Group Blog
 
<<
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 มีนาคม 2550
 
All Blogs
 
อาการจิตตก และ Tag แบบโหด ๆ ถ่อย ๆ

ช่วงที่บล็อกหายไป ผมเองเป็นภาวะจิตตกครับ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี อยู่ดี ๆ ก็อยากร้องไห้เสียงั้น สงสัยความโหดร้ายต่าง ๆ ของชีวิตมันจะเขม็งเกลียวในวันนั้น

ตอนกลางวันยังดี ๆ อยู่เลย มาตอนเย็นนั่งรอรถเมล์อยู่หน้าสยาม เกิดอาการแปลกแยกต่อโลกเสียอย่างนั้น รู้สึกว่าที่นี้มันไม่ใช่ที่ของฉันแม้แต่น้อย

ผมไปโพสต์ในเวบรุ่นด้วยปัจจัยหนึ่ง (ที่คิดว่า) เป็นเหตุให้เกิดอาการจิตตก คือ เรื่องหางาน แต่คิดไปคิดมาเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าสงสัยมึงจะเหงาจัด รีบหาแฟนเสียเถิด

คงจะใช่ละมั้งครับ

ไม่รู้จะอัพอะไรเหมือนกัน เขียนไปเรื่อย หน้าบล็อกที่เคยลงบล็อกไว้มันหาย ก็เอาของที่เคยโพสต์ไว้มาให้อ่าน โหดเถื่อนถ่อยมาก เพราะก็อปมาจากเวบรุ่นไม่มีการปรับเปลี่ยนภาษาเลย

อ่านเอามันละกันนะ

ป.ล. สำหรับแฟนเพลงของSiam Secret Service รออ่านบทสัมภาษณ์ ภากร มุสิกบุญเลิศ หรือ คุณบีม โดยผมสัมภาษณ์เอง ได้ที่นี้เร็ว ๆ นี้นะครับ

ป.ล.2 วันที่ผมจิตตก ไม่น่าเชื่อนะครับว่าจะหายได้ด้วยการไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน นั่งเม้าท์ฮา ๆ ฮาร์ดคอร์กัน และสิ่งสำคัญคือการได้ฟังเพลง Shine ของ Take That ครับ

หายเลย ไม่น่าเชื่อ


Create Date : 14 มีนาคม 2550
Last Update : 14 มีนาคม 2550 22:05:59 น. 26 comments
Counter : 633 Pageviews.

 




เรื่องที่ 6 The Court Manager

กูเป็นคนอ้วนที่ชอบเล่นกีฬามาก ซึ่งอาจจะขัดกับการรับรู้เกี่ยวกับคนอ้วนทั่วไปที่พวกมึงรับรู้ กูคิดเอาว่านอกจากป๊อก อีกอล์ฟ ซึ่งเป็นพวกนักกีฬามหาลัยแล้ว สมัย ป.ตรี กูคงเป็นคนที่ออกกำลังกายมากที่สุด (แต่ห้ามถามน่ะว่าทำไมถึงไม่ผอม)

ทุก ๆ เย็นเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนว่าหาตัวดองได้ไม่ยากนอกจากสนามบาส ใครมีกิจธุระอะไรไม่นัดก่อนอย่าฝันเลยว่ากูจะไป เหตุผลเดียวคือ กูจะเล่นบาส การได้ออกกำลังกายเป็นการผ่อนคลายอย่างดีเลิศ ยิ่งกีฬาบาสที่เป็นแหล่งรวมคนปากหมาด้วยแล้ว สนุกสนานเฮฮาดั่งหมู่สัตว์ป่ารวมฝูง คำหยาบด่าพ่อล่อแม่ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจะมีการคิดคำด่าใหม่ ๆ ออกมาเสมอ อาทิเช่น

“มึงมีหัวไว้กั้นหูหรอ” เอาไว้ด่าพวกเล่นบาสโง่ ๆ ว่ามีหัวไว้แค่กั้นหูสองข้างออกจากกั้น ไม่ใช่เอาไว้ใส่สมอง เป็นต้น

ยิ่งเวลาสาว ๆ เดินผ่านหรือเข้ามาในสนามบาส รับรองมีได้โห่ฮาแน่ (ถ้าใครไม่เจอนี้ต้องพิจารณาตัวเองมาก ๆ ว่าหน้าตาอุบาทว์) กูพอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า พริกกับเชอรี่เคยเดินเข้าไปในสนามครั้งสองครั้ง กูละกลัวเพื่อนกูเจอความปากหมาจริง ๆ

ในสนามบาสมีระบบ Seniority แบบไม่ต้องบอกกล่าวฝังอยู่ เด็ก ๆ มาต้องไหว้พี่ พี่ ๆ ดูแลน้อง ดังนั้นมันจึงรู้จักกันเกือบทั้งสนาม เฮฮาปาร์ตี้แดกเหล้ากันทุกวัน

กูเองก็เริ่มจากการเป็นน้องค่อยไต่เต้ามาจนเป็นพี่เบิ้มในสนาม เด็กไหนมาใหม่ต้องมาทำความรู้จักกันเสียก่อน แม้กูจะเล่นบาสไม่เก่งนักแต่ด้วยความที่กูเป็นคนไม่ค่อยเปรี้ยวตีนกับใครและเล่นบาสด้วยความทุ่มเทเสมอ เลยทำให้พี่ ๆ รักใคร่ ๆ น้อง ๆ นับถือ กูเลยได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการสนามบาสโดยปริยาย หน้าที่ของการเป็นผู้จัดการสนามบาสก็คือ

เปิดไฟสนามตอนจะมืด ถ้าตู้ไฟล็อคกุญแจ ก็เป็นคนวิ่งไปตามเจ้าหน้าที่มาไข

- กวาดสนามบาสยามฝนตก (อันนี้ทำใจได้)

- กวาดเศษแก้วยามมีตัวเหี้ยมาแดกเหล้าสนามบาส (อันนี้แช่งมันเจอเศษแก้วตัดจู๋ขาด)

- ขูดเอาเศษเทียนที่บรรดาชายหนุ่มมาจุดเทียนเป็นรูปหัวใจบอกรักสาวหอหกหญิง (อันนี้แช่งแม่งตายเลย เพราะเทียนเหล่านี้วิ่ง ๆ ไปก็เท่ากับว่าขัดไปในตัว ดังนั้นจะลื่นมาก)

ดึก ๆ สมมติสักห้าทุ่ม ยังเห็นมีเด็กเล่นบาสอยู่ ก็ต้องขี่มอเตอร์ไซค์มาบอกมันว่า น้องครับ เลิกเล่นได้แล้วครับ จะปิดไฟแล้ว หรือถ้าใจดีก็บอกน้องครับเล่นเสร็จแล้วปิดไฟด้วยนะ ล่าสุดปลายปีที่แล้วเจอแม่งฟิตมาเล่นกันตอนตีหนึ่ง กูไปเล่าให้ใครฟังมีแต่บอกว่าเจอผีหรือเปล่า

ส่วนหน้าที่ที่ไม่อยากทำเลย แต่ต้องทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนช่วง บาส freshy คือการห้ามมวย กูใช้ความรุนแรงในการห้ามมวย ทั้งด่า ตะโกน ว้ากใส่ (แต่ไม่ต้องออกแรงเพราะมีคนช่วยอยู่แล้ว) จนคนแถวนั้นนึกว่ากูเองเสียอีกที่มีเรื่อง 555

ความยิ่งใหญ่ของกูในฐานะผู้จัดการสนามบาสถึงขนาดที่ว่า ใครจะมาใช้สนาม ปกติมันต้องไปบอกชมรมบาส (ซึ่งกูขอบอกว่าชมรมบาส มช. เหี้ยมาก และผู้คนในสนามบาสเกือบทั้งหมดไม่ได้อยู่ชมรมนี้) เพื่อขอใช้สนาม แต่เป็นการรู้กันภายในว่าบอกไปก็เท่านั้น ทุกคนก็เลยมาบอกกู อย่างคณะนี้จะขอซ้อมวันนี้เท่านี้ มาบอกกู กูแบ่งให้ เวลาเท่านี้ถึงเท่านั้นน่ะ คณะอื่นจะได้ใช้บ้าง อ้าวซ้อมด้วยกันได้ไหม อะไรว่าไป ขนาดวิศวะยังต้องอ้อนวอนกู

มีแข่งกีฬาในมอ. เด็กมหาลัยอื่นจะมาซ้อม กูเข้าไปเคลียร์ ชวนเขาเล่น ทำทุกอย่าง กูไม่ทำ พวกแก่กว่ากูก็ตะโกนมาให้กูไปจัดการ พักหลังมีถึงขั้นมีถนนคนเดินในมอ. มาแอบลักใช้ไฟสนามบาส พวกแก่ ๆ เลยให้กูไปเคลียร์ซะงั้น (อะไรจะขนาดนั้นว่ะนี้)

ใครเคยไปดูกูแข่งบาสหรือคุมแข่งบาส (ซึ่งคงมีแต่ดีบุกที่เคยไป) คงจะคุ้นตาดีว่าโค้ชบาสคณะมนุษย์นี้ฮาร์ดคอร์มาก ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสั่งและกระตุ้นลูกทีมตลอดเวลา เล่นไม่ดีด่าแรงเสียจนกรรมการสยอง ยิ่งตอนคุมทีมน้อง ๆ ไปแข่งนี้สุดยอดแห่งความฮาร์ดคอร์จนเอารองแชมป์มาครองได้

ทุกวันนี้กูกลับไป สถานะก็ยังคงเดิมนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยมีปัญหาอะไรยกเว้นจะต่อยกับโค้ชบาส มช. (ชื่อเหี้ยแป๊ะ เหี้ยมาก ๆ) เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่กูกลับไปเชียงใหม่แล้วยังเหลือคนรู้จักอยู่มากมาย

แถมกลับไปยังเป็นเด็กน้อย เพราะรุ่นเด็กที่สุดในสนามเท่าที่ยังมาเล่นอยู่คือรหัส 44 คิดดูเองละกันว่าแม่งแก่กันขนาดไหน


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:17:59:55 น.  

 
เรื่องที่ 7 My Life Without Her

ใครก็รู้ว่ากูรักสาวแอคบา ใคร ๆ ก็รู้ว่าสาวแอคบาคนนั้นชื่อแอม และใคร ๆ ก็รู้ว่ากูป๊อดขนาดไหน

กูสารภาพตามตรงว่าทุกวันนี้ถ้าเจอ แค่มองหน้ากูยังไม่กล้าเลย เหตุใดก็คงยากจะอธิบายเพราะตัวกูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

กูเจอน้องแอมครั้งแรกใต้หอ 1 หญิง เหตุด้วยว่าทุกเย็นกูต้องไปหาน้องจังหวัดเพื่อผู้คุยและดูแลเป็นประจำ เพราะเหมือนเป็นธรรมเนียมของจังหวัดพิษณุโลกที่พี่ ๆ คอยไปนั่งดูแลน้อง ๆ ที่ซุ้ม เย็นวันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนมาก กูเลิกเล่นบาสพร้อมเหงื่อโซมกาย ขี่มอเตอร์ไซค์คันเดิมที่พวกมึงคุ้นเคยเข้ามาจอดเทียบหน้าหอ กูเดินเข้าไปเหมือนเย็นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเย็นวันอื่น ๆ นัก

กูนั่งโต๊ะเดิม คุยกับน้องคนเดิม ๆ ด้วยบทสนทนาใหม่ ๆ สายตากูมองไกลไปเรื่อยตามภาษาพวกสมาธิสั้น พลันสายตากูก็ไปเจอเข้ากับน้องเสื้อแดงคนหนึ่งหน้าตาหมวย ๆ น่ารักดี แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ประทับใจถึงทุกวันนี้คือความร่าเริงและรอยยิ้มของเธอ

ค่ำนั้นกูแอบมองเธออยู่นานสองนาน แต่เพียงไม่นานเหมือนพระเจ้าจะอวยพรและเป็นใจให้กับความรักครั้งนี้ด้วยการลิขิตชะตาให้เพื่อนเธอตะโกนเรียกจากข้างหอ เพียงแค่นั้นกูก็รู้ว่าน้องเขาชื่ออะไร

พลันวันต่อมา กลางโรงอาหาร อ.มช. กูก็ได้รับรู้ว่าน้องเขาอยู่คณะไหน รหัสอะไร จากป้ายชื่อที่เธอแขวนมาพร้อมกับหนังสือกองโตในอ้อมแขน ขณะนั้นกูเฉย ๆ เพียงแค่คิดว่าน้องคนนี้น่ารักดี แต่เวลาผ่านไปไม่นาน ยิ่งได้เจอยิ่งหลงกันเข้าไปใหญ่ หลงขนาดที่ว่าเพียงเห็นหน้าสติก็พลันหลุดออกจากตัว

มีอยู่ครั้งหนึ่ง แก๊งชายทมิฬแห่ง 43 แดกข้าวกันอยู่ ณ โต๊ะท้ายสุดที่ประจำ กูเห็นแต่ไกลว่าน้องแอมเดินเข้ามา เมื่อชักเข้ามาในระยะประชิดกูพลันปัดแก้วน้ำที่วางอยู่หกกระจายทั่วโต๊ะ สายตากูจับจ้องมองไม่หลุดออกจากจุดโฟกัส น้ำค่อย ๆ ไหลรินหยดลงบนตัวกู เสียงทั้งโลกนิ่งเงียบ ไม่มีใครอยู่รอบกาย ทั้งโลกมีเพียงเธอที่เดินผ่านไป ก่อนที่เสียงใครหลายคนจะตะโกนลั่นให้ได้ยินว่า เฮ้ย เหี้ยดอง น้ำตก ถอยก่อนสัตว์ อะไรจะเป็นไปได้ถึงขั้นนี้

หกปีต่อมา ในวันที่บอกกูบอกรักเธอ อดีตอันแสนเศร้าย้อนกลับคืนมาให้ได้คิดถึงอีกครั้ง กูยังจำครั้งแรกที่กูคิดจะบอกรักน้องเขาได้ ฉากหลังยังคงเป็นที่ อ.มช. วันวาเลนไทน์ปี 45 หนังสือทำมือของไอ้ต๊อบ เพื่อนชาวมนุษย์ไทยสั่นระริกตามแรงเต้นของหัวใจ กูคิดอยากมอบหนังสือเล่มนั้นให้เธอ มันอาจจะไม่มีค่าอะไรมากนักทางราคา แต่เป็นสิ่งที่แสนล้ำค่าจากใจของเพื่อนผู้ประเสริฐ กูเขียนความในใจถึงเธอยาวหนึ่งหน้ากระดาษท้ายสุดของเล่ม บอกทุกความรู้สึกที่อยากให้เธอรับรู้ บอกทุกความรักที่ออกมาจากหัวใจ กูเห็นเธอเดินมาแต่กล้า สมองเริ่มตัดสินใจว่าทำหรือไม่ทำ ทำหรือไม่ทำ ทำหรือไม่ทำ ทำหรือไม่ทำ ทำหรือไม่ทำ ซ้ำวนเป็นวัฐจักรอันแสนกลุ้ม กูก้มหน้าคิดอย่างซีเรียสยิ่งกว่าสอบไฟนอลไทยซอค

ผลการกระทำครั้งนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเป็นเช่นไร ถ้าได้ทำวันนั้นอาจไม่ต้องรอถึงหกปีต่อมา

เธอเดินผ่านไป หนังสือยังคงสั่นระริกในมือกูอย่างเซ็งอารมณ์


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:00:23 น.  

 
เรื่องที่ 8 The melancholy and the infinite sadness

เพื่อนหลายคนไม่รู้ว่ากูดูดบุหรี่ (แต่กูไม่กินเหล้าน่ะ ย้ำจริง ๆ ว่าไม่กินเหล้า) ตอนนี้ก็เจอปราฌามจากอีตุลอยู่หลายครั้งว่า อ้วนแล้วยังเสือกดูดบุหรี่อีก แถมยังสันดานเหี้ยไถชาวบ้านเขาสูบประจำ ไม่เคยซื้อเอง อยู่เชียงใหม่ไปลานกรวด อยู่ร้านกาแฟโสดก็ไถดีบุก อยู่กรุงเทพฯ นี้ถ้าไม่เจอเพื่อนไม่เคยดูด

ก็บอกแล้วว่าไม่เคยซื้อเอง (ดีบุกคงเตรียมบทสนทนาไว้ด่ากูล่ะ)

กูดูดบุหรี่ครั้งแรกตอนไปห้องพี่เต้ สมัยปีสอง คืนนั้นอยากไปสังสรรค์กัน เลยเลือกหอพี่เต้เพราะมันมีดาดฟ้า นานขนาดไหนก็ลองคิดดูว่าตอนนั้นอีตุลยังเป็นกินเหล้าอยู่และพี่เต้ก็เป็นคนดีของน้อง ๆ ก๊กชายทมิฬแห่ง 43 (ชื่อนี้มาได้ไงไม่รู้ กูตั้งไปเรื่อย) อันได้แก่ กู พี่ปิ่น ต้าร์ ตุล พี่เต้ แน๊ค (ไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นี้เกิดตอนปีหนึ่งเทอมสองหรือปีสองกันแน่ เลยจำไม่ได้ว่ามีนัทหรือเปล่า) ก็ซื้อเหล้าซื้อเบียร์ไปกินกัน แถมด้วยไอเดียของใครบางคนที่ว่าเอาบุหรี่ด้วยเปล่า

คืนนั้นก็กินกันไป ร้องเพลงกันไป เม้าท์กันไป สักพักพี่ปิ่นชักอยากโชว์ทักษะการเป็นเด็กวิศวะมาก่อน โดยการดูดบุหรี่แล้วอมควันพ่นใส่หน้าน้อง ๆ ในห้องว้าก หลังจากนั้นก็เริ่มดูดกันรายตัวโดยเหี้ยพี่เต้เป็นตัวเริ่มต้น จนมาถึงกู กูก็อยากรู้แหละว่ามันเป็นอย่างไร ก็เลยลอง

ก็ไม่เห็นเป็นไรนี้หว่า ไม่เห็นไออะไรสักอย่าง (มารู้ความจริงตอนดูดเป็นแล้วก็คือไอ้ที่ทำตอนแรกคือแค่อม ๆ เป่า ๆ เฉย ๆ)

ด้วยความอยากรู้อีก ตอนมาอยู่ธารทิพย์ เมทกูดูดบุหรี่อยู่แล้ว กิ่ง อ้อ เลข ก็เคยถามว่าห้องกูใครดูดบุหรี่ กูก็บอกว่าไม่รู้ เพราะกูไม่เคยเห็นเมทกูดูดบุหรี่กับตา จนมาวันหนึ่ง กูก็อยากลองโดยซื้อบุหรี่จากใต้หอมาลองดู คราวนี้ละครับพี่น้อง ไอจามกันเป็นว่าเล่น

ความซวยบังเกิดขึ้นเมื่อคุณกิ่งที่อยู่ห้องติดกันออกมานอกชานพอดี ก็เลยได้เห็นกูพอดี กลายเป็นว่าไอ้ที่ดูดบุหรี่มาตลอดกลายเป็นดองเสียนั้น ทั้ง ๆ ที่ความจริงครั้งแรกที่ธารทิพย์เลยจ้า

แต่นั้นมากูก็ไม่เคยดูดอีกเลย ถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เข้ามาในชีวิต

กูเห็นภาพบาดตาบาดใจ โปรกูซบไหล่ผู้ชาย เหตุการณ์วันนั้นเกิดในวันเปิดหอห้าชาย กูกำลังจะย้ายมาเข้าหอพอดี หาข้าวกินที่ไหนก็ไม่มี หอในก็ปิด อ.มช.ก็ทำการล้างอยู่ เลยกลับมากินที่คุ้นเคยคือหอหนึ่งของข้าวแต๋นนั้นเอง

สักสิบเอ็ดโมงกว่า กูมองหาคนรู้จักไม่เจอเลยสักคน กูก็นั่งไปเรื่อย สักพักก็เห็นแอมและเมท พร้อมด้วยผู้ชายอีกสองคน เดินมานั่งคุยที่โต๊ะม้าหินอ่อนข้าง ๆ ด้วยความอยากรู้กูก็นั่งไปเรื่อย ทำเป็นมองไปที่อื่นแต่ความจริงอยากเสือก ก็นั่ง ๆ ไปสักพัก ก็เห็นเธอสนิทแนบชิดกับชายคนนั้นเหลือเกิน อ้าวสักพักมีซบไหล่ด้วยโว้ย

กูไม่อยากเชื่อสายตา แผนการณ์ที่คิดจะทำจบสิ้น ทั้งสี่คนเดินเข้าไปในโรงอาหาร กูในฐานะพวกชอบเห็นภาพบาดตาบาดใจก็เดินตามเข้าไป ทำทีกินข้าว เป็นอันโชคดีว่าเจอคนรู้จักเลยมีเวลานั่งพิจารณาปลงชีวิตนานหน่อย สักพักภาพปาดตาชุดที่สองก็มา อ้าว ซื้อหมี่พันมากินด้วยกันแถมกินอย่างมีความสุขอีก กูภาวนาในใจว่าอย่าให้เหมือนหนังฝรั่งที่แดกสปาเกตตี้แล้วท้ายที่สุดจบลงด้วยการดูดปาก

กูกลับหอห้าชายด้วยภาวะจิตใจที่ขุ่นมัว ใครเปิดหอสนุกเท่าไรกูไม่สน กูกลับเข้าห้องอย่างเงียบ ๆ นอนนั่งอยู่บนเตียงชั้นล่าง ในใจคิดว่าวันต่อ ๆ ไปกูจะทำอย่างไรกับชีวิตดี (ซึ่งคนอกหักคงเคยเป็น แต่อันนี้ทุเรศกว่าคืออกหักเพราะรักข้างเดียว)

สัปดาห์นั้นกูนิ่งเงียบ ในสนามบาสปกติที่ปากหมาและเสียงดังมากก็กลายเป็นสงบปากสงบคำ เข้าเมเจอร์ก็นั่งเงียบ ๆ ไม่คุยสุงสิงกับใคร เรียนเสร็จกลับหอไม่อยากเจอหน้า กูตัดสินใจทำเหี้ยโดยการไปซื้อบุหรี่มาสองตัวนั่งดูดอย่างทุกข์ทรมานอากาศร้อนหลังห้อง ดูดไปไอไป มันมีดีตรงไหน แต่ก็ทำไปเพราะคิดว่ามันช่วยทำให้ใจสบายได้ (ซึ่งมันก็ช่วยได้ถ้ามึงดูดเป็น อันนี้ดีบุก กู เหี้ยต้าร์ เจ๊ตูน อียุ้ย เหี้ยกร อีบี ฯลฯ ยืนยันได้)

นับแต่นั้นมาก็ชักดูดบุหรี่เป็นและทำใจได้กับภาพที่ผู้หญิงแมสคอมทั้งรุ่นพี่ รุ่นตัวเอง รุ่นน้อง ดูดบุหรี่กัน เหมือนดั่งเป็นเรื่องธรรมดา ๆ

เฮ้อ อกหักมันไม่ดีแบบนี้นี้เอง


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:00:43 น.  

 



เรื่องที่ 9 Once upon a time when I betrayed my friend

ความฝันสูงสุดของพวกผู้ชายสมัยปีหนึ่งคือการได้เรียนกับโปร (ซึ่งในความเป็นจริงกูคิดว่าทุกคนคงอยากเรียนกับโปรทั้งสิ้น) แม้ทุกวันนี้ก็ยังอยากเรียนกับโปรอยู่ ด้วยอาจคิดว่าการได้เรียนเซคเดียวกันจะนำไปสู่การทำความรู้จัก ต่อยอดไปสู่การเดท จนในที่สุดก็เป็นแฟน

กูเคยพิสูจน์แล้วว่าแนวคิดนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากใจมันป๊อด เหตุด้วยกูเคยเรียนวิชา marketing เซคเดียวกับน้องแอมตอนปีสามเทอมสอง มีอีตุลและน้องป๊อก แอคบา (ไอ้เหี้ยน้องโฆษวิสที่เล่นละครช่องสามคืนวันพุธพฤหัสบดีชื่อเรื่องอะไรจำไม่ได้) เป็นพยานรัก คืนไหนที่เรียนมาร์เกต อุ้มจะเข้ามาถามเสมอว่าวันนี้ได้คุยกับน้องเขาหรือยัง แล้วก็จะกลั่นแกล้งกูสารพัดด้วยคำพูดแทงใจดำเรื่องน้องแอม โดยมีเจ๊หนุยนั่งขำอยู่เตียงล่าง

คิดถึงวันเก่า ๆ แบบนั้นจริง ๆ

แต่เรื่องที่กูจะเล่าต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับแอม แต่เกี่ยวกับคนที่ชื่อว่า “ปุ๊ก” ถ้าสมมติทำการ vox – pop หาหญิงสาวในมอ.ที่คุณคิดว่าน่ารักเป็นที่สุด (น่ารักไม่ใช่น่าXXX ซึ่งคำตอบของอันหลังอาจไม่ตรงกับอันแรก) คำตอบเกือบทั้งหมดที่ได้มาจากชายแท้แมสคอม 43 ต้องเป็นปุ๊กแน่

สำหรับใครที่ไม่รู้จักปุ๊ก ก็ขอแนะนำก่อน ปุ๊กเป็นเด็กแพทย์ ดีกรีความน่ารักทำเอาเด็กปีหนึ่งทั้ง มช. รหัส 43 แทบคลั่งและแย่งชิงกันให้ได้เป็นเจ้าของ เพื่อนชายรุ่นเราทุกคนเคยคร่ำครวญถึงปุ๊กมาหมดแล้วไม่ว่าจะเป็น กู ชิน ตุล ต้าร์ ชิต พี่เต้ กร พี่ปิ่น (สมัยอย่างว่า) วี ดีบุก ป๊อก ฯลฯ มากน้อยต่างกันออกไป บางคนอาจเวอร์ บางคนอาจแค่คร่ำครวญพอเป็นพิธี บ้างก็แค่รู้จัก เว้นไว้คนคือแน๊ค ที่บังอาจไปรู้จักแล้วไม่เคยบอกกล่าวเพื่อนสักคำ แถมยังมีหน้าพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเย้ยบรรดาพวกม่ออีก

เอาเป็นว่าไอ้พวกที่บอกชื่อมาต่างมีรูปปุ๊กตอนสปอร์ตเดย์กับขึ้นดอยอย่างน้อยรูปสองรูปน่ะ (หรือไม่มีกูขออภัย) และคลั่งกันขนาดที่ว่าเปิดหอแม่งจะขึ้นไปดูห้องเขา แม้ได้เห็นแค่ประตูก็ยังดี เป็นกันเอามากจริง ๆ

กูจำไม่ได้ว่าครั้งแรกที่กูเจอปุ๊กคือที่ไหน แต่คุ้นหน้าจากรูปที่พี่เต้เก็บได้ (โชคดีฉิบหาย) เอาที่เจอจริง ๆ เลยคือระหว่างทางเดินใต้ซุ้มหลัง RB5 กู วี และแน๊ค เดินจากห้องไทยซอคมาเรียนอิงค์ วันนั้นมาเรียนช้าผิดปกติ ระหว่างที่เดินผ่านก็สวนกับเธอ รอยยิ้มละไมบาดใจซัดสาดทำเอาละอ่อนสามตัวหัวใจแทบหลุดออกมาเต้นข้างนอก กูคิดจะบอกกับแน๊คและวี ว่า เฮ้ยนั้นเพื่อนมึงไม่ใช่หรอ (ไปเรื่อยล่ะ) แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น แน๊คคร่ำครวญว่า ไอ้เหี้ยฆ่ากูดีกว่า ทำไมต้องส่งกูมาเกิดด้วย ตามสไตล์มัน

โอ้ว ยิ้มสลายใจ ช่างรุ่นแรงไร้ทางต้านดั่งศรรักขององค์พระมันมถะ

อารัมภบทมานาน เข้าเรื่องก่อน เด็กแพทย์มันมีตัวบังคับให้มาเรียนนอกคณะหนึ่งหรือสองตัวนี้แหละ เขาก็มักมาหาตัวง่าย ๆ (แต่ยากสำหรับเรา) เช่นประวัติศาสตร์ลาตินอเมริกา อะไรแบบนี้เป็นตัวฟรี กูก็หวังล่ะ เหี้ยได้รู้จักแน่ ดูสิเขาเรียนตัวไหน

กูก็เข้าไปดูในสำนักทะเบียน มันดูได้นี้แค่มีรหัสนักศึกษา ด้วยความโรคจิตของกูสืบได้หมด (เป็นอาชีพที่อีฟ้าเคยคิดทำตอนปีหนึ่ง) อิอิ ได้มาแล้วรหัส 4307180 ก็คีย์ไปดู อ้าว ไอ้เหี้ยเรียน Home Management ของ HC โอ้ว!!! เสร็จกู

กูก็รีบเคลียร์ตัวเองเลย โอ้ว!!! วิชานี้เรียนบ่ายโมง หลบวิชาไหนดีว่ะ คิดไปคิดมาเอาตัวนี้ดีกว่า

ตัวที่ว่าคือ com 100 พวกมึงคงสงสัยว่ามีเรียนด้วยหรือ วิชาอะไรพวกนี้ ถ้ามึงยังจำกันได้ วิชานี้เป็นตัวเลือกระหว่าง math 100 กับ com 100 ว่าจะเรียนอะไร กูคุยกับแน๊คว่า เฮ้ยกูเคยเรียนเขียนโปรแกรมด้วย Foxpro กับ Pascal เรียนแบบนี้สบายมาก ไปเรียนกันดีกว่า แม้จะเป็นวิทย์ล้มเหลวก็เถอะ (ล้มเหลวขนาดไหน เมื่อวานนี้ไปแดกไดโดม่อนมา เงิน 376 บาท คิดตั้งนานว่ามันหารสองได้เท่าไร โง่ม่ะ) ก็เลยสรุปกันว่าเออ กูไปเรียนกับมึงดีกว่า เรียนกันสองคน

แต่แล้วกูก็ทรยศเหี้ยแน๊ค โดยการดรอปเสียแล้วมาแอด Home management แทน ประกาศผลออกมา เฮ้ยได้ด้วยโว้ย ชื่อปุ๊กก็ยังอยู่ เสร็จละมึงคราวนี้เสร็จมึง อยู่บ้านดี ๆ ไม่ชอบเสือกมาเรียนกับกูคราวนี้เสร็จละมึง เหี้ยตุลอิจฉาตาร้อนแน่

แต่ที่ไหนได้ กรรมตามสนองเร็วมาก แค่ไม่เช็คตารางลงทะเบียนวันเดียว ปุ๊กก็จัดการดรอปไปเรียนวิชาเกี่ยวกับอาหาร เวลาสิบเอ็ดโมงแทน กูจะมูฟก็ไม่ได้เพราะตรงกับเรียนแมนแอนโม อ้าว ฉิบหายเลย คาบแรกที่กูเข้าไปเรียน กูพยายามมองหาปุ๊ก ไหนว่ะปุ๊ก กูไม่เห็นสักคน คาบแรกไม่มาเรียนมั้ง เฮ้ยมีเด็กแพทย์คนหนึ่งว่ะ อาจารย์ติ๊กคนสอนก็บอกว่า อ้าว เด็กแพทย์ยังมาเรียนอีกหรอค่ะเพื่อนดรอปไปหมดแล้วน่ะค่ะ แค่นั้นแหละความหวังของกูพังทลาย

สุดท้ายกูเลยกลายเป็นเด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียวที่เรียนในห้องนั้น เรียนอย่างเหวอละครับพี่น้อง ฝันเผินพังทลายหมด ไม่น่าเลยกู กรรมตามสนองไวจริง ๆ

ป.ล. แน๊ค กูขอโทษที่ทรยศให้มึงผจญกับการเขียนโปรแกรมคนเดียวว่ะ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:01:46 น.  

 
เรื่องที่ 10 The Last Day

เรื่องสุดท้ายนี้คิดว่าหลายคนน่าจะได้เคยอ่านไปบ้างแล้วในบล็อกของกู แต่กูคิดว่านี้คือสิ่งที่กูประทับใจที่สุดในชีวิต ป.ตรีของกูละ เลยอยากเล่าให้ฟัง

อัลสไตน์เปรียบเทียบทฤษฎีสัมพัทธภาพไว้ให้เข้าใจง่ายว่า เวลาเพียงหนึ่งนาทีของคนเราไม่เท่ากัน ยามมีสุขเวลาช่างเร็วหาย แต่ยามใดทุกข์กลับเนิ่นนานแสนทรมาน บางเหตุการณ์หนึ่งสำหรับคนบางคนอาจจะทั้งเร็วและช้าผสมกันไป สี่ปีที่เราเรียนร่วมกันมาผ่านมาและผ่านไปอย่างรวดเร็ว สำหรับกู มันคือเวลาอันแสนสุขเหลือเกิน

กูอยู่หอในตลอดร่วมสี่ปี มีแวบหายไปตำหนักธารทิพย์แค่หนึ่งเทอม กูจึงผูกพันกับหอในโดยเฉพาะหอห้าชายเป็นอันมาก อย่างที่ใคร ๆ รู้ ปีสามกูเป็นเมทกับพี่หนุยและอุ้ม เมทที่ดีที่สุดเท่าที่กูเคยเจอมาตลอดสี่ปี มาปีสี่ด้วยเหตุปัญญาอ่อนที่ทำเอากูโกรธจนหน้าแดง ส่งผลให้กูกับอุ้มแยกกันอยู่คนละห้องแต่เยื้องกัน อย่างไรก็ตาม ห้องอุ้มกับห้องกูก็ไม่ต่างกันเท่าไร เพราะไปมาหาสู่กันทุกคืน เมทห้องอุ้มก็สนิทชิดเชื้อกับกูเป็นอย่างดี

ชีวิตปีสี่ผ่านไปเร็วกว่าทุก ๆ ปี อาจด้วยเพราะมีฝึกงาน หลังจากการพรีเซนต์สัมมนาอันแสนหฤโหดไปแล้ว การบายเนียร์ผ่านไป การบายเฟรนด์เสร็จสิ้น กูไม่กล้าอยู่งานไหนจนจบงาน น้ำตากูจะไหลเสียทุกที ยิ่งงานบายเฟรนด์ด้วยแล้ว กูอยู่ได้ไม่ทันไรก็รีบลาจากโดยไม่บอกกล่าว กูไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น

กูจำค่ำคืนสุดท้าย ณ เชียงใหม่ได้ดี วันที่กูพ้นจากคำว่าเด็ก ป.ตรี คืนนั้นกู หยวน ต้าร์ และตุล ไปกินหมูกระทะกันที่ร้านหมูกระทะช้างเผือก ขากลับแวะคณะช่วยหยวนเก็บบรรดานกกระดาษ เครื่องมือพีอาร์สัมมนาของกลุ่มมันที่แขวนห้อยระย้าทั่วทางเดินระหว่างตึก

งานเสร็จสิ้น หยวนส่งสามชีวิตที่ อ.มช. กล่าวร่ำลาพลางบอกลาว่าเจอกันที่กรุงเทพฯ ในมุมมืด ตุลกับต้ายืนอย่างเงียบงัน เรารู้ดีว่านี้คือคืนสุดท้ายของเรา ตุลเอ่ยปากลาพร้อมประโยคที่แสนสะเทือนใจ

“มึงสัญญาสิ ว่ามึงจะไปเรียนจุฬากับกู”

กูได้แต่นิ่งเงียบ ยิ่งต้าร์พูดอะไรสักอย่างออกมาอีก น้ำตาก็เริ่มไหลอาบหน้าอย่างไม่รู้ตัว เหมือนคำสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่กูต้องทำให้ลุล่วงเสียจงได้ภายในชีวิตนี้ เราสามคนลาจาก กูขี่เมทแดงคันประจำของกูกลับหอพร้อมน้ำตานองหน้า กูอยากหยุดแต่ทำอย่างไรก็หยุดไม่ได้

กูกลับเข้าห้อง นั่งเก็บของอย่างช้า ๆ กูดีใจที่ได้เจอไดอารี่กูอีกครั้ง มันหล่นใต้เตียงทำเอากูแทบคลั่งเพราะกลัวมันหายไปจริง ๆ นับร่วมครึ่งเดือนที่ไดอารี่เล่มนั้นหายไป หลายเหตุการณ์ที่กูพลาดการจดบันทึกไว้ในนั้น ไม่ว่างานบายเฟรนด์ การทำสัมมนาปูเสื่อสร้างบ้านหน้า HB6 หรือแม้แต่เรื่องการจากไปของว่อง เพื่อนรักชาวมนุษย์ไทย

กูตัดสินใจเดินไปห้องอุ้ม ขอแรงช่วยเก็บของเหตุด้วยไม่สามารถปิดกล่องด้วยกาวแล็คซีน อุ้มเดินเข้ามาในห้อง เพียงแค่สัมผัสกล่อง น้ำตากูก็ไหลอาบน้ำอีกครั้งโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาง่าย ๆ อุ้มปลอบกูหลายรอบ กูก็พยายามจะหยุดให้ได้ แต่ก็ไม่ได้เสียที

ในที่สุด กูกับอุ้มก็เก็บของเสร็จทั้งน้ำตา สักสี่ทุ่มอุ้มกล่าวชวนไปหา เลข กิ่ง และอ้อ ที่บ้านสีรุ้ง กูไม่ลังเลที่จะรับคำชวน กูขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากมอ.อย่างใจหาย พรุ่งนี้แล้วฤาที่ฉันจะไม่ได้อยู่ที่นี้

ถึงบ้านสีรุ้ง ยังไม่ทันก้าวข้ามประตูบ้าน เพียงเห็นหน้าอีเลข กูก็ร้องไห้อีกแล้ว ร้องจนอีเลขกับคุณกิ่งร้องตาม คุณกิ่งปลอบแล้วปลอบอีก แต่ในที่สุดก็ร้องกันทั้งบ้าน กว่าจะสงบจิตสงบใจกันได้ก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง เราหยิบเอาเรื่องเก่า ๆ มาเล่า ความโก๊ะสมัยอยู่ธารทิพย์ห้องติดกัน น้ำตาเริ่มแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะ สักเที่ยงคืน กูกับอุ้มลากลับไป ในใจยังขุ่นมัวด้วยความอาลัย

คืนนั้นกูจำได้ว่าอีเจ๊ sms มาปลอบโยน มิกับพริกโทรมาให้หายคิดถึง จนน้องเมทกูแซวว่าวันพี่ดองฮอตจัง sms นั้นกูยังเก็บไว้ถึงทุกวันนี้ กูนั่งเขียนไดอารี่อย่างบรรจงลายมือสวยงามได้ใจความว่า

“กูขอสัญญาว่ากูจะระลึกถึงพวกมึงตลอดไป”


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:02:15 น.  

 
คือ อ่านแล้วเหมือนเดินแอบอยู่ตามซอก ตามมุม ดูคุณสร้างความทรงจำของคุณ 5555

ขอบอกว่า เหมือนเราเป็นเพื่อนคุณคนนึงในนั้นเลย

(แบบว่า เห็นภาพพพ )

ดีจายที่ได้แวะมาอ่านบล๊อคนี้ค่ะ

ขอบคุณที่ทำให้เรายิ้มไปกับเรื่องราวของคุณนะคะ

แล้วพบกัน


โดย: คำถามจากดวงดาว วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:27:16 น.  

 
ถ้ารูปน้องผู้หญิงข้างบนเป็นรูปน้องปุ๊ก
ก็ขอยอมรับด้วยความสัตย์จริง (แม้จะอิจฉาเล็กๆ) น้องน่ารักมากกกกกกกกกกกกถึงมากที่สุด จนอดเสียดายแทนไม่ได้ที่คุณไม่ได้เรียนกับน้อง (ไม่ได้ย้ำนะ ไม่ได้ย้ำอะไรจริงๆ นะ...อ้าว ตายล่ะ เพิ่งขึ้นหัวว่าจิตตก เอาน่าๆ อ่านเพลินๆ น้อ อย่าใจน้อย น้อยใจน้อ)
แต่ถ้าน้องข้างบนเป็นน้องแอม ก็ยิ่งเสียดายเข้าไปใหญ่
เสียดายโอกาสอ่ะ
ยังไง ถ้างวดนี้มี "โปร" คนใหม่ ก็ขออวยพรละกัน พยายามเข้า กล้าๆ หน่อยเน่อ จะได้ไม่เสียใจภายหลังนะ สู้ๆ


โดย: m IP: 58.9.38.114 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:31:55 น.  

 
กันเองไปหรือเปล่าหว่า
ส่งข้อความไปแล้วก็ค่อยกลับมาคิด
เอาเป็นว่า ถ้าทำให้รู้สึกไม่ดีก็ต้องขอโทษด้วย
แต่อยากจะบอกอย่างหนึ่งว่า คุณเขียนเรื่องได้ดีชะมัดเลยล่ะ ทำให้รู้สึกว่า เอ๊อ...ดีจังนะ ชีวิตเนี่ยได้พานพบกับอะไรมากมายจริงๆ


โดย: m IP: 58.9.38.114 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:36:12 น.  

 
555555 hardcore ได้ใจมากๆ
อ่านแล้วเห็นภาพอ่างแก้วกับดอกหางนกยูงแดงหน้าตึกคณะมนุษย์ ลอยมาแต่ไกล
พี่ก็เคยอยู่ธารทิพย์
แต่ปีที่ดองอยู่คงเป็นปีที่พี่ย้ายออกไปอยู่หอ ic ข้างสวนสุขภาพ
เราเลยไม่เคยโคจรมาเจอกัน


ปล. จิตตกแปลกแยกนี่ก็เป็นบ้าง ปีละสองสามหน
ความรู้สึกว่า 'I belong to nowhere' อะไรนี่ - ใช่เลย


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:18:42:26 น.  

 
อาการนี้เกิดอยู่บ่อยๆเหมือนกันค่ะ มันรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง อื้ม ธรรมดานะ มันเกิดขึ้นได้กะทุกคนแหละ อย่าไปใส่ใจมันมาก มันมาได้ เดี๋ยวมันก็ไปได้

ช่วยอะไรได้มั่ง มั้ยเนี่ย..


โดย: printcess of the moon วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:19:06:57 น.  

 
น้องใน # 4 น่ารักจริง ๆ ค่ะ
ลากเม้าส์อ่านมาเรื่อย ๆ
พอเห็นหน้าน้อง
หยุดกึกเลย

ขนาดเป็นผู้หญิงด้วยกันนะคะเนี่ย

เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้
คงเกิดอาการไม่แพ้เราแน่เลย อิอิ


โดย: โสดในซอย วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:20:06:19 น.  

 
อ่า
อ่านแบบไม่ค่อยอิน มีศัพท์เฉพาะกลุ่มเยอะไปหน่อย

แต่่อยากบอกว่า
อย่าจมกับความหลัง ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป
Lifes goes on
(พี่ก็บอกตัวเองด้วยเช่นกัน )


โดย: grappa วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:20:31:52 น.  

 
ลืมบอกๆ รูปน้องข้างบนน่ารักจริงๆ
เข้าใจได้ว่าทำไมถึง สลายใจใครๆ ได้

จ๊าก
แก้ คำผิดๆ Life ไม่มี s เนอะ
( ถ้า s มันต้อง Lives นี่หว่า )


ว่า แต่ว่าเขียนแล้วบำบัดอาการจิตตกได้บ้างไหม ?

ป.ล.จะพยายามชิ่งไปดู so:: on ให้ได้เน้อ


โดย: grappa วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:20:38:10 น.  

 
เข้ามาดูเพราะชื่อบล็อกอะ hardcore จริงๆด้วย

สงสัยจะแก่ไปละ.. เรา..


โดย: LuckyMoby วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:21:16:42 น.  

 
ขอบคุณมากนะครับที่อ่าน TAG สุดถ่อยของผม ถ้ามี edit ภาษาคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเสร็จ

บล็อกนี้คงเป็นบล็อกสุดท้ายที่ฮาร์ดคอร์แบบนี้นะครับ 55 ขออภัยอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ทนไม่ค่อยได้

- คุณคำถามจากดวงดาว

ขอบคุณมาก ๆ เลยนะครับที่เข้ามาอ่านบล็อกสุดฮาร์ดคอร์ของผม

- คุณ m

รูปนั้นคือปุ๊กครับ ผมเฉย ๆ กับเธอตั้งแต่ขึ้นปีสามแล้วครับ แบบว่าไม่ค่อยได้เจอ (เด็กแพทย์ มช. จะไปเรียนอีกโซนหนึ่งของมหาลัย)

ส่วนเรื่องข้อความ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเลิกจิตตกแล้น อิอิ

ขอบคุณที่เขามาฮาด้วยนะครับ

- พี่ชุน

อ้าว ชาวธารทิพย์เหมือนกันหรือนี้

แต่หนุ่มแอคบาคงไม่ฮาร์ดคอร์เท่าหนุ่มแมสคอมนะครับ

ป.ล. สาวแอคบาใจร้าย

- พี่เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์

ช่วงนี้หายแล้วครับ หายพร้อมกับการกลับมาของบล็อกแกง

- คุณโสดในซอย

เห็นแต่ละทีแล้วชวนละลายครับ

- พี่แป็ด

อยากดูคอนเสิร์ตกับพี่แป็ดนะครับ

- คุณลัคกี้ฯ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นเดียวกันครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:21:47:23 น.  

 
พี่ดอง...

หนูจำได้นะ หนูเคยถามพี่ว่า หนูควรทำยังไงดีหลังเรียนจบแล้ว
หนูกลัวชีวิตการทำงาน... และพี่ก็ให้คำแนะนำกับหนูว่า ก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป ให้มันดำเนินไป เด๋วเราก็ผ่านมันไปได้เอง

วันนี้ หนูได้เจอกับชีวิตการทำงานแล้ว และสิ่งที่พี่พูดมา มันก็ถูกนำมาใช้ ดังนั้น ก็เลยมาเตือนความจำ ว่าพี่ควรจะปล่อยให้มันเป็นไป ให้มันดำเนินต่อไป ตามครรลองของมัน...

การเรียนจบป.โท คือโอกาสที่พี่มีเหนือเด็กจบป.ตรี(อย่างหนูเป็นต้น) อย่าคิดว่ามันจะค้ำคอพี่ จนพี่ไม่สามารถทำอะไรผิดพลาดได้...

เป็นกำลังใจให้พี่ต่อสู้ต่อไปนะคะ

บางทีชีวิตจริง กับความฝันของเรา มันก็ไปด้วยกันได้นั่นแหละ...


ปล. TAG นี้อ่านแล้ว ไม่ขอคอมเมนต์ แต่ชอบทุกข้อเลยจริงๆ ให้ตายเหอะ


โดย: stubborn IP: 61.91.95.197 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:21:56:02 น.  

 
จิตตกเหมือนกัน เหอะๆ เพราะบทวิจารณ์หนังล่าสุดหายไปจากบล็อค.. แถมไม่รู้ว่าต้นฉบับไปอยู่ไหน เวรจิงๆ..

ยังไงก็ขอบคุณน้องดองที่อุตส่าห์บอกวิธีควานหาจากกูเกิลนะ แชทกันอยู่ก็รู้สึกเหมือนกันว่าน้องคงกำลังอยู่อารมณ์ไม่สุนทรีย์เท่าไร.. แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร..

เราไม่ค่อยมีเหตุการณ์ประทับใจแบบเด็กหออยู่ร่วมกันแบบนี้ เพราะอยู่ กทม.บ้านใครบ้านมัน รู้สึกเด็ก มช.จะผูกพันกันน่าดู นับเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว บรรยายได้เห็นภาพและฮาร์ดคอร์ดี เหอๆๆ

เป็นคนที่ไม่เคยระบายความรู้สึกอะไรให้สาธารณชนรับรู้ อกหักก็นอนหงิกอยู่ในห้องคนเดียว เซ็งอะไรก็ไม่พูดไม่จา ฯลฯ.. งานเขียนมันช่วยได้ดีนะ แถมฝึกในการหัดเรียบเรียงความคิดตัวเอง..ให้มีสติขึ้น


โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:21:59:55 น.  

 
พี่ก็ปล่อยให้มันผ่านไปน่ะ เพียงแต่ว่ามันมีคนอื่นสิ่งแวดล้อมที่ตั้งความหวังกับเรา

ถ้าลำพังเพียงตัวเองพี่ไม่มายด์อยู่แล้วล่ะ

พี่เชื่อในปรัชญา Existentialism ที่ว่าเราเลือกทางเดินของเราเองน่ะ พี่มีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าพี่เลือกทางเดินของตัวเองและนำพาไปสู่จุดหมายที่ดีได้ แต่คนรอบกายหลายคนที่ดูแคลนอยู่หลายครา

การเป็นเรือชูชีพให้คนอื่นมาหลายครั้งหลายครา แม้ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ยามเมื่อตัวเองเดินผ่านทะเลที่เต็มไปด้วยพายุ ก็หวังใครสักคนเป็นเรือชูชีพเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม โลกทั้งใบก็เท่านั้น ผ่านอุปสรรคไป สิ่งต่าง ๆ ก็จะสานฝันในหัวใจ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:22:00:55 น.  

 
ถึงพี่หมีครับ

- ช่วงคุยกับพี่หมีผมคงจิตตกนะครับ 555 แต่ตอนนี้หายแล้วครับ

ไม่น่าเชื่อว่าวิธีที่ทำให้หายง่าย ๆ เลยไปกินข้าวกับเพื่อนและฟังเพลง Take That


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:22:03:43 น.  

 
เข้าใจดีเลยล่ะพี่ ไอ้อาการที่เป็นความหวังของใครหลายๆคน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนูตอนนี้ คือการถูกดูแคลนจากครอบครัว ญาติพี่น้อง
ที่พบว่าเด็กจบการสื่อสารมวลชน มช. มหาวิทยาลัยที่คนบ้านนอกๆอย่างหนู มองว่ามันเลิศหรู มันได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่น
ดูแลพ่อแม่ได้แค่ทางใจ แต่ส่งเสียเลี้ยงดูเข้าไม่ได้

มันก็คงไม่ต่างอะไรกับพี่ ที่ต้องมาเจอกับความคาดหวังจากคนรอบข้าง...

น่าเศร้ามั้ยล่ะ...



แม้แต่กระทั่งการช่วยเหลือแบ่งเบาความรู้สึกอ่อนไป ที่พี่ชายของหนูคนนี้ต้องเผชิญ หนูยังทำไมได้เลย... ทั้งๆที่พี่เองได้ฉุดหนูขึ้นมาจากความโง่เขลาแทบนับครั้งไม่ถ้วน...


รักพี่ดองนะ... สู้ๆค่ะ เป็นกำลังใจให้เสมอ


โดย: stubborn IP: 61.91.95.197 วันที่: 14 มีนาคม 2550 เวลา:22:06:19 น.  

 
อย่าไปเชื่อมันเล้ย เพื่อนคนนั้นน่ะ คิคิ

มีแฟนก็จิตตกได้
มีแฟนก็เหงาได้
มีแฟนก็เคว้งได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วไม่ดีนะ

หมายถึง คนเราจะเหงาจะเคว้ง
แฟนไม่ใช่คำตอบสุดท้ายน่ะ

มันน่าจะอยู่ในตัวเรามากกว่า

ป.ล. จริงๆ ว่าจะไปตอบในเว็บรุ่นนะ แต่ปิดแล้ว ขี้เกียจเปิดใหม่แล้วรอมันโหลดอีกน่ะ


โดย: iammonkey IP: 124.157.160.191 วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:0:29:25 น.  

 
โอ้..ภาษาถึงกึ๋นจริงๆ ท่าน เหอๆ

หนังสือของคุณนรเศรษฐเหรอคะ


เรื่องไรอ้ะ


โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:16:26:04 น.  

 
อ่า อันนี้อ่านนานแล้ว แต่ลืมที่อยากคอมเม้นต์ไปแล้ว


โดย: ปืนกล IP: 203.131.220.50 วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:18:02:10 น.  

 

เรืองของพี่ ยาวมากๆเลยอะคะ ท่าทางว่าน้องต้องใช้เวลาอ่านนาน ท่าทางว่าพี่จะใช้ชีวิตมหาลัยสนุก คุ้มยังอ่ะคะ ตอนนี้น้องก้อเรียนอยู่มหาลัยนเรศวรนะคะ ขอบคุณนะคะสำหรับกำลังใจที่เข้ามาอ่านบล๊อกของ มน อ่ะ แล้วน้องจะมาเข้ามาอ่านเรืองของพี่ให้จบนะคะ....


โดย: นางเอกคนดี (นางเอกคนดี ) วันที่: 15 มีนาคม 2550 เวลา:19:41:26 น.  

 
โอ้.. ผมพลาด Blog นี้ไปได้อย่างไร
พึ่งเคยเข้าครั้งแรก แต่ตามกลับไปอ่านอันเก่าๆเกือบหมด

เขียนได้สุดยอดครับ
ขอบคุณครับ


โดย: Vagabundo วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:16:27:37 น.  

 
บล็อกนี้ อ่านแล้วนะ แต่วันนั้นไม่ได้เม้นน่ะ หุหุ
เม้นช้าหน่อยคงไม่ว่ากัน


โดย: printcess of the moon วันที่: 1 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:33:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

I will see U in the next life.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




Friends' blogs
[Add I will see U in the next life.'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.