"เจาะเคล็ดวิชาฝ่าวงล้อมวิกฤต"

เมื่ออาเฮียที่ผมรัก+นับถือเสมอมา จะไปขึ้นเวทีสัมนา...



การลงทุนมักทำให้เกิดความเครียดอยู่เสมอๆ
แต่ ความเครียด ของคุณกำลังจะหมดไป.....
เนื่องจาก ท่านวิทยากรรับเชิญในครั้งนี้ จะมาช่วยคลายปัญหานี้ให้แก่ท่านนน!!!
ท่านวิทยากรผู้นี้ เป็นนักลงทุนระดับตำนาน ผู้ซึ่งสยบมาแล้วทั่วทั้ง 4 ทิศ 8 ทาง
ไม่เว้นแม้แต่ “ความโลภ” ในจิตใจของตนเอง
ด้วยประสบการณ์อันยาวนาน ผ่านวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน
ศึกษาวิชาหลากหลายแขนง จนหลอมรวมเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งไม่มีสอง
เคล็ดวิชา “มวยวัด” และ กระบวนท่า “คลายเครียดเรโช” อันเลื่องชื่อ
เจ้าของวลีอมตะ “อย่าโลภ......เกินความรู้”

“เฮียคลายเครียด”

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเคย ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวิกฤติ
ในตลาดหุ้นไทยมาอย่างยาวนานที่สุดท่านหนึ่ง
จะมาถ่ายทอดวิชา ที่กลั่นมาจากประสบการณ์ฝ่าวิกฤติอันโชกโชน
เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันแก่นักลงทุนรุ่นหลัง
รอบนี้ถ้าให้เปรียบเป็นหนังคงเหมือนกับนำเอาสตาร์วอรส์ทุกภาคมารวบยอดอยู่ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ประสบการณ์การรับมือกับวิกฤตที่เฮียคลายเครียดจะเล่าครั้งนี้ นับว่าเหมือนเปิดกรุสมบัติตลาดหุ้นไทยทีเดียวครับ

กำหนดการการรับสมัครนะครับ ขอให้สมาชิกทุกท่านอ่านโดยละเอียดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวท่านเองนะครับ
เปิดรับจอง 200 ที่นั่ง : วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 - เวลา : 10.00 น.
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์โอนเงิน : วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 - เวลา : 13.00 น.
ระยะเวลาโอนเงิน : วันจันทร์ที่ 18 – วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2556
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมงาน : วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556

กติกาการจอง
1. สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ลงชื่อจอง ในวันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556
2. สมาชิก 1 ท่าน มีสิทธิ์จองให้ “ผู้ติดตาม” ได้อีก 1ท่าน โดยที่ “ผู้ติดตาม” จะเป็นสมาชิกฯหรือไม่ ก็ได้
3. ค่าเข้าร่วมงาน
1,300 บาท สำหรับ บุคคลธรรมดา
1,170 (ลด 10% ) สำหรับ สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
4. หากโอนเงินมา โดยไม่มีชื่ออยู่ในกระทู้ “ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์โอนเงิน” หรือ โอนเงินนอกช่วงเวลาที่สมาคมกำหนดไว้ ทางสมาคมขอสงวนสิทธิ์ไม่คืนเงินไม่ว่าในกรณีใดๆ
5. หากไม่สามารถมาร่วมงานได้ตามวันเวลาที่กำหนด สามารถให้ผู้อื่นมาแทนได้ แต่ต้องมีสถานะแบบเดียวกัน หากผู้จองเป็นสมาชิก แต่ผู้มาแทนไม่เป็นสมาชิกต้องจ่ายเงินเพิ่มครับ
6. ไม่สามารถเปลี่ยนชื่อ login หลังจากการแจ้งได้

//board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=55095

//www.facebook.com/?ref=tn_tnmn#!/Thaivi.org

_______________________________________________________________________________

Last Update : 7 เมษายน 2556 14:35:52 น.   
Counter : 2304 Pageviews.  


Identify foreign investors by Temple Boxing School approach





Identify foreign investors by Temple Boxing School approach

ตัดแปะชื่อสำนักเป็นภาษาปะกิตซะหน่อย
เผื่อพวกต่างชาติ จะเชิญไปเป็นผู้บรรยายพิเศษ
แฮะ แฮะ ความจริงก็คือ
ผมยังไม่เคยรู้จักนักลงทุนต่างชาติสักคน

"ต่างชาติ ต่างชาติและต่างชาติ"
โอ้ ช่างเป็นคำที่ทำให้พวกเราชาวรายย่อยรายจุกจิก
เกิดอาการ อยากๆ เบี่อๆ เสียนี่กระไร
แล้วเราก็ทำกับต่างชาติแบบ
จูบๆตบๆ ไปตามจินตนาการสำคัญกว่าความรู้
ของไอนส์ไตน์ เอ๊ยของเรา

เวลาอยาก ก็จูบปากเชิญชวน
สองมือล้วงกระเป๋า สองเท้าก้าวเข้ามาลงทุนซิฮะ
ประเทศเดี้ยนเปิดเสรีทางการเงิน
และเสรีทางการปั่นหุ้น ชอร์ตหุ้น แทงไฮโลตัชนีห้าสิบแล้วค่ะ
เชิญเข้ามาลงทุนได้"

แต่ที่คิดอยู่ในใจ มิกล้าเอื้อนเอ่ยวจี กลัวเสียมารยาทก็คือ

"KU อยากแด็กส์เงินพวกมืงว่ะ" ฮาๆๆๆ

แต่พอเวลาเราเบื่อๆ เพราะรู้สึกว่าไอ้พวกต่างชาติ
พอชวนมันเข้ามาแล้ว ดันหัวหมอ
ไม่เห็นทำคุณประโยชน์อะไรให้กับกระเป๋า ku เลย
ก็จะด่าแบบสาดเสียเทเสีย
ไอ้พวกคิดร้ายทำลายชาติ

ไอ้คุณต่างชาติอ่านแล้วก็คงหัวเราะ คิดในใจ

"ก็ชาติของKuที่ไหนหละ อยากเชิญชวนKuเข้ามาทำไมว่ะ"

เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้เป็นนักลงทุนต่างชาติ
ข้าพเจ้าก็ต้องใช้วิธีเอาใจเขา มาใส่ใจเรา แล้วมั่วเอา
ก็ได้หลักเกิน หรือไม่ก็หลักการมาดังนี้



๑.นักลงทุนต่างชาติคือใคร

ไม่น่าถามเลย ก็นักลงทุนที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยนั่นแหละ
(พ่อของข้าพเจ้าก็เลยกลายเป็นนักลงทุนต่างชาติ
ด้วยความกิ๋บเก๋แบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะยังเป็นต่างด้าว
ซึ่งข้าพเจ้าก็เอาความเป็นนักลงทุนต่างชาติของพ่อ
มาขายหุ้นบัวหลวงกระดานนอก ซื้อบัวหลวงกระดานใน
กินส่วนต่างหุ้นละ 100 บาทมาแล้ว ฮาๆๆ)

ลองมาสมมติกันว่าลาว เขมร เวียดนามมีตลาดหุ้นครบทุกประเทศ
พอเราตามเข้าไปตะลุมบอนในตลาดหุ้นลาว
เขาก็ต้องเรียกพวกเราว่า
ไอ้พวกต่างซาด บักซิหยาม
เวลาเราอ่านเจอนักลงทุนลาวพูดว่า

"พวกมันซิคิดมาเอาเงินข้อย
บ่ได้เห็นแก่ประเทดซ่าดเฮาดอก"

เราในฐานะนักลงทุนต่างชาติของลาว
ก็ต้องคิดในใจว่า

"เว้ยเฮ้ย เรื่องอะไรkuต้องไปรักชาติมืงด้วยวะ
มากวักมือเรียกเข้าไปเองนี่หว่า ช่วยไม่ได้ "

ก็คงเหมือนกับต่างชาติในตลาดหุ้นไทยนั่นแหละ
ต่างชาติก็ต้องคิดแบบต่างชาติซิ
ใครจะมาคิดแบบที่พี่ไทยคิดกันเล่า
เขาเรียกว่า "กงเกวียน กำเกวียน"
หรือคิดเอาแต่ได้นั่นแหละ

๒. นักลงทุนต่างชาติมีกี่สปีซี่

สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งเดา เอ๊ยคิดว่ามี ๒ สปี่ซี่ ๔ ซับสปี่ซี่

๑ สปี่ซี่ศิลปินเดี่ยว ข้ามาคนเดียวแต่อาจจะมีพวก ฮาๆๆ
มี ๒ ซับสปี่ซี่

ก ศิลปินเดี่ยวในเอเซีย

ที่เจ๋งสุดๆคือพวกไต้หวัน ฮ่องกง
พวกนี้มาสไตล์ไฟท์เตอร์
ชกดุดัน แด็กส์ด่วน เสือปืนไว ใจเกินร้อย
เจ๊งก็หาเงินมาเล่นใหม่
ได้ก็ขนออกไปเล่นบ่อนอื่นต่อ
ถ้าจัดอันดับการแด็กส์

"ตัวเล็กกินไก่ ตัวใหญ่กินช้าง ตัวกลางกินหมู"
ศิลปินเดี่ยวเหล่านี้ ก็คงอยู่ชั้นกินไก่ กับกินหมูเท่านั้น

ข ศิลปินเดี่ยวนอกเอเซีย

ก็ที่พวกเราบักซิหยาม เรียกเขาว่าบักสีดานั่นแหละ
ไม่ต้องอธิบายมาก
พวกนี้มักจะลงทุนแบบหนอมแน้มและนุ่มนิ่ม
แต่เวลาต้องการจะแด็กส์ไม่ด่วน
พี่แกมักจะฟาดทีเดียวเป็นพันเปอร์เซนต์แล้วเลิก
ส่วนใหญ่มาสไตล์ วีไอ แต่ใจเกินร้อย
ทุ่มไม่อั้น
ค่อยๆเก็บหุ้นที่ไม่ใครสนใจ
ไม่มีสภาพคล่องคอ
เป็นหุ้นที่มีพีอีสูง พีบีวีต่ำ แต่ผลประกอบการเริ่มกลับหลังหัน
พวกนี้จะแด็กส์ด่วนตูมเดียว รายย่อยหงายหลัง
เมื่อหุ้นมีราคาพีอีต่ำ พีบีวีสูง

ตัวอย่างเช่น ไทเก้น บราเดอร์ส แอนด์โก
ที่ทุ่มทุนสร้างเรื่อง TTA จนโกยกำไรเป็นพันล้าน เป็นต้น

๒ ศิลปินหมาหมู่ เอ๊ยหมู่

ศิลปินหมู่ หรือที่ข้าพเจ้ามักเรียกว่า
"จอมยุทธเงินลงขัน" หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า
"กองทุนรวย ชาวบ้านจน" เอ๊ย "กองทุนรวม"
จะมี ๒ ซับสปี่ซี่เช่นกันคือ

ก .จอมยุทธเงินลงขันต่างชาติสไตล์บ็อกเซอร์

พวกนี้มาฟอร์มเดียวกับพวกศิลปินเดี่ยวนอกเอเซีย
มาลงทุนแบบหนอมแน้มและนุ่มนิ่ม
และแด็กส์ไม่ด่วนแบบโหดร้ายและเกรี้ยวกราด
จัดได้ว่าเป็นนักลงทุนแนว
ดูแรงกรรมของผลประกอบการเป็นหลักใหญ่
พวกนี้ไม่ค่อยอันตรายในระยะสั้น
สำหรับพวกรายย่อยรายจุกจิกท้องถิ่น
แช่เงินไว้นานๆ เหมือนกับไร้พิษสง
ดูเหมือนกับมันไม่ใช่เงินไร้พรมแดน
ขอข้ามต่างชาติพวกนี้ไป
เพราะไม่ใช่ศูนย์หน้าตัวเป้า
ไม่ค่อยอันตรายในระยะสั้น
แต่ไอ้ศิลปินหมู่ซับสปี่ซี่สุดท้ายนี่ซิอันตรายที่สุด

ข. จอมยุทธเงินลงขันต่างชาติสไตล์อีแร้งเรียกพ่อ

ชาวบ้านเขาเรียกพวกนี้ซะกิ๋บเก๋ว่า
กองทุนปกป้องความเสี่ยงหรือ hedge fund
พวกนี้จะออกอาละวาดไปทั่วโลก
ด้วยอาวุธร้ายที่นักลงทุนท้องถิ่นไม่มีคือ................

๒ พวกนักลงทุนต่างชาติเก่งกว่านักลงทุนท้องถิ่นหรือไม่

คำตอบที่น่าชื่นใจอยู่บ้างคือ
ไม่เก่งกว่าหรอก ถ้าทุกคนมีอาวุธเท่ากัน
แต่มันน่าเจ็บใจ
ตรงที่บักสีดาโง่ๆคนนั้น
มันดันพกเอ็มสิบหกกระสุนเต็มลำกล้อง ขึ้นไกเตรียมยิง
มาสู้กับพี่ไซหมึ้งชวยเสาะ พี่เต็งพ้ง ฯลฯ
ซึ่งยืนร่ายรำสุดยอดเพลงกระบี่ไร้ใจ ไร้พ่าย ไร้โรงจำนำ
ใครจะชนะการดวล
ก็ลองนึกดูแล้วกัน
ว่าพวกพี่ๆเค้าจะชนะการดวลหรือเปล่า ฮาๆๆๆ

๓ อะไรคืออาวุธร้ายที่สุดของนักลงทุนต่างชาติ

ลองนึกถึงเราเข้าไปเล่นหุ้นในลาว เขมร เวียดนาม ดูซิครับ
อาวุธร้ายของเราก็คือ

"เงินไร้พรมแดน"

เงินนี้จะสามารถถ่ายเทไปมาได้สะดวกในสามตลาดอินโดจีน
เจ๊งในลาว ก็ไปหากำไรต่อในเขมร
เจ๊งเขมรก็ไปหากำไรต่อในเวียดนาม
ไม่มีความจำเป็นอะไรเลย
ที่เราเจ๊งในลาว แล้วเราจะทู่ซี้เล่นในลาวต่อ
ย้ายเงินไปเล่นในแหล่งที่มันยังทำกำไรให้ซิ

ผมขอเดาว่า ทุกวันนี้
รายย่อย รายจุกจิกอย่างเราๆท่านๆในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่
กำลังเอา"เงินที่มีพรมแดน" ไปสู้กับ"เงินไร้พรมแดน"
ในเกมล่าส่วนเกินทุนที่เราจำกัดเวทีให้ตัวเอง
แต่ต่างชาติไม่ต้องจำกัดเวทีที่จะเล่น

สรุปแล้วต่างชาติไม่ได้เก่งกว่าคนไทย
เพียงแต่เขาได้อาวุธประจำตัวดีกว่า

๔ ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพวกอีแร้งเรียกพ่อ

อย่างที่เคยเดา เอ๊ยสันนิษฐานไว้ว่า
อาวุธสำคัญของพวกกองทุนต่างชาติฯคือ

"เงินไร้พรมแดน"

เมื่อเงินมันไร้พรมแดนซะอย่าง
ตลาดต่างๆก็ย่อมไร้พรมแดนตามไปด้วย

คำว่าไร้พรมแดน
ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะ
อยู่ดีๆเงินจะไร้พรมแดนได้ไง
คนในประเทศนั้นๆแหละ เป็นคนทำให้มันไร้พรมแดนเอง
อย่างของบักซิหยามเรา ก็ด้วยการเปิดพรมแดนทางการเงิน
หรือเรียกกันแบบกิ๋บเก๋(อีกแล้ว)ว่า BIS
เออ อันนั้นกระผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
รู้แต่ว่า มันกินไม่ได้แต่เท่ห์อิ๋บอ๋ายเลย
ส่วนพวกที่ไม่ยอมเท่ห์อิ๋บอ๋าย อย่างเช่น
อินเดีย กับเกาหลีใต้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
ก็นั่งกระดิกขากินข้าวโพดคั่ว
ดูหนังบู๊ล้างผลาญเรื่อง black monday อย่างสบายใจ
เพราะไม่อนุญาตให้เงินลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น

เอ พอข้าพเจ้าหวนมาคิดถึง
บรรดาบักซิหยามอย่างพวกเรา ก็พบว่า
เราก็มีแบบกินไม่ได้แต่หมดตูด เอ๊ยแต่เท่ห์เหมือนกันแฮะ
เงินไร้พรมแดนของหมู่เฮาชาวบักซิหยาม
ได้ข้ามพรมแดนไปยังปอยเปต เกาะกงทุกวัน
ถ้าพวกกองทุนต่างชาติฯมีคุณภาพคับหลอดดูดนมยูเอชที
เหมือนพวกบักซิหยามพกเงินไร้พรมแดนข้ามไปปอยเปต
ป่านนี้ เราๆท่านๆ พวกรายย่อยรายจุกจิก
คงแฮบปี้เอนดิ้งกันไปแล้ว
ส่วนนายบ่อนไทยคงเก็บค่าต๋งเพลินเลย ฮาๆๆๆๆ

แต่พอ"รู้งี้" มันก็ไม่งั้นดิ
นอกจากอาวุธร้าย "เงินไร้พรมแดน" ที่พกมาเต็มพิกัดแล้ว
พี่แร้งฯยังพกอาวุธลับตามมาด้วยอีกเป็นพะเรอเกวียน

ทั้งวิชาเทพ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
แถมด้วยการทำให้มันเป็นข่าวดีจริงและร้ายเกินปัจจุบัน

วิชามาร ซื้อไว้แล้วเชียร์ขึ้น ขายไปแล้วเชียร์ลง

เจอเข้าไปสามเด้งทั้ง
เงินไร้พรมแดน + วิชาเทพ + วิชามาร
พี่ไทยก็ชักจะออกอาการแกว่งๆ
เตะสกัดศูนย์หน้าตัวเป้าไม่อยู่ กลัวโดนใบแดง ฮาๆๆๆ

ขณะที่"เงินมีพรมแดน"ของพี่ไทยเรา
ยังมัวงกๆหาว่าจะเล่นหุ้นตัว หมวดไหน
"เงินไร้พรมแดน"ของพี่แร้งฯเค้า
ก็กำลังงกๆหาว่าจะเข้าตลาดไหน ภูมิภาคไหนเล่นดี

พี่ไทยเราอย่างเก่งก็แค่
หุ้นตัวนี้ไม่ดี เปลี่ยนไปเล่นตัวโน้น
หมวดนี้ไม่ดี เปลี่ยนไปเล่นหมวดโน้นแทน

ส่วนพี่แร้งฯเค้าทำแบบเหมาโหลถูกกว่า
ตลาดแบบไหนดีก็เล่นตลาดนั้น
ล็อคเป้าเอาซิ ระหว่าง
ตลาดทุน ตลาดเงิน ตลาดตราสารอนุพันธ์
ถ้าตลาดทุน ไม่ดีก็ย้ายไปตลาดเงิน ฯลฯ
ถ้าประเทศนี้ไม่ดี ก็ย้ายไปประเทศโน้น
ภูมิภาคนี้ไม่ดี ก็ย้ายภูมิภาคแม่มเลยซิวะ

Embarassed Embarassed Embarassed Embarassed Embarassed Embarassed Embarassed

อา ข้าพเจ้ามองแล้วช่างหนาวยะเยือก
กับยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพวกอีแร้งเรียกพ่อเป็นยิ่งนัก
นักวิเคราะห์พี่ไทยเรา ส่วนใหญ่กำลังวิเคราะห์เจาะลึก

"เงินไร้พรมแดน"

ด้วยกรอบความคิดของ

"เงินมีพรมแดน"

ก็เลยลงท้ายด้วยการคิดว่า
เดี๋ยวพวกมันก็ต้องกลับมาใหม่
รอพวกku ปั่นขึ้นไปก่อน
พอพวกเอ็งทนความเย้ายวนของเกมล่าส่วนเกินทุนไม่ได้
ก็ต้องขนเงินกลับมาแด็กส์ku เอ๊ยให้ Ku แด็กส์ซิ ฮาๆๆๆ
เฮียๆ เจ้ๆ นักวิเคราะห์เจาะลึก เจาะไข่แดงทั้งหลายขอรับ
"เงินไร้พรมแดน" มันล่าเหยื่อไปทั่วโลกนะขอรับคุณพี่ขา
มันไม่ได้จมดักดานอยู่แต่ในประเทศไทยหรอก
พี่แร้งแกฝากกระผมส่งซิกบอกว่า

"รอพวกไอแด็กส์ที่อื่นจนอิ่มดีก่อนได้ป่าว
เดี๋ยวพวกไอจะกลับมาเล่นเกมล่าส่วนเกินทุนกับพวกมืง เอ๊ยพวกยูเอง"

------------------------------------------------------------------

_________________________________________________



ออกจะขัดกระแส จน เครียด เลิกเหล้า
และการห้ามโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปหน่อย
แต่รับรองว่า จะไม่โดนแบนแน่ๆ เพราะ VSOP
ที่เราพูดถึงกันไม่ใช่บรั่นดีชั้นยอด แต่เป็นชื่อเรียก
“นักลงทุนหุ้น” ที่มีสไตล์การลงทุนแบบหนึ่ง

ธานินทร์ งามวิทยาพงศ์

นักลงทุนมากประสบการณ์
ที่นักลงทุนในชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างพันทิป
(ห้องสินธร) เขารู้จักกันในชื่อ “คลายเครียด” หรือ
“endophine” ผู้เขียนหนังสือ “เทมเปิ้ล BOXING: คัมภีร์การลงทุนแนว VSOP” เป็นคนบัญญัติศัพท์และให้คำอธิบาย ที่รับรองว่า แม้แต่ฝรั่งเจ้าตำรับการลงทุนยังคิดไม่ถึง

วิถีทางของ‘หนุ่มหมัดเมา’

ถ้านักลงทุนที่มีสไตล์การลงทุนแบบ VI
หรือ เรียกว่า Value Investor เป็นนักรบฝ่ายบุ๋น
ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
และพร้อมที่จะอดทนรอเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน
เพราะเชื่อว่า ในท้ายที่สุดราคาหุ้นจะสะท้อน
ผลประกอบการของบริษัท

แอบแถมให้อีกนิดว่า วิชชุ จันทาทับ ผู้จัดการกองทุน
ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน
(บลจ.) ไทยพาณิชย์ บอกว่า การลงทุนแบบ VI
น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะ
สำหรับการลงทุนในภาวะตลาดปัจจุบันมากที่สุด

นักลงทุนแบบ VS (Value Speculator)
ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตาม “อำนาจซื้อของเงิน” และ
“อำนาจขายของหุ้น” โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน
ของบริษัท คงได้ชื่อว่า จอมยุทธ์นักบู๊

ธานินทร์ ระบุว่า นักลงทุนกลุ่มนี้เชื่อว่า “ราคาหุ้น คือ ผลลัพธ์ที่เกิดจากแรงปะทะของอำนาจซื้อของเงิน
กับอำนาจขายของหุ้น ปัจจัยทุกอย่าง
จะสะท้อนออกมาที่ราคาหุ้น ดังนั้น
แค่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการจับตา
ผลลัพธ์ที่เกิดจากแรงปะทะของอำนาจ
ทั้งสองนี้ก็สามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัย”

นักลงทุนแนว VSOP ที่ธานินทร์ให้ความหมาย
ไว้ว่า Value Surfing by Open-minded Pragmatist
ซึ่งหมายถึง นักลงทุนที่เน้นการลงทุนแบบเปิดกว้าง
ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสภาพแวดล้อมของตลาดหุ้น
ไม่ยึดหลักวิชาการอะไรแบบตายตัวแน่นอน

“คำว่า VSOP ผมคิดขึ้นมาจากการอ่านกระทู้
ของคุณคัดท้าย หนึ่งในนักลงทุนชั้นแนวหน้า
ที่สามารถผสมผสานแนวความคิดแบบดูแรงกรรม
ของผลประกอบการของหุ้นเข้ากับแรงกรรมของตลาดหุ้น
ด้วยการดูผลประกอบการควบคู่ไปกับการดู
กราฟทางเทคนิค ดูจิตวิทยามวลชน
ตีความข่าววงนอกและวงในได้อย่างกลมกลืน
เป็นการฉีกแนวไปจากนักลงทุน
สำนักใหญ่ๆ สองสำนัก คือ VI และ VS”

“เป็นคนที่เล่นไปตามไพ่ที่ตัวเองถืออยู่ในมือ
ไม่ว่าไพ่ที่มีอยู่จะดีไม่ดีอย่างไร
ก็จำเป็นต้องเล่นไปตามที่มันเป็นจริง
ไม่ใช่เล่นไปตามที่ใจต้องการ” ธานินทร์ ระบุ

นักลงทุนแบบ VSOP จะใช้ปัจจัยพื้นฐาน
ในการตัดสินใจว่า ควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน
และใช้ปัจจัยทางเทคนิคเพื่อตัดสินใจว่า
ควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นเมื่อไร

เพราะฉะนั้น คงไม่แปลกถ้าเราจะเรียก
นักลงทุนแบบ VSOP ลูกผสมระหว่าง VI กับ VS
ที่ไม่ยอมจำกัดตัวเองอยู่ แต่ในกรอบของฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ว่าเป็น “หนุ่มหมัดเมา” ที่ดูภายนอกแทบจะยืนไม่อยู่
แต่ก็ไม่มีใครเอาชนะได้

และลูกผสมแบบนี้เองที่มักจะอดทนต่อสภาพดินฟ้า
อากาศที่ออกจะแปรปรวนแบบที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นได้ดี

แม้จะทนแดดทนฝน แต่ก็มีบ้างที่ “ธาตุไฟแตก”
ซึ่งธานินทร์ บอกว่า “นักลงทุนแนว VSOP
ที่ธาตุไฟแตกมักจะเกิดจากลังเลใจ เลือกไม่ถูกว่า
การผสมผสานของอัตราส่วนระหว่าง VI กับ VS
ที่เหมาะสม ควรจะอยู่ที่อัตราส่วนเท่าไร”

เขาให้คำแนะนำไว้ว่า ให้พิจารณาจาก
“อำนาจซื้อของเงินในตลาด”
(หรือความต้องการซื้อหุ้นของนักลงทุน)

“ยามใดที่อำนาจซื้อของเงินลดลงควรให้อัตราส่วน
ของ VI สูงกว่า VS
และถ้าอำนาจซื้อของเงินส่อแววว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
อัตราส่วนของ VI อาจจะต้องสูงถึง 80% ขึ้นไป”

“ในทางกลับกันในยามใดอำนาจซื้อของเงิน
ในตลาดเพิ่มมากขึ้นควรให้อัตราส่วนของ VS สำคัญกว่า VI
และถ้าอำนาจซื้อของเงินเริ่มส่อแววว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
อัตราส่วนผสมของ VS ต้องมากกว่า VI ตามไปด้วย
บางครั้งอาจจะต้องสูงถึง 95%
มิฉะนั้นอาจจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘ตกรถ’ ได้ง่ายๆ”

ธานินทร์ บอกว่า นักลงทุนแนวทาง VSOP
ที่ประสบความสำเร็จน่าจะต้องมีเครื่องมือ
ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้เหมาะสมกับตัวเอง
รวมถึงการผสมอัตราส่วนระหว่าง VI กับ VS
ที่ลงตัวสำหรับตัวเอง

แม้ว่านักลงทุนที่มีรูปแบบการตัดสินใจลงทุน
ที่ผสมผสานระหว่างปัจจัยพื้นฐานและเทคนิค
ก็น่าจะได้ชื่อว่า VSOP เหมือนกัน
แต่วิธีการที่จะนำมาใช้ย่อมแตกต่างกัน
เพราะหนุ่มหมัดเมาแต่ละคนก็คงรื่นรมย์ในการ
ร่ำสุราไม่เหมือนกัน ในระดับที่แตกต่างกัน

และถ้าเป็น VSOP ในแบบฉบับของ Temple Boxing(มวยวัด)
ที่มี “เฮียคลายเครียด” เป็นเจ้าสำนัก ซึ่งเขาออกตัว
ว่า ไม่ใช่วิชาการจากสำนักไหน
แต่เป็นประสบการณ์การลงทุนที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน

เพราะฉะนั้น “เครื่องมือ” หลายอย่าง
ที่เจ้าสำนักมวยวัดเขานำมาใช้อาจจะไม่คุ้นหูคุ้นตา
นักลงทุนที่กอดตำราวิชาการเท่าไรนัก
ไม่ว่าจะเป็นสมเกินราคาหุ้น,
หุ้น 4 ประเภท ตามแรงกรรมของผลประกอบการ
และคลายเครียดเรโช (Klai Kriad Ratio: KKR)

“แต่ถึงจะใช้กลยุทธ์อย่างไร สำนัก VSOP
เฉพาะแนวทางของผมก็จะไม่ทิ้งปัจจัยพื้นฐาน
ด้านผลประกอบการ”

“สมเกินราคาหุ้น”

สำนักมวยวัด เชื่อว่า ราคาหุ้น คือ
ผลลัพธ์หรือสมดุลที่เกิดจากแรงปะทะระหว่าง

“อำนาจซื้อของปริมาณเงิน” กับ
“อำนาจขายของปริมาณหุ้น”


ราคาหุ้นคือตัวปรับสมดุลของอำนาจทั้งสองฝ่ายให้เข้าที่ โดยผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องเท่ากับ 1 เสมอ

หรือหากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
อำนาจซื้อของปริมาณเงิน ในความหมายของธานินทร์
ก็คือ Demand หรือความต้องการซื้อของนักลงทุน
ขณะที่อำนาจขายของปริมาณหุ้น คือ Supply
หรือความต้องการขายของนักลงทุน

ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นจะลดอำนาจซื้อของเงินและเพิ่มอำนาจขายของหุ้น

ราคาหุ้นที่ลดลงจะเพิ่มอำนาจซื้อของเงินและลดอำนาจขายของหุ้น

และตัวชี้ขาดราคาหุ้นที่แท้จริง คือ “ปริมาณเงิน”
ที่จะเข้าไปหมุนเวียนอยู่ในหุ้นตัวนั้นๆ ส่วน “ปริมาณ หุ้น”
ที่หมุนเวียนมีอำนาจจำกัดแค่จำนวน
หุ้นจดทะเบียนของบริษัทเท่านั้น

“บ่อยครั้งที่เราไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ของราคาหุ้น
เมื่อวิเคราะห์ตามแรงกรรมของผลประกอบการ
ของบริษัทแบบVI เพราะปัจจัยที่สำคัญกว่า
แรงกรรมของผลประกอบการ คือราคาหุ้นขึ้นลง
โดยอาศัยแรงกรรมของคนในตลาดหุ้น” คลายเครียด
อธิบายความเชื่อของสำนัก

“หุ้น 4 ประเภท”

หุ้น 4 ประเภท ตามแรงกรรมของตลาดหุ้น
(ซึ่งมี PE, PBV, Yield และข่าว เป็นเครื่องมือมาตรฐาน)
โดยดูจากพัฒนาการของราคาหุ้นในอดีต มาถึงปัจจุบัน
(ภาพประกอบ)

หุ้น 4 ประเภท ตามแรงกรรมของผลประกอบการ
(ซึ่งมี EPS, BV, Dividend, Discount Cashflow
และอื่นๆ เป็นเครื่องมือมาตรฐาน)
โดยดูจากพัฒนาการของผลประกอบการในอดีต
ไปสู่ผลประกอบการในอนาคต (ภาพประกอบ)

ธานินทร์ แนะนำนักลงทุนว่า
ลองจัดหุ้นที่ถืออยู่ในมือว่าอยู่ในหุ้นประเภทไหน
แล้วอาจจะได้แนวทางในการลงทุน

“ย้อนไปสำรวจพอร์ตตัวเองผมตอบได้ทันทีว่า
หุ้นที่ทำกำไรให้มากที่สุดจะอยู่ในประเภท 3A และ 3B
ส่วนหุ้นที่ขาดทุนเละเทะที่สุดอยู่ในหุ้นประเภท 2B
ที่ซื้อโดยไม่ยอมใช้เครื่องมือมาตรฐานว่าด้วยพีอี พีบีวี
เข้าไปวัดกะจะวัดดวงกับแรงกรรมแห่งความโลภ
และความกลัวของตลาดเลยเจ๊งเละเทะ”

“คลายเครียดเรโช”

รับรองว่า เราจะไม่เคยได้ยินอัตราส่วนนี้จากในตำราไหน
ยกเว้นตำราของคุณคลายเครียด ซึ่งเขาบอกว่า...

คลายเครียดเรโชเป็นแค่วิธีบริหารความเสี่ยง
(ลดความเครียด) ของนักลงทุน “จากสิ่งที่เราไม่รู้
เพราะไม่มีเครื่องมืออะไรที่จะใช้คาดเดาราคาหุ้นได้”

คลายเครียดเรโช ยังแบ่งออกเป็น มหภาค และจุลภาค โดย
“คลายเครียดเรโชระดับมหภาค” คือ ยุทธศาสตร์ของพอร์ต
ส่วน “คลายเครียดเรโชระดับ จุลภาค” คือ
ยุทธวิธีรูปแบบหนึ่งในการบริหารพอร์ต (ภาพประกอบ)

คลายเครียดเรโช (มหภาค)
จะหาได้จากกำไรทั้งหมดจากเงินลงทุน
หารด้วยเงินลงทุนทั้งหมดในปัจจุบัน
ซึ่งจะให้หายเครียดก็ต้องเท่ากับหรือมากกว่า 1

“ยิ่งมากกว่า 1 มากเท่าใด
ก็หมายความว่าเงินที่ลงทุนอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ของเรา”
ธานินทร์ กล่าว และ ยิ่งมากกว่า 1 มากขึ้นเท่าใด
ความเครียดก็ยิ่งน้อยลงไปเท่านั้น

คลายเครียดเรโช (จุลภาค) จะใช้กับตัวหุ้น
โดยจะหาได้จากการนำราคาขาย หารด้วยราคาต้นทุน
แล้วลบออก 1 (ลบเงินทุนของตัวเองออกไปก่อน)
ค่าที่ได้จะต้องเท่ากับหรือมากกว่า 1
จึงจะลดความเครียดลงไปได้

สัดส่วนนี้เป็นการคลายเครียดของคนที่ “กำไร” มากๆ
เพราะจะขายทำกำไรก็กลัวว่า มันจะวิ่งไปต่อ
จะถือต่อก็กลัวว่า หัวมันจะทิ่มลง เพราะฉะนั้น
ก็จำเป็นต้องขายบางส่วนออกไป เพื่อ “เอาทุนคืน” มาก่อน
แล้วส่วนที่ยังเหลืออยู่ก็มีแต่กำไร (ส่วนเกินทุน)
เท่านั้น... หายเครียด

“ถ้าเราขายหุ้นตามวิธีคลายเครียดเรโชที่เท่ากับ 1
ก็หมายความว่า
เราได้เก็บส่วนทุนของเราเอาไว้แล้วอย่างปลอดภัย 100%”
เจ้าของแนวคิดระบุ แต่เขาบอกว่า
เขาไม่ใช่คนคิดค้นอัตราส่วนนี้ แต่เป็นนักลงทุนที่ชอบ
“ปลอดภัยไว้ก่อน” เป็นคนคิดขึ้น

วิธีการนี้เหมาะกับ “หุ้นขาขึ้น” คือ หุ้นที่ราคาถูกลากไปที่
“ราคาอนาคต” เพื่อรอผลประกอบการที่ดีใน “อนาคต”
และหุ้นที่ราคาขึ้นมา เพราะข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าววงใน
ข่าววงนอก

แต่ไม่ใช่ว่า หุ้นทุกตัวที่ทำราคาเกินเท่าตัว
ตามคลายเครียดเรโชแล้วจะต้องถูกขายออกไป
เพราะบางตัวที่เป็นหุ้นที่ดีเขาก็ยอมถือ
แม้ว่าราคาจะเกินทุนไปหลายเท่าตัว

“หลังจากมองย้อนกลับไปดูการทำคลายเครียดเรโชในอดีต
ผมได้พบจุดบกพร่องที่สำคัญที่สุดของการทำคลายเครียดเรโช
คือ การทำแบบเหวี่ยงแห
โดยคิดเพียงแต่จะเอาเงินทุนของเราขึ้นมาก่อน
น่าเสียดายมากๆ ที่ผมเพิ่งคิดวิธีแยกหุ้นเป็น 4 ประเภท
และหลักสมเกินราคาหุ้นขึ้นมาได้
หลังจากวัฏจักรขาขึ้นครั้งใหญ่ของหุ้นผ่านไปแล้ว”

“แม้ว่า คลายเครียดเรโชจะช่วยบริหารความเสี่ยง
ไม่ให้เงินทุนเสียหายได้
แต่มันก็ทำให้พอร์ตไม่โตเท่าที่ควรจะเป็น”

เมื่อบรรลุเคล็ดวิชาขั้นสูง
ในวันนี้เจ้าสำนักมวยวัดจึงกำหนดวิธีการ
จัดการ (บริหารพอร์ต) ให้กับหุ้นที่ไปตกอยู่ในแต่ละประเภทแตก
ต่างกันออกไป เช่น

ต้องทำ คลายเครียดเรโชกับหุ้นประเภท 2 และ 4
ที่ถูกแรงกรรมของตลาดหุ้นปั่นขึ้นมาสูงๆ
แบบไดเวอร์เจนต์กับผลประกอบการ และ
เลือกทำ คลายเครียด เรโช หรือชอร์ตอะเกนส์พอร์ต
หุ้นประเภท 1 และ 3

“ตอนนี้คิดไว้ว่า หุ้นกลุ่ม 1 และ 3 จะชอร์ตอะ เกนส์พอร์ต
หรือไม่ก็ซื้อเพิ่ม ไม่มีการขายทิ้ง หุ้นกลุ่ม 2 และ 4
ไม่มีการซื้อเพิ่ม เลือกคัทลอสเป็นหลัก
ตามมาด้วยการชอร์ตอะเกนส์พอร์ต เพื่อหาทางลดต้นทุนลง”

และถ้าจะให้เป็น “เจ้าสำนักมวยวัด” ตัวจริงเสียงจริง
เขาจะต้องปิดท้ายเรื่องนี้ด้วยประโยคเด็ดจาก
ภาพยนตร์ดังที่ว่า “คนเราเชี่ยวผิดกันเว้ยไอ้ศร
ทางใครก็ทางมันสิวะ”

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเราแล้วล่ะว่า จะเดินตามวิถีทางอย่าง
VSOP ในฐานะลูกผสมที่ทนทุกสภาพอากาศ
อย่างไอ้หนุ่มหมัดเมา ผู้ไม่กลัวใคร หรือจะยังเดิน
สะเปะสะปะไร้ทิศทางเหมือนอย่างที่เป็นมา
_____________________________________________________



แมลงเม่าหุ้น มนุษย์หุ้น เซียนหุ้น
ในทัศนะของสำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่ง


สำนักเท็มเปิ้ลบ๊อกซิ่งแบ่งคนเล่นหุ้น
แบบไม่เป็นทางการออกเป็น ๓ สปีชี่คือ

๑ แมลงเม่าหุ้น ๒ มนุษย์หุ้น ๓ เซียนหุ้น

ใครจะฉีกไปเป็นซับสปีชี่ไหน ก็ลองต่อยอดกันเอาเอง ฮาๆๆๆ

ถ้าตีความนักเล่นหุ้นสปีชี่ต่างๆ
ไปตามความโลภ และความรู้
จะได้หลักเกินดังนี้

๑ แมลงเม่าหุ้น
นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้ไม่ค่อยและไม่ยอม
จำกัดโลภให้สมดุลกับความรู้ที่ไม่ค่อยมี
แต่มักจะเข้าข้างตัวเองว่า
"มี....... หรือถึงไม่มี ก็เล่นหุ้นได้"
เพราะหุ้นเป็นการพนัน

ความจริงก็คือ ต่อให้หุ้นเป็นการพนัน
และตลาดหลักทรัพย์เป็นบ่อนถูกกฏหมาย
ไพ่ที่บ่อนนี้เอามาเล่นกัน
ก็มักจะแพ้ชนะกันด้วยการวัดใจ
ไม่ใช่วัดดวง

ลองนึกดูดีๆ
" ถ้าบ่อนนี้ไม่มีการโกง" (ซึ่งมันไม่จริง ฮาๆๆ)
แทงกอง ต่างจากเก้าเก โป๊กเกอร์อย่างไร?

ที่ต่างกันเห็นๆก็คือ
แทงกองไม่สามารถเปลี่ยนผลแพ้ชนะ
ด้วยพลังใจและพลังเงิน
แต่เก้าเกกับโป๊กเกอร์สามารถเปลี่ยนผลแพ้ชนะ
ด้วยการวัดพลังใจและพลังเงิน

ดังนั้น ต่อให้เราฟลุ๊กได้ไพ่สูงสุดของเก้าเก หรือโป๊กเกอร์
ก็ไม่ได้หมายความว่า
เราจะรวยได้ในพริบตาจากไพ่ฟลุ๊กชุดนั้น
เพราะถึงไพ่ดีที่สุดอยู่ในมือเรา
แต่คู่ต่อสู้ดันอ่านใจออก จากสีหน้าหรือการเก
เขาก็หมอบ รอเล่นตาใหม่ต่อไป ฮาๆๆๆๆ

ความคิดแบบที่ว่า หุ้นไม่จำเป็นต้องมีความรู้
ไม่จำเป็นต้องมีวิธีการเล่นหรือที่เขาเรียกว่าเทรดโมเดล?
จะแพร่กระจายอย่างแพร่หลาย
ในตลาดหุ้นที่เริ่มเป็นขาขึ้นแบบยาวๆ
และรายย่อยแบบแมลงเม่าหุ้น
จะพาเชื่อกันความคิดนี้มากที่สุด

"ในช่วงตลาดหุ้นฯขึ้นถึงจุดสูงสุดพอดี"

ผลจากการไม่ยอมจำกัดปริมาณความโลภ
ให้สมดุลกับปริมาณความรู้
แมลงเม่าหุ้นจึงมักจะเป็น
"เซียนหุ้นในตลาดขาขึ้น"
ประเภทแทงตัวไหน ก็ถูกทุกตัว
เพราะว่าในตลาดหุ้นขาขึ้น
เงินหมุนเวียนที่ถูกใส่เข้าไปในตลาดหุ้น
ทั้งจากต่างชาติ กองทุน และรายย่อย
จะเป็นตัวชี้ขาดราคาหุ้นทุกตัวที่มีสภาพคล่องคอ
โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงปัจจับพื้นฐานแม้แต่นิดเดียว

ความจริงที่เซียนหุ้นและมนุษย์หุ้นรู้
แต่แมลงเม่าหุ้นไม่ค่อยอยากรับรู้ก็คือ
หุ้นทุกตัวในตลาดฯ
สามารถขึ้นได้อย่างไร้เหตุผลด้วยประการทั้งปวง
ถ้าปริมาณเงินมากๆถูกอัดเข้าไปในหุ้นตัวนั้น

๒ มนุษย์หุ้น
นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้ จะต้องพยายาม
จำกัดปริมาณความโลภให้สมดุลกับความรู้ที่มีอยู่จริงๆให้ได้
มนุษย์หุ้นก็จะเริ่มจำจัดปริมาณความโลภอย่างระมัดระวัง
เมื่อคิดว่าหุ้นขึ้นอย่างไร้เหตุผลในสามัญสำนึกของตัวเอง

และเริ่มปลดล็อกปริมาณความโลภเข้าตลาดหุ้นฯ
เมื่อคิดว่าหุ้นลงอย่างไร้เหตุผล

ของผมมีวิธีจำกัดปริมาณความโลภให้สมดุลกับความรู้ที่มีอยู่
ด้วยการทำคลายเครียดเรโช
ที่สำคัญที่สุดคือ คลายเครียดเรโชระดับมหภาค
มันสำคัญกว่าระดับจุลภาคอีก
เพราะมันทำให้ผมสามารถอยู่ในตลาด
ในฐานะมนุษย์หุ้นได้ไปจนตายแน่ๆ

//topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I2526480/I2526480.html

มนุษย์หุ้นจะต้องรู้ตัวเองให้ได้ว่า
มีความสามารถเพียงแค่ไหน
แล้วก็เล่นเท่าที่ความสามารถมีอยู่จริงๆ
ไม่ทึกทักเอาว่า ไม่จำเป็นต้องมีความรู้อะไร
ก็สามารถเล่นหุ้นให้ได้เงิน
ซึ่งในตลาดขาขึ้นแบบสมบูรณ์แบบ มันเป็นเช่นนี้นจริงๆ

ถ้าใครอ่านที่ผมโพสมาเรื่อยๆ
จะรู้ดีว่า ผมมีความรู้เรื่องหุ้นน้อยมากๆ
โดยเฉพาะความรู้เรื่องหุ้นแบบเป็นวิชาการ
ไม่ว่าปัจจัยเท็คนิคหรือว่าปัจจัยพื้นฐาน
ใครถามหุ้นที่ผมไม่ได้ถืออยู่
หรือต่อให้เป็นหุ้นที่ผมถืออยู่
ถ้าทำคลายเครียดเรโชไปแล้ว
ผมก็ยังรู้น้อยอีกเช่นกัน

ยิ่งใครมาถามหุ้นที่ผมไม่เคยเล่น
ผมมักจะตอบไม่ได้เลย
เพราะไม่ได้มีความรู้อย่างแท้จริงในหุ้นตัวนั้น ฮาๆๆๆ

๓ เซียนหุ้น
นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
"ไม่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณความโลภ"

คนที่รู้ซึ้งตลาดฯอย่างทะลุปรุโปร่ง
และฝึกปรือพลังจิตจนรับได้กับทุกสภาพของตลาด
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนๆ
คนนั่นแหละคือเซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริง

ผมเชื่อมั่นที่สุดว่า
ไม่มีเซียนหุ้นตัวจริงเสียงจริงแม้แต่คนเดียว
ที่คิดว่าตลาดหุ้นเป็นบ่อนการพนัน

"ที่แพ้ชนะกันด้วยการเล่นไพ่กันแบบวัดดวง"

ทีนี้ ถ้าแบ่งสปีชี่นักเล่นหุ้น
ไปตามเครื่องมือที่ใช้เล่นหุ้น
และวัดผลลัพธ์ของเครื่องมือที่ใช้
จะได้ดังนี้

๑ แมลงเม่าหุ้น
นักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
ใน ๑๐ คน จะมีเครื่องมือมาตรฐาน
ในการเล่นหุ้น ไม่ถึง ๒ คน

และอีก ๘ คนที่เหลือจะใช้เครื่องมือ
แบบไม่มีมาตรฐาน และง่ายที่สุดคือ
เล่นตามมาร์เก็ตติ้ง ตามเพื่อน
เล่นตามนักวิเคราะห์ตามสื่อแบบไม่มีการคิดเอาเอง
เล่นตามข่าววงในตามห้องค้า มือถือ และเวปบอร์ดหุ้น

และลักษณะเด่นของแมลงเม่าหุ้น
มักจะชอบเล่น "เล่นหุ้นแบบเสี่ยงดวง"

สำหรับแมลงเม่าหุ้นอีก ๒ คน
พร้อมจะอัพเกรดขึ้นไปเป็นมนุษย์หุ้นได้สบายมาก
เพราะมีเครื่องมือมาตรฐานอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่ยอมเปลี่ยนเครื่องมือนั้น
ทั้งๆที่มันผิดพลาดซ้ำซาก

นักลงทุนในสปีชี่แมลงเม่าหุ้น
ไม่ว่าจะมีเครื่องมือมาตรฐานหรือไม่ก็ตาม

ลงทุน ๑๐ ครั้ง
จะได้ ๑ - ๔ ครั้ง เสีย ๙ - ๖ ครั้ง
ถ้าเสียทั้ง ๑๐ ครั้ง ไปขายเต้าฮวยดีกว่า

๒ มนุษย์หุ้น
มนุษย์หุ้นทุกคนจะต้องมีเครื่องมือมาตรฐานประจำตัว
ไม่แบบใดก็แบบหนึ่ง
เป็นเครื่องมือแบบง่ายๆ
เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป
แม้แต่ข่าววงใน มนุษย์หุ้นก็จะเอามาเล่นแบบรู้เท่าทันว่า
ตลาดหุ้นไม่ใช่องค์การกุศล จะได้มีคนเอาเงินมาแจก
มนุษย์หุ้นจะใช้ข่าววงใน

"เป็นเครื่องมือในการเล่นหุ้น"

ในขณะที่ แมลงเม่าหุ้น

"จะตกเป็นเครื่องมือของข่าววงใน จนโดนหุ้นเล่น"

มนุษย์หุ้นจะยอมประเมินตัวเองว่า
เครื่องมือที่ใช้อยู่ ยังได้ผลหรือไม่
ถ้าเครื่องมือมาตรฐานที่ใช้มานานๆแล้ว
ยังได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
และไม่สามารถต่อยอดหาเครื่องมือแบบใหม่ๆได้
ก็จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเดิมไปเรื่อยๆ

"เพราะมันยังทำให้ได้ มากกว่าเสีย"

มนุษย์หุ้นจะไม่ข้ามเส้นไปเล่นหุ้นในแนวทางที่ตัวเองไม่ถนัด
โดยไม่มีเครื่องมือใหม่ๆมาเพิ่มเติมเครื่องมือเดิม

สำหรับตัวผมเอง
เครื่องมือที่ผมใช้เล่นหุ้น
จะอ้างอิงกับผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ
ตอนนี้ต่อยอดเพิ่มด้วยหลักสมเกินตามภาพประกอบ

ผลลัพธ์ของการเล่นหุ้นของมนุษย์หุ้น

เล่นหุ้น ๑๐ ครั้ง
จะได้ ๕ - ๗ ครั้ง
เสีย ๕ - ๓ ครั้ง
ระดับสูงสุดของนักเล่นหุ้นสปีชี่นี้
ผมให้ได้แค่ได้ ๗ ใน ๑๐ ครั้ง
ถ้าเกินกว่านั้นถือว่าเป็นเซียนหุ้น

๓ เซียนหุ้น
เซียนหุ้นต้องมือเครื่องมือประจำตัว
ที่ไม่ยอมบอกให้ใครรู้ตามสื่อมวลชน
ไอ้ที่บอกให้รู้ ก็บอกแบบคูณสิบหารด้วยร้อย ฮาๆๆๆ

ผลลัพธ์จากการใช้เครื่องมือของเซียนหุ้น
เล่นหุ้น ๑๐ ครั้ง

ได้ ๘ - ๙ ครั้ง
เสีย ๒ - ๑ ครั้ง
ถ้าลงทุน ๑๐ ครั้งได้ทั้ง ๑๐ ครั้ง
ผมว่าอย่าอยู่เป็นเซียนหุ้นเลย
ไปเล่นหวยรุ่งกว่าเยอะ ฮาๆๆๆๆๆ
________________________________________________
































เฮียคือต้นแบบการลงทุนที่ดี ยอดเยี่ยม
ประสบความสำเร็จในการล้วงกระเป๋านักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
(ราคาหุ้น)
ประสบความสำเร็จในการล้วงกระเป๋าเจ้าของบริษัทจดทะเบียน
(เงินปันผลจากหุ้น)
มีหลักการการลงทุน คลายเครียดเรโช
ถือหุ้นได้นานแบบไม่จำกัดระยะเวลา

เขียนหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค หุ้น และ การลงทุน สไตล์ temple boxing

เคยเห็นเฮียลงพิมพ์ชีวประวัติที่ นสพ . โพสต์ทูเดย์
และหลายๆครั้งเฮียก็เป็นโซ่ข้อกลาง ให้เกิดงานมีตติ้งห้องสินธรฯ

เฮียประสบความสำเร็จในการล้วงหัวใจที่รู้จักรอบตัวและที่ได้รู้จัก

ด้วยน้ำใจหวังดีกับทุกคน
แจกจ่ายประสบการณ์การเอาตัวรอดจากตลาดหุ้น
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เป็นขวัญใจ
คุยโขมงหุ้นใทยในสินธร(เว็บพันธ์ทิพย์)

ด้วยความรักนับถือเคารพเฮียเสมอครับ

ปรัชญา

_________________________________________________



https://www.youtube.com/watch?v=8XQxNlhiJUs&feature=player_embedded



https://www.youtube.com/watch?v=vByLJSLMeCY&feature=player_embedded



https://www.youtube.com/watch?v=hrbUHg4kb6I&feature=player_embedded




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2553 11:00:03 น.   
Counter : 1732 Pageviews.  


คาทุ่ง

หรือทุ่งคาจะซ้ำรอย โพไซดอนของออสเตรเลีย ?

*** เขียนโดย คลายเครียด ***


1. วันจันทร์ที่ ๒๙ กันยายน 1969

ก่อนเวลาเปิดตลาดหลักทรัพย์ที่เมืองอเดเล็ด
ศูนย์กลางอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย
ผู้จัดการฝ่ายควบคุมการซื้อขาย ได้อ่านข่าวตลาดฯมีใจความว่า
“คณะกรรมการบริษัทโพไซดอน จำกัดแจ้งว่า
ได้ค้นพบแร่นิเกิลและทองแดงในหลุมขุดที่สอง
ที่เมืองวินดาร์ร่าในรัฐออสเตรเลียตะวันตก
ผลการตรวจสอบปริมาณเนื้อแร่จะแจ้งให้ทราบโดยเร็วที่สุด"
ข้อความสั้นๆที่รายงานผลการเจาะสำรวจแร่
ของบริษัทเหมืองแร่ที่แทบไม่มีใครรู้จักนี้
ทำให้ออสเตรเลียปั่นป่วนที่สุด
และจบลงอย่างเศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินของประเทศ

2. โรคตื่นหุ้นเริ่มก่อตัว

ก่อนประกาศที่จุดชนวนระเบิดโรคตื่นหุ้น
ของบริษัทโพไซดอนในครั้งนี้
พวกนักเล่นหุ้นต่างก็เคยทำกำไรจากการค้นพบแร่นิเกิล
ของบริษัทเวสเทิร์นไมน์นิ่ง คอร์เปอเรชั่น
โดยหุ้นของบริษัทขึ้นจาก 2.30 เหรียญไปถึง 30 เหรียญ
พวกนักเล่นหุ้นจึงรู้ค่าของหุ้นบริษัทเหมืองแร่นิเกิลเป็นอย่างดี
และตั้งตาคอยโอกาสทำเงินครั้งใหญ่ที่จะมีมาอีก
ในช่วงเวลานั้นแคนาดาผลิตนิเกิลได้น้อยลง
ทำให้ราคานิเกิลซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญ
ในการผลิตเหล็กปลอดสนิม เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด
นักเล่นหุ้นต่างพากันดีดลูกคิดรางแก้ว
ฝันสีทองถึงผลกำไรมหาศาลของของเหมืองแร่นิเกิล
และหาเรื่องเชื่อมโยงไปถึงราคาหุ้นเหมืองแร่
จนกลายเป็นโรคตื่นหุ้นแห่งปี 1969 – 1971 ในที่สุด

บ่ายวันคารที่ 30 กันยายน
วันรุ่งขึ้นหลังคำประกาศของบริษัทโพไซดอน
หุ้นของบริษัทซึ่งเคยซื้อขายกันที่ราคาพาร์ ๑ เหรียญ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เริ่มพุ่งขึ้นเป็นหุ้นละ๖.๓๐ เหรียญ
และได้พุ่งขึ้นไปสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 280 เหรียญ
นักเล่นหุ้นที่จับหุ้นโพไซดอนไม่ทัน
พากันเฮโลแย่งซื้อหุ้นเหมืองแร่ตัวอื่นๆที่ราคายังถูก
โดยหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นตามโพไซดอน
ภายในวันเดียว ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นซิดนีย์
สูงเป็นสองเท่าของตลาดหุ้นนิวยอร์ค
นับจากนั้นมา ตลาดหุ้นได้กลายเป็นเรื่องพูดคุยประจำวัน
ที่ขาดไม่ได้สำหรับชาวออสเตรเลีย
และเมื่อถึงช่วงเวลาตลาดหุ้นบูมสุดขีด
ชาวออสเตรเลียกว่าสี่แสนคนได้โดดเข้าร่วมวงกันอย่างเมามัน
เป็นการเสี่ยงโชคอย่างหน้ามืดตามัว ไม่มีครั้งใดเทียบได้
นับตั้งแต่ยุคตื่นทองในศตวรรษที่ 19

หลังประกาศของโพไซดอนไม่กี่วัน
บริษัทเหมืองแร่อีกสามบริษัทได้ผสมโรง
ประกาศพบแหล่งแร่บ้าง ในทุกตลาดหุ้นของออสเตรเลีย
หุ้นเหมืองแร่เกิดอาการที่พวกโบรคเกอร์เรียกว่า
“ขื้นทั้งกระดาน”
ชาวบ้านทั่วไปเริ่มสนใจอ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้น
ศึกษาเรื่องเงินๆทองๆจากหน้าหนังสือพิมพ์
และเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น
เมื่อถึงปลายสัปดาห์ที่สองของเดือนตุลาคม 1969
ตลาดหุ้นเริ่มดูดเอาเงินที่หลั่งไหลมาจากนักเล่นหุ้นที่อ่อนหัด
พวกโบรคเกอร์เริ่มได้รับโทรศัพท์จากนักเล่นหุ้นหน้าใหม่
มีอยู่รายซึ่งคงจะเพิ่งฟังราคาปิดของหุ้นจากวิทยุ
เป็นครั้งแรกในชีวิต ได้โทรสั่งเทรดเดอร์ว่า
"ซื้อไอ้ที่ชื่อคล้ายๆอย่างนั้นให้ผมด้วย”
มือใหม่ชาวเมลเบิร์นอีกคนแอบได้ยินมาว่า
“เอกซ์ฟอร์ดเมดเดิ้ลมีทีเด็ด”
ได้สั่งเทรดเดอร์ซื้อหุ้นเอกซ์ฟอร์ดเมดเดิ้ล
ให้โดยด่วนที่สุด 10000 หุ้น
มาร์เก็ตติ้งควานหาหุ้นตัวนี้จนตาลายก็หาไม่เจอ
ความจริงที่เปิดเผยในภายหลังคือ

“เอกซ์ฟอร์ดเมดเดิ้ลเป็นชื่อม้าแข่ง !!"

เมื่อข่าวจากซิดนีย์รายงานผลการแยกเนื้อแร่นิเกิล
ของโพไซดอนว่ามีถึง 9.38% จากที่คาดว่ามีเพียง 0.38 %
ตลาดหุ้นลอนดอนก็ได้เข้าผสมโรง ร่วมด้วยช่วยปั่น
ในซิดนีย์หุ้นโพไซดอนพุ่งขึ้น
เพียงแค่ข่าวลือในงานเลี้ยงน้ำชาว่า
“เมียกรรมการผู้จัดการกำลังใช้เงินส่วนตัวเก็บหุ้น”
นักปั่นหุ้นโดยอาศัยข่าวลือเกิดขึ้นอย่างมากมาย
บาร์ในโรงแรมพาเลซเมืองคาลกัวลี่
ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของออสเตรเลีย
ได้กลายเป็นศูนย์รวมข่าวที่ทำให้หุ้นพุ่ง
นักปั่นหุ้นที่ถือหุ้นเก็งกำไรไว้มาก จะแกล้งเมาแล้วพูดเพ้อเจ้อ
โดยเจตนาเพื่อให้ราคาหุ้นที่ถืออยู่พุ่งขึ้น
ก่อนช่วงตลาดหุ้นจะบูมสุดขีด
ตำนานเศรษฐีหุ้นชั่วข้ามคืนมีให้ฟังจนชินหู
เกือบทั้งหมดจะเป็นเศรษฐีใหม่จากหุ้นโพไซดอน
จอห์น ยัง หนุ่มวัย 29 ซึ่งนั่งกินเหล้าในโรงแรมพาเลซ
ขณะที่เจ้ากรมข่าวลือกำลังกระพือข่าว
ได้ซื้อใบหุ้นโพไซดอนปึกใหญ่จากคนแปลกหน้า
จำนวน 5000 หุ้นในราคาหุ้นละ 95 เซนต์
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
หุ้นที่เขาถืออยู่ขึ้นไปถึงหุ้นละ 80 กว่าเหรียญ
สำหรับตัวผู้อำนวยการบริษัทโพไซดอน
พวกโบรคเกอร์ตั้งฉายาให้ว่า”นาทีละล้าน”
หมายถึงมูลค่าหุ้น
ที่ครอบครัวผู้อำนวยการบริษัทถืออยู่เพิ่มขึ้นต่อนาที

พวกนักปั่นหุ้นได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมจากความจริงที่ว่า
ตลาดหุ้นลอนดอนจะเปิดทำการ
เมื่อตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดแล้ว
ดังนั้นหลังจากนำหุ้นใหม่
เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นออสเตรเลีย
พวกมืออาชีพจะบินไปลอนดอนพร้อมใบหุ้นปึกใหญ่
แล้วเอาไปเร่ขายให้นักเล่นหุ้นชาวอังกฤษ
ทำให้เก็งกำไรกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เล่ห์เหลี่ยมในการปั่นหุ้นอันหนึ่งที่จับผิดได้ยากคือ
กลุ่มนักปั่นหุ้นในออสเตรเลียจะรวมหัวกันทุ่มซื้อ
หุ้นบริษัทเหมืองแร่ที่เน่าในช่วงบ่ายวันจันทร์
เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นจะเริ่มพุ่งขึ้น
พอตลาดหุ้นลอนดอนเปิดทำการให้เช้าวันจันทร์
ซึ่งตรงกับเย็นวันจันทร์ของออสเตรเลีย
นักปั่นหุ้นชาวอังกฤษซึ่งจับมือร่วมด้วยช่วยปั่น
จะทุ่มซื้อต่อจนราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นไปอีก
เมื่อตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดทำการในเช้าวันอังคาร
นักเล่นหุ้นที่อ่อนหัดจะหลงไหลได้ปลื้ม
ที่ลอนดอนสนใจหุ้นบริษัทในออสเตรเลีย
และเฮโลกันเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นบ้าง
เพราะนึกว่าเจอหุ้นทีเด็ด
แน่นอนว่าพวกนักปั่นหุ้นวงในจะเทขายฟาดกำไรก้อนโต
จากหุ้นที่ถือไว้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง

3. ความโลภไม่เคยปราณีใคร

ความจริงชาวออสเตรเลียผู้ไร้เดียงสา
ไม่ได้สนใจจะเล่นหุ้นเลย
แต่เมื่อสื่อพากันสัมภาษณ์บรรดา”เศรษฐีใหม่จากหุ้น” ทุกวันๆ
นักเล่นหุ้นหน้าใหม่ที่หวังรวยลัดจึงมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จนโบรคเกอร์หลายแห่งต้องหยุดรับลูกค้า
โดยไม่รับคำสั่งซื้อขายที่มีมูลต่ำกว่า 500 เหรียญทางโทรศัพท์
แต่คำสั่งซื้อขายก็ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด
พวกเทรดเดอร์จึงเลือกบริการเฉพาะลูกค้าเก่า
และเมื่อสายโทรศัพท์ถูกเรียกเข้าจนเต็ม
เทรดเดอร์ของโบรกเกอร์บางแห่งก็ไม่รับโทรศัพท์เอาดื้อๆ

เมื่อถึงต้นเดือนมกราคม 1970
พวกเจ้าของบริษัทเซียนปั่นหุ้นได้ออกหุ้นบริษัทใหม่
ซึ่งอาจจะมีค่าเพียงเศษกระดาษกันอย่างคึกคัก
เพื่อยั่วน้ำลายนักเล่นหุ้นที่มีฝันสีทองในหัวใจ
บริษัทเหมืองแร่รายใหม่ 23 ราย
ได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาด
และอีกกว่าร้อยบริษัทก็เริ่มเดินเรื่องเข้าตลาด
ถึงตอนนี้ปริมาณและราคาของหุ้นเริ่มพองโตขึ้นจนน่าตกใจ
จากปี 1969 – 1971 กว่าร้อยบริษัทเหมืองแร่สารพัดชนิด
ที่ชาวออสเตรเลียจะเคยได้ยินชื่อแร่นั้น
พากันออกหุ้นใหม่ไม่น้อยกว่า 820 ล้านหุ้น
เท่ากับชาวออสเตรเลียทุกคนซื้อได้มากกว่าคนละหนึ่งร้อยหุ้น
แต่ถึงขนาดนั้น หุ้นบริษัทใหม่ก็ยังไม่ค่อยกับความต้องการอยู่ดี
นักปั่นหุ้นรายใหญ่รายหนึ่งถึงกับบ่นอย่างเซ็งๆว่า

“อีตอนนี้ปัญหาหนักอกของการขายหุ้นIPO ก็คือการตั้งชื่อบริษัท”

แต่สูงสุดย่อมคืนสู่สามัญ ภายในไม่กี่สัปดาห์
ตลาดหุ้นเริ่มคลายความคึกคักลง
หุ้นหลายตัวเริ่มยืนกับที่ หลายตัวเริ่มตก
ดังนั้นข่าวการค้นพบแหล่งแร่แบบบริษัทโพไซดอน
กลายเป็นยาโด๊ปที่จำเป็น
สำหรับอัดฉีดให้ตลาดหุ้นบูมสุดขีดอีกครั้ง

4. ยาโด๊ปมาแล้ว

เหมือนกับรู้ใจนักเล่นหุ้นรายย่อยที่กำลังขาดออกซิเจน
ประธานบริษัททัสมิเนกซ์ ซึ่งมีแหล่งสำรวจ
อยู่ห่างจากของโพไซดอน 130 กิโลเมตร ได้ประกาศก้องว่า
“แหล่งแร่ของเราอุดมสมบูรณ์และใหญ่กว่าของโพไซดอน”
คำพูดประโยคเดียวส่งผลสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว
ภายในวันเดียว หุ้นทัสมิเนกซ์
พุ่งพรวดจาก 18.50 เหรียญไปสูงสุดที่ 90 เหรียญ
และตกกลับลงมายืนที่ 58 เหรียญ
เมื่อตลาดหลักทรัพย์แห่งเมลเบิร์น
ได้สั่งให้ชี้แจงสาเหตุที่หุ้นขึ้นผิดปกติ
คณะกรรมการบริษัทได้ออกแถลงการณ์ว่า
”ทางบริษัทที่ปรึกษาด้านวิเคราะห์ปริมาณเนื้อแร่
ได้รายงานว่าตัวอย่างก้อนแร่ มีนิเกิลผสมอยู่
แต่ยังไม่ทราบปริมาณที่แน่นอน"
ต่อมาบริษัทฮอลราฟส์ แอนด์ แอสโซซิเอท
ซึ่งถูกอ้างชื่อไปหากิน ได้ออกแถลงการณ์บอกปัดไม่รู้ไม่เห็น
กับคำประกาศของประธานบริษัททัสมิเนกซ์
โดยชี้แจงว่าการสำรวจที่ทำให้ทัสมิเนกซ์
เป็นการสำรวจตามปกติเท่านั้น
หลังจากแถลงการณ์ทั้งสองฉบับถูกประกาศออกมา
หุ้นทัสมิเนกซ์หล่นลงไปเหลือ 36 เหรียญตอนปิดตลาด
ภรรยาและบริษัทในเครือข่ายของประธานบริษัท
ได้เทขายหุ้นออกไปเป็นมูลค่าล้านกว่าเหรียญ
ในขณะที่มีกำไรมหาศาล
นักเล่นหุ้นที่หลงคารมประธานบริษัทพากันกระเป๋าฉีก
ตัวอย่างแร่ที่ได้จากแหล่งสำรวจแสดงผลว่า
มีนิเกิลอยู่เพียง 0.0007% เท่านั้น ซึ่งไม่มูลค่าในเชิงพาณิชย์เลย

5. งานเลี้ยงใกล้เลิกรา

แม้สัญญาณตลาดซบเซาเริ่มส่อเค้าให้เห็น
โดยนักเล่นหุ้นจำนวนมากเริ่มถอนตัวอกจากตลาด
ตลอดเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 1970
ราคาหุ้นเหมืองแร่ตกลงตลอดเวลา
แต่หุ้นโพไซดอนยังคงเล่นบทพระเอกเช่นเคย
หลังจากพุ่งขึ้นไปสูงสุดที่ 280 เหรียญ
ราคาก็เริ่มตกมายืนที่ 175 เหรียญ
และแล้วรายงานฉบับต่อมาของบริษัท
ในวันที่ 1 เมษายน 1970 ทำให้นักเล่นหุ้นฝันค้างไปตามๆกัน
เพราะแหล่งแร่ของบริษัทแม้จะมีขนาดใหญ่ตามมาตรฐานโลก
ก็ยังเล็กกว่าที่นักเล่นหุ้นคาดหวังไว้และซื้อหุ้นขึ้นไปรอ
ในสัปดาห์เดียวหุ้นโพไซดอนดิ่งลงมาเหลือ 108 เหรียญ
และฉุดให้หุ้นเหมืองแร่เกือบทั้งหมดหล่นตาม
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่บริษัทโพไซดอนประกาศพบแร่นิเกิล
ที่บริษัทที่ออกหุ้นใหม่ ต้องวิ่งพล่านหาคนจองซื้อ
ขบวนแถวของนักเล่นหุ้นรายย่อยที่หมดตัว
เริ่มเดินตบเท้าออกไปจากตลาด
5 – 27 พฤษภาคม 1970 หุ้นเหมืองแร่และหุ้นอุตสาหกรรมอื่นๆ
ต้องพบกับมรสุมร้ายแรงที่สุดในรอบสิบปี

6. ของแถมก่อนปิดฉาก

ก่อนม่านจะรูดปิดฉากโศกนาฏกรรมทางการเงิน
ครั้งใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย
ยังมีฉากเศร้าแถมท้าย
ในวันที่ 19 มีนาคม 1971 บริษัทลีโอปอลไมเนอรัล จำกัด
ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ขนาดเล็กที่เกิดขึ้นในช่วงหุ้นบูม
ได้ประกาศว่าบริษัทได้ค้นพบแหล่งแร่นิเกิล
ในปริมาณ 5.33% ที่ใกล้เมืองนูลลาจิน
กลิ่นไอความทรงจำ
ถึงวันเวลาอันยิ่งใหญ่ของหุ้นโพไซดอนยังมีอยู่
พวกมืออาชีพในตลาดจัดการลากหุ้นลีโอปอลฯ
พรวดเดียวจาก 1 เหรียญไปเป็น 8.80เหรียญ
แต่แล้วอีกห้าวันต่อมา
หุ้นลีโอปอลฯถูกห้ามซื้อขายในทุกตลาดหลักทรัพย์
และต่อมาไบรอัน คัทเลอร์
ผู้อำนวยการบริษัทถูกจำคุกสามปีครึ่ง
ด้วยโทษฐานปลอมแปลงผลการตรวจสอบเนื้อแร่
หลักฐานของอัยการแสดงให้เห็นว่า
ไบรอัน คัทเลอร์ได้หลอกผู้ตรวจสอบเนื้อแร่
โดยขโมยแร่ตัวอย่างที่ขุดเจาะได้จากแหล่งแร่เมืองคัมบัลรา
ซึ่งเป็นแหล่งแร่ที่จุดชนวน
ให้หุ้นเหมืองแร่บูมครั้งแรกสุด

ก่อนที่ราคาหุ้นเหมืองแร่จะพังถล่มลงมา
ชาวออสเตรเลียเริ่มรู้รสชาติ
การหมดเนื้อหมดตัวจากความโลภ
ประชาชนจำนวนมากสูญเงินออมไปจนหมด
มีจำนวนมากมีหนี้สิน
โบรกเกอร์สิบแห่งล้ม หนึ่งในบริษัทที่ล้ม
เป็นเจ้าหนี้พนักงานบริษัทถึง 375,000 เหรียญ
สองในสามของหนี้สินดังกล่าว
พนักงานกู้ยืมไปโดยพลการ
และถึงแม้ว่ากระทรวงการคลังของออสเตรเลีย
จะเข้าไปช่วยกู้สถานการณ์อย่างเต็มที่
บริษัทเหมืองแร่นิเกิลที่รอดพ้นจากหายนะครั้งนี้
ก็จำใจขายใบสัมปทานทิ้งในราคาถูก
ภายในเวลาเพียง 3 ปี บริษัทต่างชาติได้เป็นเจ้าของ
สัมปทานแหล่งแร่นิเกิลถึง 2 ใน 3 ของประเทศ

7. สรุปบทเรียนราคาแพง

ออสเตรเลียได้สรุปบทเรียนราคาแพงในครั้งนี้
และทำการวัวหายแล้วล้อมคอก
ในทุกรัฐ กฏหมายใหม่ได้ตราบทลงโทษการปั่นหุ้น
ให้เป็นโทษจำคุก
รัฐบาลได้ออกกฏหมายเพิ่มอำนาจควบคุมการซื้อขายหุ้น
ราคาหุ้นเหมืองแร่เริ่มลอยตัวอยู่ในระดับสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม
บทเรียนเจ็บปวดที่สุดสำหรับนักเล่นหุ้นมือสมัครเล่น
ก็คือบทเรียนจากหุ้นโพไซดอน
การคาดหมายถึงราคาแร่นิเกิลว่าจะสูงลิ่วกลายเป็นฝันสลาย
ความพยายามของฝ่ายบริหารบริษัทที่หันไปลงทุนในแร่ชนิดอื่น
ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
วันที่ 19 ตุลาคม 1975
ตลาดหลักทรัพย์ทุกแห่งในออสเตรเลีย
ได้สั่งพักการซื้อขายหุ้นโพไซดอน
เพราะคณะกรรมการบริษัทได้ออกแถลงการณ์
อ้างสาเหตุเรื่องราคาดีบุกและนิเกิลตกต่ำในตลาดโลก
และเรียกหาผู้รับช่วงกิจการไปทำต่อ
ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของทุกฝ่าย
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา
บริษัทซึ่งเคยเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ของตลาดหุ้นออสเตรเลีย
ก็เริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน
ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เตือนสติ
ให้นึกถึงจุดจบของการลงทุนโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลที่ดีพอ

29 กันยายน 1976
วันครบรอบปีที่ 7 ของประกาศอันสะเทือนเลื่อนลั่นตลาดหุ้น
หุ้นของบริษัทโพไซดอน
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขายได้หุ้นละ 280 เหรียญ
หาซื้อได้อย่างง่ายดายเพียงหุ้นละ 77 เซนต์

ตอนจบของทุ่งคาจะลงเอยแบบไหนไม่มีใครรู้ได้
บทความนี้เพียงแต่เอามาให้อ่านเพื่อเตือนให้รู้ว่า
ที่ใดมีความโลภแบบขาดสติ
ที่นั้นอะไรก็จะทำได้ง่ายดายไปหมด
ความโลภของเซียนหุ้น กับความโลภของแมลงเม่าหุ้น
มีจุดจบแตกต่างกัน
ความโลภของเซียนหุ้น มากับยอดเคล็ดวิชาลับประจำตัว
จึงเดินจากไปพร้อมกับเงินทองที่เพิ่มพูนขึ้น
ส่วนความโลภของแมลงเม่าหุ้น มากับข่าวลือข่าวเด็ดของรายใหญ่
บางคนโชคดีจะได้กำไร
แต่จำนวนมากจะโชคร้ายขาดทุนหนัก

จุดจบของทุ่งคาจะมีได้สองแบบ
แบบที่หนึ่ง
คนเล่นหุ้นตัวนี้ทุกคนได้ทองไปจากบริษัท
เพราะมีทองจริงๆ
แบบที่สอง
มีเพียงคนบางคนซึ่งเป็นเซียนหุ้นตัวจริง
จะได้ทองจากกระเป๋าของคนอื่นๆจำนวนมากรวมกัน
เพราะบริษัทไม่มีทองอยู่จริง

ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็ร่วมแทงไฮโลว่ามีทอง
ก็ขอให้จบแบบที่หนึ่งด้วยเถอะ
แต่ถึงจะจบแบบที่สอง
ข้าพเจ้าก็อาจจะได้ทองจากกระเป๋าคนอื่นบ้างเล็กน้อย
ถ้าข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำคลายเครียดเรโช ฮาๆๆๆ



จากคุณ : คลาย เครียด




โพไซดอน เมืองไทย

//www.midnightthailand.com/

//www.ilikemassage.com/




______________________________________________________




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 3 ธันวาคม 2552 9:27:04 น.   
Counter : 639 Pageviews.  


เกมล่าส่วนเกินทุน

*** เขียนโดย คลายเครียด ***








เมื่อวานผมคิดได้แต่หลักการ คิดเนื้อหาไม่ออก
เพราะไม่มีประสพการณ์ในการใช้
ข่าวลือ ข่าววงเป็นเครื่องมือในการทำกำไรจากหุ้น
"ผมไม่เคยซื้อหุ้นตามข่าวลือ ข่าววงใน
ของใครเลยมาตลอดชีวิตการเล่นหุ้น"
ทำให้ไม่เคยร่ำรวยมหาศาลหรือเจ๊งบรรลัยจักร
เพราะข่าวลือ ข่าววงใน
แปลกแต่จริงที่โรเบิร์ต ริปเล่ย์ไม่ได้บันทึกไว้
แค่ใช้ข่าววงนอกจากตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นประโยชน์
บวกสามัญสำนึกแบบมนุษย์ และวินัยในการเล่นหุ้นแบบ
คลายเครียดเรโช มหภาคและจุลภาค
ก็ทำให้เราพอมีที่ยืนอยู่ในตลาดได้ในฐานะ"มนุษย์หุ้น"
ไม่ร่ำรวยมหาศาลเหมือนพวกเซียนหุ้น
แต่ก็ไม่มีวันหมดตัวเหมือนพวกแมลงเม่าหุ้น
ในเมื่อไม่มีประสพการณ์โดยตรง
ก็ต้องใช้วิธีคาดเดา เอ๊ยคาดการณ์
ความน่าจะเป็น ผิดถูกประการใด
แฟนานุแฟนขาประจำของข่าวลือ ข่าววงใน
ช่วยต่อเติมให้บ้างจะขอบคุณอย่างสูง

เกมล่าส่วนเกินทุน

กติตาการเล่นมีง่ายๆ แต่เล่นยากเป็นบ้า ฮาๆๆ
ทุกคนจะผลัดกันเป็นผู้ล่าส่วนทุนผู้อื่น
และเป็นผู้ถูกผู้อื่นล่าส่วนทุนของตัวเอง
ใครจะได้ส่วนขาดทุนของคนอื่น มาเป็นส่วนเกินทุนของตัวเอง
ก็แล้วแต่จังหวะ ฝีมือ และโชค
เกมนี้จะคึกคักสุดขีดได้
ทุกฝ่ายต้องมีเงินก้อนใหม่ๆเข้ามาเล่น
เรียกว่าตบมือข้างเดียวไม่ดัง
พอตอนนี้มีมืออีกข้างมาให้ตบแล้ว
ก็เงินเย็นที่ทนหนาวจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำติดดินไม่ได้นั่นแหละ
เงินเย็นเหล่านั้นบางส่วน ถูกทำให้เป็นเงินร้อน
ด้วยการเล่นระบบเสือปืนไว ใจเกินร้อย
มีเงินเย็นอยู่ล้านเดียว อาจจะเเปลงให้เป็นเงินร้อนร้อยล้าน
ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเน็ทเซทเทิลเม้นท์
ตอนนี้รู้สึกว่าพี่ไทยจะฟาดฟันกันเองแบบเอ็งทีข้าที
เดี๋ยวข้าล่าส่วนทุนของเอ็ง เดี๋ยวเอ็งก็มาล่าส่วนทุนของข้า
ส่วนพวกตาน้ำข้าว ก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆอยู่ข้างเวที ฮาๆๆๆ


ข่าวลือ และข่าววงใน ในห้องค้าและเวปบอร์ด

เกมล่าส่วนเกินทุนจะคึกคักสุดขีด
มันต้องทำให้เกิดเรื่องไร้เหตุผลเข้ามาปั่นเกม
แต่ไอ้เรื่องที่ไร้เหตุผล ก็จะถูกทำให้มันฟังดูมีเหตุผลอิ๋บอ๋าย
ด้วยบทวิเคราะห์เจาะเดา
ข่าวลือและข่าววงใน วงในกว่า และวงในที่สุด

ข่าววงในที่สุดหรือเกรดเอ
จะมีไม่มีทางหลุดรอดออกมาถึงแมลงเม่า เอ๊ยนักเล่นหุ้นรายย่อย
และรายจุกจิกจู้จี้ ตามห้องค้าและเวปบอร์ดเป็นอันขาด
ซึ่งแต่ละท่านพกคำคมประจำตัวไว้ว่า
"กำไรคือข้าเก่ง ส่วนเจ๊งนั่นเอ็งทำ"
เอ็งนั้นจะเป็นใครข้าไม่สนหรอก ขอให้ข้าได้โทษก็แล้วกัน ฮาๆๆ

ข่าววงในกว่า หรือข่าววงในเกรดบี
จะเกิดขึ้นเมื่อเซียนหุ้นเกรดเอซื้อหุ้นตุนไว้เล่นเกมจนเต็มอัตราศึก
มันจะค่อยๆถูกปล่อยผ่านมาร์เก็ตตี้ มาร์เก็ตติ้งที่แสนน่ารัก(ค่าคอมฯ)
และรายใหญ่เกรดบีที่ร่วมด้วยช่วยปั่นกับรายใหญ่เกรดเอ

อีทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสำคัญที่สุดที่ข่าววงในเกรดซี
จะแพร่กระจายออกไปตามมือถือและเวปบอร์ด
ซึ่งเป็นนววัตรกรรมใหม่ล่าสุดในการกระจายข่าว
ถ้าเป็นห้องค้า
ก็จำเป็นต้องอาศัยท่านเจ้ากรมข่าวลือและข่าวปล่อย
ท่านเจ้ากรมข่าวฯที่พร้อมจะรับหน้าที่
อย่างสมศักดิ์ศรีท่านเจ้ากรม ก็จะมีใครที่ซะอีกเล่า
ก็พวกรายย่อยรายจุกจิกอย่างเราๆท่านๆตามห้องค้า
แต่ท่านเจ้ากรมข่าวมักมีนิสัยชอบกินใต้โต๊ะ
มักจะบวกพรีเมี่ยมให้กับข่าวปล่อยแบบไม่ได้เกรงใจเจ้ามือ
ทั้งนี้และทั้งนั้น
"ก็Kuซื้อไว้มาแพงกว่ามีงนี่หว่า ฮาๆๆ"
ท่านเจ้ามือก็เลยขัดเคืองใจอยู่เป็นประจำ
"ไอ้ห้าเอ๋ย kuบอกว่าคาทุ่งจะไปหกห้าสิบ
เสือกปล่อยข่าวต่อเป็นเจ็ดบาท ยังงี้kuก็เหนื่อยแย่ซิวะ ฮาๆๆๆ"
สำหรับข่าวลือ ข่าวปล่อยตามเวปบอร์ด
ก็ ก็ ก็ อ่าทิ้งเมล์ไว้ครับ เอ๊ยไม่ใช่สันนิษฐานกันเอาเอง
แมลงวันไม่ตอมแมลงวันด้วยกันฉันใด
นักเล่นเวบบอร์ด ย่อมไม่เปิดโปงนักเล่นเวบบอร์ดด้วยกันฉันนั้น

เดี๋ยวขอมั่วต่อถึงเรื่องข่าวลือ ข่าววงใน
ในฐานะที่มนุษย์หุ้นใช้เป็น"เครื่องมือ"
และแมลงเม่าหุ้นถูกมันใช้เป็น"เครื่องมือ"ในการเล่นเกมล่าส่วนเกิน
ขอตั้งสติไว้มั่วต่อตอนบ่าย
ระหว่างอินเตอร์มิสชั่น


การใช้ข่าวลือ ข่าววงในของมนุษย์หุ้นและแมลงเม่าหุ้น

มนุษย์หุ้นจะใช้ข่าวลือ ข่าววงในเป็น"เครื่องมือ"
ในการทำกำไรตามเซียนหุ้น
มนุษย์หุ้นจะรู้อยู่เต็มอกว่า
ข่าวที่เขาปล่อยมีเจตนาแฝงเร้นอย่างแน่นอนที่สุด
มนุษย์หุ้นจะคิดด้วยสามัญสำนึก
"ใครจะมาหวังดีกับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน"
ขนาดคนเห็นหน้ากันทุกวัน ยังหลอกลวงกันหน้าตาเฉย
มนุษย์หุ้นจะรีบซื้อหุ้นที่ปล่อยข่าวฯเป็นไม้ต้นๆ
แล้วถือรอไว้จนกว่าห่างจากเป้าหมายที่เขาตั้งไว้ 20 - 30 %
ก็จัดการงาบแล้วชิ่ง ไม่หวนกลับไปซื้อๆขายๆอีก

ส่วนแมลงเม่าหุ้นจะตกเป็น"เครื่องมือ"ของเซียนหุ้น
ด้วยข่าวลือ ข่าววงใน
แมลงเม่าหุ้นจะไม่ใช้สามัญสำนึกถามหาที่มาของข่าววงใน
เขาจะค้นหาแต่เป้าราคาที่ข่าวตั้งไว้ด้วยความโลภ
พอซื้อตามแล้วได้เงิน ก็ได้ใจ
แต่ก็ขายทิ้งด้วยความกลัว
หุ้นขึ้นต่อ วิ่งไปหาเป้า
ก็ชักลังเล
ซื้อตามอีก แล้วก็ขายอีก กำไรอีกเล็กๆน้อยๆ
วนเวียนอยู่หลายรอบ
จนในที่สุดซื้อตามโดยไม่ขายมากขึ้น มากขึ้น
แม้ราคาขยับเข้าใกล้เป้าราคาเหลือแค่ 10 - 20 % ก็จะเอา
ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นตอนที่เซียนหุ้นจัดการเชือดครั้งใหญ่ล้างบาง
ประเด็นสำคัญที่สุดที่แมลงเม่าหุ้นจะไม่มีทางรู้เลยก็คือ
ราคาต้นทุนเฉลี่ยที่แท้จริงของหุ้นตัวที่เซียนหุ้นปั่นคือเท่าไร
แมลงเม่าหุ้นจะเห็นแต่ราคาที่มันขยับขึ้นมาสูงสุดเท่านั้น

สรุปก็คือ
มนุษย์หุ้นจะใช้ข่าวลือ ข่าววงในเป็น"เครื่องมือ"ในการทำกำไร
เพราะไม่เชื่อว่ามีรายใหญ่ที่เป็นพ่อพระอยู่ในตลาดหุ้น
ส่วนแมลงเม่าหุ้นจะเป็น"เครื่องมือ"ของข่าวลือ ข่าววงใน
เพราะไม่เคยสนใจว่ามีรายใหญ่ที่เป็นพ่อพระอยู่ในตลาดหุ้นหรือไม่
สนใจแต่ปรากฏการณ์ของข่าว ไม่ได้สนใจธาตุแท้ของข่าว

เออพิมพ์จนเหนื่อยสมอง
ยอมรับว่า อาจจะเป็นกระทู้ที่เละที่สุดของผมก็ได้
ต้องขออภัยท่านผู้ชมที่อาจจะมีบ้างทุกท่าน
เพราะที่จริงแล้วผมไม่เคยมีประสพการณ์ในการซื้อหุ้น
จากข่าวลือหรือข่าววงในเลย
เพราะผมเชื่อว่า
รายใหญ่ที่จะเป็นพ่อพระในตลาดหุ้น
มีอยู่แต่ในตลาดหุ้นของโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาเท่านั้น ฮาๆๆ





คลายเครียดเรโช(มหภาค)
เท่าๆที่ผมฟังมาจากคนรอบข้างที่เจ๊งหุ้นก็คือ
เพิ่มเงินลงทุนไปมากกว่าที่ได้กำไรมาหลายๆเท่า
ที่สำคัญมักจะเพิ่มในตอนที่ตลาดบูมสุดขีดไปแล้ว
เงินลงทุนถูกเหวี่ยงไปตามแรงกรรมแห่งความโลภ

ความจริงเซียนหุ้นกับแมลงเม่าหุ้น
ทำเหมือนกันคือเพิ่มวงเงินลงทุนในขณะที่มีกำไรมากๆ
แต่ผลลัพธ์ออกมาต่างกันมาก
เซียนหุ้นรวยขึ้นไปอีกสิบเท่าร้อยเท่า
แต่แมลงเม่าหุ้น คืนกำไรไปจนหมด
แถมขาดทุนมากกว่าที่กำไรมาหลายเท่า
เซียนหุ้นมียอดวิชาประจำตัวเพิ่มไปตามวงเงินที่เพิ่มขึ้น
แต่แมลงเม่าหุ้นได้ข่าวลือเพิ่มมากขึ้นๆไปตามวงเงินที่เพิ่ม
จุดจบของทั้งสองพวกเลยแตกต่างกันราวกับหน้ามือกับหลังเท้า

ผมวางตำแหน่งตัวเองไว้ตรงกึ่งกลาง
ระหว่างเซียนหุ้นและแมลงเม่าหุ้น
คือเป็นมนุษย์หุ้น
เพราะไม่ได้มีวิชาความรู้แบบแท้จริงกับเขาสักเท่าไร
แต่ไม่เคยซื้อหุ้นตามข่าวลือข่าวเด็ดของใครเลย
ดังนั้นพอกำไรมาก็ต้องชักขึ้น ไม่ใช่ใส่เพิ่มเหมือนพวกเซียนหุ้น
พอชักกำไรออกมากๆเข้า
พอร์ตลงทุนของเราก็เหมือนกับไม่มีต้นทุนแล้ว
ที่นี้ก็นั่งเล่นหุ้นได้อย่างสบายใจซิครับ ท่านผู้ชม
ไม่ต้องนอนเอาเท้าก่ายหน้าผาก จนภรรยาสงสัยว่า
มันทำได้ไงว่ะ ฮาๆๆๆ

ผมภูมิใจมากที่ถามภรรยาว่า
ดูผมออกหรือไม่ว่า วันนี้หุ้นขึ้นหรือหุ้นตก
เขาบอกดูไม่ออก
แสดงว่าหุ้นไม่ใช่ชีวิตเราทั้งชีวิตอีกต่อไปแล้ว
คนรอบข้างไม่ได้รับผลกระทบจากชีวิตด้านหุ้นของเรา
นี่ผมเกลียดนายบุฟเฟ่มากจริงๆ
เมื่ออ่านเจอประโยคที่ว่า
นายบุฟเฟ่ให้ความสำคัญกับหุ้นยิ่งกว่าลูกเมีย
ตอนพี่แกจะซี้ม่องเท่ง
ก็ให้เอาใบหุ้นมาปูนอนให้ตายตาหลับก็แล้วกัน
ส่วนลูกเมียก็เตรียมวิ่งแจ้นไปหาทนาย เพื่อฟ้องชิงมรดกกัน

เอ้ากลับมาเข้าเรื่องกันต่อ
คนที่จะทำคลายเครียดเรโชระดับมหภาคได้
จะต้องเป็นคนที่

สามารถควบคุมปริมาณความโลภของตัวเองได้

ส่วนเซียนหุ้นไม่ต้องควบคุม
เพราะยิ่งโลภเขาก็ยิ่งได้




คลายเครียดเรโช(จุลภาค)

เมื่อระดับเงินลงทุนไม่มีต้นทุน
เพราะสามารถควบคุมปริมาณความโลภไว้ได้แล้ว
เราก็จัดการกับหุ้นรายตัวได้ง่ายขึ้น
ก็อย่างที่บอก
ผมวางตำแหน่งตัวเองไว้ที่มนุษย์หุ้น
มีอะไรที่ทำเพื่อปกป้องเงินลงทุนเราได้ ก็ต้องทำ
ดังนั้นหุ้นที่ผมไม่มั่นใจจริงๆ
ผมจะต้องทำคลายเครียดเรโชไปก่อนแทบทุกตัว
แต่ถ้ามั่นใจมากๆก็ไม่ทำเหมือนกัน

ตัวอย่างเช่น
เมื่อสองปีก่อนซื้อ cwt
ไปสี่หมื่นหุ้นที่ราคา 5.8-6.0 ในทันทีที่เขาประกาศข่าว
ได้ออเดอร์อเมริกาสามปีสองพันล้าน
หลังจากนั้นก็มีรายใหญ่เข้ามาปั่นหุ้นตามข่าวที่ออก
พอขึ้นไปที่ 12 กว่า ผมขายทิ้งไปครึ่งหนึ่งทันที
เพราะเราไม่รู้เส้นกราฟ ไม่รู้ว่าจะเล่นข่าวไปอีกนานแค่ไหน
ขายเสร็จสบายใจแล้ว ไม่มีทางขาดทุนหุ้นตัวนี้
ที่เหลืออีกสองหมื่นได้ขายอีกครั้งที่ 21-23 บาท

สรุปแล้ว ถ้าไม่แน่ใจหุ้นตัวไหน ต้องขายทิ้งเอาทุนขึ้นมาก่อน
ที่เหลือนั่งกระดิกเท้า ค่อยหยอดขายไปตามรายทาง
แต่ถ้าคุณแน่ใจว่าตัวเองเป็นเซียนหุ้น
เก็บต่อไปได้
แต่ให้ตายเถอะโรบิน
ไหงกลายเป็นว่าเซียนหุ้นตัวจริงที่ผมเห็นตำตา
คือแม่บ้านของเศรษฐีใหญ่แถวบ้าน
ผู้มีปูนซีเมนต์ไทยราคาแถวหนึ่งบาทกว่าอยู่สามแสนหุ้น
และไม่เคยเล่นหุ้น ฮาๆๆๆ
คนคำนวนหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
ขอต่อปลาไหลเรโช ตอนบ่ายขอรับ
พิมพ์จนมือหงิกแล้ว


___________________________________________________________________

บางเวลาของโอกาสที่มาถึงตั่วเฮียคลายเครียด
15 มค 2550








 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 15 มกราคม 2550 13:12:30 น.   
Counter : 1100 Pageviews.  


เพราะหุ้นมันไม่ขึ้นก็ลง



20-30 ล้านคงเวอร์ไปครับ
ผมแค่ยกตัวอย่างให้คนตั้งกระทู้เข้าใจเฉยๆ
แต่จริงๆผมมีเหลือราวๆ 10 ล้านได้
(คิดรวมขาดทุนทางบัญชีตอนนี้เสร็จสิ้น) อิอิ
เรื่องก็คือสมัยมัธยมต้น
ผมต้องไปทำงานเป็นคนสวน และ คนดูแลเด็ก
คุณพ่อกับแม่ ส่งไป (เข้าใจว่าคงตั้งใจสอนอะไรสักอย่าง)
ก็ได้เริ่มรุ้สึกตั้งแต่ตอนนั้นว่า
จริงๆแล้วชีวิตเนี่ยมันลำบากมากๆกว่าที่ตัวเองคิดตั้งเยอะ
พอขึ้น ม.ปลาย ก็มีปัญหาต่างๆที่บ้านมากมาย
จุดที่ผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่รบกวนเงินพ่อแม่
อีกตลอดชีวิตคือได้ยินวันที่เค้าคุยปรึกษากัน
และแม่ผมกำลังจะตัดสินใจนำทองคำ
ที่เป็นของแต่งงาน ไปขายเพื่อนำเงินมาใช้ในครอบครัว
และมีเรื่องอื่นๆอีกมากที่ทำให้ผมหลุดขั้วจากคนอื่นๆ
เพราะผมสงสารพ่อกับแม่มาก
จากนั้น ม.ปลาย ผมก็ได้งานที่ดีขึ้นหน่อย
คือสอนพิเศษเด็ก ม.ต้น
ตอนแรกก็ไม่คิดจะสอนเป็นงานหรอกครับ
เริ่มจากสอนการบ้านให้น้องๆแถวนั้นฟรีๆ
ไปๆมาๆน้องเค้าเรียนดีขึ้น
ปากต่อปาก ก็เลยได้สอนเต็มตัว
ทุกๆเย็น การเรียนช่วง ม.ปลาย ก็แย่ลง
เพราะผมกลับสนใจไปค้นคว้าเรื่องอื่นที่ห้องสมุดโรงเรียน
เพื่อช่วยทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตมันดีขึ้น
ผมอ่านจิตวิทยาเยอะมาก
แล้วก็ไล่มาอ่านพวก ทุนนิยมของ คาร์ล มาร์ก
อ่านมันทุกอย่างเพราะอย่างรู้จริงๆว่า
ทำไงถึงจะประสบความสำเร็จได้ จะได้ช่วยพ่อกับแม่ได้
จนมาสอบ เอนทรานซ์ ก็พยายามสอบเข้า วิศวะ
เพราะตอนนั้นคิดว่าทำงานวิศวะก็น่าจะได้เงินเดือนดี
ก็เลยเอนท์เข้ามาเรียนที่ลาดกระบัง
ระหว่างเรียนทำงานมาโดยตลอด
จนมีคนรู้จักมากขึ้น ส่วนเรื่องหุ้นนั้น
จริงๆแล้วผมสนใจเรื่องหุ้นมานานมากจากการอ่านหนังสือ
แต่ไม่มีโอกาสรวมทั้งทุนทรัพย์
ก็เลยเล่นในกระดาษมาโดยตลอด
จนอายุ 20 ก็ตัดสินใจเข้ามาลงทุน
เงินที่เก็บได้จากการทำงานตลอด
ก็มีพอสมควรเลยตัดสินใจลงทุน
ตอนแรกที่ระดับไม่กี่หมื่นก่อน
เก็งกำไรไปๆมา ตลาดแย่มาก
ไม่คุ้มเวลา ก็เลยนำเงินที่มีอยู่อีกส่วนทั้งหมด
มาซื้อหุ้นเพิ่มเข้าไปอีก
โดยสัญญาจะเปลี่ยนรูปแบบตัวเองใหม่ คือ
ถ้าจะลงทุนในหุ้น ต้องทำยังไงก็ได้
ให้หุ้นตัวเองมีเพิ่มขึ้น
ไม่ใช่จ้องเก็งกำไรให้เงินเพิ่ม
จากนั้นสไตล์เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ผมไม่เคยสนใจต้นทุนเลย
คิดว่าผมเป็นผู้บริหารบริษัทนั้นเสียเลย
มีเงินเท่าไรซื้อหุ้นหมด
มีซื้อขายปรับเปลี่ยนพอร์ตพอร์ตบ่อยเหมือนกัน
แต่จะเล่นหุ้นอยู่ 2 ตัวเท่านั้น
จนหุ้นในมือเพิ่มๆขึ้น + เงินที่ทำงานพิเศษ
ก็ทำให้หุ้นเพิ่มขึ้นไปอีก
ไปๆมากลยุทธ์นี้เรียกได้ว่าเหมาะกับผมมากทีเดียว
เพราะตามความคิดผม
หุ้นเป็นทรัพยกรที่มีจำกัด
(ผมจะถือว่าหุ้นเป็นทรัพยกรอย่างหนึ่ง
หากบริษัทนั้นมีกำไรตลอด
โดยกำไรไม่ต้องโตตลอดก็ได้
ขอให้มีกำไร และไม่มีการเพิ่มทุนเลย
หรือถ้าจะเพิ่มขอให้สมเหตุสมผล)
พอคร่าวๆนะครับ
ผมเองพูดมากไปเดี่ยวจะโดนว่าอ่ะ
จากข้างบนความคิดของผมที่เป็นมวยวัด
คราวนี้มาพูดถึงหลัก
ที่มันดูวิชาการหน่อยตามที่ไปเรียนมา
การที่จะเพิ่มปริมาณเงินลงทุนนั้น
ต้องดูหลายอย่างครับ
ทั้งสัดส่วนเม็ดเงินการลงทุนที่มีเข้ามาในตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดบ้านเรา
ซึ่งเป็นตลาดเก็งกำไรเสียส่วนใหญ่
หลายคนคงรู้เกี่ยวกับเรื่องเม็ดเงินในตลาดดี

(กำไรมีให้ในวงจำกัดเท่านั้น
ถ้าเราได้กำไรแล้วยังไปวิ่งหากำไรอีก
ระวังกำไรในมือเราจะหมดไป
มันสนุกตรงเวลาเก้งกำไรนี่
ไม่รู้เมื่อไรเค้าจะเลิกแจกกำไรกันสินะครับ)

แต่บางคนก็ยังเพิ่ม power ลงไป
โดยการเติมเงินเข้าไปในตลาด
ซื้อเฉลี่ยบ้าง ถ้าลงทุนระยะยาวก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
แต่ถ้าระยะสั้น การที่ถือเราซื้อหุ้นแล้วขาดทุน
แสดงว่า เม็ดเงินในหุ้นที่เราเล่นนั้น flow out แล้ว
มันไม่ควรซื้อเพิ่มเพราะยิ่งซื้อมันก็ยิ่งลงเพราะเงินมัน out ออก
แต่ถ้าซื้อแล้วกำไรนั่นสิครับเรียก flow in ในหุ้นตัวนั้น
บางทีหลักการนี้ ผู้เล่นรายใหญ่บางคนเค้าก็เรียก
หุ้นขึ้นให้ซื้อต่อ หุ้นลงให้ขายต่อ
ผมก็ตอบไปตามประสบการณ์นะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆบ้างไม่มากก็น้อย
มือเก๋าๆอย่าถือสานะครับหากความคิดผมเด็กๆ

จากคุณ : คลาย เครียด

อันนี้คือ mgc เวอสั้นล่าสุด ฮาๆๆ

ถ้าท้าวความประวัติผมเอาคร่าวๆดีกว่านะครับ
ส่วนแนวความคิดของผมเองผมอาจจะพูดมากหน่อย
ผมได้เรียนรู้เรื่องหุ้นเพิ่มขึ้นมากมาย
ก็เนื่องมาจากผมชนะเลิศแข่งหุ้นแล้ว
มีนักลงทุนฝรั่งมาสนใจ
จึงได้ศึกกษาและทำงานกับเค้าบ้าง
แต่นั่นคงไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกใช่มั้ยครับ
ผมว่าเอาเป็นผมได้เรียนรู้อะไรมาบ้างดีกว่า
มาให้กำลังใจคนที่พยายามครับ
จะได้มีกำลังใจ
ความสามารถในการซื้อ-ขายหุ้น
เราสามารถฝึกฝนได้ครับ
เพราะเมื่อก่อนผมเป็นยิ่งกว่าแมงเม่าอีก
เพราะยังไม่ทันบินเข้ากองไฟก็ตายเสียแล้ว อิอิ
เรื่องขาดทุนเป็นเรื่องปกติครับ
เพียงแต่ว่าเราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มหรือเปล่าจากการขาดทุนครั้งนั้นๆ หากเราไม่เรียนรู้อะไร

แล้วเอาแต่โทษสภาวะแวดล้อมรอบด้าน
เช่น รัฐบาล ฝรั่ง การก่อการร้าย ราคาน้ำมัน เฮดจ์ฟัน กลต.(อิอิ)
นั่นก็แสดงว่าเราไม่ได้มีความพร้อมอะไรเลย
ที่จะเข้ามาในสนามแห่งนี้
เพราะการกำไรขาดทุนจริงๆแล้ว
การตัดสินใจมันเริ่มอยู่ที่ตัวเราเองก่อนทั้งนั้นครับ
ซึ่งเป็นธรรมดาถ้าเราไม่ได้เตรียมการอะไรเลย
หากเกิดเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยเข้ามาผลกระทบ
ก็ย่อมเกิดขึ้นกับตัวเราเต็มๆครับ
เกริ่นมานานแล้วเข้าเรื่องเลยดีกว่าเนอะ
สำหรับความพร้อมที่ผมคิดว่าต้องมีก่อนเข้าสู่เกมการเงินแบบนี้นั้น
มีแนวความคิดคร่าวๆดังนี้ครับ



จากคุณ : คลาย เครียด


1. การเข้ามาในตลาดหุ้น
อย่าหวังเพียงเพื่อเป็นการเข้ามาหาเงินง่าย
หรือเป็นการสร้างความร่ำรวยทางลัด
หรือจะเรียกว่าอิสระทางการเงินอะไร
ก็แล้วแต่ปัจจุบันจะสรรหาคำพูดมา
เพราะเป้าล่อเหล่านี้
เป็นเพียงสิ่งดึงดูดเม็ดเงินของบรรดาเหล่านักล่า
(ไม่พูดนะครับว่านักล่าเป็นพวกไหนบ้างละไว้แล้วกัน)
ถ้าไม่มีผู้เล่นเข้ามามันจะล่าใครล่ะครับ
ล่ากันเองนี่เหนื่อยนะครับ
อย่างงนะครับว่าอ้าวถ้าไม่เข้ามาหาตังค์หรือทำเงิน
แล้วจะเข้ามาทำ....อะไร
จริงๆแล้วที่ผมพูด
มันมีผลทางจิตวิทยากับสมองหรือระบบความคิดของเรานะครับ เพราะยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเรามุ่งแต่จะทำเงินอย่างเดียว
สิ่งที่สมองเรามองหาก็คือการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
ในรูปแบบต่างๆที่จะทำเงินให้เราได้
เสร็จนักล่าล่ะครับ มันก็ทำรูปแบบต่างๆให้ดูว่า
ราคาหุ้นที่คุณจะซื้อดูทุกอย่างดี ข่าวก็เยี่ยม เทคนิคสวย
(เรื่องเทคนิคเป็นเรื่องสำคัญ ไว้จะมาคุยต่อทีหลังนะครับ) ----> สรุปก็คือการมองแต่จะทำเงินอย่างเดียว
มันกลับทำให้ระบบความคิดของสมองเรา
ถูกจำกัดให้แคบลง เพราะเราเป็นคนไปโปรแกรมสมองมันเองว่า
เป้าหมายจะทำเงิน
ดังนั้น ระบบสมองซึ่งรับฟังคำสั่งโปรแกรมของเรา
ก็จะมองอยู่ในกรอบเท่าที่เราโปรแกรมไว้ครับ
ทำให้เราสงสัยว่าปัญหาเดิมๆทำไมเกิดขึ้นกับเราตลอดเช่น
ขายขาดทุนปุ๊บขึ้นปั๊บ เป็นต้น --->
สำหรับผมเลยโปรแกรมสมองมันใหม่ว่า

เข้ามาเพื่ออยากจะดวลสมองหรือเล่ห์เหลี่ยม
อ่านเกม กับคนเก่งๆหลายๆท่านในตลาด
แล้วฝีมือของผมก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างสังเกตุได้ครับ

(เมื่อก่อนเคยคิดเหมือนกันว่าฝีมือระดับนี้
คงพอแล้วตอนชนะเลิศหุ้น
แต่พอได้เรียนรู้จากนักลงทุนฝรั่ง
ทำให้รู้ว่าขีดความสามารถในการเทรดของคนเรานี่
มันน่ากลัวจริงๆ
ยิ่งเป็นพวกมืออาชีพระดับตลาดอินเตอร์
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ให้ลองจินตนาการว่าผมเป็นแค่นักกีฬาชนะเลิศของจังหวัด
แต่ต้องเจอกับนักกีฬาโอลิมปิกอย่างนี้เป็นต้น
(บางทีเราเวลาเราดูกีฬาระดับโลกเรายอมรับ
เพราะเห็นว่าระดับความแตกต่างของฝีมือมันมากเหลือเกิน
แต่เวลาเกมตลาดเงิน
เรามักคิดเองว่าพวกนี้ไม่เท่าไร
เห็นได้จากการไปดวลต่อสู้ต่างๆในเกมการเงินระดับนานาชาติ
ที่เรามักต้องแบกรับความเจ็บปวดกลับมา
แต่ไม่ใช่ว่าเราจะสู้เค้าไม่ได้นะครับ
ถ้าเราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด
ผมเคยเห็นคนไทยในระดับนานาชาติเก่งๆเยอะเหมือนกัน)--->
หลังๆนี่นอกเรื่องไปเยอะเอาเป็นว่า
อย่ามุ่งแค่จะเอาเงินเค้านะครับ
เดี๋ยวมาต่อนะครัพอดีเมื่อย
ไม่เคยพิมพ์เยอะขนาดนี้

2. ต่อนะครับ
หลังจากที่เราโปรแกรมสมองแล้ว
ขั้นต่อมาคือ จิตใจครับ
เพราะอะไรเรื่องนี้ถึงสำคัญ
ก็ธรรมชาติของมนุษย์เอนั้น
พออยู่ในสภาวะที่อารมณ์สุดโต่งเข้าครอบงำ (
อารมณ์สุดโต่งคือภาวะที่อารมณ์ไม่ปกติหรือไม่สมดุล
เช่นเวลาโกรธส่วนของอารมณ์ดีใจเรา
ก็จะน้อยหรือแทบไม่มีเลย
จะเรียกว่าเสียสมดุล หยิน-หยางก็ได้)
ช่วงนี้เองที่สมองส่วนตรรกะจะหยุดทันงานทันที
ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเจอหมี
เราเกิดอารมณ์กลัวและตกใจสุดๆ
สมองส่วนสัญชาติญาณจะเริ่มทำงานทันที
และหลั่งสารบางอย่าง
และถ้าจะให้เราคำนวนแคลคูลัสตอนนั้น
คงจะยากมากครับ
เพราะสมองส่วนตรรกะและเหตุผลจะหยุดใช้ชั่วคราว
ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่
เวลาเราซื้อเรา มานั่งนึกทีหลังว่า
กดซื้อไปทำไมว่าตอนนั้น
เนื่องจากตอนนั้นเราคาหุ้นที่เราเห็น
อาจจะกำลังไหลสุดๆจนเราเกิดอารมณ์โลภ
หรืออยากจนเสียสมดุล
จนเราตัดสินใจซื้อตามเข้าไป
จนพอสภาวะอารมณ์ปกติ
เราถึงจะมานั่งนึกว่าเราทำไมตัดสินใจซื้อไปได้ไงน้า ..
วิธีการฝึกจิตใจนั้นต้องแล้วแต่คนนะครับ
เพราะตัวเราจะรู้ข้อเสียของตัวเราเองดีที่สุด
ว่าเป็นแบบไหน ยกตัวอย่างผม

ใช้วิธีนั่งสมาธิทุกวัน
และเปิดเพลง rock , classic , hiphop เวลาเทรด เป็นต้น


3. เมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจย่อมๆแล้ว
เราก็เหมือนโมเดลเทรด
ที่มีระบบประมวลผลที่ซับซ้อนกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไป
(จากที่ผมไปศึกษางานมา
พวกฝรั่งมันนิยมใช้โมเดลในการเทรดครับ
เพราะเพื่อเป็นการตัดปัญหาด้านอารมณ์
สำหรับพวกเทรดเดอร์ที่ประสบการณ์ยังไม่มาก
หรือมันไม่รู้จักวิธีนั่งสมาธิก็ไม่รู้
อันนี้ผมก็ไม่ทราบนะครับ)

คราวนี้หละจุดสำคัญที่เราจะต้องตัดสินใจว่า
เราจะซื้อขายหุ้นโดยกลยุทธ์ไหน

อืม...เกือบลืมบอกไว้ก่อน
ผมเล่นหุ้นสไตล์ไหนก็ไม่รู้นะครับ
เก็งกำไรก็ได้ รายนาที รายวัน ถือยาวก็ได้

ขึ้นอยู่กับโอกาสมากกว่า
เรียกว่านักลงทุนสไตล์ฉวยโอกาสแล้วกันครับ --->
สรุปพอเราได้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตัวเรา
เราก็เทรดตามกลยุทธ์นั้นไปเรื่อยๆ
โดยเมื่อเราอยู่ในสภาวะไร้จิตใจ

หากกลยุทธ์หรือรูปแบบเทคนิคที่เรา set ไว้
มี%ผิดพลาดน้อย
เราก็จะเทรดไปได้เรื่อยๆ
โดยไม่กังวลหากเกิดความผิดพลาด
ซึ่งทำให้โมเดลเราต่อเนื่อง
โอกาสทำกำไรหรือประสบความสำเร็จก็มีสูงแล้วล่ะครับ อิอิ
เอาไว้มาเทคนิคคัล พรุ่งนี้นะครับ
พอดีต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้วล่ะครับ
เอ.มันเยอะไปหรือปล่าวหรือพอแค่นี้ครับ

4.เข้ามาต่อนะครับ
หลังจากสภาพของตัวเรามีความพร้อม
ที่จะเข้ามาทำการซื้อขายหุ้นแล้ว
สิ่งที่สำคัญต่อมาก็คือเราจะตัดสินใจซื้อหรือขาย
ตามขั้นตอนหรือหลักการอะไรดี
ในที่นี้ผมจะยกตัวอย่างโมเดล
ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและง่ายๆ
แต่ก็มีความสำคัญไม่แพ้โมเดลรูปแบบอื่นๆครับ

นั่นก็คือโมเดลการตัดสินใจซื้อขายตามหลักการของเทคนิคคัล

หลักการของเทคนิคคัลที่ผมได้ไปเรียนรู้มานั้น
มันไม่เพียงใช่เป็นแค่เรื่องของกราฟ
หรือการตัดกันของเส้นต่างๆ
(อันนี้ก็ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของเทคนิคเหมือนกัน
เหมือนการแตกสาขาของศาสตร์ต่างๆเลยครับ
เช่น วิศวกรคอมพิวเตอร์ วิศวกรโยธา เครื่องกล เป็นต้น )
มาเข้าเรื่องต่อเลยนะครับ
ที่เราพบบ่อยที่สุดในบ้านเรามักจะเป็น
นักเทคนิคแบบการทำนายอนาคตจากรูปแบบ(patternต่างๆ)
โดยมีการสร้าง indicator
(ดัชนีชี้นำต่างๆแล้วแต่ความถนัดมาช่วย)

วิธีนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี
แต่ผู้ใช้จำเป็นต้องมีประสบการณ์ในตลาดมาช่วย

สังเกตว่าเด็กใหม่ๆมักจะใช้วิธีกราฟเทรด
สู้รุ่นเก๋าๆที่มีประสบการณ์ไม่ค่อยได้
ถ้าว่ากันตามหลักทฤษฏีแล้ว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เพราะเมื่อไรที่เราจะพยายามทำนายอนาคต
มันจะมีปัจจัย(factor)หลายๆอย่าง
ทั้งที่เราคาดการณ์ได้และคาดการณ์ไม่ได้
มาเป็นตัวประกอบทำให้เกิดค่าคลาดเคลื่อน(eror)
ดังนั้นคนที่มีประสบการณ์เค้า
จึงสามารถรับบรู้ได้โดยทันทีว่า
รูปแบบเช่นนี้มันไม่ชอบมาพากล
หรือไม่เป็นดังที่เค้าคิด
จึงทำให้เค้าสามารถเอาตัวรอดได้ทันครับ
เทคนิคคัลนั้นตามหลักการแล้ว
มันเป็นตัวช่วยให้เราเห็นภาพความคิดของผู้คนในตลาด
ดังนั้นผมจึงหันมาสนใจศาสตร์เทคนิคคัล
ฉบับอ่านปัจจุบันมากขึ้น
มากกว่าฉบับอ่านอนาคต
แต่ก็ไม่ทิ้งนะครับ
เพราะเมื่อนำมารวมกันเราจะได้โมเดลที่เยี่ยมเลย
เดี๋ยวไว้ค่อยมาต่อเทคนิคเรื่อยๆนะครับ
ว่าจะไปข้างนอกนิดนึงครับ


5. สำหรับเทคนิคคัลนั้น
เมื่อก่อนผมคิดว่าต้องยากๆซับซ้อนถึงจะดี
แต่ไปๆมาๆขนาดไปเรียนรู้ถึงระบบtrackหุ้นก็แล้ว
อีเลียตเวฟชั้นสูงก็แล้ว
(คลื่นแทรกใน A B C เค้าเรียกดับเบิ้ล หรือไม่ก็ทริบเปิ้ล wave เช่น A(B(C))
อันนี้ไม่มีในหนังสือtextขายนะครับ
เพราะพวกนี้ต้องเข้าคอร์ส )
ไปๆมาๆถึงได้รู้ว่า

ระบบพวกนี้ที่ซับซ้อนเค้ามีไว้
เพื่อให้โมเดลเทรดสู้กับมนุษย์ได้ เวงกรรม ....

สุดท้ายความเข้าใจพื้นฐานธรรมชาติดีสุดครับ
แต่เนื่องด้วยมนุษย์ลึกๆแล้ว
อยากให้มีคนชื่นชมหรือเข้าใจว่าเราเก่งอย่างนั้นอย่างนี้
(ตัวอย่างเช่นผมก็ไม่พ้นธรรมชาติมนุษย์ทั่วไป
มีคนชมในเว็ปบอร์ดก็แอบชอบใจลึกอยู่เหมือนกันนะครับ)
มันเลยเกิดการเรียนหรือนำเสนอสร้างระบบซับซ้อนขึ้นมา
ซึ่งทำความเข้าใจยาก
ตย.มีให้เห็นเยอะในเรื่องต่างๆ
เช่นโมเดล เศรษศาสตร์ที่ซับซ้อน

แต่ถ้าศึกษาจากประวัติบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน
ผมเห็นเค้าล้วนใช้วิธีเบสิกมากๆ
เช่น อลันกลีน สแปน
บางที่คาดการณ์เศรษฐกิจโดยดูปริมาณคลิปกระดาษ
หรือ โซรอสขายหุ้นตอนปวดหลังเป็นต้น
ผมเลยสรุปและคิดเห็นว่า
บางทีการที่เราไม่นำระบบที่ยากซับซ้อน
เกินกว่าที่เราจะเข้าใจหรือจะเข้าใจต้องกินเวลานานมาใช้เนี่ย
ก็ไม่เห็นเป็นปัญหาเลยจริงมั้ยครับ
ตลาดหุ้นเนี่ยเราไม่ต้องไปแสดงให้ใครเห็นว่าเก่งก็ได้

บางคนคิดว่าคนเก่งต้องเล่นได้ขาขึ้นและขาลง
เลยพยามเล่นมันหมดเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

แต่สำหรับผมแล้ว
ถ้าไม่มีโอกาสหรือผมไม่แน่ใจผมก็จะไม่เล่นครับ
ผมยอมให้คนว่าผมว่าเล่นหุ้นไม่ได้ทุกจังหวะ
หรือจะว่าอะไรก็แล้วแต่
ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งเหมือนกัน
ตามธรรมชาติลึกๆของมนุษย์ที่พยายามจะพิสูจน์ตัวเอง
จึงทำให้เกิด error ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ทั้งที่ถ้าตัวเองทำตามระบบหรือแผนการ
ที่ตั้งไว้ตั้งแต่แรกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เช่น การพยายามเอาคืน
เวลาพลาดพลั้งไปแล้วเป็นต้น
แล้ว loop อารมณ์ตอนต้นก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
เกิดผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่กับการตัดสินใจครั้งต่อไป
บางทีผู้คนที่เก๋าๆมีประสบการณ์ในตลาด
ก็จะใช้วิธีแก้เช่น
ออกจากตลาดสักระยะหนึ่ง
ไปหากิจกรรมอย่างอื่นทำแล้วค่อยกลับมาเป็นต้น

สรุปก็คือ
พื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญครับ
หากเราเข้าใจพื้นฐานแท้จริง
ไม่ต้องกลัวว่าเราจะแก้ไขปัญหาไม่ได้
เพราะสมองมนุษย์นั้นน่าทึ่งจริงๆครับ
ถ้าเราเข้าใจรากฐานมันแล้ว
เราก็สามารถต่อยอดความคิดไปแก้ไขปัญหาที่มันซับซ้อนขึ้นไปได้


6. โมเดลอื่นเช่นปัจจัยพื้นฐานนี่ ผมไม่พูดนะครับ
เพราะน่าจะพอทำความเข้าใจกันได้
และมีหลายท่านในที่นี้มีประสบการณ์สูง
เช่นถือหุ้นต่อสู้กับเจ้าของมานักต่อนักแล้ว
หลังจากเรารู้ว่าเทคนิคคัลมีอะไรบ้างแล้ว
เราไม่จำเป็นต้องไปเรียนรู้ถึงขั้น high class
เราก็น่าจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้วใช่มั้ยครับ
เทคนิคคัลพื้นฐาน
วางกระบวนการเรียนรู้ไว้ดังนี้ครับ
ศึกษาอดีต<---->เรียนรู้ปัจจุบัน<---->ป้องกันอนาคต
เริ่มเห็นภาพมั้ยครับว่า
เดี๋ยวนี้มันจะกลายเป็นแบบนี้ไปแทน
ศึกษาอดีต ------> คาดการณ์อนาคต ....

7. ว่ากันทีและตัวแล้วกันนะครับ,

ศึกษาอดีต---->ก็คือ

การพยามทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่ผ่านมา
มีผลอย่างไรก่อให้เกิดภาพกราฟแบบไหน
(กราฟจะเป็นเหมือนวิดีโอ
บันทึกถึงการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา) ,

เรียนรู้ปัจจุบัน

(มองดูนะปัจจุบันว่ามันเกิดสถานการณ์แบบไหน
มีปัจจัยอะไรบ้าง ก็ให้เกิดภาพกราฟอะไร
พอเทียบเคียงกับภาพกราฟในอดีตได้ไหม ),

ป้องกันอนาคตคือ

ปัจจุบัน เมื่อเทียบกับอดีตแล้ว
มันจะเกิดเหตุการณ์แบบไหนได้บ้าง
เราควรจะทำอย่างไร
เมื่อเกิดแต่ละเหตุการณ์
(กลายเป็นศาสตร์ใหม่ของฝรั่งขึ้นมาอีก
เรียกว่าหลักการบริหารความเสี่ยง)
ต่างกับหลักการเทคนิคคัลฉบับคาดการณ์อนาคตคือ

"เราเห็นอดีตแบบนี้ ปัจจุบันแบบนี้
เราจึงตัดสินใจซื้อหรือขาย
ในแบบที่ควรจะเกิดจากอดีตทันที"

ซึ่งระบบจะง่ายและรวดเร็ว
แต่ error จะมีมากกว่า
และบุคคลที่ใช้ จำเป็นต้องมีระเบียบวินัยสูง

เช่นการเน้นระบบ cut loss เมื่อตัดสินใจพลาด

(จริงๆระบบcut loss มีความจำเป็นในหลายๆระบบ
แต่ระบบนี้จะเน้นมากหน่อย
เพื่อให้กลับมาสู่ loop การตัดสินใจวิเคราะห์ใหม่ได้) ...
เหนื่อยเหมือนกันนะครับเนี่ยการเล่นหุ้น
ผมยินดีแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์
เพราะการจะที่บุคคลนั้นจะเรียนรู้และสำเร็จได้นั้น
ต้องมีความพยายามค่อนข้างสูง
ผมถือว่ามันเป็นสิ่งที่ดี
ที่เราจะบอกสิ่งที่เราพอรู้บ้าง
ให้กับบุคคลที่มีความพยายาม
เป็นไกด์ไลน์คร่าวๆได้
อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการให้กำลังใจเล็กๆน้อย
สำหรับคนที่ต้องเจอมาหนักแล้วกันนะครับ
ปล. อย่าถามผมนะครับว่าหุ้นตัวไหนดี
ซื้อเมื่อไร ขายเมื่อไร
ผมเจอคำถามนี้มาเยอะจริงๆตั้งแต่เป็นวิทยากรเทคนิคคัล
เพราะผมจะตอบอยู่เสมอว่าผมไม่รู้อ่ะ
งวดนี้พักไว้แค่นี้ก่อนเนอะครับ
ยังนึกไม่ออกเลยจะอธิบายกราฟไงดี
เอาแต่หลักการไปก่อนเนอะ
หยวนๆน่า ไว้ค่อยมาต่อกัน
มีไรก็แลกเปลี่ยนความรู้กันผ่านกระทู้ได้ครับ
ขอบคุณมากครับที่ทนอ่านมาขนาดนี้


จากคุณ : คลาย เครียด


อ้อ..ฝากอีกนิดหน่อยนะครับ
สำหรับคนที่กลัวโดนเทคนิคหลอกจากฝ่ายผู้ชี้นำ
ถ้าเราเปิดใจแล้วไม่มีความรู้สึก
โดยสมมุติง่ายๆ
เกิดเราไม่มีเครื่องมืออย่างอื่นมาจับจริงๆ
เราก็หาอินดิเคเตอร์ที่แม่นเทรนด์นี่หล่ะ
โดยที่การขัดแย้งต่างๆในตัวมันเอง
จะเป็นตัวบอกเราเองว่า

“มนุษย์นี่หล่ะ กำลังพยายามชี้นำให้เป็นแบบนี้ “

เสร็จเราหล่ะครับ
เพราะหุ้นมันไม่ขึ้นก็ลง
เราก็จะรู้ถึงความต้องการของเค้า --->



ความคิดเห็นจากคุณโจนาธาน
สหายร่วมสำนัก mgc

โมเดล ก็คือแบบจำลอง ที่ใช่ทำนาย อนาคตของสิ่งที่เราสนใจ
โดยมีเงื่อนไขและตัวแปร ที่เรากำหนดใส่ไว้
แล้วเค้าจะเอา output นั้นแหละมาทำนาย

โมเดลในการเทรด ก็เหมือนกันครับ เอาไว้ทำนายการซื้อขายครับ

โมเดลที่จะแม่นยำเท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับ
ความแข็งแกร่งของโมลเดลนั้น ๆ ครับ ว่าละเอียดเพียงใด

มนุษย์เป็น โมเดลเทรดที่ดีที่สุด
แบบคุณ โซรอส จูเนียร์ ว่าไว้นั้นแหละ อิอิ
เพราะเราสามารถรับปัจจัยหลาย ๆ
อย่างที่คอมมันรับไปแบบเราไม่ได้
แต่เราต้องมีใจเป็นกลางนะครับ
อย่ามีอคติ จึงจะชนะโมเดลทางคอมได้สมบูรณ์
ผมเข้าใจว่า คุณมัดเลย์ ทำงานหนัก และ สร้างโมเดล
ดียิ่งกว่าพวกวิจัย ป.โท หรือ ป.เอกซะอีก
(ตั้งแต่ตอนเรียน ป ตรี)
จริง ๆ หากจะเล่นหุ้นให้สำเร็จเร็วเพียงใด
เราก็ต้องขยันเพิ่มขึ้นเป็นสิบ ๆ เท่า
กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้น ต้องใช้เวลาและความอดทน

สิ่งนี้แหละครับ ขอฝากไว้สำหรับคนที่อยากเก่งแบบเค้า
หากคุณมีสิ่งแบบนี้ ผมว่าก็ไม่ไกลเกินเอื้อมหรอก

####################################


ความคิดเห็นจากคุณ : simply is the best (chezip)

ปรัชญาและปัจจัยแห่งความสำเร็จขั้นพื้นฐาน
ในการเล่นหุ้นด้วยเทคนิคเคิล

1. อาวุธ (เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค)

2. กลยุทธ์ และ ความเข้าใจในสมรภูมิ (ตลาดหุ้น)
ตลอดจนยุทธศาสตร์ ระยะสั้น กลาง ยาว

3. อารมณ์ (การควบคุมอารมณ์ของตนเอง
ให้ปฏิบัติตามแผน ตามระเบียบวินัยการลงทุน
ตามเป้าหมายระยะสั้น ยาว
ให้เป็นไปและสอดคล้องกันกับยุทธ์ศาสตร์ที่วางเอาไว้)

ปัจจัย ทั้ง 3 ตัวมีความสำคัญ เรียงตามลำดับ
เพราะถ้าไม่เลือกหาอาวุธที่เหมาะมือไว้ก่อน
ก็ต่อสู้กับเขาไม่ได้
แต่ถ้ามีแต่อาวุธ แต่ไร้กระบวนท่า
ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน
เพราะอาวุธแต่ละประเภทมีข้อจำกัด
ตามสถานการณ์และสมรภูมิ

(ไม่มีสัญญาณเทคนิคที่ให้ความแม่นยำถูกต้อง 100%)

ดังนั้น ต้องเข้าใจก่อนว่าอาวุธในมือเรา
มันจะแผงฤทธิ์ ได้ดีในตอนไหน
(สัญญาณลวงทางเทคนิคมักจะเกิดขึ้นในตลาดขาลง 50-60% )
แต่เครื่องมือทางเทคนิคจะทำหน้าที่ได้ดี
(ให้สัญญาณจริง 70-80%) ในตลาดขาขึ้น

เพราะฉะนั้น เซียนเทคนิคจึงผุดขึ้นมากมายในตลาดกระทิง

แต่จริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าสถานการณ์มันอำนวยชัยมากกว่า
น้อยคนที่จะมีอาวุธคู่ใจหลายๆอัน
ดังนั้นแล้ว จงหาอันที่เหมาะมือไว้สัก 2-3 อันไว้ก่อน ก็พอ
แต่เอาให้ชำนาญยุทธ์ ปิดช่องโหว่งซึ่งกันและกัน

และสุดท้ายคือ ปัจจัยเรื่องอารมณ์
เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

กระบวนท่าต้องสัมพันธ์กับใจ
อารมณ์เป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากเพราะฉะนั้น
จึงเข้าถึงและเข้าใจได้ยากเหมือนกัน
แต่ถ้ายอมรับในอิทธิพลของมันแล้ว
ก็จะให้ความสำคัญกับมันมากที่สุด
นักรบที่เก่งทั้งหลายในสมัยก่อนที่รบแพ้ส่วนใหญ่
มิใช่เพราะว่าตนไร้ฝีมือ ไร้ยุทธวิธี
แต่เป็นความเย่อหยิ่ง ลำพอง ประมาทคู่ต่อสู้
มิฟังคำทัดทานจากผู้อื่น
จึงต้องพ่ายแพ้ และบางทีก็ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีก

ดังนั้น อาวุธ กลยุทธ์ และ อารมณ์
ต้องให้สัมพันธ์กันตามสถานการณ์
การเคลื่อนไหวที่ไร้ทิศทางสะเปะสะปะ
ไร้กระบวนท่า ก็จะได้เป้าหมายแบบลมๆแล้งๆ เช่นกัน

ใครถนัดจะเล่นแบบไหน ใช้สัญญาณอะไร
อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่บอกว่าเราได้มาถูกทางแล้วคือ
การที่เราได้ทำอะไรที่เราเห็นอยู่ทุกๆวัน

เป็นเรื่องง่ายๆ แต่ได้ผล ยิ่งทำยิ่งง่ายขึ้นแต่เข้าใจ
ไม่ใช่ยิ่งทำยิ่งคิดยิ่งยุ่งยากซับซ้อนออกไป มากไป จนสับสน

เพราะว่าในตลาดหุ้นมันมีความสับสนเป็นสมมุติฐานอยู่แล้ว
เรายังไปสับสนต่อเนื่องกับมัน
จึงต้องติดกับดับอารมณ์ และกับดับสัญญาณทางเทคนิค
ซ้ำแล้วซ้ำอีก

ในกราฟหนึ่งรูปสามารถอธิบายอะไรๆ ได้มากมาย
ถ้าเราซื่อตรงต่อมัน เข้าใจมันโดนปราศจากอคติ
เพราะมันคือความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว
ความจริงที่กำหนดทิศทางของตลาด
ออกมาจากจิตวิทยามวลชน
สัญญาณแต่ละตัวมัน
สะท้อนอารมณ์ความรู้สึก ของมวลชน
ทุกอย่างอยู่ในนั้น และ ถ้าอดีตบอกปัจจุบันได้
ปัจจุบันทำนายอนาคตได้
กราฟนี้ก็จะทำหน้าที่อันนี้เช่นกัน
และมันก็บอกว่าอะไรได้เกิดขึ้นแล้ว
และทำให้คนสำเร็จและล้มเหลวต่างกันอย่างไร


จากคุณ : คลาย เครียด




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 29 กันยายน 2549 20:57:31 น.   
Counter : 669 Pageviews.  


1  2  3  

P_ปรัชญา
 
Location :
ขอนแก่น Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 63 คน [?]




หยิ่ง
กับตัวเองบ้าง
ในบางครั้ง

เบื่อ
ชีวิตความผิดหวัง
ในบางหน

เกลียด
ความไม่จริงใจ
ในบางคน

ยอมทน
คนหยามเหยียดได้
ในบางที


[Add P_ปรัชญา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com