|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
++++++ ข้อแนะนำในการเขียนตอบข้อสอบ "อัตนัย" ++++++
การเขียนตอบข้อสอบแบบอัตนัยนั้นเป็นศิลปะแบบหนึ่งซึ่งเป็นเหมือนปริศนาที่นักศึกษาจำนวนมากค้นหาไม่เจอว่าควรเขียนอย่างไรดี นักศึกษาจำนวนมาก (ร่วมถึงพวกเรียน ป.เอก) หลาย ๆ คนต่างขยันขันแข็งในการอ่านหนังสือช่วงสอบพร้อมกับตั้งใจเรียนมาทั้งเทอม แต่ก็มาตกม้าตายเมื่อเจอข้อสอบเขียนเพราะเขียนเล่าเรื่องไม่เป็น
ผมเองเคยเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหากับการเขียนตอบข้อสอบ สอบวิชาอะไรก็ตามมักจะเขียนน้อย เขียนไปเรื่อย และออกห้องสอบเร็วมาก ส่งผลให้เกรดที่ได้มีแต่แมว ๆ หมา ๆ เสียส่วนใหญ่ ทว่าเมื่อได้เรียนปริญญาโทจนทุกวันนี้เป็นครูบาอาจารย์ก็ได้พัฒนาทักษะการเขียนของตนเองและคิดสรุปเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ใครหลายคนที่เขียนไม่เก่งได้นำไปใช้
ข้อเขียนชิ้นนี้เป็นไกด์นำทางสำหรับคนที่อ่านหนังสือมาแล้วแต่เขียนไม่ค่อยแล่น หากใครไม่ได้อ่านหนังสือมาแล้วหวังแต่ไปแถในห้องสอบ ข้อเขียนชิ้นนี้ช่วยไม่ได้นะจ๊ะ
-------------------------
1. คิดเสมอว่าไม่ได้เขียนให้อาจารย์อ่าน
แม้ว่างานที่เรากำลังทำจะเป็นการเขียนตอบข้อสอบเขียนให้คุณครูอ่าน แต่อยากให้เปลี่ยนความคิดว่า เรากำลังเขียนบทความส่งหนังสือพิมพ์ โดยมีโจทย์ (ข้อสอบ) เป็นตัวกำหนดว่าให้เขียนเรื่องอะไร โดยคนที่กำลังอ่านเรื่องของเรานั้น เป็นคนอ่านที่ไม่มีพื้นความรู้ในสิ่งที่เราเขียนเลย
สมัยเรียน ป.ตรี ผมมักติดคิดเสมอว่าเราเขียนให้อาจารย์อ่าน อาจารย์ย่อมรู้เรื่องอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะเขียนขยายไปให้เยอะทำไม
การที่เราพึงระลึกเสมอว่าคนอ่านคือคนที่ไม่รู้ในศาสตร์ของเราเลย จะทำให้เราเขียนโดยมุ่งหวังให้คนอ่านเข้าใจ เราจะเขียนขยายหลักการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเพิ่มขึ้น เพื่อหวังให้คนอ่านได้เข้าใจสิ่งที่เราต้องการสื่อ
2. อย่าคิดไปเขียนไป
เด็กหลาย ๆ คนมักคิดไปเขียนไป ซึ่งปัญหาที่ตามมาคือภาวะหลงประเด็น หลงทาง เขียนไปสักพักหยุดนิ่งเพราะเขียนต่อไม่ได้เหตุด้วยคิดไม่ออก รวมถึงเขียนวกวนและจบไม่ลง
การคิดไปเขียนไปเป็นอันตรายอย่างยิ่ง วิธีแ้ก้ง่าย ๆ คือ เมื่ออ่านโจทย์แล้วให้นั่งใคร่ครวญคิดคำตอบเสียก่อน ต่อจากนั้นให้ลองร่างโครงออกมาดูว่าเราจะเขียนเรื่องอะไรบ้างในคำตอบข้อนั้น (อย่าลืมว่าให้นึกอยู่เสมอว่ากำลังเขียนบทความ ไม่ใช่ตอบข้อสอบ)
โครงเรื่องของเราก็ควรมีการเกริ่นเริ่มต้น นำเสนอเนื้อหา แสดงความคิดเห็น ยกตัวอย่างมาประกอบ เพื่อเป็นโครงร่างให้เราใช้ในการเขียนขยายออกมาเป็นข้อเขียน การทำโครงเรื่องอาจจะทำให้เสียเวลาเพิ่มอีกนิด แต่ก็คุ้มค่าที่จะทำ
ขอยกตัวอย่างเช่น ผมได้โจทย์จากอาจารย์ให้อธิบายว่า เพลงกระแสหลัก หมายความว่าอย่างไร ผมจะเขียนโครงคร่าว ๆ ให้ดูดังนี้
เพลงกระแสหลัก
- เกริ่นนำ (สภาพแวดวงดนตรีบ้านเรา) - เพลงกระแสหลักแปลว่าอะไร - ความหมาย 1 + ตัวอย่าง (2-3 ตัวอย่าง) - ความหมาย 2 + ตัวอย่าง (2-3 ตัวอย่าง) - ความคิดเห็นเรื่องเพลงกระแสหลัก + ตัวอย่างสนับสนุนความคิดเห็น - สรุป
อันนี้เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ ถ้าโจทย์ยากก็อาจจะต้องเพิ่มเรื่องและรายละเอียดมากขึ้น อย่าลืมว่าต้องทำทุกครั้งเพื่อไม่ให้ตัวเองเขว งงเมื่อไหร่ให้กลับมาดูโครงทุกครั้ง
3.ตัวอย่างสำคัญที่สุด
หลายคนคงสงสัยว่าครูอาจารย์ให้คะแนนข้อสอบต่างกันได้อย่างไร ผมเฉลยให้ว่านอกจากจะดูว่าหลักการเขียนมาถูกไหมแล้ว คุณครูสามารถรู้ได้ว่าเด็กเข้าใจหลักการจริง ๆ หรือเปล่าได้จากตัวอย่างที่ยกมาประกอบ
การยกตัวอย่างเป็นการแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงหลักการกับเรื่องจริงว่าเป็นเช่นไร ยิ่งหากนักศึกษายกตัวอย่างได้เยอะ (2-3 ชิ้น ต่อหนึ่งหลักการหรือความคิดเห็น) และเป็นตัวอย่างที่ไม่ได้ถูกยกมาจากในห้องเรียน พูดง่าย ๆ ก็คือคิดเอาเอง จะช่วยทำให้คนตรวจเห็นว่า เราเข้าใจเรื่องนั้นจริง ๆ (แต่ถ้ายกตัวอย่างมาผิดอันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
การจะนึกถึงตัวอย่างได้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ปุ๊บปั๊บ แต่ต้องหมั่นอาศัยการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ออกมา ซึ่งต้องเริ่มจากการใคร่ครวญและตั้งคำถามต่อสิ่งที่เรียน ตรงนี้อาจจะยากนิดสำหรับเด็ก ๆ ทุกคนที่ไม่ค่อยสงสัย หรือ สงสัยแต่ไม่กล้าถามหรือถกเถียงกับครู อย่างไรก็ตามลองฝึกคิดดูกันครับ
4. อย่าลืมสรุป
ข้อเขียนที่ดีควรมีสรุป เพื่อเป็นการประมวลว่าทั้งหมดทั้งมวลที่เขียนมากำลังพูดถึงเรื่องอะไร เสนอแนวความเห็นไปแนวทางไหน นอกจากนั้นยังเป็นการทิ้งท้ายให้คนอ่านได้เข้าใจเรา รวมถึงเป็นการทำให้คนอ่านฉุกคิดได้ การเขียนสรุปเป็นเสน่ห์แบบหนึ่งที่ำทำให้คนอ่านติดตรึงใจกับงานของเรา (อาจารย์มีโอกาสให้คะแนนพิศวาสมากขึ้น)
5. หมั่นฝึกเขียน
คุณไม่มีวันเขียนได้ดีเลยถ้าไม่ฝึกเขียน ยิ่งถ้าชีวิตนี้เขียนแต่ข้อความสั้น ๆ จากการคอมเมนต์เพื่อนในไฮไฟว์ หรือพิมพ์สเตตัสในเฟซบุ๊คที่กำหนดความยาวเพียง 420 ตัวอักษรด้วยแล้ว คุณอาจจะงงเวลาต้องเขียนอะไรยาว ๆ เลยทีเดียว
การฝึกเขียนไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องเครียดและเปิดเผยต่อสาธารณชน การฝึกเขียนไดอารี่ในสมุดผ่านทางปากกาและดินสอเป็นวิธีที่ดีอย่างยิ่งเพราะนอกจากเราจะชินกับการเขียนด้วยมือแล้ว เรายังได้ฝึกสมาธิในระหว่างการเขียนด้วย
การเขียนไดอารีนั้น ให้ลองเขียนแบบเล่าเรื่องประหนึ่งเหมือนว่ามีคนกำลังตามอ่านงานของเรา ไม่ใช่เขียนให้ตัวเองอ่านคนเดียวเท่านั้น พยายามลองหารูปแบบการเล่าเรื่องใหม่ ๆ (เช่น วันหนึ่ง ผมเคยลองเขียนแบบเล่าเรื่องไม่ลำดับเวลา สไตล์ภาพยนตร์เรื่อง Pulp fiction พบว่าสนุกดีเหมือนกัน)
การได้ลองเขียนบ่อย ๆ จะทำให้เราคุ้นชินกับการเขียนและสนุกที่จะเขียนมันออกมาแม้ว่าจะเป็นข้อสอบก็ตาม
สุดท้ายนี้หวังว่าใครที่ได้อ่านและชีวิตยังต้องผูกพักกับการเขียนตอบข้อสอบอยู่น่าจะได้ประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2553 14:36:38 น. |
|
10 comments
|
Counter : 1479 Pageviews. |
|
|
|
โดย: MiM_KtY วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:15:25:26 น. |
|
|
|
โดย: แพนด้ามหาภัย IP: 124.127.123.51 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:05:07 น. |
|
|
|
โดย: babii-b วันที่: 1 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:40:04 น. |
|
|
|
โดย: KJH IP: 183.89.94.241 วันที่: 21 ธันวาคม 2553 เวลา:21:51:10 น. |
|
|
|
โดย: ยุ้ย IP: 202.28.12.69 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:8:27:32 น. |
|
|
|
โดย: แสงสว่างสร้างขึ้น IP: 58.9.26.110 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:36:57 น. |
|
|
|
โดย: swkt (tewtor ) วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:23:51:59 น. |
|
|
|
โดย: louis vuitton sale IP: 94.23.252.21 วันที่: 13 สิงหาคม 2557 เวลา:0:09:39 น. |
|
|
|
|
|
|
I will see U in the next life.
|
|
|
|
|
|