Enjoy Life ที่สวนผึ้ง


ฤดูหนาวขยับ
ใกล้เข้ามาอีกนิด หลายคนคงมีแผนจะขึ้นเหนือ แต่ถ้าใครยังไม่มีสถานที่ถูกใจ
อยากให้ลองไปเที่ยวอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรีค่ะ
เพราะฤดูหนาวที่นี่ก็อากาศเย็นไม่แพ้ภาคเหนือ แถมมีรีสอร์ทน่าพัก
น่านอนหลายแห่ง เหมาะกับทริปสั้นๆ สุดสัปดาห์เป็นอย่างยิ่ง


   จากกรุงเทพฯ ขับรถแบบเพลินๆ แค่ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงอำเภอสวนผึ้ง
ซึ่งถูกโอบล้อมอยู่ท่ามกลางภูผาน้อยใหญ่แห่งเทือกเขาตะนาวศรี แวะเที่ยวที่ สวนป่าสิริกิติ์ เป็นสถานที่แรก
เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ จนถึง แก่งส้มแมว
ซึ่งเป็นแก่งหินธรรมชาติเกิดจากน้ำป่าไหลหลาก
พังทลายหินและหน้าดินจนเกิดเป็นแก่งหินกลางลำธาร
นอกจากนักท่องเที่ยวแล้วชาวบ้านก็นิยมมานั่งเล่น ปิกนิกที่นี่ด้วย
ยิ่งช่วงเย็นๆ จะมีนกยูง 5 – 6 ตัวเดินเล่นริมแก่งแบบไม่อายนักท่องเที่ยว
ช่วยเพิ่มบรรยากาศสวนป่าได้ดีจริงๆ


   นั่งเล่นเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว
เรารีบขับรถขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่ จุดชมวิว
ห้วยคอกหมู
ในความดูแลของตำรวจตระเวนชายแดน 137
แนะนำว่าหากเป็นรถเก๋งโหลดต่ำนี่ขอยกเว้นนะคะ
ไม่ควรขึ้นโดยเด็ดขาดเพราะทางไม่ค่อยดี ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถ
ลมหนาวที่อยากเจอก็โชยมาต้อนรับไม่ขาดสาย จนทำให้หนุ่มขี้หนาวถึงกับปากสั่น
ยิ่งหลังจากพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า อากาศบนจุดชมวิวยิ่งเย็นลงไปอีก
สอบถามพี่ตชด. ได้ความว่าหากเป็นช่วงฤดูหนาวบางคืนอุณหภูมิต่ำกว่า 10
องศาทีเดียว แถมตอนเช้ายังมีหมอกล่อยอ้อยอิ่งอีกต่างหาก
ว้าว...ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากกางเต็นท์นอนบนนั้น แต่ติดที่ยังรักสบาย
เลยขอไปนอนเอกเขนกที่รีสอร์ทก่อนดีกว่า



   หากพูดถึงที่พักสุดฮิปในอำเภอสวนผึ้ง คงหนีไม่พ้น The Scenery Resort and Farm
ที่นี่น่าประทับใจทั้งเรื่องการบริการ อาหาร ห้องพัก
และที่ถูกอกถูกใจเป็นพิเศษ คือ บรรดาฝูงแกะแก๊งค์ใหญ่
เจ้าของตัวจริงของรีสอร์ทที่ผูกขาดตั้งแต่ชื่อห้องพักที่มีทั้งพันธุ์แกะ
หญ้าและถั่วที่แกะกินเป็นอาหาร
เท่านั้นยังไม่พอวันดีคืนดีเจ้าแกะเหล่านี้ก็ยังมาเดินเล่นหน้าบ้านให้คุณ
ถ่ายรูปใกล้ๆ อีกด้วย ยิ่งตอนนี้มีขวัญใจตัวใหม่ คือ เจ้า Two Tone
ที่เพิ่งคลอดเมื่อไม่นานมานี้ และตัวมันก็มีทั้งสีขาวและสีน้ำตาล
ดูแปลกตาและน่ารักในเวลาเดียวกัน


   หลังจากเก็บของเข้าที่พัก เราไปกินข้าวเย็นที่ร้าน Honey Scene ภายใน The Scenery
มื้อนี้ถือเป็นเมนูหรูชุดใหญ่ทั้งสเต๊ก สปาเกตตี และบาร์บีคิว
แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลาเพียงไม่นานก็จัดการทุกอย่างเกลี้ยงหมด
อ้อ...สำหรับคนที่อยากรับประทานบาร์บีคิวอร่อยๆ ต้องสั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 3
วันนะคะ เพราะเขาต้องหมักเนื้อทิ้งไว้ถึง 1 วัน


   ตื่นเช้ารับอากาศสดชื่นแล้ว ไปตระเวนเที่ยวต่อที่ ธารน้ำร้อนบ่อคลึง ช่วงเช้าอากาศเย็นๆ
ได้แช่น้ำพุร้อนธรรมชาติรู้สึกสบายยิ่งนัก ที่นี่มีทั้งแบบบ่อธรรมชาติ
ค่าบริการ 30 บาท และบ่อกระเบื้อง ค่าบริการ 50 บาท
แต่ถ้าจะเข้าไปชมสถานที่เฉยๆ คิดค่าเยี่ยมชมสถานที่แค่ 5 บาทเท่านั้น
จะลองขึ้นไปบริเวณจุดกำเนิดธารน้ำร้อนก็ได้


   จากนั้นไปเที่ยวน้ำตกเก้ากระโจน
หรือน้ำตกเก้าโจน
ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล
น่าเสียดายช่วงที่เราไปน้ำน้อย จึงไม่ได้เก็บภาพน้ำตกแบบอลังการมาฝากคุณๆ
น้ำตกแห่งนี้มีเก้าชั้น หากเดินเล่นไปเรื่อยๆ ใช้เวลาสัก 1 – 2
ชั่วโมงก็ครบทุกชั้นแล้ว และขอแอบกระซิบดังๆ ว่ายิ่งสูงวิวยิ่งสวยค่ะ
มีแผ่นหินกว้างรองรับน้ำที่ตกลงมาเป็นชั้นๆ
ลองหลับตาแล้วจินตนาการดูว่าหากมีน้ำเต็มๆ จะสวยสักแค่ไหน


   เดินเที่ยวน้ำตกมาเหนื่อยๆ
ขับรถออกมายังถนนสายหลักพอถึงหลักกิโลเมตรที่ 33 สะดุดตากับป้าย “ล้านอาหาร บ้านหอมเทียน”
เลยต้องแวะลงไปคุยได้ความกระจ่างว่า “อาหารมีเป็นล้านยังไงเล่า”
ทางร้านเขามีคอนเซ็ปต์ “อาหารสโลว์ฟู้ด” ใช้เครื่องปรุงสดใหม่
ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น พืชผักออร์แกนิกส์
และเนื้อสัตว์จากฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านบ่อหวี แต่ที่ได้ใจสุดๆ
คือทำเครื่องปรุงสดใหม่ทุกจาน เรียกได้ว่าพอคุณสั่ง เขาถึงตำน้ำพริก
ขนาดนั้นเลยทีเดียว นอกจากอาหารอร่อย ทางร้านยังใช้จานชามสังกะสีอายุกว่า
50 ปีมาเสิร์ฟอาหารแถมข้าวก็ใส่ปิ่นโตมาให้ อร่อยแบบย้อนยุคจริงๆ


   หากเป็นขาลุยหน่อยมาสวนผึ้งคงไม่พลาดที่จะขึ้น เขา
กระโจม
จุดชมวิวชื่อดังของอำเภอสวนผึ้ง
ด้านบนมีลานกางเต็นท์และห้องน้ำห้องท่าไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวครบครัน
แต่รถที่จะขึ้นเขาต้องเป็นรถโฟร์วีลเท่านั้น เพราะทางค่อนข้างลำบากพอสมควร
ยิ่งหน้าฝนด้วยแล้วยิ่งหมดสิทธิ์ขึ้นเขากันเลยทีเดียว


   ที่สวนผึ้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง อาทิ ฟาร์มตัวอย่างตามพระราชดำริบ้านบ่อหวี น้ำตกผาชลแดน
น้ำตกผาแดง พิพิธภัณฑ์ภโวทัย โป่งยุบ และฟาร์มไม้ดอกไม้ประดับ
หากมี
เวลาสัก 3 วัน 2 คืน ลองจัดโปรแกรมเที่ยวให้ครบก็ได้นะคะ




อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Living นิตยสาร Health &
Cuisine ปีที่ : 8 ฉบับที่ : 92 เดือน
: กันยายน 2551






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 8:10:18 น.
Counter : 224 Pageviews.  

กินอยู่สุดหรูที่เลอ วิมาน เกาะเสม็ด


หาก
โหวตว่าเกาะไหนมีนักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวมากที่สุด รับรองว่า “เสม็ด”
ต้องติดอันดับ 1 ใน 10 อย่างแน่นอน เพราะนอกจากเดินทางสะดวก
ค่าใช้จ่ายแสนประหยัด น้ำทะเลใสสะอาดแล้ว หลายๆ
คนคงมีความทรงจำกับเกาะแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสนุกสนานเฮฮากับกลุ่มเพื่อน
หรือช่วงเวลาสวีทหวานของสองเรา


   ชายหาดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ด้านทิศเหนือ
และทิศตะวันออกตั้งแต่หาดทรายแก้ว อ่าวช่อ อ่าววงเดือน อ่าวลุงดำ
จนถึงอ่าวหวาย เพราะมีชายหาดลาดยาวเหมาะแก่การเดินเล่นพักผ่อนและเล่นน้ำ
จนมีรีสอร์ทน้อยใหญ่และบังกะโลเล็กๆ ขึ้นเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
แต่เชื่อไหมคะว่าอีกด้านของเกาะกลับเงียบสงบ
มีความเป็นส่วนตัวและมีที่พักสุดหรูแสนสบายชื่อ เลอวิมาน คอทเทจแอนด์สปา
รอคุณให้ไปสัมผัสเกาะเสม็ดในมุมมองใหม่


   เราเดินทางจากท่าเรือเสรีบ้านเพด้วยเรือสปีดโบ๊ทไม่ถึง 20 นาที
ก็มายืนหน้าอ่าวพร้าวที่ตั้งของรีสอร์ท หลังจากดื่มน้ำมะพร้าวเวลคัม
ดริ๊งค์จนชื่นใจ บางคนเลือกจะเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อน
แต่หลายคนเลือกที่จะทำสปาที่ทิวาริน สปา ภายในรีสอร์ททั้งการนวดหน้า นวดตัว
บอดี้สคลับ จนถึงนวดแผนไทย เรียกว่าขอลองแบบครบสูตร
ที่นี่เขาปลูกสมุนไพรใช้เองทั้งว่านหางจระเข้
และเตยหอมเพื่อใช้เป็นส่วนผสมสปาและให้นักท่องได้เที่ยวชมด้วย


   ส่วนเราถือโอกาสนี้เดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ทก่อนเป็นอันดับแรก
ว่ากันว่าเกาะเสม็ดก็คือเกาะแก้วพิสดารในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีของท่าน
สุนทรภู่นั่นเอง แล้วก็ช่างประจวบเหมาะที่เลอ วิมาน
นำตำนานรักของนางผีเสื้อสมุทรที่พาพระอภัยมณีหนีมาอยู่เกาะกลางทะเลมาเป็น
ธีมหลัก
สัญลักษณ์ของรีสอร์ทจึงเป็นรูปปั้นพระอภัยมณีและนางผีเสื้อสมุทรกำลังจู๋จี๋
นั่งอิงแอบกันอยู่บนแท่น บรรยากาศโดยรอบของรีสอร์ตตกแต่งอย่างหรูหรา
น่าอยู่และแอบหวานนิดๆ
ห้องแต่งสไตล์บาหลีเหมาะกับคู่รักที่อยากใช้เวลาส่วนตัวด้วยกัน
แต่ก็มิได้หมายความว่าหากไม่ได้ไปกับคนรักแล้วจะไม่สนุกนะคะ
เพราะเขามีกิจกรรมกลางแจ้งไว้รองรับอย่างครบครัน



   ถ้าใครชอบกีฬาทางน้ำจะเล่นเรือใบ วินเซิร์ฟ บานาน่าโบ๊ท
หรือจะเช่าเรือเที่ยวรอบเกาะ ไปดำน้ำเกาะทะลุ เกาะกุฎี
หรือเช่าอุปกรณ์ดำน้ำชมปะการังด้านหน้าชายหาดไม่ไกลจากฝั่ง
ส่วนใหญ่เป็นปะการังสมอง ปะการังเขากวาง
และปลาสวยงามทั้งปลาผีเสื้อและปลานกแก้ว หากติดอกติดใจอยากเรียนดำน้ำ
ก็มีสอนดำน้ำตั้งแต่ Open water จนถึง Dive Master
โดยได้รับใบประกาศดำน้ำจากสถาบัน PADI หากมีเวลาสัก 2 – 3
วันจะลองเรียนดูก็ได้ แต่ถ้าไม่มีเวลาหรือยังกล้าๆ กลัวๆ
อาจทดลองฝึกดำน้ำเบื้องต้น 2 – 3 ชั่วโมง ในหลักสูตร Discover Scuba Diving
ว่าคุณจะสามารถเรียนขั้นต่อไปได้หรือเปล่าก่อนก็ได้ค่ะ


   ส่วนเราเนื่องด้วยเวลามีจำกัด จึงเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธ์
พร้อมชมพระอาทิตย์ตกน้ำ ก่อนไปกินอาหารค่ำที่ร้าน BUZZ
นอกจากอาหารไทยรสชาติอร่อยๆ หลายเมนู
ยังมีบาร์ไว้ให้นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ฟังเพลงสบายๆ เคล้าเสียงคลื่น
นั่งคุยเล่นกันจนเกือบห้าทุ่ม
ใกล้ปิดร้านจึงได้เวลาแยกย้ายกันไปนอนหลับฝันดี


   วันรุ่งขึ้นเราไปกินอาหารเช้าที่ร้าน “O” Restaurant
มื้อเช้าแบบนี้มีบริการตั้งแต่ชุดอาหารเช้าแบบฝรั่ง ขนมปัง ไส้กรอก แฮม ไข่
สลัด อาหารญี่ปุ่น และอาหารไทยง่ายๆ เช่นข้าวต้มหมู ไก่ หรือทะเล
ส่วนมื้อกลางวันและเย็น มีอาหารอิตาเลี่ยนและพิซซ่าเตาถ่าน
เคล็ดลับความอร่อยของร้าน “O” อยู่ที่เครื่องปรุงสดใหม่ คุณภาพดี
ที่สำคัญเครื่องปรุงบางอย่างส่งตรงมาจากกรุงเทพฯ โดยเฉพาะแฮม ไส้กรอก
ส่วนขนมปังเขาอบกันเอง แต่รสชาติดีไม่แพ้โรงแรม 5 ดาวในกรุงเทพฯ


   ส่วนใครที่อยากชมรอบเกาะ หน้าหาดมีบริการรถโดยสาร
ราคาขึ้นอยู่กับระยะทาง
นอกจากนี้บนเกาะยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติและจุดชมวิวด้วย


  
ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนไม่ขาดสายแต่ธรรมชาติบนเกาะเสม็ดก็ยังงด
งามอยู่มาก ขนาดอ่าวพร้าวที่เราพักยังมีนกเงือกมาหาลูกไม้กิน
ให้นักท่องเที่ยวชมพฤติกรรมน่ารักของมันแบบไม่อาย
คนที่นั่นบอกว่าบนเกาะมีนกเงือกอาศัยอยู่เกือบ 20 คู่
พอถึงฤดูกาลบางหาดที่เงียบสงบก็จะมีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่
ทางเลอวิมานจึงทำโครงการอนุรักษ์เต่าทะเลด้วยการจำหน่ายโปสการ์ด
และตุ๊กตาเต่าทะเล เพื่อนำเงินไปมอบให้ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าที่เกาะมันใน
ในการดูแลลูกเต่าที่เกิดบนเกาะเสม็ดด้วยค่ะ




อ่านเพิ่มเติมในคอลัมน์ Living นิตยสาร Health &
Cuisine ปีที่ : 8 ฉบับที่ : 93 เดือน
: ตุลาคม 2551






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 8:08:38 น.
Counter : 244 Pageviews.  

เที่ยวสบายกระเป๋าจากเชียงรายไปเชียงตุง



ว่ากันว่าหากอยากเห็นเมืองเชียงรายในอดีต ต้องไปเยือนเชียงตุงในประเทศพม่า
เพราะมีความใกล้เคียงกับบ้านเราทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม
จนถึงอาหารการกิน แถมยังเป็นเมืองที่มีวัดวาอาราม และวัฒนธรรมอันงดงาม
เราจึงไม่รอช้าที่จะพาคุณไปเยือนเมือง “งาม” แห่งนี้กัน


   การเดินทางไปเชียงตุงที่สะดวกที่สุด คือ จากอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย นั่งรถชมวิวทุ่งนาสวยๆ แค่สามชั่วโมงกว่าก็ถึง
แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวเชียงตุง เราอยากให้คุณแวะเที่ยวเชียงรายก่อน เริ่มจากดอยแม่สลอง ที่มีไร่ชาอูหลงขนาดใหญ่หลายแห่ง
เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมและชิมชาได้ ระหว่างทางขึ้นหมู่บ้านสันติคีรีบนยอดดอยแม่สลอง
ชาวบ้านได้ปลูกต้นนางพญาเสือโคร่งไว้เป็นระยะ พอถึงช่วงเดือนธันวาคม –
กุมภาพันธ์ ดอกนางพญาเสือโคร่งจะผลิบานแข่งความสวยงามกัน


พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทราสถิตมหาสันติคีรี
ตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของดอยแม่สลอง บนความสูง 1,500 เมตร
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปสักการะพระธาตุและชมวิวหมู่บ้านสันติคีรีได้
ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตกดินยิ่งสวยงามเป็นพิเศษ
แต่ทางขึ้นคดเคี้ยวสูงชันควรขับรถด้วยความระมัดระวัง


   ลงจากพระบรมธาตุ ชมสุสานนายพลต้วน
ผู้นำทหารจีนที่เคยอยู่บนดอยแม่สลอง นอกจากแท่นบรรจุศพแล้ว
ยังมีประวัติผลงาน และภาพถ่ายเก่าแก่ของชุมชนดอยแม่สลองให้ชม
จากนั้นแวะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารคุ้มนายพล
ร้านอาหารใหญ่บนดอย มีเมนูอาหารยูนนานให้รับประทานหลายอย่าง
ทั้งขาหมูหมั่นโถ ถั่วลันเตาผัดน้ำมันหอย และแฮมยูนนาน


   เที่ยวเหนื่อยๆ ทั้งวันอาจแวะพักแถวๆ ดอยแม่สลอง
หรือในเมืองเชียงรายก็ได้ จากจุดนี้ใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 1
ชั่วโมงก็ถึงด่านชายแดนแม่สาย ประตูสู่เชียงตุง



   เชียงตุงตั้งอยู่ในเขตรัฐฉาน ประเทศพม่า
นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยววัด ชมเมือง สัมผัส
วัฒนธรรมของชาวเชียงตุงซึ่งได้ชื่อว่าน่ารัก เป็นกันเอง
และมีความใกล้ชิดกับคนไทยภาคเหนือไม่น้อย
โดยเราเริ่มเที่ยวตามคำขวัญของเชียงตุง คือ “3 จอม 7 เชียง 9 หนอง 12
ประตู”


   3 จอม คือ ภูเขาสามลูกที่โอบล้อมเมืองเชียงตุง ได้แก่ จอมมน ที่ตั้งของต้นยางนา ต้นใหญ่ความสูงกว่า 218
ฟุต มีตั้งแต่สมัยพระเจ้าอลองพญา เป็นไม้หมายเมืองของชาวบ้านในสมัยโบราณ
ที่ใช้กำหนดระยะทางว่าแม้จะเดินทางอยู่บนเขา แต่ถ้ามองเห็นไม้หมายเมือง
แสดงว่าอยู่ในเขตเมืองเชียงตุงแล้ว จอมศักดิ์
เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ ลักษณะเด่นคือ
เป็นพระยืนชี้นิ้วไปทางหนองตุง
ประทานพรว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่อยู่แล้วสบาย ร่มเย็นเป็นสุข และ จอมคำ
เป็นที่ตั้งของพระธาตุจอมคำอายุเก่าแก่นับพันปี ซึ่งมียอดพระธาตุเป็นทองคำ


   7 เชียง คือ มีหมู่บ้านอยู่รอบเมืองถึง 7 หมู่บ้าน ได้แก่ เชียงงาม
เชียงจัน เชียงลาน เชียงขุ่น เชียงอิน เชียงยืน และเชียงจิน
เชียงตุงเป็นเมืองที่มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์
แต่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทใหญ่


   9 หนอง ในอดีตเมืองเชียงตุง มีหนองน้ำใหญ่ถึง 9 แห่งด้วยกัน
แต่ปัจจุบันนี้เหลือเพียง หนองตุง
หนองน้ำใหญ่กลางเมืองเพียงแห่งเดียว
และเป็นสถานที่นั่งเล่นของหนุ่มสาวช่วงเย็นๆ ที่จะมานั่งดื่มน้ำชา กาแฟ


   ส่วน 12 ประตู คือประตูเมืองทั้ง 12 แห่งรอบๆ เชียงตุง
แต่ปัจจุบันเหลือเพียงประตูป่าแดงเพียงแห่ง
เดียวเท่านั้น


   วัดสำคัญอื่นๆ ที่น่าไปชมนอกจากจอมศักดิ์และพระธาตุจอมคำ คือ วัดมหาเมี๊ยะมณี (วัดเจ้าหลวง) วัดพระแก้ว
และวัดราชฐานหัวข่วง
ซึ่งหันหน้าเข้าหากันบริเวณสามแยกกลางเมือง
แต่ละวัดมีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปีขึ้นไป
และเป็นวัดศิลปะแบบมัณฑะเลย์ที่งดงามและหาชมได้ไม่ง่ายนัก
วัดราชฐานเชียงยืน เป็นวัดที่พระสังฆราชทรงพำนัก
และมีความเก่าแก่มากเช่นกัน


   สำหรับนักช็อป นักชิมทั้งหลาย เชียงตุงเป็นเมืองแห่งสินค้าราคาถูก
อาหารอร่อย โดยเฉพาะ กาดหลวง
ตลาดเช้ากลางเมืองเปิดตั้งแต่ 6.00 – 12.00 น.
เป็นตลาดใหญ่มีสินค้าจากประเทศจีน พม่า และไทย
แบ่งโซนประเภทสินค้าอย่างชัดเจนทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของใช้
และสินค้าหลากหลายชนิดตั้งแต่เครื่องจักสาน จานชาม ผ้าทอมือ ผ้าโสร่ง
เสื้อผ้า เครื่องกันหนาว เครื่องเขียน เรียกได้ว่าหากมองหาอะไร
ที่ตลาดเช้ามีขายทุกอย่าง แถมถ้ามีเวลาและตาดีๆ อาจได้ของแต่งบ้านเก๋ๆ
กลับมาเต็มคันรถแน่


   ส่วนร้านเฝอ ร้านอาหารแผงลอย
แม้จะเป็นร้านเล็กร้านน้อยแต่ก็มีอาหารอร่อยๆ หลายอย่าง เช่น โรตีแปะโอ่ง ที่ตลาดเช้า ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อ
ใครไปใครมาก็ต้องมาลองกินสัก 1 -2 ครั้งเป็นอย่างน้อย
วิธีทำคือตีแป้งโรตีคล้ายโรตีแขกแต่ไม่ทอด ใช้วิธีอบในเตาอบแบบเตาถ่าน
โดยการแปะโรตีบนขอบเตา จึงเป็นที่มาของชื่อโรตีแปะโอ่ง จิ้มกินกับเนย นม
น้ำตาล หรือถั่วกวน


ซอยแคบน้อย
อาหารหน้าตาคล้ายก๋วยเตี๋ยวหลอดบ้านเรา แต่ใช้แป้งสดคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อ
ใส่ไส้ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ปรุงรสด้วยกระเทียมเจียว พริก น้ำส้ม ซีอิ๊ว


   นอกจากนี้บริเวณแยกกลางเวียง
ไม่ไกลจากกาดหลวง มีร้านเฝออร่อยอยู่ร้านหนึ่ง มีทั้งเฝอหมู และเฝอเนื้อ
ที่สำคัญคือเป็นลูกชิ้นสดที่ตีเนื้อจนละเอียดแล้วนำมาต้มในน้ำเดือด
ลูกชิ้นจึงเหนียวนุ่ม อร่อยจริงๆ ร้านนี้ไม่มีชื่อร้าน เป็นห้องแถวเล็กๆ
เปิดตั้งแต่เช้าถึงดึก ใกล้กันมีร้านขายกล้วยทอด และร้านขายส่งสินค้า
ลองถามจากชาวบ้านดูนะคะ


   หากอยากรับประทานอาหารจีน แนะนำร้านโลกตา
มีบริการทั้งอาหารไทใหญ่ อาหารไทย อาหารจีน ราคาไม่แพง อาหารแนะนำเช่น
ยำไข่เยี่ยวม้า สตูหมู กอบย้านทอด (ปอเปี๊ยะทอด)
หรือหากอยากรับประทานอาหารท้องถิ่นแท้ๆ ต้องไปที่ประตูป่าแดงมีร้านอาหารไทใหญ่ เล็กๆ แต่อร่อยอยู่หลายร้านเช่นกัน


   หากมีเวลาอาจขึ้นไปชมธรรมชาติบนดอยเหมย
มีต้นท้ออยู่หลายต้น หากเป็นช่วงเวลาเหมาะๆ
อาจได้เดินเล่นใต้ดงดอกท้อก็ได้ แม้ดอยเหมยจะอยู่ไม่ไกล
แต่ถนนหนทางลำบากอยู่พอสมควร ควรออกเดินทางแต่เช้า

   เวลาสั้นๆ แค่ 3
วัน 2 คืน อาจไม่ทำให้เรารู้จักเมืองเชียงตุงลึกซึ้งนัก
แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือน้ำใจไมตรีของชาวเมืองที่มอบให้คนแปลกหน้าอย่างเรา
แบบไม่มีข้อจำกัด จนอดคิดไม่ได้ว่ามิตรภาพช่างไร้พรมแดนจริงๆ






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:41:20 น.
Counter : 302 Pageviews.  

ตะลุยโคลนไปปลูกป่าบ้านคลองโคน



เราเริ่มกิจกรรมที่ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคน
ฟังบรรยายสรุปเรื่องการปลูกป่า และโปรแกรมท่องเที่ยว
จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกไปลุยทะเลโคลน
แล้วนั่งเรืออีป๊าบผ่านปากคลองออกไปทะเล
ริมฝั่งมีบ้านเรือนยกพื้นสูงเหมาะกับภูมิประเทศให้ดูตลอดทาง


   ผ่านปากคลองมาไม่นาน ทางเรือวิ่งแทนที่จะเป็นน้ำ กลับเป็นเลนนิ่มๆ
ซึ่งเวลาวิ่งเรือบนเลนต้องวิ่งไปจนสุดทางหยุดไม่ได้
เพราะถ้าเรือติดหล่มขึ้นมาก็ต้องรอจนกว่าน้ำขึ้นถึงจะออกจากตรงนั้นได้


   ก่อนไปปลูกป่า เราเลี้ยวเข้าคลองไปดูลิงแสม
มีกล้วยติดไม้ติดมือไปนิดหน่อยจึงเอาไปฝากลิงด้วย
จะว่าไปลิงแถวนั้นก็มารยาทดีรอเราโยนกล้วยให้ไม่ลงมาแย่งกันให้วุ่นวาย
ให้อาหารลิงจนกล้วยหมด เราก็ออกไปปลูกป่ากัน ต้นไม้ที่ปลูกก็มีทั้งต้นแสม
โกงกาง และลำพู


   แม้เดี๋ยวนี้จะมีคนมาช่วยกันปลูกป่าชายเลนกันอย่างคับคั่ง
แต่ก็ใช่ว่าต้นไม้จะรอดทั้งหมด ปลูกแล้วตายก็มีอยู่ไม่น้อย
อีกทั้งพื้นที่ที่ถูกทำลายก็กว้างใหญ่ การลงมือปลูกอย่างต่อเนื่อง
และมุ่งมั่นจึงช่วยสร้างป่าบนพื้นน้ำได้ดีที่สุด
บริเวณที่เราปลูกป่าเป็นตะกอนดินปากแม่น้ำผืนใหญ่
ถัดไปเป็นพื้นที่สาธารณะให้ชาวบ้านทำกินกว้างยาวกว่า 3 กิโลเมตร
ใครมีแรงเท่าไรจะทำกินมากแค่ไหนก็ไม่มีใครว่า


   ระหว่างปลูกป่าเหลือบไปเห็นสัตว์ตัวดำๆ จมอยู่ในเลน
หยิบขึ้นมาดูปรากฏว่าเป็นแมงดาทะเล
เป็นที่ตื่นเต้นสำหรับคนไม่เคยเห็นเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งพอมองไปรอบๆ
เห็นชาวบ้านถีบกระดานเลนหาหอยแครงเป็นกลุ่มๆ
ยิ่งเห็นค่าของทะเลตมและดินดอนปากแม่น้ำแม่กลองแห่งนี้เพิ่มมากขึ้น
เพราะการปลูกป่าไม่เพียงช่วยคนแม่กลองเท่านั้น
แต่ยังเป็นแหล่งอาหารให้คนทั่วประเทศอีกทางหนึ่ง



   ปลูกต้นไม้กันพอหอมปากหอมคอ เราก็ล่องเรือออกทะเลต่อไปเรื่อยๆ
ช่วงที่เราไปเป็นช่วงน้ำแห้งตอนกลางวัน ชาวบ้านจึงออกงมหอย หาปลาเป็นระยะ
เรานั่งเรือผ่านกล่ำปลาดุก
ภูมิปัญญาพื้นบ้านที่นำกิ่งไม้มาปักไว้รอปลาดุกเข้าไปติดแล้วล้อมจับอย่าง
สะดวก


   ก่อนจะถึงกระเตงพักกินข้าว เราผ่านฟาร์มหอย
นางรม ฟาร์มหอยแมลงภู่

สอบถามได้ข้อมูลว่ากว่าจะเก็บหอยขายได้ก็ต้องใช้เวลานานนับปีขึ้นไป
ถ้าปีไหนโชคร้าย เกิดมีน้ำเสียไหลลงทะเลมาก หอยก็ตายหมด
แทนที่จะได้เงินชาวบ้านอาจถึงขั้นล้มละลายเป็นหนี้เป็นสิน
แต่ถ้าปีไหนไม่มีน้ำเสีย ชาวบ้านก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำกันเลยทีเดียว
จึงเป็นเรื่องจิตสำนึกของคนต้นน้ำด้วยว่ามีมากน้อยเพียงใด
อย่าลืมว่าทุกชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพากันนะคะ


   เที่ยวชมนั่นนี่มาค่อนวัน รู้ตัวอีกทีท้องร้องเสียแล้ว
เราจึงแวะขึ้นกระเตงของศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนคลองโคนเพื่อกินข้าวเที่ยงกัน
ด้านบนมีลักษณะคล้ายศาลาขนาดใหญ่
สร้างเลียนแบบกระเตงเฝ้าฟาร์มหอยของชาวบ้าน มีห้องนอนได้
มื้อนี้มีเมนูเป็นอาหารพื้นบ้านง่ายๆ อย่างต้มส้มปลากระบอก น้ำพริกปลาทู
กุ้งย่าง หมึกย่าง ปูต้ม ปลาทอด แต่ขอบอกว่าอร่อยเด็ดจริงๆ
ใช้เวลาไม่นานเราก็กินอาหารทุกอย่างจนเรียบจาน ตบท้ายด้วยแตงโมหวานๆ ชื่นใจ
นั่งคุยกันไป รับลมเย็นๆ ไป
รอจนข้าวเรียงเม็ดดีแล้วก็ถึงเวลาออกไปเที่ยวกันต่อ


   เริ่มจากถีบกระดานเลนหาหอยแครง วิธีเล่นคือนั่งบนไม้กระดานยาวๆ
ลักษณะคล้าย สเก็ตบอร์ด แล้วใช้เท้าข้างหนึ่งถีบลงไปในเลน
เพื่อให้ไม้กระดานเคลื่อนไปข้างหน้า
ต้องบอกว่ากิจกรรมนี้เหนื่อยเอาการเพราะกว่าจะถีบให้กระดานเลื่อนไปแต่ละ
ครั้งใช้แรงไม่น้อย เล่นได้ 3 รอบต้องขอตัวไปเดินเก็บหอยเองง่ายกว่า
เพราะแค่เอามือควานๆ ลงไปในเลนก็มีหอยติดมือขึ้นมาแล้ว


   ซ้อมถีบกระดานได้ที่เราก็มาเล่นวินเซิร์ฟ
อุปกรณ์มีแค่กระดานเลนและฝากล่องพลาสติกเท่านั้น
คุณอาจสงสัยว่าจะเล่นวินเซิร์ฟบนเลนได้อย่างไร
ลองมาดูกันค่ะเริ่มจากไถกระดานไปต้นลม
ได้ระยะพอสมควรก็ถีบกระดานให้เลื่อนไปข้างหน้า แล้วยืนถือฝากล่อง
ลมจะพัดประทะฝากล่อง เป็นแรงเคลื่อนไปข้างหน้าจะเลี้ยวซ้าย
เลี้ยวขวาแค่เอี้ยวตัวก็เลี้ยวได้ง่ายๆ


   สุดท้ายเราปิดกิจกรรมด้วยการเล่นสกี
ผลัดกันนั่งผลัดกันยืนเป็นที่สนุกสนาน จนลมฝนหอบใหญ่เริ่มพัดมา
เราจึงล่องเรือกลับที่พัก การเที่ยวครั้งนี้ไม่เพียงให้ความสนุกเท่านั้น
แต่ยังสอนให้เรารู้จักคุณค่านานัปการของธรรมชาติ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
การพึ่งพิงกัน และการใช้ชีวิตเรียบง่าย
แม้จะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแต่ก็มีความสุขได้จริงๆ ค่ะ







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:39:56 น.
Counter : 273 Pageviews.  

หลงกลิ่นชาในเมืองดอกไม้ “นูวารา เอลิยะ”



ด้วยระยะทางเพียง 90 กิโลเมตรจากเมืองแคนดี้ (Kandy)
เพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง “นู วารา เอลิยะ
(Nuwara Eliya)
เมืองสีมรกตที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดในตอนกลางของประเทศศรีลังกา
หรือซีลอนในอดีต เราได้ใช้เวลาเดินทางหมดเปลืองไปมากกว่าห้าชั่วโมง


   รถของเรายังคงเลี้ยวเลาะไปตามไหล่เขาอันคดเคี้ยวราวกับเขาวงกต
จากถนนเลนกว้างเริ่มแคบ ลงไปเรื่อยๆ
จากโค้งป้านเริ่มเป็นโค้งแบบหักศอกถี่ขึ้น ทางหลวงสายแคบๆ เส้นนี้
บางช่วงรถต้องจอด หลีกหลบกัน มีทิวเขาที่สูงๆ ต่ำๆ สลับกับ
ทุ่งชาอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
ทิวทัศน์บางช่วงเป็นทุ่งโล่งกว้างสีเขียว อยู่ๆ
ก็มีธารน้ำตกขนาดมหึมาโผล่ตัวออกมาอวด ความงาม
สายน้ำขาวโพลนไหลหลั่งเสียงดังเซ็งแซ่
ตามแนวหน้าผาสูงชันบนเขาเทือกนี้มีการปลูกหญ้า
แฝกซ้อนทับหลายชั้นเพื่อกันดินถล่มไว้ด้วย
มีดงดอกไม้ป่านานาพันธุ์เกี่ยวเกาะห้อยอยู่ตามขอบผา
ทั้งดอกมอร์นิ่งกอรี่สีม่วงครามและดอกไอริสป่าสีส้มแจ๋น
แข่งกันผลิบานไปทั่วทั้งเขา


   หน้าไร่ชาริมทางหลายแห่งเป็นที่ตั้งของโรงผลิต
ชา หรือ โรงบ่มใบชา
ซึ่งมีขนาดใหญ่โตโอฬาร
ป้ายชื่อแต่ละแบรนด์ล้วนเป็นยี่ห้อคุ้นตาทั้งนั้น
บางโรงผลิตชายังเปิดเป็นร้านอาหารและมีห้องน้ำ สะอาดไว้บริการนักท่องเที่ยว
บางโรงบ่มชาอนุญาตให้เจาะเข้าไปชมการผลิตถึงภายในโรงงานเลย ทีเดียว
และเกือบจะทุกโรงบ่มชาต้องมีผลิตภัณฑ์จากใบชาจำหน่าย


   บางชนิดถูกแต่งรสด้วยเครื่องเทศ หรือ“Spice Tea”
จะมีกลิ่นหอมเร่าร้อน เช่น ชาผสมซินามอนหรือ อบเชย ชาผสมพริกไทยดำ
ชาผสมลูกจันทน์ และชาผสมกานพลูที่ช่วยให้ ปากและลมหายใจหอมที่สุด
นี่ยังไม่รวมชาที่ผสมเครื่องแกงต่างๆ อีก บางชนิดอร่อยลิ้นจนซู่ซ่า
ยังมีชาที่ประทับใจมากอีกแบบคือ “ชานม” หรือเรียกว่า “เมกที”
ซึ่งเป็นชาที่คนพื้นถิ่นนิยมดื่มกัน คือเขาจะชงชาดำแก่ๆ แล้วใส่
นมข้นหวานลงไป จากนั้นก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย น้ำชาจะมีสีส้มนวลสวย
รสชาติหอมกรุ่นมีรส หวานนำ



   ชาซีลอนมีหลายเกรด เกรดชั้นดีเลิศหรือระดับเอลิสต์เรียกว่า B O P F
ย่อมาจากคำว่า Broken Orange Peko Fine ถือว่าเป็นชาชั้นเยี่ยมยอด
ให้รสชาติหอมละมุน รองลงมาคือ แบบ B O P ซึ่งยังถือว่า อยู่ในเกรดเดอะเบส
แต่รสชาติจะเข้มกว่าแบบแรก ต่อไปคือชาที่เป็นแบบเศษผง หรือเรียกว่า Dust 1
กับ Dust 2 ชาประเภท Dust นี้ จะทำขายในรูปของผงชาบรรจุซอง
หรือแบบถุงที่มีเชือกผูก ให้ชงดื่มใน น้ำร้อน แบบจุ่มใส่ถ้วยชา


  
ถ้าได้มาถึงศรีลังกาแล้วคุณจะต้องไม่พลาดที่จะต้องลองลิ้มชิมน้ำชาที่ใส่
น้ำตาลพื้นบ้านของเขา ด้วย แต่ไม่ใช่น้ำตาลพื้นๆ อย่าง น้ำตาลอัดก้อน
น้ำตาลกรวด หรือน้ำตาลทรายแดง แต่น้ำตาลที่ว่าคือ “น้ำตาลปึก”
เป็นน้ำตาลที่เคี่ยวมาจากน้ำตาลจาก“ต้นเต่าร้าง” (Plam Fish Tail)


   ต้นเต่าร้างของที่นี่ไม่เหมือนเต่าร้างบ้านเราที่ลำต้นมีหนามแหลมยาว
ใบและผลทำให้คันขะเยอ ต้นเต่าร้างเมืองนี้ไม่มีหนาม ลำต้นอวบอ้วนโต
ใบใหญ่หนานิ่มจนลู่ มีขึ้นพรึ้บให้เห็นผ่านตาตลอดสองข้างทางในหุบเขา
เขาจะกรีดน้ำตาลที่บริเวณลำต้นเหมือนการกรีดยาง พอได้น้ำตาลแล้วก็เอาไป
เคี่ยวจนงวด หยอดใส่ในกะลามะพร้าว
พอแห้งแล้วคว่ำออกมาจะได้น้ำปึกเป็นรูปครึ่งวงกลมก้อน เบ้อเริ่ม
สีสันเหมือนน้ำตาลคาราเมล สวยสดฉ่ำไม่ซีดขาวเหมือนน้ำตาลปึกจากน้ำตาลโตนด
หรือ น้ำตาลมะพร้าวบ้านเรา


   ต้นเต่าร้างที่นี่นอกจากให้ประโยชน์แก่มนุษย์แล้ว
สัตว์คู่บ้านคู่เมืองซีลอนอย่างช้างก็ได้กินต้น และใบเต่าร้างแทนอ้อย
เพราะน้ำตาลจากต้นเต่าร้างมีส่วนประกอบของน้ำตาลฟรุกโตส คือกินแล้ว
จะไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่ม
ดังนั้นไม่ว่าคนหรือช้างเมืองนี้จึงปลื้มกับการกินน้ำตาลจากต้นเต่าร้าง
ตามโรงแรมระดับสี่ถึงห้าดาว
ในทุกมื้ออาหารเช้าคุณจะได้พบปะหน้าตาของน้ำตาลเต่าร้าง
บนโต๊ะบุฟเฟ่ต์เสมอๆ จะหั่นไว้เป็นก้อนสี่เหลี่ยมเล็กๆ
รสชาติหอมหวานอร่อยลิ้น ชาร้อนทุกมื้อ
ควรหย่อนน้ำตาลปึกเต่าร้างลงไปสักก้อน การันตีเลยว่าชาถ้วยนั้นจะเป็นชาหอม
รสเลิศที่สุด


   หลังจากได้ช็อปฯ กระหน่ำจนกระเป๋าแบนแฟ่บไปแล้ว เราจึงออกเดินทางต่อ
สักพักใหญ่ก็มาถึงใจกลางเมืองนูวารา เอลิยะ
ค่ำนี้เราจะพักในโรงบ่มชาโบราณสุดงามซึ่งมีประวัติยาวยืด ปัจจุบันถูก
ดัดแปลงเป็นโรงแรมสุดหรูชื่อ “The Tea Factory &
Spa Kanapola”
ตั้งอยู่กลางหุบเขา โอบล้อมด้วยทุ่งชาเขียวขจี
และยังการันตีด้วยรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางด้านสถาปัตยกรรมดีเด่นในภูมิภาค
เอเซีย แปซิฟิกแห่งองค์กรยูเนสโกประจำปี 2001 “The Unesco Asia –Pacific
Heritage 2001” อีกด้วย


   เรายังพอมีเวลาชิลๆ ที่จะไปเดินทอดน่องยืดเส้นขยับเอ็นกันในเมือง ตลาดวันนี้ละลานตาไปด้วยผลหมากรากไม้สีสันสดสวย
มะม่วงพื้นถิ่นผิวสีสดเหมือนสีขนนกมาคอร์ อะโวคาโดลูกยักษ์กองเท่าภูเขา
ผิวมันวาวอย่างกับเคลือบแว๊กซ์เอาไว้ ยังมีลูกตะขบป่าสีแดงเชอร์รี่
ที่กองอยู่ในตะกร้าผลใหญ่เกือบเท่าพุทรากลิ่นก็ห้อมหอม
ลิ้มลองแล้วหวานกรอบหอมอร่อยดั่ง ผลไม้ทิพย์ ยังมีกล้วยอีกหลากชนิด
ที่นี่ห้อยขายกันเป็นเครือ ถ้าจะซื้อเป็นหวีก็เฉือนแบ่งขายให้


   จากตลาดเราเดินไปชมสิ่งก่อสร้างกลางเมืองที่สะดุดตามาก นั่นก็คือ ที่ทำการไปรษณีย์
ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษจ๋าเลย
ยังมีแปลงดอกไม้ที่ถูกปลูกประดับไว้ทั่วทั้งเมือง
ดอกไม้บางชนิดเหมือนกับที่ขึ้นอยู่ในแถบยุโรป เช่น ดอกป๊อปปี้ป่าสีส้มแปร๋น
ดอกลิลลี่สีหวาน ส่วนกุหลาบบ้าน
กุหลาบป่ากอใหญ่สาดสีส่งกลิ่นหอมหวนไปทั่วบริเวณ


   เมื่อย้อนไปในช่วงที่อังกฤษเข้ามาปกครองศรีลังกา นูวารา เอลิยะ
เป็นเมืองที่ชาวอังกฤษนิยมสร้างบ้านพักตากอากาศเพื่อใช้ในช่วงฤดูร้อน
เพราะมีทัศนียภาพสวยงาม และอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
ตึกรามบ้านช่องที่นี่นำแบบมาจากอังกฤษทั้งนั้น
และหลังจากศรีลังกาได้รับเอกราชแล้ว
ชาวอังกฤษยังได้ทิ้งวัฒนธรรมการดื่มชาไว้อีกด้วย


   ปัจจุบัน เมืองนูวารา เอลิยะ เป็นแหล่งปลูกชาส่งออก
และมีธุรกิจโรงผลิตชาที่ยิ่งใหญ่ และมากที่สุดในประเทศ โลกของ “ชา”
ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ยังมีตำนานชาที่น่าสืบค้นอีกมากมาย และมีชาซีลอน
วิเศษอีกหลากหลายที่ชวนให้ผู้คนจากทั่วโลกแวะไปลิ้มลอง และด้วยเหตุนี้
นูวารา เอลิยะ จึงเป็นเมือง ที่ไม่เคยระเหิดหายไปจากกลิ่นหอมของดอกไม้
และใบชา







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2553 7:37:13 น.
Counter : 199 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.