ช่วง
สั้นๆของฤดูกาลนี้ บนยอดเขาสูงเทียมเมฆของอุมเบรีย (Umbria)
แคว้นหนึ่งซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปจากกรุงโรมไม่กี่ร้อยกิโลเมตร
และได้รับการขนานนามว่าเป็นหัวใจสีเขียวของอิตาลี
ธรรมชาติกำลังสร้างสรรค์ผลผลิตที่มีค่าควรเมืองและหายากราวทองคำ นั่นคือ
"เห็ดทรัฟเฟิล"
เห็ดทรัฟเฟิลเป็นพืชจำพวกรา ฝังตัวและเจริญเติบโตได้ดีใต้ดิน
ซึ่งต่างไปจากเห็ดอื่นๆ เห็ดชนิดนี้มีความสัมพันธ์เกื้อกูล
และพึ่งพารากของต้นไม้ใหญ่ที่มันขึ้นอยู่ เช่น ต้นโอ๊ก ต้นเชสนัท(เกาลัด)
สนบางชนิด และต้นบีช เป็นต้น โดยเห็ดทรัฟเฟิลจะให้แร่ธาตุแก่ต้นไม้
ส่วนต้นไม้ก็จะปล่อยแร่ธาตุบางอย่างกลับคืนมา
ซึ่งเห็ดจะสะสมพลังเหล่านี้เอาไว้เพื่อให้ตัวเองได้เจริญงอกงามจนมีรสชาติดี
และยังเจือกลิ่นที่เหมือนกับผลผลิตของต้นไม้นั้นๆ ออกมา
ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ กลิ่นหอมแรงมหัศจรรย์ ความหายาก
และวิธีการเก็บที่ไม่ธรรมดา จึงทำให้ทรัฟเฟิลมีราคาแพงหูดับ! ที่สำคัญ
เห็ดชนิดนี้ไม่สามารถปลูกได้ จะขึ้นเองตามธรรมชาติ
และในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเท่านั้น เหมือนเห็ดโคนของบ้านเรา
เห็ดทรัฟเฟิลมีมากมายหลายชนิด
แต่มีเพียงสองสายพันธุ์ที่ขึ้นชื่อและจัดว่าเป็นราชาแห่งเห็ด
คือเห็ดทรัฟเฟิลดำ (Black Truffle) ยังแบ่งเป็นทรัฟเฟิลดำหน้าหนาว (Black
Winter) และหน้าร้อน(Black Sumer)
ส่วนราชินีเห็ดต้องขอมอบตำแหน่งให้เห็ดทรัฟเฟิลขาว (White Truffle)
ซึ่งมีค่าราวทองคำ
การล่าเห็ดในอิตาลีนั้น ต้องล่าตามฤดูกาล
เพราะรัฐบาลออกกฏหมายควบคุมไว้ มีการกำหนดช่วงเวลาในการล่า
โดยจะประกาศอย่างเป็นทางการให้ทราบทั่วประเทศอีกด้วย อย่างเช่น
เห็ดทรัฟเฟิลขาว จะล่าได้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมไปจนถึงสิ้นปี
ส่วนทรัฟเฟิลดำซัมเมอร์ เก็บได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ไปจนสิ้นเดือนพฤศจิกายน
ทรัฟเฟิลดำวินเทอร์ ล่าได้ระหว่างเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคมปีถัดไป
เห็ดทรัฟเฟิลแต่ละท้องถิ่น
หรือในแต่ละประเทศจะให้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันออก
ไปตามสภาพสิ่งแวดล้อมนั้นๆอีกด้วย
ทริปนี้ เรามาล่า เห็ดทรัฟเฟิลดำซัมเมอร์ สายพันธุ์ Tuber
melanosporum
ซึ่งเป็นแบล็กทรัฟเฟิลที่มีชื่อเสียงและคุณภาพดีที่สุดในแคว้นอุมเบรีย
แผนการล่าได้นัดหมายกันล่วงหน้าไว้กว่าสามเดือน
เจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งซึ่งมีแหล่งเห็ดทรัฟเฟิลที่มีชื่อ
ได้เตรียมต้อนรับพวกเราแล้ว ฟาร์มเก่าแก่แห่งนี้
ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงเทียมเมฆ ชานเมืองสโปเลทโต (Spoletto) เมืองเล็กๆ
ที่มีภูมิทัศน์เขียวสวย บ้านรือนหลังคาสีอิฐเก่าคร่ำคร่า ดูคลาสสิก
เหมือนในหนังฮอลลีวูดย้อนยุค
คุณลุงBratori ออกมายืนต้อนรับเรา พร้อมน้องหมาสหายตัวโปรด
อุปกรณ์การล่าที่เราต้องนำติดตัวไปด้วยมีอย่างเดียวคือ
ไม้เท้าด้ามยาวเกือบถึงอกที่ดูเหมือนไม้ตะพด
เอาไว้ช่วยพยุงตัวขณะเดินไต่ระดับลงเนินเขา หรือใช้ปัดกิ่งไม้
ใบหญ้าตามทางเดินกันงูเงี้ยวได้อย่างดี
แหล่งเก็บเห็ดที่นี่เป็นเหมือนแหล่งสัมปทาน
อาณาบริเวณมากกว่าร้อยเอเคอร์นี้ กว้างไปสุดชายเขาลูกไกลโพ้น
เราเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เดินขึ้นๆลงๆ คาดว่าหลายกิโลเมตร
ผ่านทุ่งหญ้าสลับทิวป่าโอ๊คและป่าเกาลักจนมาหยุดยืนหอบเล็กๆกันอยู่กลางป่า
ที่เงียบงัน เดินไปอีกสักพัก คุณลุงจึงส่งสัญญานมือให้เราหยุดเดิน
เพราะหมาทั้งสองเริ่มได้กลิ่นเห็ดทรัฟเฟิลเข้าแล้ว
เห็ดทรัฟเฟิลสีดำก้อนแรกทำให้ทุกคนยืนอ้าปากค้าง เพราะมันน่าเกลียดมากๆ
ผิวขรุขระเป็นปุ่มหนามสีดำเมี่ยม ขนาดเกือบเท่าลูกกอล์ฟ ทรวดทรงพิกลพิการ
ลองบีบดูแล้วแข็งเหมือนท่อนไม้ แต่พอหยิบขึ้นมาดมก็ถึงกับอึ้งไปทันที
เพราะมีกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกลิ่นผลไม้สุก กลิ่นดอกไม้ เปลือกไม้ กลิ่นดิน
ผสมผสานกันไป คุณลุงบอกเคล็ดการซื้อเห็ดให้ฟังว่า ให้สังเกตดูที่ผิว
ถ้าเห็นรอยขีดข่วนจากเล็บหมาปรากฏอยู่
แสดงว่าเป็นเห็ดทรัฟเฟิลที่ถูกล่ามาจริงๆ
หลังจากรู้สึกเต็มอิ่มกับการล่าและได้ทรัฟเฟิลกันมาหลายหัวแล้ว
เราจึงเดินลงเขากลับมารับประทานมื้อกลางวันภรรยาคุณลุงทำอาหารพื้นๆ
เป็นพาสต้าโฮมเมดไร้เครื่องเทศใดๆ มารบกวน
คุณลุงนำเห็ดทรัฟเฟิลดำที่เราล่ามาได้สไลด์บางๆ ลงไปสองสามแผ่นบนหน้าพาสต้า
และแล้วเมนูนี้ก็ส่งกลิ่นหอมหวนจรุงใจ อร่อยติดลิ้นแบบลืมไม่ลง
สมแล้วที่ทรัฟเฟิลดำได้สมญานามว่าเป็นราชาเห็ด
ปิดท้ายด้วยเมนูพิเศษที่คุณลุงแถมให้ คือเกาลักคั่ว
เก็บมาสดๆจากไร่ข้างครัว คั่วในเตาไฟโบราณหอมกรุ่นกำจายไปทั้งตำบล
ก่อนกลับที่พักเรายังมีโอกาสแวะโรงงานอุตสาหกรรมครัวเรือนขนาดย่อมที่ตีนเขา
ที่นี่เราได้เห็นวิธีการผลิตและมีผลิตภัณฑ์ทรัฟเฟิลในรูปแบบต่างๆ จำหน่าย
อาทิ ทรัฟเฟิลดำสได์บางๆ อยู่ในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ทรัฟเฟิลซอส
(ซอสทรัฟเฟิลสำเร็จรูป) น้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิล
แล้วยังมีเห็ดพอร์ชินี่อบแห้งอีก ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
ไฮไลต์อีกอย่างของที่นี่ คือเห็ดทรัฟเฟิลขาว (White Truffle)
หล่อนถูกเก็บรักษาไว้ในเซฟเฮาส์ แต่เจ้าของโรงงานใจดีนำออกมาอวด
เพียงแค่วางตระกร้าไว้เบื้องหน้า ยังไม่ได้เเกะผ้าขาวบางที่ห่มคลุมมันออก
กลิ่นราชินีทรัฟเฟิลก็สะกดให้เรายืนแข็งทื่อ ออกอาการอึ้ง
เพราะมีกลิ่นหอมแรงกว่าทรัฟเฟิลดำหลายเท่าตัวนั้น
กลิ่นมหัศจรรย์นี้คล้ายกับกลิ่นหอมของผลไม้สุก
กลิ่นของดอกไม้ที่กำลังบาน กลิ่นหอมของเปลือกไม้ หรือใบไม้สดที่ถูกขยำขยี้
หรือคล้ายกลิ่นหอมของดินชื้นๆ
และอาจคล้ายอีกหลายกลิ่นซึ่งได้พยายามหลับตานึก แต่ก็นึกไม่ออกสักที
คงเป็นที่ประจักษ์ได้ว่า...
ทำไมเขาจึงต้องสไลด์ทรัฟเฟิลขาวให้เป็นแผ่นบางๆ
ราวแผ่นกระดาษเพียงแค่แผ่นสองแผ่น ลงบนอาหารจานพื้นๆ
ก็เพราะกลิ่นหอมแรงของเห็ดทรัฟเฟิลขาวสามารถยกระดับอาหารจานนั้นให้มีค่าราว
อาหารในราชสำนักได้เลยทีเดียว แม้หน้าตาของมันจะดูน่าเกลียด
น่ากลัวกว่าทรัฟเฟิลดำหลายเท่าก็เถอะ ลองถามราคาดู แค่หัวเดี่ยวโดดๆ
ขนาดเกือบเท่าลูกกอล์ฟ คำนวณดูแล้วตกเป็นเงินไทยราวหนึ่งหมื่นห้าพันกว่าบาท
ใจหายแว้บเลย
มื้อค่ำสุดหรูในคืนวันนั้น
จบลงด้วยเห็ดทรัฟเฟิลขาวสไลด์บางๆมาบนหน้ารีซอตโต้แบบบ้านๆ
กฏเหล็กเพียงข้อเดียวในการรับประทานเมนูล้ำค่าตรงหน้าก็คือ... กินมันให้
"สิ้นซาก" ไปเล้ย!