ความภูมิใจในปีที่ผ่านมา และคำมั่นสัญญาหรือ Resolution 2009
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ และน้อง ๆ ชาวบล๊อกแก็งค์
สำหรับบล๊อกที่วันนี้ดิฉันจะเขียนเป็นเรื่องราว ความในใจของดิฉันเอง โดยจะเล่าถึงความภูมิใจในปีที่ผ่านมาและคำมั่นสัญญาที่ดิฉันจะทำในปีนี้ เพื่อทำให้ชีวิตดิฉันรู้สึกมีค่าและมีจุดมุ่งหมายที่จะทำในปีนี้
ก่อนที่จะมาเข้าหัวข้อดังกล่าว ดิฉันก็อยากจะมาเล่าถึงเศรษฐกิจขาลงของอเมริกาก่อน ตามที่เพื่อน ๆ และน้อง ๆ คงพอทราบกันดีอยู่แล้วว่าตอนนี้เศรษฐกิจเมริกาแย่เอามาก ๆ บริษัทฯเลย์ออฟพนักงานทุกวัน บริษัทฯปิดกิจการและถูกฟ้องล้มละลายให้ได้เห็นกันอยู่ทุกวัน
บริษัทฯสามีดิฉันที่เรียกว่าทำกำไรได้ยอดเยี่ยม จ่ายโบนัสงาม ๆ ให้พนักงานทุกปี ก็ถูกผลกระทบเข้าอย่างจังแล้วตอนนี้ เมื่อสองหรือสามเดือนก่อนก็ได้เลย์ออฟพนักงานออกไปชุดหนึ่งแล้ว ตอนนี้เหตุการณ์ทำท่าจะเลวร้ายลงมากกว่าเดิม เพราะแต่วันละแทบไม่มีออร์เดอร์ในการสั่งผลิตหลาย โรงงานที่มีคนงานหลายร้อยคนก็นั่งตบยุ่ง เอาไปทำงานอื่น ๆ เช่น ทาสี ทำความสะอาด เครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต ก็ว่างไม่ทำงาน เรียกว่าแย่เอามาก ๆ
สามีดิฉันช่วงนี้ก็รู้สึกเครียดมาก ๆ ถึงแม้จะไม่กระทบต่อสามีดิฉันเท่าไร เพราะสามีดิฉันกินเงินเดือนและทำงานในออฟฟิตด้านบริหาร ปกติสามีดิฉันไม่เคยเอาเรื่องงานมาบ่นให้ฟัง ช่วงนี้แทบทุกวันกลับจากทีทำงานสามีดิฉันจะบอกว่าเครียดมาก ๆ และเห็นใจบริษัทฯมาก ๆ แล้วอีกไม่กี่วันข้างหน้าคงต้องมีการเลย์ออฟพนักงากอีกชุดใหญ่
ตอนนอนสามีจะคอยเอามือก่ายหน้าผากเพราะความเครียด ดิฉันก็พอไม่สบายใจไปด้วย สามีบอกตอนนี้เค้าไม่อยากเดินเข้าโรงงานเพราะทุกครั้งพอเดินเข้าไป พนักงานที่โรงงานจะคอยถามเค้าว่า ตอนนี้มีออร์เดอร์การผลิตหรือไม่ พวกเค้าจะถูกเลย์ออฟไหม สามีบอกว่าเวลาเค้าตอบคำถามกับพนักงานเหล่านั้น สามีจะต้องตอบอย่างระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้พวกเค้าวิตกกังวลและไม่อยากให้ภาพพจน์บริษัทฯเสีย ก็เหมือนกับบางครั้งต้องโกหก
สำหรับดิฉันเคยผ่านวิกฤตการณ์อย่างหนักนี้มาแล้วสมัยอยู่เมืองไทย ที่ค่าเงินบาทตก ราคาบ้านสูง จึงพอจะมองภาพออกว่า ต่อไปจะเป็นอย่างไร นี่ยังไม่ได้ครั้งเมื่อหลายปีก่อนที่ดิฉันอยู่เมืองไทย ที่เจอเพื่อน ๆ เลย์ออฟกันหนัก และเงินเดือนถูกลดกัน
ดิฉันก็บอกตามความจริงไปว่า นี่ยังไม่เลวร้ายเท่าไร จะต้องเลวร้ายกว่านี้ เพราะดิฉันเคยผ่านพวกนี้มาแล้ว สามีก็บอกว่าตั้งแต่เค้าจำความได้ ไม่เคยเห็นครั้งไหนที่เศรษฐกิจเลวร้ายเท่าครั้งนี้ แล้วดิฉันก็บอกกับสามีว่าสภาพเหตุการณ์อย่างนี้จะใช้เวลาอีกหลายปีที่จะฟื้นขึ้นมา สามีดิฉันเมื่อหลายเดือนก่อน ที่ดิฉันบอกแบบนี้ก็ไม่เชื่อ บอกว่าประมาณไม่ถึงหกเดือนก็จะฟื้น ตอนนี้สามียอมรับสิ่งที่ดิฉันพูดแล้ว เห็นสามีแล้วก็สงสารค่ะ ก็ได้แต่ให้กำลังใจ และปลอบใจสามี ว่าอย่าเครียดมาก ตอนนี้เราต้องประหยัด ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ถึงตำแหน่งหน้าที่สามีที่เจ้านายบอกว่าปลอดภัย เราก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะตอนนี้เราไวใจเศรษฐกิจไม่ได้จริง ๆ
แล้วยิ่งเมื่อสองวันก่อน ท่านโอบาม่า ประธานาธิบดีได้ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจขาลงแบบนี้จะกินเวลาประมาณสี่ปี และก่อนที่จะเข้าสู่สภาวะที่ดี จะต้องเลวร้ายลงมากกว่านี้ ดิฉันได้ฟังแล้วก็เศร้าค่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
หลังจากฟังเรื่องเครียดเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจอเมริกาแล้ว มาฟังเรื่องที่ทำให้ดิฉันรู้สึกดี ๆ และความตั้งใจกับคำมั่นสัญญาที่ดิฉันจะทำกันในปีนี้กันค่ะ
สำหรับความภูมิใจที่ทำให้ดิฉันคิดที่ไร แล้วรู้สึกดีสำหรับปีที่ผ่านมาก็คือ 1.ทุกครั้งที่ดิฉันออกไปพูดหน้าชั้น ดิฉันสามารถที่จะเรียกมนต์สะกดให้ผู้ฟัง ฟังดิฉันอย่างตั้งใจและคล้อยตามไปตามที่ดิฉันพูด เช่นกันผู้ฟังก็จะอมยิ้มกับลูกเล่น ลีลาการพูดของดิฉัน ถึงแม้ว่าดิฉันจะยังติดสำเนียงไทย และบางครั้งสำเนียงการพูดของดิฉัน อาจจะฟังยากสำหรับคนอเมริกัน แต่ทุกครั้งที่ดิฉันออกไปพูดหน้าชั้น ดิฉันจะได้รับคำชมและเสียงปรบมือดังสนั่นจากคนอเมริกัน
สำหรับเคล็ดลับในการพูดในที่สาธารณชนที่ทำให้ดิฉันประสบความสำเร็จชนะใจคนอเมริกันก็คือ ดิฉันจะพูดด้วยเสียงดัง ฟังชัด เวลาพูด ทุกครั้งที่ดิฉันออกไปพูดหน้าชั้น สายตาดิฉันจะมองไปที่ผู้ฟังทุกคน เพื่อให้ผู้ฟังได้รู้สึกว่าดิฉันกำลังพูดกับผู้ฟังอยู่ เช่นกันดิฉันก็ไม่ลืมที่จะสอดแทรกมุข อารมณ์ขันลงไป บางครั้งถ้าเป็นการพูดที่เป็นทางการหรือมีการเตรียมล่วงหน้า ดิฉันจะใช้ PowerPoint ประกอบในการพูดของดิฉัน บางครั้งดิฉันก็อาจจะมีการทำไม้ทำมือประกอบ แต่ไม่มากนัก มากกว่านั้นทุกครั้งที่ดิฉันจะพูด ดิฉันจะไม่ยืนอยู่หน้าห้องอย่างเดียว จะเดินมาใกล้ผู้ฟัง ไม่อยู่กับที่ บางครั้งมีการตั้งคำถามง่ายๆ ให้กับผู้ฟังได้ตอบคำถาม แล้วมีการแจกรางวัลน่ารัก ๆ ให้กับผู้ตอบคำถามถูก ทุกครั้งที่ดิฉันพูดจบ ดิฉันจะได้รับการกล่าวขวัญ เป็นที่รู้จักของเพื่อน ๆ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเพื่อน ๆ เหล่านั้นไม่เคยรู้จักดิฉันมาก่อน ก็จะมาทักดิฉันเป็นการส่วนตัวว่าชอบลีลาการพูดของดิฉัน เช่นกันอาจารย์ที่ฟังดิฉันพูด ก็จะยกตัวอย่างดิฉันเป็นตัวอย่างการออกมาพูดหน้าชั้นที่ควรเอาเป็นตัวอย่าง
2.ดิฉันสามารถพิสูจน์ความสามารถในการทำงานให้ผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการได้เห็นถึงความสามารถและคุณค่าของดิฉันในการทำงานที่ห้างฯ ที่ดิฉันทำงาน ถึงแม้งานที่ดิฉันทำจะไม่ต้องใช้สมอง ใช้แค่แรงกาย แต่เพราะดิฉันคิดเสมอว่างานอะไรก็ตาม ที่เป็นงานสุจริต ถึงแม้เราจะไม่มีประสบการณ์มาก่อน ถ้าเรามีความตั้งใจและทำงานหนัก เราก็สามารถพิสูจน์คุณค่าของเราให้กับองค์การหรือหน่วยงานนั้นได้ประจักษ์ ด้วยความที่ดิฉันเป็นคนไทย ผู้จัดการ ผู้ช่วยฯ และเพือน ๆ ที่ทำงาน ไม่เคยร่วมงานกับคนไทยมาก่อน จะรู้จักประเทศไทยก็คือ ด้านชื่อเสียงของอาหารไทยมากกว่า ดิฉันได้ถูกสอนมาในสังคมไทยตลอดว่าต้องตั้งใจทำงาน หนักเอาเบาสู้และอ่อนน้อมถ่อมตน สักวันหนึ่งผลงานการกระทำของดิฉัน เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานก็จะได้เห็น และตระหนักว่าเราเป็นบุคคลากรที่มีคุณค่า สำหรับงานของดิฉันก็เป็นงานที่ง่าย ๆ คือเป็นพนักงานห้างฯ หน้าที่ก็ง่าย ๆ คือทักทายลูกค้า ช่วยเหลือลูกค้า จัดวางสินค้าให้ถูกที่ แต่ถ้าดิฉันทำหน้าที่อย่างนี้ในห้างฯอื่น ๆ ก็นับว่าทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้ดีที่สุดแล้ว
แต่สำหรับห้างฯ ดิฉันทำงานไม่ใช่ นอกจากทำหน้าที่เหล่านี้ได้ดีที่สุดแล้ว ถ้าสามารถหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิตได้ก็เท่ากับเป็นผลงาน ได้ชั่วโมงการทำงานมากกว่าพนักงานคนอื่น
สำหรับการหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิตของห้างฯ ในอเมริกาต้องนับว่าเป็นงานที่ปราบเซียน เพราะเป็นงานที่จะต้องขยัน อดทนต่อความกดดัน มากกว่านั้นจะต้องรู้จักเอากลยุทธการขายมาใช้เพื่อโน้มน้าวให้ลูกค้ามาสมัครทำบัตรเครดิต เพื่อน ๆ ที่อยู่อเมริกาคงจะพอทราบกันบ้างคือคนอเมริกันมีบัตรเครดิตกันหลายใบ เช่นกันทุกครั้งที่สมัครบัตรเครดิตก็จะทำให้ถูกหักคะแนนเครดิตไปหนึ่งแต้ม มากกว่านั้นคนที่มีบัตรเครดิตก็จะกลัวว่าตัวเองหักห้ามใจ ควบคุมการใช้เงินไม่อยู่ เช่นกันเหตุผลที่สำคัญอีกประการคือถ้าคนที่กำลังจะซื้อบ้าน ข้อห้ามคืออย่ามาสมัครทำบัตรเครดิตเด็ดขาด เพราะจะทำให้ตัวเองเสียคะแนนเครดิต ฉะนั้นคนอเมริกันจึงเป็นโรคกลัวบัตรเครดิต
สำหรับดิฉันแล้วไม่เคยลดละหรือล้มความตั้งใจที่จะหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิต เพราะถือว่าเป็นผลงานและถ้าต้องการชั่วโมงการทำงานที่ได้รับอยู่ขณะนี้ ต้องพยายามหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิตให้ได้ สำหรับดิฉันนับว่ายากมาก ๆ เพราไม่ได้ทำหน้าที่แคชเชียร์ และไม่ได้เป็นคนอเมริกัน หรือเติบโตในอเมริกา ภาษาอังกฤษของดิฉันจึงติดสำเนียงไทย บางครั้งฟังยากเอาด้วย แต่เพราะความที่สมัยอยู่เมืองไทย ได้เรียนสมัยปริญญาโท เกี่ยวกับการขายมา และเห็นพนักงานขายที่ไทย ทำงานหนัก ไม่เคยลดล่ะความพยายามที่จะขายสินค้า ดิฉันจึงได้ตัวอย่างเหล่านั้นมาใช้กับการหาลูกค้าทำบัตรเดรดิต มากกว่านั้นดิฉันก็ไม่เคยท้อหรืออับอาย เวลาลูกค้าตอบปฏิเสธกับดิฉัน เพราะดิฉันคิดว่าเราต้องทำให้ที่ดีสุดและไม่ล้มเลิกที่จะถามลูกค้า ถามสักสิบยี่สิบคน คงมีสักคนที่มาสมัครทำบัตรเครดิต ไม่มีก็ไม่เป็นไร เราทำหน้าที่เราอย่างดีที่สุดแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวดิฉันจะหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิตได้แทบบทุกวันที่มาทำงาน กลายเป็นท๊อปของห้างฯ และบางเดือนของเป็นท๊อปสูงสุดของแต่ล่ะห้างฯมารวมกัน นี่นับว่าเป็นความภูมิใจของดิฉันมาก เพราะดิฉันเท่ากับพิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอเมริกันว่าถึงแม้ดิฉันจะเป็นคนไทยคนเดียว ที่ภาษาไม่แข็งแรงเท่าพวกเค้า แต่ดิฉันสามารถแข่งขันเอาชนะพวกเค้าได้
นี่คือบางส่วนของตัวอย่างรางวัล และ Gift Card ที่ดิฉันได้รับจากการหาลูกค้ามาทำบัตรเครดิตได้สูงสุดของห้างฯ และของแต่ล่ะห้างฯ มารวมกันค่ะ
เช่นกันนอกเรื่องความรู้สึกดี ๆ ในปีที่ผ่านมาที่ดิฉันได้รับ ดิฉันก็ให้คำมั่นสัญญาสำหรับปีนี้ว่าตั้งใจจะทำอะไรบ้าง
1. ดิฉันจะต้องตั้งใจหางานทำ ส่งใบสมัครไปตามที่ต่าง ๆ ไม่ลดล่ะ ถึงแม้สภาวะเศรษฐกิจอเมริกาจะเป็นขาลงก็ตาม เพราะดิฉันตั้งใจไว้ว่าจะต้องหางานที่จบมาทำให้ได้ ดิฉันจะส่งใบสมัครงานไปเรื่อย ๆ ถึงแม้จะไม่มีที่ไหนเรียกก็ตาม แล้วคิดเสมอว่าสักหนึ่งโอกาสต้องเป็นของเรา ไม่ล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าว
2. ดิฉันจะต้องหยุดการชีอปปิ้งเสียที่ เพราะปีที่ผ่านมา ดิฉันเห็นเสื้อผ้า สินค้าราคาถูกไม่ได้ ต้องซื้อ เรียกว่าซื้อจนทำให้ตู้เสื้อผ้าคานหัก มากกว่านั้นที่บ้านดิฉันตอนนี้ถุงเสือผ้ามาวางเรียงกันตามทางเดิน เวลามีแขกมาบ้านที ต้องเอาถึงเสื้อผ้าที่ซื้อมาไปซ่อน ถ้าดิฉันคงซื้อต่อไป รับรองว่าดิฉันต้องไปหาจิตแพทย์แน่ ๆ เสื้อผ้าดิฉันต้องเน้นว่ามากแบบน่ากลัวเอาที่เดียว เหมือนดิฉันเป็นโรคจิต ตอนนี้ต้องคอยใช้คาถาว่าเราจำเป็นหรือไม่ แต่ทุกครั้งที่ซื้อก็ลืมคาถานี้ ตอนนี้ต้องไม่ซื้อแล้วค่ะ
นี่ค่ะถุงเสื้อผ้าบางส่วน ที่ยังไม่ได้เอาเสื้อผ้าออกมาจากถุงเลย วางกองอยู่ตามทางเดินค่ะ
3. ดิฉันตั้งใจว่าดิฉันจะต้องเอาวิชาความรู้ที่ดิฉันเรียนมาทบทวน ขณะที่ยังหางานทำไม่ได้ เพราะถ้าไม่เอามาอ่านทบทวน ก็เหมือนกับเรียนมาแล้วคืนอาจารย์ไปหมด
นี่ค่ะหนังสือที่ดิฉันตั้งใจจะเอามาอ่านทบทวน
มากกว่านั้นในปีนี้ ดิฉันจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบเสียที่ เพราะดองมาหลายเดือนแล้ว
เช่นกันดิฉันจะต้องพยายามอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ และพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงอเมริกัน
4. ดิฉันจะต้องพยายามใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่นั่งฟุ้งซ่านไปวัน ๆ ที่เอาแต่กิน นอน เล่นอินเตอร์เน็ท คิดแต่เรื่องไร้สาระ ดิฉันควรเอาเวลาเหล่านั้นมาทำอาหารหรืองานฝีมือ
นี่ค่ะบางส่วนของเบเกอร์รี่และงานฝีมือที่ดิฉันทำเมื่อสองวันก่อน
ดิฉันทำที่คาดผมค่ะ แรงดลใจเพราะดิฉันเห็นเด็กที่ทำงานคาดที่คาดผมมาทำงานน่ารักมาก ๆ ดิฉันเลยอยากคาดกับเค้าบ้าง จะไปซื้อก็คิดว่าไม่ควร ควรทำเองจะได้ภูมิใจและเป็นการประหยัดด้วย เพราะดิฉันมีอุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมแล้ว
มาดูภาพเลยค่ะ
ที่คาดผมที่ดิฉันมีอยู่แล้ว
อุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ค่ะ
ทำเสร็จแล้วค่ะ
คาดแล้วน่ารักไหมค่ะ คริ คริ
มาดูเบเกอร์รี่ที่ดิฉันทำค่ะ สูตรนี้ได้มาจากน้องฉวีคนเก่งค่ะ Cinnamon Swirl
ก่อนเข้าอบ
อบเสร็จแล้วค่ะ
ตัดเป็นชิ้น ๆ น่าทานไหมค่ะกับกาแฟตอนเช้า
ที่เหลือเก็บใส่กล่องไว้ทานครั้งต่อไปค่ะ
นี่ค่ะส่วนที่ห่อพลาสติกให้สามีเอาไปทานที่ทำงาน
แล้วเพื่อน ๆ และน้อง ๆ มีความภูมิใจอะไรในปีที่ผ่านมาและคำมั่นสัญญาที่จะทำในปีนี้กันค่ะ มาเล่าสู่กันฟังค่ะ
ขอบคุณผู้ที่มาเยี่ยมบล๊อกดิฉัน
สุข สันต์ วันหยุดค่ะ
Create Date : 11 มกราคม 2552 |
|
49 comments |
Last Update : 11 มกราคม 2552 2:48:06 น. |
Counter : 1342 Pageviews. |
|
|
|
ฝนขอเอาใจช่วยคุณพ่อบ้านของพี่นะคะ หนูคิดว่าเค้าคงลำบากใจมากๆ เวลาที่ต้อง
ตอบคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีกน่ะ
ส่วนพี่เจนนี่หนูก็ขอให้พี่มีกำลังใจทำงานต่อไปนะคะ
ที่คาดผมที่พี่ทำเองน่ารักจัง ไอเดียสุดยอดค่ะ หนูน่ะงานฝีมือทำไม่เก่งหรอกค่ะพี่
น้องสาวหนูนี่เก่งมากๆ เค้าทำได้หลายอย่างค่ะ
ขนมปังน่าหม่ำจังเลย แต่วันนี้หม่ำพิซซ่าไปกับคุณพ่อบ้านแล้วค่ะ