ตรรกะต่อต้านการ "ว้ากน้อง" โดยอาจารย์ดองและอาจารย์พราหมณ์หมี
เนื่องด้วยชั้นปีของอาจารย์ดองและอาจารย์พราหมณ์หมีเป็นชั้นปีที่ไม่เห็นด้วย + ต่อต้านระบบการรับน้องแบบ "ว้าก" ราวกับคนอยู่ในสังคมยุค primitive บ้านป่าเมืองดอย อาจารย์ดองและอาจารย์พราหมณ์หมีจึงได้ทำการเขียนตรรกะและข้อแนะนำแสดงทรรศะเรื่องการรับน้องแบบ "ว้ากนอก" นี้ในเวบบอร์ดรุ่น อาจารย์ดองเล็งเห็นว่าหลายคนอ่านแล้วคงชอบ (ทั้งชอบถกและชอบใจ) จึงนำมาแปะในบล็อกส่วนตัวไว้ด้วย
เชิญทัศนา.....
เหตุผลที่อาจารย์ดองและผองเพื่อนร่วมรุ่น 43 เกลียดการว้ากน้อง
นับแต่ 43 เป็นรุ่นมา 43 มิเคยว้ากน้องแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเราเชื่อว่าการว้ากน้องมิใช่คำตอบที่เหมาะสมกับชั้นปีเรา (คือชั้นปีอื่นอาจจะเหมาะสม เราไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี เพราะการว้าก การวินัย บลาบลาบลา แล้วแต่จะเรียกอะน่ะ ก็เหมือนเหรียญสองด้าน คนที่ได้รับอะไรจากมันก็จะว่าดี แต่ชั้นปีเรา เราไม่ได้อะไรจากมันเราก็เลยไม่ชอบมัน)
1. เราเชื่อว่าการเคารพกันเอง และเคารพกันระหว่างชั้นปี มิต้องใช้การบอกกล่าวเชิงอำนาจใส่ เราเคารพคนอื่นเพราะเขาเคารพเรา เคารพซึ่งกันและกัน เราเคารพพี่เพราะพี่ทำตัวให้น่าเคารพ เราเคารพน้องเพราะน้องทำตัวให้น่าเคราพ ประเด็นสำคัญคือเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน
2. เราเชื่อว่าการมีวินัยได้มิใช่เกิดจากกระทำปุ๊บปั๊บในเวลาสามชั่วโมง
3. เราไม่รู้ว่าการรับน้องที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร แต่ผลของการที่เรารับน้องแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย เคารพซึ่งกันและกัน ส่งผลให้น้อง 44 45 และ 46 ไม่เคยมีปัญหากับรุ่น 43 เลยแม้แต่น้อย
-----------------------
อาจารย์พราหมณ์หมีได้สรุปและสร้างเป็นตรรกะดังนี้ว่า
วิชาตรรกวิทยา ว่าด้วยเหตุผลและการโต้แย้งด้วยเหตุผล 011 (คิดโดยอาจารย์พราหมณ์หมี)
หมายเหตุ การชี้แจงและโต้แย้งด้วยเหตุผลจะต้องไม่มีอารมณืมาเกี่ยวข้องหรือน้อยที่สุด และทั้งสองฝ่ายต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ถ้าไม่ใช่เหตุผล เอาไม้หน้าสามมาคุยกันดีกว่า ดังนั้นพึงอ่านและขบคิดด้วยเหตุผล
1.การรับน้องเป็นคำกลางๆไม่ได้แปลว่าดีหรือไม่ดี มันจะดีหรือไม่ดีอยู่ที่การนำไปใช้ มีดเฉยๆที่ตั้งอยู่มันบอกไม่ได้ว่าดีหรือไม่ดี ถ้าเอาไปแทงคนมันไม่ดี ถ้าเอาไปหั่นผักแดกนี่ดี
2.เรื่องการเคารพรุ่นพี่
โดยทั่วไปในสังคมมนุษย์ คนเราเคารพกันด้วย
2.1 วัยวุฒิ มีความแก่อายุกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสังคมนั้นๆ เช่นบางที่แก่กว่า 1-2 ปีไม่จำเป็นต้องเคารพนบไหว้มากมาย ในสังคมไทยการแก่อายุถือเป็นเรื่องที่ยืดหยุ่นได้ เพราะมีเพื่อนที่อายุมากกว่า หรือน้อยกว่าให้เห็นเสมอ บางครั้งวัยวุฒิออาจหมายถึงความสัมพันธ์กันโดยสายเลือดด้วย
2.2 ชาติวุฒิ เช่น เคารพด้วยชาติกำเนิด เช่น เราไหว้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่เด็กกว่า พราหมณ์ เป็นต้น
2.3 คุณธรรม เช่นเราเคารพผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีใจสูง นี่จัดเป็นสิ่งที่สุภาพชนและคนดียึดถือ
2.4 คุณวุฒิ เพราะคนๆนั้นประกอบด้วยคุณสมบัติที่พึงเคารพเช่น เป็นผู้ทรงความรู้ หรือสังคมๆนั้นเจาะจงวให้เคารพเช่นพระสงฆ์ สมณ ครูอาจารย์
2.5ผู้มีพระคุณทุกรูปแบบ
ทำไมเราต้องเคารพรุ่นพี่
ข้ออ้าง(จากฝ่ายมิจฉาทิฐิ) - เพราะเป็นรุ่นพี่ เป็นกติกาที่สังคมๆนั้นๆกำหนดให้ต้องทำ รุ่นพี่มีอายุมากกว่า รุ่นพี่มีบุญคุณ
แย้ง - อ้างกติกาสังคมไม่ถูก เพราะ สังคมเล็กย่อมครอบด้วยสังคมที่ใหญ่ขึ้นไปอีกที กฏหมู่ก็มี กฏหมายมีจารีต ของสังคมที่ใหญ่กว่าครอบไว้ หากกฏของสังคมที่เล็กกว่า แย้งกับกฏของสังคมที่ใหญ่กว่า เราควรทำตามกฏไหน เช่น สังคมหนึ่งตั้งขึ้นมาเอง มีสมาชิกประมาณ 20 คนออกฏว่ากติกาว่า เราสามารถเอากันอย่างอิสระเสรี นัวเนียได้เลย เราควรเห็นด้วยมั๊ย เพราะหากดูกฏหมายผิดก็ต้องถือว่าผิด หรือหากกฏหมายไม่บัญญัติ จารีตก็บอกว่าผิด เป็นต้น
การเคารพรุ่นพี่ที่เป็นคนอายุมากกว่านิดหน่อยหรือเท่ากันหรือในบางครั้งน้อยกว่า ไม่เข้ากับลักษณะการเคารพในจารีตสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคารพในสังคมไทยเป็นเรื่อง "จิตใจ"ที่ไม่อาจบังคับบัญชาได้ และการบังคับให้เกิดความเคารพย่อมเป็นการแสดงออกเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ไม่มีความหมาย
ข้อเสนอ-ปล่อยให้เคารพกันด้วยใจ ให้เป็นไปตามธรรมชาติ มีความยั่งยืนและจริงใจกว่า
3. การสร้างความกดดันนานารูปแบบ
ข้ออ้าง(ของมิจฉาฯ) - เพื่อให้น้องเกิดการรวมตัวกัน เรียกว่ามีทุกข์ร่วมกันก็จะทำให้เกิดความรักความสามัคคีอย่างแท้จริง และแสดงตัวตนของแต่ละคนออกมา อีกทั้งเพื่อเป็นการเตรียมตัวเพราะเมื่ออกไปทำงานก็จะเจอความทุกข์ความกดดันที่มากกว่านี้
แย้ง - คนเรามีความทุกข์เสมออยู่แล้วมึงไม่ต้องเอามาให้กูหรอก การสร้างความกดดันหรือสถานการณ์ต่างๆ เป็นเพียง "ละคร" ไม่ใช่ความทุกข์ที่จริงที่ต้องเผชิญ และอาจไม่ตรงกับความทุกข์จริงๆที่จะเกิดขึ้นก็ได้ เพราะไอ้คนสร้างสถานการณ์ก็ยังไม่ได้ไปสัมผัสความทุกข์ความกดดันนั้น(เพราะมันยังเรียนอยู่เหมือนกัน) ส่วนหากเกิดจากคนที่ไปทำงานแล้ว ก็ตอบตัวเองได้ว่ามันคนละแบบ อีกอย่างมนุษย์ทีทางเลือกที่จะทำงานต่างๆกัน ไม่จำเป็นต้องเจอแบบเดียวกัน ในเรื่องการเตรียมตัวจึงนับว่าไม่มีเหตุผล
ส่วนการเกิดความรักความสามัคคี ข้อนี้ไม่มีเครื่องพิสูจน์ใดๆว่ามีความรักความสามัคคีเกิดขึ้นจริงๆ เพราะความรักความสามัคคีไม่มีหน่วยชี้วัด เพราะวันเป็นเรื่องของจิตใจ หากอ้างว่าอาจดูได้จากสิง่ที่เห็น เช่นการกระทำบางอย่างร่วมกัน หรืออารมณ์ร่วมในขณะนั้นๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสรุปว่าเกิดความสามัคคี อาจเป็นเพราะสภาพการณ์ในขณะนั้นๆ สภาวะอารมณ์ หรืออื่นๆก็เป็นได้ อีกอย่างงความสามัคคี ไม่อาจสร้างได้ในระยะเวลาสั้นๆ ไอ้ที่เกิดขึ้นน่าจะเรียกว่า "อารมณ์ร่วมที่บ้าคลั่ง" มากกว่าเพราะในที่สุดมันจาหายไป ควาสมมัคคีที่ยั่งยืน เกิดจากจิตใจที่มองเห็นประโยชน์และโทษร่วมกันของทุกคน ไม่อาจมีได้จริงๆด้วยการบิ้วท์ และการแสดงตัวตนออกมาก็ไม่มีเครื่องชี้วัดเช่นกันว่าที่แสดงออกมาเป็นตัวตนจริงๆหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ย่อมต้องอาศัยระยะเวลาอีกที
ขอเสนอ - ในเมื่อเรามีสิทธิสงสัยประสิทธิภาพของรูปแบบการกดดัน ทำไมเราไม่ไปหารูปแบบอื่นๆที่สร้างสรรค์ที่จะดึงเอาศักยภาพ ออกมา ไม่ใช่สร้างมโนภาพ หรืออารมณ์ร่วมอย่างทันทีทันใด เพราะมันไม่ยั่งยืนเลย
3.การอ้างประเพณี
ข้ออ้าง - ทำกันมานานแล้วเป็นประเพณีที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ทำสืบๆกันมาจะไปทำลายได้ไง
แย้ง - ประเพณี จะต้องมีคุณสมบัติ อันหนึ่งคือ ทำมานาน แต่การอ้างว่าทำมานานมันเลยดีนั้น ไม่มีเหตุผลรองรับย เพราะหากอ้างว่าทำมานานหรือทำสืบต่อกันมามันจึงดี ควรทำ การปล้นฆ่า ข่มขืน ก็มีมานานรแถมทำกันมาตลอดอารยธรรมมนุษย์ อันนี้ก็น่าส่งเสริมดิ่ ควรทำอ่ะดิ่
ข้อเสนอ -ข้ออ้างนี้ไม่มีเหตุผลโดยสิ้นเชิง เราอาจยืมเอาประเพณีที่เราไตร่ตรองวแล้วว่ามีเหตุผล เช่นจากสังคมอันใหญ่กว่ามาปรับปรุงปฏิบัติ และไม่ควรยึดมั่นอย่างตายตัวเกินไป..
ข้อสรุปและข้อเสนออื่นๆ
1.การรับน้องแบบกดขี่นั้นอยู่บนฐานคิด ที่เห็นมนุษย์ผู้อื่น ต่ำกว่า ด้อยเดียงสากว่า ไม่เท่ากัน มันควรหรือที่จะเห็นคนอื่นเป็นแบบนั้น
2.ในสังคมเน้นความคิดสร้างสรรค์ น่าตลกที่นักศึกษา ไม่อาจแม้แต่จะแสวงหารูปแบบใหม่ๆในการรับน้องให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มัวเอาสมองไปจมจิ๋มอยู่ ดังนั้นไม่ต้องโต้แย้งในเรื่องเนื้อหาสาระเลย รูปแบบยังแก้กันไม่ได้ รูปแบบที่ไร้เนื้อหาสาระควรดำรงวไว้หรือไม่
3.ความสุขสงบสันติ ความรัก ไม่อาจเกิดขึ้นด้วยความรุนแรง ความสุขสงบ ความรัก ความดี ต้องเป็นทั้งเป้าหมายนและหนทาง
4.เอาความรักเป็นที่ตั้งเมจจราเป็นที่ตั้ง เห้นน้องเป็นเพื่อนใหม่ เป็นคนที่เข้ามาพร้อมความไหวหวั่นความลังเลสับสน พิจารณาความต้องการในใจของเค้าให้ถี่ถ้วน ถ้าอย่างนี้สังคมที่มีความรักเมตตาต่อกันจะเกิดได้จริง
5.พี่บางคนมารับน้องเสมอ มีหลายเจตนา บางคนเจตนาดี แต่บางคนอ้างว่าเจตนาดี จริงแล้ว การรับน้องอาจเป็นที่เดียวที่เค้าอาจใช้อำนาจได้เต็มที่ เป็นความจริงเสมือน เป็นมายาภาพ เพราะในโลกแห่งความจริง คนเหล่านี้พ่ายแพ้และไร้อำนาจ จึงโหยหาการรับน้องเสมอ คนที่จัดการรับน้องต้องพยายามมองให้เห็นเจตตนาที่ซ้อนอยู่และคอยระแวดระวัง
เชิญอภิปราย
Create Date : 17 มิถุนายน 2550 |
|
26 comments |
Last Update : 17 มิถุนายน 2550 13:58:56 น. |
Counter : 843 Pageviews. |
|
|
|