เที่ยวเมืองในตำนานที่บ้านแม่กำปอง


หากคุณเป็นคนชอบพักผ่อนแบบโฮมสเตย์
หรือเป็นขาประจำนิตยสารท่องเที่ยว อาจเคยผ่านตากับชื่อ "บ้านแม่กำ
ปอง
" นี้มาบ้าง เพราะยอดนิยมขนาดติดอันดับ 1 ใน 10
หมู่บ้านโฮมสเตย์น่าเที่ยว และมีรางวัลโฮมสเตย์มาตรฐานไทย ประจำปี 
พ.ศ.2547การันตีอยู่ นอกจากนี้ยังประกวดหมู่บ้านหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
(OTOP Village Champion : OVC) และประกวดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
(รางวัลกินรี) ประจำปี 2549 ด้วย

  
หมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีด้วยกัน 6 ป๊อก(กลุ่มบ้าน)
โดยชาวบ้านสร้างบ้านเรือนลดหลั่นกันลงมาริมสันเขา ถ้ามองลงมาจากศาลาชมวิว
จะดูเหมือนบ้านตั้งอยู่กลางหุบเขายังไงยังงั้นเลยค่ะ  

 
 คุณคงไม่เชื่อหากเราจะบอกว่ากลางหมู่บ้านมีถนนคอนกรีตอย่างดีตัดผ่าน แต่รถ
แทบไม่มีวิ่งเลย จึงเดินเล่นชมนกชมไม้ได้อย่างสบายใจ
กว่ารถจะผ่านมาสักคันก็นานมาก และช่วงกลางวันชาวบ้านก็ออกไปทำงานกันหมด
หมู่บ้านจึงเงียบมาก.......ก  เงียบจริงๆ แต่ไม่ได้ความว่าไม่มีใครอยู่นะคะ
เพียงแต่คนที่อยู่จะทำงานหรือนั่งคุยกันเบาๆ
ไม่เปิดโทรทัศน์หรือวิทยุเสียงดังรบกวนคนอื่นมากกว่า

  
เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า "ใครมาถึงเรือนชาน ต้องยกเมี่ยง
ยกหมากมาต้อนรับ" ไหมคะ เมี่ยง เป็นอาหารโบราณของภาคเหนือ
ถ้ามีแขกมาเยี่ยมแล้วไม่ยกเมี่ยงมาเลี้ยง ถือว่าแย่มากโดยเฉพาะช่วงงานบุญ
งานพิธีต่างๆ เมี่ยงถือว่าเป็นพระเอกของงานเลยเชียว
แม้ว่าปัจจุบันจะหากินได้ยากแต่เมื่อมาถึงบ้านแม่กำปองแล้วรับรองว่าต้องได้
เห็นทั้งวิธีทำ
และลิ้มรสเมี่ยงอย่างแน่นอน เพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตเมี่ยงรายใหญ่ของ
ประเทศ สืบทอดกันนานกว่า 150 ปี พร้อมๆ กับตั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว
จนมีคำชมเมี่ยงแม่กำปอง ว่าถึงขั้นยองขื่อ (อร่อยมาก
อมได้หลายครั้งก็ยังไม่หมดความอร่อย)


 
 การเที่ยวบ้านแม่กำปองจึงเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ศึกษาวิถีชีวิตชาว
บ้าน ที่สำคัญคือ การทำเมี่ยงหมัก
ตั้งแต่ตามชาวบ้านไปเก็บใบเมี่ยง ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกับใบชา
บนภูเขาในตอนเช้า กลับมา 5- 6 โมงเย็น เตรียมนึ่ง มัด เรียงลงถังหมัก
เมี่ยงยิ่งหมักนานยิ่งอร่อยค่ะ แต่เนื่องจากความต้องการของลูกค้า
และความต้องการหมุนเงินของผู้ขาย เมี่ยงหมักแค่ 15 วัน ถึง 1
เดือนก็ถูกขายแล้ว 

   เมี่ยงที่นิยมกินมี 2 รส คือเมี่ยงเปรี้ยว
โดยเอาใบเมี่ยงหมักมาเคี้ยว อมเล่นกับเกลือ และเมี่ยงหวาน
กินพร้อมมะพร้าวคั่ว ขิง และถั่วลิสง เคี้ยวเล่นเพลินๆ
คล้ายเมี่ยงคำของภาคกลาง แต่รสชาติจะเฝื่อนๆ ปะแล่มๆ กว่ากันมาก
ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าผู้เฒ่าผู้แก่เวลาออกไปทำงานบนเขา มักทำงานไป
อมเมี่ยงไป ทำงานทั้งวันได้ไม่มีเหนื่อย
จนมารู้ทีหลังว่าในใบเมี่ยงมีสารบางอย่างช่วยให้กระชุ่มกระชวย
ไม่หิวน้ำเลยทำงานได้นานขึ้น

   นอกจากศึกษาการทำเมี่ยงแล้ว กาแฟ
บ้านแม่กำปอง
ก็รสชาติดีไม่แพ้ที่ใด เพราะปลูกบนความสูง 1,200 -
1,300 เมตรจากระดับน้ำทะเลทำให้ต้นชาและต้นกาแฟเจริญเติบโตได้ดี
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในกลิ่นหอมละมุนและรสชาติกลมกล่อมของกาแฟ
อย่าลืมชิมกาแฟบ้านแม่กำปองด้วยนะคะ  

เมื่อมาเยือนบ้านแม่กำปอง
คุณอาจต้องแปลกใจในความเป็นระเบียบ ความสะอาด
และการจัดการทรัพยากรอย่างชาญฉลาด แต่ถ้าได้คุยกับคณะกรรมการหมู่บ้าน
โดยเฉพาะพ่อหลวงพรมมินทร์ พวงมาลา กำลังสำคัญของหมู่บ้านแล้ว
ความสงสัยนั้นจะหายไป
เพราะท่านได้นำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ให้เข้ากับชุมชนในการ
พัฒนาการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
พัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนด้วยการอบรมความรู้ด้านต่างๆ
ให้ชาวบ้าน เช่น การเลี้ยงหมูหลุม ที่ได้ทั้งเนื้อหมู
และได้ปุ๋ยอินทรีย์จากบ่อเลี้ยงหมูด้วย
แต่ถ้าอยากคุยเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน
คนเฒ่าคนแก่ที่นี่ก็ยินดีเล่าเรื่องราว
ตำนานชาวเมี่ยงให้คุณฟังเช่นกัน       

  ที่บ้านแม่กำปองมีวัดอยู่
แห่งหนึ่ง ชื่อว่า วัดคันธาพฤกษา หรือ วัดแม่กำปอง
สร้างมานานกว่า 70 ปี  เป็นวิหารไม้ทั้งหลัง
หน้าจั่วหลังคาวัดแกะสลักจากไม้สักเป็นลวดลายแบบล้านนา 
แม้จะผ่านแดดผ่านฝนมานานก็ยังมีสภาพคงทนอยู่
ด้านบนหลังคามีมอสและกล้วยไม้ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด
ดูแล้วทำให้นึกถึงเมืองในหมอกสมัยโบราณที่สวยงามเย็นตา 
แต่แฝงความลึกลับหน้าค้นหาไว้

   นอกจากจะเป็นศาสนสถานแล้ว
ทางวัดยังจัดสรรพื้นที่บางส่วนเป็นศูนย์ข้อมูลแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและ
กิจกรรมในหมู่บ้าน และเป็นที่รวมกลุ่มแม่บ้านผลิตหมอนใบชาเพื่อ
สุขภาพ
ทั้งหมอนรองคอ หมอนอิง หมอนใบชาเล็กๆ สำหรับใส่รถยนต์
หรือตู้เสื้อผ้าเพื่อซับกลิ่นอับ บอกก่อนว่าเป็นสินค้าขายดี
ขึ้นชื่ออีกอย่างของหมู่บ้านด้วย เข้าไปคุยกับคุณพี่ คุณป้าทั้งหลายได้
รับรองว่าทุกคนยินดีตอบคำถามและบอกขั้นตอนการผลิตหมอนอย่างเต็มใจจริงๆ
แถมที่วัดยังมีพระครูใจดีต้มยาสมุนไพรไว้ให้คนผ่านไปผ่านมาดื่มด้วย
ลองแวะไปขอดื่มได้

   
ไปถึงภาคเหนือทั้งทีอย่ากลัวว่าจะไม่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติเพราะมีน้ำตก
แม่กำปอง
สูง 7 ชั้น สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งของหมู่บ้าน
ชั้นที่สวยคือชั้น 1-2  ถ้าแรงดีจะเดินขึ้นไปถึงชั้น 7 เลยก็ได้
เพราะชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจสร้างทางเดินและศาลานั่งพักระหว่างน้ำตกชั้น
ต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมน้ำตกสะดวก แต่น้ำเย็นมาก
หากคิดจะลงเล่นน้ำคงต้องระวังเป็นตะคริว ทางที่ดีเล่นน้ำที่ลำธารซึ่งไหล
ผ่านหมู่บ้านดีกว่า เพราะน้ำไม่ลึกแถมเงียบสงบพอที่คุณจะนั่งเล่นริมน้ำ
หรือปล่อยใจนึกถึงวันเก่าๆ ได้เป็นอย่างดี

ดอยม่อนล้าน
ยอดดอยสูงสุดบริเวณนี้ อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ระหว่างทางขึ้นยอดดอยจะผ่าน ลาน
ซากุระ
ซึ่งบานสะพรั่งราวเดือนธันวาคม - มกราคม สวนสนสมเด็จย่า
มีลานกางเต็นท์แค็มปิ้งให้คนที่อยากล่องไพรได้นอนนับดาวเล่นด้วย
แต่การขึ้นดอยม่อนล้านต้องมีคนท้องถิ่นนำทางเพื่อความปลอดภัยและอำนวยความ
สะดวกให้คุณค่ะ 

   หากกังวลเรื่องอาหารการกินก็ไม่ต้องเป็นห่วง
เพราะถ้าคุณพักแบบโฮมสเตย์เจ้าของบ้านจะจัดอาหารให้ทั้ง 3 มื้อ
หรือถ้าอยากกินอาหารตามสั่งก็มีร้านอาหารเล็กๆ ในหมู่บ้านเช่นกัน 
ที่สำคัญไปถึงหมู่บ้านแล้วอย่าลืมกินอาหารท้องถิ่นทั้งไข่ห่อใบตอง
และส่าเมี่ยง (ยำใบเมี่ยง หรือยำสมุนไพร) ด้วย

  
ก่อนกลับอย่าลืมแวะเที่ยวถ้ำเมืองออน โครงการหลวงตีนตก สักการะหินมหัศจรรย์
น้ำพุร้อนสันกำแพง และดูกล้วยไม้ที่สันกำแพงออร์คิด
แต่ถ้าออกทางจังหวัดลำปางก็มีอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนให้แช่น้ำพุร้อนเล่นก่อน
กลับบ้านเหมือนกัน

   หากคุณไปเยี่ยมหมู่บ้านแม่กำปอง
อย่าแปลกใจนะคะ ที่รู้สึกว่านาฬิกาเดินช้าลง
เพราะที่แห่งนี้เป็นสถานที่พิเศษ คนที่รักความงามอันเรียบง่าย
ความสงบเงียบของสถานที่ ความจริงใจและไมตรีจิตของผู้คน
จะสัมผัสได้ถึงความรักใคร่ปองดองเหมือนพี่น้องที่ชาวบ้านมีต่อคุณ 
จนอยากให้เวลาหยุดเดินเลยด้วยซ้ำ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 19:39:34 น.
Counter : 212 Pageviews.  

หลงเสน่ห์เมืองเก่าที่ภูเก็ต


นอก
เหนือจากทะเลสีมรกตอันเลื่องชื่อของภูเก็ตแล้ว
เมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ยังคงซุกซ่อนสถาปัตยกรรมที่งดงามเหนือกาลเวลาอยู่ ณ
ใจกลางเมือง มาเที่ยวภูเก็ตคราวนี้จึงขอเดินชมเมืองให้หนำใจเสียหน่อยดีกว่า
การเดินนั้นไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะถนนในเมืองเส้นเล็ก และส่วนใหญ่เป็นทางวันเวย์ 

  
ถนนแรกที่ควรเดินชมคือถนนถลางต่อเนื่องไปจนถึงถนนกระบี่
เริ่มตั้งแต่หัวมุมถนนถลางตัดกับถนนมนตรีมีพิพิธภัณฑ์
ตราไปรษณียากรภูเก็ต
ตั้งอยู่ในที่ทำการไปรษณีย์ภูเก็ต
สร้างมาตั้งแต่ปี 2475 เป็นอาคารชั้นเดียว
ภายในจัดแสดงไปรษณียากรหลายยุคหลายสมัย เปิดทุกวันอังคาร-วันเสาร์ ตั้งแต่
9.30-17.30 น. ถัดไปไม่ไกลมี สำนักงานททท. ภาคใต้
เขต 4 จ.ภูเก็ต
อยู่ติดกับสวนเฉลิมพระเกียรติ
72 พรรษา มหาราชินี
แม้เป็นอาคารสร้างใหม่เลียนแบบตึกโบราณ
แต่เชื่อเถอะว่าคุณต้องสะดุดตากับตึกสีส้มหลังนี้
จนอดใจที่จะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกไม่ได้แน่ๆ 

  
ถึงสี่แยกถนนถลางตัดกับถนนเทพกระษัตรีแวะกิน โรตีบัง
หมีด
โรตีกินกับแกงเจ้าอร่อย ที่ช่วงเช้าๆ
คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวถึงกับต้องเข้าคิวรอกินเลยนะคะ มีแกงเขียวหวาน
แกงกะหรี่ และมัสมั่น ทั้งเนื้อวัวและเนื้อไก่ พิเศษสุดๆ ต้องใส่ไข่ด้วย
รับรองว่าอิ่มอร่อยจริงๆ ที่สำคัญเมื่อมานั่งกินโรตีตรงนี้แสดงว่าคุณมาถึง PHUKET OLD TOWN แล้วล่ะค่ะ
บริเวณนี้เคยเป็นเขตการค้าเก่า ที่คนจากอำเภออื่นมาซื้ออุปกรณ์ทำเหมืองแร่
แต่ปัจจุบันกลายเป็นเขตที่พักอาศัย เพราะตลาดสดและคิวรถไปหาดต่างๆ
ย้ายไปอยู่แถววงเวียนน้ำพุ แถวนี้จึงเงียบๆ มีร้านค้าไม่มากนัก



   ข้ามถนนจากร้านโรตี มายืนหน้าร้านขายรถจักรยานยนต์หัวมุมถนน
แล้วมองเข้าไปในถนนถลาง คุณจะเห็นลักษณะของบ้านเรือนที่เปลี่ยนไป
ตั้งแต่ตัวตึกแถว มีโครงสร้างอาคารและสถาปัตยกรรมเป็นแบบฝรั่งมากขึ้น
แต่ยังคงตกแต่งประตูหน้าต่างแบบจีน
ด้านหน้ากันพื้นที่บางส่วนเป็นทางเท้าให้คนผ่านไปผ่านมาได้เดินหลบแดดหลบฝน
เชื่อมต่อกันตลอดทั้งแนวตึก เรียกว่า "อาเขต
และปูพื้นทางเดินด้วยกระเบื้องโมเสกอย่างสวยงาม 

 
 ต้นถนนถลางส่วนนี้เป็นร้านผ้าโสร่งปาเต๊ะของแขกปากีสถานและคนจีนค่ะ
มีตั้งแต่ตัวละไม่กี่สิบบาทจนถึงตัวละเป็นหมื่น
มีนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นมาซื้อกันเป็นประจำ
ผู้หญิงภูเก็ตยังนิยมนุ่งผ้าโสร่งอยู่
โดยเฉพาะผู้ใหญ่หน่อยต้องใส่เสื้อลูกไม้ด้วย ถือว่าเป็นชุดออกงานที่เป็น
เอกลักษณ์ก็ว่าได้ ถัดจากแหล่งขายผ้าโสร่งไม่ไกลมี ภูเก็ต อาร์ต แกลลอรี่
แสดงผลงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ สับเปลี่ยนกันไปทั้งภาพวาด ภาพถ่าย
และงานปั้น คุณสามารถเข้าไปเดินชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ซอยรมณีย์ อยู่กึ่งกลางถนนถลาง
อดีตของซอยนี้เคยเป็นแหล่งเริงรมย์ มีหญิงงามจากมาเก๊ามาขายบริการ
ในซอยมีตึกแบบชิโนโปรตุกีสให้เดินชมต่อเนื่องกันหลายหลัง
และมีร้านกาแฟเล็กๆ
ไว้ให้เข้าไปนั่งพักด้วย ซอยนี้ยังทะลุถึงถนนดีบุกได้ ซึ่งเป็นถนนอีกเส้น
ที่น่าเดินเที่ยวเพราะมีอาคารสไตล์ชิโนโปตุกิสให้ดูอีกหลายหลัง และมีแหล่งอาหารจีนฮกเกี้ยนให้กินตรงหัวมุมถนนด้านที่ตัด
กับถนนเยาวราช แต่ถ้าเดินย้อนกลับมาถนนถลาง
ข้ามสี่แยกไฟแดงไปจะเจอถนนกระบี่ เดินไปอีกไม่ไกลเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว
ตัวแทนสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่ยังสมบูรณ์ เดิมเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีน
แห่งแรกของประเทศไทย สร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2477
แต่เดี๋ยวนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมาและวิถีชีวิตชาวจีนใน
ภูเก็ต เมื่อเดินเข้าไปคุณจะสัมผัสได้ถึงความลึกลับของตึกหลังนี้
โดยเฉพาะรูปปั้นค้างคาวตรงหน้าจั่วที่ช่วยเพิ่มความขลังได้เป็นอย่างดี
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่เปิดเป็นประจำ
หากอยากเข้าชมควรโทรแจ้งล่วงหน้าที่เบอร์โทรศัพท์ 0-7623-4482

  
ถ้าสนใจดู อั่งม้อหลาว หรือคฤหาสน์เก่า สุดถนนกระบี่มีบ้านชินประชา หรือจะไปบ้าน
หลวงอำนาจนรารักษ์

ที่ถนนดีบุกก็ได้ แต่บ้านเหล่านี้ยังมีคนอาศัยอยู่จึงควรชมความงามด้านนอก
เท่านั้น หรือหากต้องการเข้าไปในบริเวณบ้านควรขออนุญาตเจ้าของบ้านเสียก่อน

  
หากยังไม่เหนื่อยจะเดินต่อไปยังถนนเยาวราช ถนนพังงา ถนนกระบี่ และถนนรัษฎา
ก็มีตึกเก่าให้ดูเช่นกัน เช่น โรงแรมออน ออน ถนน
พังงา โรงแรมแห่งแรกในภูเก็ต เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The
Beach ด้วย
ด้านหน้าโรงแรมมีร้านกาแฟโบราณเข้าไปนั่งจิบกาแฟชมตึกเก่าก็ได้อารมณ์ดี
หรือแวะดูของเก่าใน โรงแรมถาวร ถนนรัษฎา
ทั้งอุปกรณ์ทำเหมืองแร่ หัวแร่ดีบุก ตู้เซฟทำจากไม้ ถ้วยชาม
ธนบัตรและเหรียญเก่า รวมถึงใบปิดภาพยนตร์และอุปกรณ์ฉายหนัง
ที่สำคัญอย่าลืมไปดูลิฟต์ตัวแรกของภูเก็ตที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ตื่นลิฟต์ถึง
ขนาดชาวบ้านจากจังหวัดใกล้เคียงเหมารถมาดูกันเลยทีเดียว

  
นอกจากเดินชมสถาปัตยกรรมแล้ว
วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีนในภูเก็ตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าศึกษา
ชาวจีนเหล่านี้อพยพมาจากสิงค์โปร์ ปีนัง
รวมถึงมณฑลฮกเกี้ยนในประเทศจีนตั้งแต่สมัยการทำธุรกิจเหมืองแร่ยังรุ่งเรือง
หล่อหลอมจนกลายเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ทั้งภาษา อาหาร
รวมถึงตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีส 

  
สถานที่หลอมรวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีนในภูเก็ตคือ อ๊าม
หรือศาลเจ้า
ค่ะ
วิถีชีวิตของชาวไทยเชื้อสายจีนในภูเก็ตเกี่ยวพันกับศาลเจ้าตั้งแต่แรกเกิด
เพราะชาวบ้านจะนำเด็กไปไหว้เจ้าเพื่อให้เทพเจ้าช่วยคุ้มครองสมาชิกใหม่
เมื่อโตขึ้นหน่อยพ่อแม่ก็มักพาลูกหลานไปช่วยงานหรือวิ่งเล่นที่ศาลเจ้าเป็น
ประจำ
เรื่องพิเศษอีกอย่างคือในวันแต่งงานบ่าวสาวจะพากันไปไหว้เจ้าเพื่อให้
เทพเจ้ารับทราบ ซึ่งวัฒนธรรมเหล่านี้อาจหาไม่ได้อีกแล้วในท้องถิ่นอื่น 

  
งานประจำปีที่สำคัญที่สุดของภูเก็ตคือเทศกาลถือศีล
กินผัก หรือเทศกาลกินเจ
ทุกวันที่ 1-9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน
(ปีนี้ตรงกับวันที่ 22-30 ตุลาคม)
เป็นประเพณีอันโดดเด่นและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ชาวบ้านไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะมาช่วยงานกันอย่างแข็งขันทั้งทำความสะอาดศาล
เจ้า ทำอาหารเลี้ยงคนที่มาไหว้เจ้า
และทุกศาลเจ้าจะจัดงานร่วมกันหมุนเวียนกันไปในแต่ละวัน จึงถือได้ว่าเป็น
งานกระชับความสัมพันธ์ของชาวภูเก็ตครั้งใหญ่ที่มีเพียงปีละครั้ง
และไม่ควรพลาดชมเป็นอย่างยิ่ง

  
ลองเที่ยวภูเก็ตในมุมใหม่ดูบ้างแล้วจะพบว่าเมืองเก่าแห่งนี้มีดีมากกว่าที่
คุณคิด







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 19:37:49 น.
Counter : 184 Pageviews.  

ยลสายหมอก ดอกฝ้ายบานที่ภูเรือ

ทุกครั้ง
ที่สายลมหนาวแวะเวียนมาเยี่ยมเรา ใครๆ ก็อยากขึ้นเหนือ
แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากหมดสนุกกับคลื่นมหาชน
หรือเบื่อรถติดอยู่บนดอย แต่ยังอยากสัมผัสลมหนาว สายหมอก
ดอกไม้งามอยู่......จังหวัดเลย น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกใจ
โดยเฉพาะที่อำเภอภูเรือ รับรองว่าทั้งสวยทั้งหนาว
แต่ด้วยความที่เป็นอำเภอเล็กๆ
สถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างอยู่ห่างไกลกันทำให้นอกฤดูกาลท่องเที่ยว
ที่นี่จึงเงียบเหงานัก

   มาพักผ่อนทั้งทีขอเที่ยวแบบสบายๆ
หน่อยจะดีกว่า เริ่มจาก อุทยานแห่งชาติภูเรือ
เป็นสถานที่ที่คุณจะได้ชมความงามของขุนเขา ทิวหมอก ดงสนแบบไม่ต้องเหนื่อย
ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะเส้นทางขึ้นยอดภู
จากจุดจอดรถเดินเท้าต่อแค่ไม่ถึง 1 กิโลเมตร
เดินไปชมวิวไปเดี๋ยวก็ถึงยอดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติภูเรือแล้ว
จุดสูงสุดของที่นี่มีความสูงประมาณ 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล
สูงกว่าภูกระดึงแค่นิดเดียวเองค่ะ (ภูกระดึงสูง 1,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล)

บนยอดภูเรือมีพระพุทธรูปนาวาบรรพตประดิษฐานอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะ
เพื่อความเป็นสิริมงคลด้วย 

  
ก่อนลงจากยอดภูเรืออย่าลืมเดินเล่นดูจุดชมวิวรอบๆ
วันไหนที่อากาศเป็นใจจะมองเห็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำเหืองซึ่งกั้นพรมแดนไทย
-ลาว นอกจากนี้ยังมีหินพระศิวะ อยู่ไม่ไกล
เป็นก้อนหินขนาดกลางที่ถูกลมฟ้าอากาศกัดเซาะมาเป็นเวลานาน
จนทำให้มีรูปร่างคล้ายศิวลึงค์ จากนั้นเดินเลาะริมหน้าผาไปยังจุดชมวิวผาโหล่นน้อย
ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของอุทยานแห่งชาติภูเรือ มองไปด้านซ้ายมือจะ
เห็นยอดภูเรืออยู่ไม่ไกล มีชะโงกผาเป็นที่ราบยื่นออกมาคล้ายสำเภาใหญ่
จนเป็นที่มาของชื่อ "ภูเรือ"




   ที่ผาโหล่นน้อยนี้มองเห็นวิวได้กว้างไกล ยิ่งช่วงเช้าๆ อากาศดี
คุณจะเห็นทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งระหว่างทิวเขาเป็นภาพที่สวยงามจับใจ
ยิ่งฤดูหนาวแบบนี้มีโอกาสเห็นทะเลหมอกได้ง่ายกว่าช่วงปลายฝนต้นหนาว
ที่อาจหมดสิทธิ์เพราะหมอกหนาจะปกคลุมยอดภูเรือตลอดเวลา
กว่าพระอาทิตย์จะตัดหมอกมาให้เราเห็นได้ก็เลยเวลาเที่ยงไปแล้ว

น้ำตกหินสามชั้น เป็นน้ำตกเล็กๆ ไหลลดหลั่นลงมา 3
ชั้น ถึงแม้ไม่สวยเด่นสะดุดตา
แต่ธรรมชาติโดยรอบอาจทำให้คุณหลงรักน้ำตกแห่งนี้ตั้งแต่แรกเห็น
โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์
ที่ต้นกุหลาบแดงจะออกดอกสีแดงสะพรั่งไปทั่วผืนป่า
ช่วยแต่งแต้มธรรมชาติให้สดชื่นและมีสีสัน

  
ก่อนออกจากอุทยานแห่งชาติภูเรือ หากมีเวลาควรไปจุดชม
วิวเดโช
ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีคนเที่ยวน้อย จึงชมทิวทัศน์ได้สะดวกสบายกว่า
และมีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นตัดกับทะเลหมอกได้ง่ายกว่าที่ผาโหล่นน้อยและ
ยอดภูเรือ

น้ำตกห้วยไผ่
น้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามของอุทยานแห่งชาติภูเรือ ต้องเดินเท้าเข้าไปประมาณ
2.5 กิโลเมตร เรียกว่าอยากชมสถานที่สวยๆ ก็ต้องพยายามกันหน่อย
น้ำตกห้วยไผ่เป็นน้ำตกชั้นเดียวแต่มีความสูงกว่า 30 เมตร 
และมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านล่าง
ไว้ให้นักท่องเที่ยวว่ายน้ำเล่นได้อย่างสบายใจ 
แต่ในฤดูแล้งน้ำอาจน้อยไปนิดแค่ก็พอให้คุณได้แช่เท้าเล่นเท่านั้นเอง 

 
 ขับรถออกจากอุทยานแห่งชาติภูเรือ ไปตามเส้นทาง 203
มุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองเลยไม่ไกลนักจะพบทางแยกเข้าทางหลวงชนบท ลย 3002
ไปอำเภอวังสะพุง จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่หมู่
บ้านกกบก
เป็นหมู่บ้านปลูกฝ้ายออแกนิกส์
ซึ่งกำลังจะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และโฮมสเตย์ในเร็ววันนี้
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางขุนเขา
หากคุณขับรถผ่านไปตอนเช้าๆ
อาจพบสถานที่ดูทะเลหมอกซ่อนตัวอยู่ริมทางแบบไม่คาดฝัน
ตัวหมู่บ้านเองถึงแม้ไม่ได้สวยงามโดดเด่นกว่าที่อื่นๆ
แต่น้ำใจและไมตรีจิตของชาวบ้านที่มีให้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดใจผู้มาเยือนให้
ต้องหวนกลับไปอีก

  
ที่นี่คุณอาจทำกิจกรรมในหมู่บ้านโดยชมขั้นตอนการผลิตผ้าฝ้ายออแกนิกส์
ตั้งแต่เก็บดอกฝ้ายยามเช้า สายหน่อยไปดูการปั่นฝ้าย ทอผ้า
หรือดูกรรมวิธีย้อมครามผ้าฝ้าย ถ้ามีเวลานอนค้างในหมู่บ้าน
กลางคืนชาวบ้านจะจัดการละเล่นพื้นบ้านให้ชม
ตอนเช้าตื่นไปตักบาตรทำบุญที่วัดป่าภูแปกวัดประจำหมู่บ้านก็ได้ 

ตลาดดอกไม้ริมทาง ตลอดเส้นทางสาย 203
ตั้งแต่อำเภอภูเรือถึงทางแยกไปหมู่บ้านกกบก
มีตลาดไม้ดอกไม้ประดับทั้งขายปลีกและส่งอยู่ข้างทางมากมายจนทำให้ถนนสายนี้
กลายเป็นถนนสายดอกไม้ ยิ่งในช่วงฤดูหนาว ดอกไม้สวยๆ
ต่างแย่งกันอวดสีสันอย่างเต็มที่
อย่าลืมแวะดูหรือซื้อกลับไปปลูกที่บ้านบ้างนะคะ

ชาโต เดอ เลย อาจคุ้นหูกันมาบ้าง
เพราะที่นี่เป็นแหล่งผลิตไวน์ไทยชื่อดังอีกแห่งหนึ่ง
มีทั้งส่วนที่เป็นไร่องุ่นและโรงงานไวน์
โดยนักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเที่ยวในไร่องุ่นได้ นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร
คอฟฟี่ช๊อป เบเกอรี่ และไอศกรีมอร่อยๆ ให้กินกัน
ขอแนะนำให้ลองไอศกรีมดอกกุหลาบมอญค่ะ
เพราะนอกจากแปลกไม่เหมือนใครแล้วยังรสชาติดีอีกด้วย 

ไร่สัณยา เป็นทั้งสวนผลไม้ ฟาร์มเห็ดหอมขนาดใหญ่
ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวชมการผลิตเห็ดหอมสดได้
หรือถ้าอยากพักกลางสวนเดินเก็บผลไม้กินเล่นตอนเช้า
ที่นี่ก็มีที่พักและกิจกรรมต่างๆ ไว้ให้บริการทั้งแคมปิ้ง ขี่จักยาน
และพายเรือแคนนู ก่อนออกจากไร่อย่าลืมซื้อเห็ดหอมสดกลับไปเป็นของฝาก
แนะนำว่าต้องรีบไปแต่เช้า เพราะขายดีมากสายหน่อยก็หมดแล้ว       

  
การเดินทางบางครั้งอาจมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ทั้งที่ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งครึ่งวัน แต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่มา
ต่างกับอีกที่หนึ่ง ซึ่งเป็นแค่ทางผ่าน
เรากลับพบที่ดูทะเลหมอกสวยงามจับใจแบบไม่คาดฝัน
ดังนั้นไม่ว่าการเดินทางจะพาเราไปพบกับอะไร การเตรียมใจยอมรับ
และคิดเสมอว่านั่นคือสิ่งพิเศษที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
จะช่วยให้เรามีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ค่ะ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 19:36:19 น.
Counter : 198 Pageviews.  

กินลม ชมดาว ฟังเรื่องเก่าที่หัวหิน


นสมัย
รัชกาลที่ 7 หมู่บ้านชายทะเลแห่งหนึ่งในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กลายเป็นสถานที่ตากอากาศของคนชั้นสูงในกรุงเทพฯ
จวบจนทุกวันนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังไม่คลายมนต์เสน่ห์ ภายใต้ชื่อ "หัวหิน"

  
บ้านสมอเรียงเป็นชื่อเดิมของหัวหิน
มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เล่ากันว่าชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในจังหวัดเพชรบุรีได้ย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะ
เหมาะทั้งทำประมงและเกษตรกรรม จนชุมชนขยายใหญ่กลายเป็นอำเภอ


  
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ คือเจ้านายพระองค์แรกที่สร้างพระ
ตำหนักขึ้นที่ชายทะเลหัวหิน จากนั้นเจ้านายอีกหลายพระองค์
ตลอดจนผู้มีอันจะกินก็ทยอยสร้างบ้านพักขึ้นริมชายหาดหัวหินเป็นจำนวนมาก แต่
ในปีพ.ศ.2475 หัวหินเริ่มซบเซาลงทั้งยังถูกเพ่งเล็งว่าเป็นที่ชุมนุมของชน
ชั้นศักดินา จนเวลาผ่านไป
หัวหินก็คืนชีวิตกลายเป็นที่เที่ยวคลาสสิคอีกครั้ง คราวนี้เราจึงชวนคุณ
เที่ยวแบบย้อนอดีตตั้งแต่เพชรบุรี เรื่อยไปถึงหัวหินกันค่ะ

พระรามราชนิเวศน์ หรือพระราชวังบ้านปืน
สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 มีนายคาร์ล ดอห์ริง
(Karl Dohring) สถาปนิกชาวเยอรมันเป็นผู้ออกแบบ
มีต้นแบบจากพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าวิลเลี่ยมไกเซอร์แห่งเยอรมัน 

 
 แม้เป็นพระราชวังเล็กๆ แต่มีความงดงามมาก
จนเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์และละครย้อนยุคหลายเรื่อง มีมุมสวยๆ
หลายมุมโดยเฉพาะเมื่อมองจากระเบียงชั้นบนมายังสวน
และมุมบันไดโค้งขึ้นสู่ชั้นสอง
ราวบันไดประดับตุ๊กตากระเบื้องรูปเด็กในอิริยาบทต่างๆ
นอกจากนี้แต่ละห้องยังมีการตกแต่งที่แตกต่างกันทั้งสีสันและวัสดุที่ใช้จึง
ให้อารมณ์และความรู้สึกต่างกันไปด้วย

พระ
นครคีรีหรือเขาวัง

เป็นพระราชวังฤดูร้อนในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สร้างบนยอดเขาเชื่อมต่อกัน 3 ยอด มีทั้งวัดประจำพระราชวัง พระที่นั่ง
หอดูดาว โรงรถ โรงม้า
โรงโขน แต่สิ่งที่อยู่คู่เขาวังมานานคือลิงกับต้นลั่นทม
หากเป็นช่วงที่ลั่นทมออกดอกพร้อมกันจะขาวพราวและหอมอบอวลไปทั้งเขาเลยที
เดียว 

พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
จัดเป็นพระราชวังริมทะเลที่สุดแสนคลาสสิคค่ะ
เพราะเป็นพระราชวังไม้ที่ทั้งโปร่งสบาย และโอ่อ่า
มีทางเสด็จพระราชดำเนินให้ลงสรงน้ำทะเลโดยง่าย แยกระหว่างฝ่ายหน้ากับฝ่ายใน
พระราชวังแห่งนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้สร้างขึ้น
เป็นที่ประทับในฤดูร้อน ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลี่ยน
เดิมที่แห่งนี้มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากโดยเฉพาะกวาง จึงเป็นที่มาของชื่อ
"มฤคทายวัน"  ซึ่งมีความหมายว่าสวนกวางนั่นเอง

สถานีรถไฟหัวหิน ชมตัวอาคารแบบดั้งเดิม
สะท้อนยุครุ่งเรืองของหัวหินในอดีต มีสิ่งที่น่าสนใจ คือ
พลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ
ที่นำมาจากพระราชวังสนามจันทร์เพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคราวเสด็จประพาสหัวหินทางรถไฟ 
หัวรถจักรไอน้ำ ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ
เป็นหัวรถจักรไอน้ำเก่าแก่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยซื้อมาจากประเทศอังกฤษ
และใช้งานก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นำมาแสดงไว้ให้คนรุ่นหลังเห็นวิวัฒนาการของรถไฟไทย

อาคารเก่าและสวนไม้ดัด
โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัล หัวหินรีสอร์ท เดิมชื่อว่า โรงแรมรถไฟ
เป็นโรงแรมเก่าในสมัยรัชกาลที่ 6 หรูหราที่สุดในภูมิภาค
เทียบได้กับโรงแรมชั้นนำในยุโรปสมัยนั้น ออกแบบโดยนาย RIGAZZO
ช่างชาวอิตาเลี่ยนประจำกรมรถไฟหลวง เป็นอาคารแบบโคโลเนียล หลังคามลิลาสูง
ตกแต่งด้วยไม้ฉลุ ซึ่งโรงแรมโซฟิเทลยังคงอนุรักษ์ไว้ และเปิดบริการห้องพัก
ทั้งยังสร้างอาคารเพิ่มเติมใหม่ให้มีลักษณะเดียวกัน
ทำให้ส่วนอาคารดูสวยงามได้อารมณ์ย้อนยุคยิ่งนัก

  
บริเวณโถงชั้นล่างของตึกเก่ายังมีพิพิธภัณฑ์
เก็บเครื่องใช้สมัยเป็นโรงแรมรถไฟไว้และมีสวนไม้ดัด
ให้ผู้พักในโรงแรมชมความสวยงามด้วย 2 แห่ง คือสวนหน้าโถงรับแขก
ด้านทางลงชายหาด และสวนข้างตึกเก่า
ที่พิเศษคือไม้ดัดรูปช้างตัวใหญ่ที่หูจะเป็นสีชมพูทุกครั้งเมื่อดอกเฟื่อง
ฟ้าบาน 

บ้านเก่าริมทะเล
เมื่อเดินเล่นริมชายหาดไปทางเขาตะเกียบคุณจะพบบ้านเก่าหลายหลังให้ชมเพลิน
และได้อรรถรสแบบคลาสสิคอย่างเต็มที่
หรือลองเลือกร้านอาหารที่ดัดแปลงจากบ้านเก่าริมทะเลนั่งดื่มด่ำบรรยากาศสบาย
และชิมอาหารอร่อยก็น่าจะได้กำไรสองต่อ

   ย้อนอดีตกันมาทั้งวันแล้ว
ก่อนค่ำขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่เขาหิน เหล็ก ไฟ
จุดที่ดีที่สุดคือ จุดชมวิวที่ 2 พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ตัวเมืองหัวหินก็สว่างไสวไปด้วยแสงไฟยามราตรี ทะเลมีแสงไฟจากเรือหาปลาอยู่
ริมขอบฟ้า
ส่องแสงเป็นประกายคล้ายดวงดาวในท้องทะเลสวยงามจับใจ แต่อย่าเพลิดเพลินกับ
ทิวทัศน์นานเกินไปนักเพราะจะลงเขาลำบาก
แนะนำว่าควรพกไฟฉายติดตัวไปด้วยเพื่อการเดินกลับที่สะดวกยิ่งขึ้น


   ลงจากเขาแวะกินอาหารอร่อย บรรยากาศดีที่ถนนแนบเคหาสน์
หรือกินอาหารจานเดียวง่ายๆ ที่ตลาดโต้รุ่งก็ได้
และอยากให้ลองปิดท้ายวันด้วยการเดินเล่นชายหาดหัวหินตอนกลางคืนจะได้อารมณ์
แตกต่างอีกแบบ เพราะทะเลกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
ปลอดภัยพอที่จะเดินเล่นได้สบายใจ (แต่ก็ไม่ควรฉายเดี่ยวออกไปไกลมาก)
และด้านหน้าหาดโรงแรมฮิลตันมีบาร์เล็กๆ ริมชายหาดให้คุณนั่งมองทะเล ชมดาว
คิดถึงใครบางคน หรือจะชิล ชิลก็ไม่ว่ากัน







Free TextEditor































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 19:34:10 น.
Counter : 199 Pageviews.  

On The Way บนเส้นทาง 3 สมุทร

สุดเขต
ผืนน้ำอ่าวไทยตอนในติดแผ่นดิน มีจังหวัดเล็กๆ
เชื่อมต่อกันเป็นทางผ่านของแม่น้ำสำคัญ 3 สาย แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน
แม่น้ำแม่กลอง เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มาของเรื่องราวดินแดน 3 สมุทร คือ
สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม   

  
ด้วยความที่เป็นจังหวัดเล็กๆ จึงมักถูกนักเดินทางมองข้ามไปเสมอ
แต่เชื่อไหมคะ 3 จังหวัดนี้มีความงามในความเรียบง่ายซ่อนอยู่ เริ่มจากจังหวัดสมุทรปราการ
ฝั่งอำเภอพระประแดงที่ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง
เป็นตลาดน้ำยามเช้าแห่งใหม่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน (พ.ศ.2547)
โดยชาวบ้านจะลอยเรือขายอาหารริมคลองกว่า 20 ลำ
และมีร้านปลูกเป็นเพิงหลังคามุงจากอีกหลายหลังขายอาหาร ของฝาก เสื้อผ้า
ต้นไม้หลายชนิด ตอนเช้ามานั่งกินอาหารที่นี่ คนยังไม่เยอะ
คุณจึงเดินไปชิมไปได้อย่างสบายอารมณ์
หรือถ้ารู้สึกเบื่ออยากลองหัดพายเรือในคลองดูบ้างก็ได้ 



   ออกจากตลาดน้ำอย่าลืมแวะนมัสการ พระสมุทร
เจดีย์
สัญลักษณ์คู่เมืองสมุทรปราการ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 และในรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างเจดีย์ครอบเจดีย์องค์เดิมให้สูงขึ้น
เพื่อเป็นที่สังเกตของนักเดินเรือต่างชาติว่าล่องเรือผ่านเข้าสู่ชายเขตพระ
นครแล้ว เดิมพระสมุทรเจดีย์ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำ
เรือสามารถขับวนรอบได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำและตะกอนทับถมทำให้กลาย
เป็นแผ่นดินเชื่อมต่อกัน จนดูไม่ออกว่าเคยตั้งอยู่บนเกาะมาก่อน 

  
จากพระสมุทรเจดีย์ไปไม่ไกลมี อุทยานประวัติศาสตร์
ทหารเรือป้อมพระจุลจอมเกล้า
หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "ป้อมพระจุลฯ"
สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญในกรณีพิพาทร.ศ.112
เมื่อประเทศฝรั่งเศสนำเรือรบเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม
พ.ศ.2436 ซึ่งกองทัพเรือที่ป้อมพระจุลฯ ได้ร่วมต่อต้านอย่างเข้มแข็ง
แต่ก็ไม่สามารถต้านทานได้
จนเป็นเหตุให้เราต้องเสียดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศส


   ภายในป้อมพระจุลฯ มีสิ่งที่น่าสนใจ คือ พระบรม
ราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ใต้ฐานพระบรมรูปมีห้องแสดงนิทรรศการเรื่องวิกฤตการร.ศ.112 ทั้งสไลด์
วีดิทัศน์ ภาพถ่าย และแผนที่จัดแสดงไว้อย่างน่าชม
แต่ห้องนี้จะเปิดในโอกาสพิเศษเท่านั้น
หากอยากเข้าชมควรสอบถามและแจ้งความจำนงค์ล่วงหน้า 

พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง
แม้จะไม่เคยถูกใช้ประจำการรบจริง
แต่ก็เป็นเรือครูของนายทหารเรือหลายต่อหลายรุ่น
และถือเป็นเรือที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดลำหนึ่ง
เมื่อปลดระวางจึงถูกนำมาจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นโครงสร้าง
และอุปกรณ์บนเรือรบจริง

   ปืนเสือหมอบ
อาวุธสำคัญในการรบกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส ร.ศ.112 มี 7กระบอก
เป็นปืนทันสมัยที่สุดสมัยรัชกาลที่ 5  ยิงได้ไกลกว่า 8,046 เมตร
ภายในป้อมปืนมีคลังเก็บกระสุนดินปืนไว้ไม่ไกล เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
แต่ปัจจุบันได้ย้ายกระสุนออกไปหมดแล้วและเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้

  
ออกจากจังหวัดสมุทรปราการตรงไปถนนพระราม 2 ผ่านจังหวัดสมุทรสาคร
ฟันเฟืองสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของประเทศ
แม้จะเป็นแค่ทางผ่านแต่ก็มีอะไรดีๆรอคุณไปสัมผัสเช่นกัน

ตลาดมหาชัย แหล่งรวมอาหารทะเล
มาเดินช็อปปิ้งอาหารทะเลที่นี่รับรองไม่ผิดหวังต้องได้ของติดมือกลับบ้าน
แน่ๆ เพราะมีทั้งกุ้งหอย ปู ปลา ตัวใหญ่ๆ อาหารทะเลแปรรูป
แช่แข็ง หรืออบแห้ง และบางช่วงยังมีอาหารทะเลแปลกๆ
อย่างปูแปะดองน้ำปลาให้ชิมด้วย 



ท่าเรือข้ามฟากมหาชัย - ท่าฉลอม
เป็นเส้นทางไปมาหาสู่ที่ย่นระยะทางของคนสองฝั่งแม่น้ำ
หากล่องเรืออยู่กลางแม่น้ำจะเห็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง คือ
หอนาฬิกาและรูปปั้นเรือสำเภา ซึ่งอยู่คู่กับท่าเรือมหาชัยมากว่า30 ปี
แต่ถ้าไม่อยากข้ามไปจะเดินชมวิวแถวๆ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองก็ได้
เพราะมองเห็นทิวทัศน์ของฝั่งท่าฉลอม และสถานที่ใกล้เคียงได้เหมือนกัน

ตำบลท่าฉลอม
เป็นหมู่บ้านชาวประมงที่สำคัญของจังหวัดสมุทรสาคร
มีทั้งโรงงานแปรรูปอาหารทะเล อู่ต่อเรือ สะพานจอดเรือ
ตลอดแนวริมอ่าวไปจรดตำบลบางหญ้าแพรก
นอกจากนี้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อคราวเสร็ดฯ
มาทรงเยี่ยมราษฎรได้ทรงยกท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาลแห่งแรกของประเทศไทย 

วัดสุทธิวาตวราราม หรือ "วัดช่องลม"
ตั้งอยู่ฝั่งท่าฉลอม เนื่องจากติดกับปากอ่าวไทย ช่วงเย็นๆ แดดร่มลมตก
คนท้องถิ่นจึงนิยมมาออกกำลังกาย หรือนั่งเล่นชมวิว
มาถึงวัดนี้อย่าลืมไปสักการะ หลวงพ่อหินแดง ในพระอุโบสถ
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทำด้วยศิลาแดง พระหัตถ์ข้างซ้ายมี 6 นิ้ว
เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากหากมากราบไหว้ขอพรมักจะสมหวังอย่างที่ตั้งใจ 

วิหารหลวงปู่แก้ว
ตั้งอยู่ใกล้กับพระอุโบสถใหญ่ "หลวงปู่แก้ว"
เป็นเจ้าอาวาสองค์ก่อนซึ่งมรณภาพแล้ว
แต่ด้วยความรักและศรัทธาของชาวบ้านจึงได้เก็บศพและสร้างรูปเหมือนของท่านไว้
กราบไหว้ ภายในวิหารหลวงปู่แก้วยังมีนกนางแอ่นเข้ามาทำรังเป็นจำนวนมาก
แถมรู้เวลาเปิดปิดประตูวิหาร ตอนเช้าออกไปหากิน
พอตอนเย็นใกล้ปิดประตูจะมาบินวนรอเข้าวิหาร
สร้างความประหลาดใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

พระโพธิสัตว์กวนอิม
สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสทรงครอง
สิริราชสมบัติครบ 50 ปีเมื่อปีพ.ศ.2539
เป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมปางเมตตาหลั่งน้ำมนต์จากคนโท ประทับยืนบนฐานมังกร
ซึ่งสวยงามและมีขนาดใหญ่มาก

   ออกจากท่าฉลอมมุงหน้าต่อไปยังจังหวัดสมุทรสงคราม
เมืองเก่าอีกแห่งหนึ่งที่รุ่มรวยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ที่น่าสนใจคือ วัดบางกุ้ง
ตั้งอยู่ในค่ายบางกุ้งมีความสำคัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี
โดยเป็นค่ายต่อต้านการรุกรานของพม่าหลายครั้ง
สิ่งที่เด่นของวัดนี้จนได้รับคัดเลือกเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen Thailand
คือ โบสถ์โพธิ์ปรก
เป็นโบสถ์ที่ถูกต้นไม้ใหญ่ทั้งต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร
และต้นกร่างขึ้นปกคลุมโอบล้อมไว้ ภายในมีหลวงพ่อนิลมณี พระพุทธรูปขนาดใหญ่
และภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ชม บริเวณวัดยังมีสระน้ำ
โบราณ
อายุกว่า 400 ปี แม้มีขนาดเล็กและทรุดโทรมไปมาก
แต่ยังกักเก็บน้ำได้ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนโบราณได้อย่างดี

วัดจุฬามณี
เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา
ภายในวัดมีพระอุโบสถที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 31 ปี
และภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องไตรภูมิ และพุทธประวัติที่วาดนานกว่า 6 ปี
โดยจิตรกรเพียงคนเดียว

วัดอัมพวันเจ
ติยาราม
เป็นนิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระอมรินทรามาตย์
สันนิษฐานว่าเป็นที่พระราชสมภพของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยรัชกาลที่ 3
ทรงสร้างพระปรางค์สำหรับบรรจุพระอัฐิและพระสรีระอังคารของรัชกาลที่ 2
และมีการบูรณะปฎิสังขรณ์พระวิหาร พระอุโบสถโดยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
อย่างต่อเนื่อง 

   ใกล้ๆ วัดอัมพวันมี อุทยาน
ร.2
เป็นหมู่เรือนไทยกลางสวนร่มรื่น
เรือนหลังเก่าอยู่ระหว่างซ่อมบำรุง
แต่ยังพอเห็นเค้าความงดงามของเรือนไทยเดิมได้
ส่วนหมู่เรือนไทยที่ใช้จัดแสดงแทนเป็นอาคารที่สร้างขึ้นใหม่
รายล้อมด้วยต้นไม้ในวรรณคดีไทย และไม้หอมนานาพันธุ์
เมื่อเดินเล่นในสวนแห่งนี้จึงหอมกลิ่นรวยรินของดอกไม้ตลอดเวลา

  
สถานที่สุดท้ายที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งเมื่อไปแม่กลอง คือ ตลาดน้ำอัมพวา
แม้มีขนาดไม่ใหญ่โตนักแต่ก็เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวา
ยิ่งใกล้เวลาพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
แสงจากดวงไฟหลากสีจะทอประกายสว่างไสวทดแทน
ผู้คนคึกคักยิ้มแย้มบ้างมากับครอบครัว บ้างมากันเป็นคู่
หรือกลุ่มเพื่อนฝูงต่างจับจองที่นั่งริมน้ำ สั่งอาหารกินกันอย่างสนุกสนาน
ที่ตลาดนี้พ่อค้าแม่ค้าจะเริ่มตั้งร้านตอนบ่ายๆ
และขายต่อเนื่องไปจนเกือบสามทุ่ม สินค้ามีทั้งของฝากอาหารแห้ง
จนถึงเสื้อผ้า โปสการ์ดน่ารักๆ และของเล่นโบราณหายาก ที่สำคัญ
อาหารอร่อยและราคาถูกมาก จานละ 10 -15 บาทก็อิ่มได้ ทั้งผัดไท หอยทอด
ก๋วยเตี๋ยว ทอดมันหัวปลี น้ำดอกอัญชัน
อิ่มแล้วหากยังไม่ง่วงอย่าลืมไปล่องเรือดูหิ่งห้อย รับลมเย็นๆ ก่อนนอน
รับรองว่าคืนนี้คุณต้องฝันดีแน่ค่ะ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 19:32:25 น.
Counter : 201 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.