลูกสาวเมืองสิงห์ Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Color Codes ป้ามด







เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว
มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ
เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว
มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ
ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย
ดูอย่างต้นไม้ซิ
มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล
มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ
เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี
อดทนและอดทน
เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา
เพราะเมื่อเวลามาถึงทุกสิ่งจะดำเนินไป
ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่มีสุข








Free Hit Counter ทีเว็บมาสเตอร์ รวมพลคนทำเว็บ
Google
New Comments
Friends' blogs
[Add สาว17's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.