|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
มหากาพย์ ไตรภาค / โดย นาย นริศ จิระวงศ์ประภา (ตอน4)
มหากาพย์ ไตรภาค
โดย นาย นริศ จิระวงศ์ประภา
มหากาพย์ไตรภาค
(ต่อ)
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพ
เป็นการวิเคราะห์ตามหลักของการดําเนินธุรกิจ การวิเคราะห์ส่วนมากจะเป็นลักษณะตัวอักษร ไม่มีถูกหรือผิดที่ชัดเจน ไม่มีตัวเลขยุบๆยับๆให้มาคํานวณ เช่นการวิเคราะห์ในเรื่อง
..
-ศิลปะในการบริหารจัดการ
-การวางแผนในเชิงกลยุทธ์และแนวทางปฎิบัติงาน
-การสังเกตดูวัฒนธรรมองค์กร
-การวิเคราะห์ฝีมือCEOและทีมบริหาร
-การศึกษารูปแบบโมเดลธุรกิจ
-พูดถึงการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจ(SWOT) 1.จุดแข็งของธุรกิจเรามีอะไรบ้าง 2.จุดอ่อนของธุรกิจเรามีอะไรบ้าง 3.โอกาสและความพร้อมในโอกาสมีมากน้อยเพียงใด 4.ความเสี่ยงในตัวธุรกิจเราคืออะไร อันตรายแค่ไหน
-วิเคราะห์แวลู่ เชน และ ซัพพลาย เชน(value chain & supply chain)
***การวิเคราะห์ที่ผมกล่าวไปข้างต้นเป็นการวิเคราะห์ภายในขององค์กร การวิเคราะห์เรียนรู้ภายในองค์กร เพื่อที่จะนํามาประมวลผลเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม***
-การวิเคราะห์ภาพรวมของกลุ่มอุตสาหกรรม แยกประเภทธุรกิจ6กลุ่ม ตามหลักของปีเตอร์ ลินซ์ 1.หุ้นโตช้า 2.แข็งแกร่ง 3.หุ้นโตเร็ว 4.หุ้นวัฎจักร 5.หุ้นฟื้นตัว 6.หุ้นทรัพย์สินมาก
-การวิเคราะห์พลังทั้งห้าของ porter 1.การแข่งขันภายในอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร 2.โอกาสการเข้ามาของรายใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ยากง่ายเพียงใด 3.สินค้าทดแทนของบริษัทเรามีไหม/ทดแทนได้มากน้อยเพียงใด 4.อํานาจการต่อรองกับลูกค้าเป็นอย่างไร 5.อํานาจการต่อรองกับผู้ผลิต(ผู้ป้อนวัตถุดิบ)เป็นอย่างไร
***การวิเคราะห์ภาพรวมของอุตสาหกรรม และภาพใหญ่ๆของธรรมชาติของธุรกิจ จะได้เพื่อจะรู้ว่าธรรมชาติของธุรกิจนี้เป็นอย่างไร***
จะเห็นได้ว่าการประเมินกิจการที่ผมกล่าวไปนั้น ไม่มีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องเลย แต่ทุกๆอย่างที่กล่าวมุ่งไปสู่EPSบรรทัดสุดท้ายเหมือนๆกัน
บริษัทที่ดีนั้น จะมีการวางโมเดลธุรกิจ,รูปแบบกลยุทธ์ในแต่ละข้อให้มีความสัมพันธ์กันเพื่อที่
-ปิดจุดอ่อนของตนเอง และมีความระมัดระวังในจุดอ่อนนั้นๆ -สร้างความพร้อมให้กับองค์กรเมื่อโอกาสมาถึง การเติบโตของรายได้และผลกําไรจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากสําหรับบริษัทที่ดี
.
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพนี้ ไม่มีวิธีที่ลัดไปกว่า เราต้องหมั่นอ่านหนังสือการบริหารการจัดการทางด้านธุรกิจให้มากๆ หมั่นสังเกตบริษัทต่างๆที่เป็นผู้นําในอุตสาหกรรมว่าเขามีจุดแข็งในด้านใด?
.. ธรรมชาติของธุรกิจเป็นเช่นไร?
เขาวางจุดยืนในตัวธุรกิจเขาอย่างไร?
.. จึงสามารถขึ้นมาเป็นผู้นําได้ การฝึกวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง และองค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้บ่อยๆครั้ง จะทําให้เราสามารถมองทะลุธุรกิจที่เราจะลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
บริษัทที่สุดยอดจะมีการวางแผนกลยุทธ์ไว้หลายชั้น มีรั้วหนาม กําแพง ร่องนํ้า กับดัก ป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าเจาะฐานที่มั่นได้ง่ายๆ โอกาสที่จะรายได้จะหาย กําไรจะถดถอยในกลุ่มบริษัทนี้จึงค่อนข้างจะยาก
การที่จะขึ้นมาเป็นผู้นําได้นั้นยากนัก แต่การที่จะรักษาความเป็นผู้นําได้นั้นยากยิ่งกว่า คํากล่าวนี้คงไม่เกินความเป็นจริงสักเท่าใด เราเป็นนักลงทุน หน้าที่ของเราคือรักษาผลประโยชน์ของเงินเราไม่ให้สูญหาย เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถเลือกลงทุนในกิจการที่มีขอบข่ายคูเมืองที่แข็งแกร่ง หรือธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน โอกาสที่เงินเราจะทวีคูณในอนาคตก็ไม่ยากจนเกินไป
ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
วอเรนมักจะกล่าวบ่อยๆว่า ให้เลือกธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
คําๆนี้ถูกตีความไปได้ในหลายๆทาง วันนี้ผมขอตีความ เปรียบเทียบในมุมมองของการทําธุรกิจนะครับ ซึ่งคําๆนี้ ถ้าตีความในมุมมองของคนที่ประกอบธุรกิจ เช่นผม ผมว่ามันคล้ายๆกับกลุ่มคําเหล่านี้รวมๆกันคือ
+ยุทธศาสตร์บริษัท+
+อ านาจการต่อรอง+
+ความจงรักภักดีต่อตราสินค้า+
+ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ+
+วัฒนธรรมองค์กร+
+ข้อได้เปรียบพิเศษ+
ยุทธศาสตร์ของบริษัท
หมายความว่า เมื่อบริษัทได้กําหนดเป้าหมายที่จะไปคว้ามา การวางยุทธศาสตร์คือ การวางแนวทางเพื่อกระทําการสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแนบเนียน ในการที่จะไปนําเป้าหมายนั้นมาให้จงได้ ยุทธศาสตร์ยังมีแบ่งย่อยเป็นหลายกลยุทธ์ตามลักษณะของธุรกิจหรือตามหน่วยงาน แต่ยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ทั้งหมดจะต้องวางให้สอดคล้องซึ่งกันและกัน ผมขอยกตัวอย่างบริษัท7ที่เราๆท่านๆเห็นยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ได้ง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพกันอย่างชัดเจน
ยุทธศาสตร์ที่7ได้วางไว้ในตามส่วนงานต่างๆจะมุ่งเน้นไปยังเป้าหมายคือ7เป็นแหล่งอิ่มสะดวกใกล้บ้าน(สื่อสารภายนอก)และ จะเก็บเกี่ยวกําไรจากการกระจายสินค้าจากผู้ผลิตให้ถึงมือผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด(สื่อสารภายในองค์กร)เพราะฉะนั้น
-ฝ่ายการตลาดก็ต้องเน้นยํ้าโฆษณาที่อิ่มสะดวกใกล้บ้าน24ชม.(สื่อสารภายนอก)โดยที่7จะของบโฆษณาประชาสัมพันธ์จากผู้ออกโฆษณาร่วม หรือให้บริษัทต่างๆโฆษณา7แฝงจากการบ่งบอกที่จัดจําหน่าย(บริหารต้นทุนโฆษณา)
-ฝ่ายขายก็ต้องเน้นบริการให้รวดเร็ว และวางตําแหน่งสินค้าให้เหมาะสม(เพื่อให้ลูกค้าสะดวกหยิบจับให้ง่ายที่สุด)บริหารยอดขายต่อเนื้อที่ให้ได้สูงสุด และมีการระบุตําแหน่งการดูแลสินค้าให้สูญเสียและสูญหายน้อยที่สุดจากการให้พนักงานในแต่ละคนรับผิดชอบสินค้าในแต่ละช่วง(บริหารต้นทุนความสูญเสียให้น้อยที่สุด)
-ฝ่ายขยายสาขาก็ต้องหาจุดทําเลที่เหมาะสมที่ยึดหัวหาดทําเลที่ดีและตอบสนองความพึงพอใจในการพบเจอ7(ตามสโลแกนที่สื่อให้ผู้บริโภครับรู้)โดยพยายามหาผู้มาลงทุนแทนให้มากที่สุด เพื่อลดเงินลงทุนของบริษัท(ประหยัดการลงทุน)
-ฝ่ายจัดซื้อก็ต้องหาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ มาจัดจําหน่ายและมีการเปลี่ยนหมุนเวียนสินค้าเมื่อสินค้าเดิมไม่เป็นที่นิยม เพื่อความสดใหม่ของ7และตอบสนองผู้บริโภคให้พึงพอใจ ส่วนหลังบ้านก็ต้องเน้นหาต่อรองค่าการตลาด ค่าหัวชั้น และจัดรายการ กระตุ้นยอดขาย เพื่อผลกําไรสูงสุดของทาง7เองเช่นกัน
-สินค้าเองก็ต้องมีความสอดคล้องตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะสินค้าประเภท first 7 หรือ only 7 ที่จะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นผู้นําและจุดแข็งของ7
-ฝ่ายบุคคลากรก็ต้องฝึกฝนคนให้ทําตามระบบที่วาง ให้มีวัฒนธรรมที่ดีในงานบริการ ในเรื่องพนักงานที่เป็นคอขวดและปัญหาใหญ่ของธุรกิจบริการ ทาง7เองก็ได้ตั้งสถานศึกษา เพื่ออบรม ฝึกสอน และพัฒนาบุคคลากรของตนเองเพื่อแก้ปัญหานี้ -เรื่องระบบโลจิสติก ในเมื่อ7ได้วางจุดยืนตนเองให้เป็นผู้กระจายสินค้าที่ใกล้บ้านและมีสินค้าที่สดใหม่ ระบบโลจิสติกจึงต้องสอดคล้องกับสต๊อกสินค้าในร้าน ทาง7ก็ได้มีการบริหารจัดการเองในส่วนคงคลังและมีการเอาท์ซอสท์ในส่วนของขนส่งเพื่อความคล่องตัวในการจัดส่งไปให้แต่ละสาขาให้เร็วที่สุด(เพื่อความสดใหม่ของสินค้าและบริหารสินค้าหน้าร้านให้เหมาะสม) และประหยัดที่สุด
จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ในแต่ละข้อที่กล่าวไปแล้วนั้น 7เองได้มีการจัดกระบวนทัพให้มีความสอดคล้องเพื่อไม่เปิดช่องว่างให้คู่แข่งเข้ามาเจาะได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าบริษัทไหนมียุทธศาสตร์ที่เหมาะสม มีกลยุทธ์ที่ดีในแต่ละช่วงเวลา บริษัทนั้นก็จะมีขอบค่ายคูเมืองหลากหลายขั้นตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้ครับ
อ านาจการต่อรอง
สิ่งนี้จะไปบ่งถึงธรรมชาติของธุรกิจว่ารูปแบบเป็นอย่างไร โดยถ้าเราเอาบริษัทเป็นจุดศูนย์กลาง ฝั่งซ้ายมือคือแหล่งที่มาของสินค้าหรือวัตถุดิบ เรียกว่า เวนเดอร์ ฝั่งขวาคือแหล่งที่เรากระจายสินค้าไปให้ เรียกว่าลูกค้า บริษัทที่มีอํานาจการต่อรองที่ดีนั้น ฝั่งซ้ายมือก็ต้องเป็นเวนเดอร์รายเล็กๆที่มีผู้ขายหลายราย ส่วนเราเป็น รายใหญ่สําหรับเขา ที่สามารถกําหนดและต่อรองราคาได้ ส่วนฝั่งลูกค้าก็เช่นกัน การมีลูกค้ากระจายหลากหลายเป็นหนทางที่ดี ยิ่งถ้าเราสามารถกําหนดราคาขายได้ โดยไม่ต้องรอสอบถามผู้ซื้อ ก็ถือว่าสอบผ่าน และเราสามารถวิเคราะห์อํานาจการต่อรองอีกทางคือ วิเคราะห์แบบพลังทั้งห้าของ porter ครับ
-บริษัทที่สามารถครอบครองตลาดได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากจะมีอํานาจการต่อรองค่อนข้างสูง อาจจะด้วยเพราะการประหยัดต่อขนาด(economy of scale) และถ้าบริษัทไหนมีอํานาจการต่อรองสูง ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนก็สูงตามครับ เหมือน7นี่คงไม่ต้องบอกว่ามีอํานาจในการต่อรองกับเวนเดอร์และลูกค้าได้มากน้อยเพียงใด
ความจงรักภักดีต่อตราสินค้า
ความจงรักภักดีต่อตราสินค้าคงหนีไม่พ้นคําว่า ความพึงพอใจ ของลูกค้า ถ้าเราสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้จ่ายได้มากเท่าไหร่ value add ก็จะมากขึ้นเท่านั้น หน้าที่ของบริษัทคือ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ในต้นทุนที่ตํ่าที่สุด
-ถ้าบริษัทยิ่งมีเอกลักษณ์ ลูกค้ามีความพึงพอใจมากเท่าไหร่ ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนก็ยิ่งสูงตามครับ การกระจายร้านขายไปใกล้แหล่งชุมชนให้มากที่สุด ก็เป็นการตอบสนองสินค้าให้ตรงความต้องการลูกค้าให้มากที่สุด ทําให้7สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาเกือบตํ่าที่สุด แต่สามารถขายสินค้าได้ในราคาเกือบสูงสุด
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
การบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ จะทําให้บริษัทเติบใหญ่แต่ไม่อ้วนฉุ ถ้าบริษัทโตอย่างไม่มีคุณภาพ เช่นมียอดขายที่โตขึ้นแต่ควบคุมสิ่งต่างๆได้น้อยลง อนาคตสนิมในองค์กรก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นเปิดช่องว่างให้คู่แข่งเข้ามาเจาะฐานที่มั่นได้ในที่สุด หน้าที่ของนักลงทุนคือติดตามประสิทธิภาพของบริษัทที่เราลงทุนในด้านต่างๆโดยดูจากงบการเงินที่ประกาศทุก3เดือนครับ เช่นถ้าเป็น7 ภาพใหญ่ๆที่ต้องติดตามจะมีเรื่อง ยอดขาย/พื้นที่ , กําไรขั้นต้น/พื้นที่ , ค่าใช้จ่าย/พื้นที่ และการขยายสาขาใหม่เป็นต้น
วัฒนธรรมองค์กร
การทําธุรกิจใดๆก็ตามจะประกอบด้วยสองสิ่งที่พึ่งพิงกันคือ ระบบและทรัพยากรบุคคล องค์กรที่ใหญ่มากขึ้น ระบบจะซับซ้อนมากขึ้น และบุคคลากรจะเพิ่ม มากขึ้นตามระบบ การบริหารจัดการในเรื่องระบบและทรัพยากรบุคคลก็มีหลากหลายรูปแบบขึ้นกับนโยบายของบริษัทนั้นๆ รูปแบบไหนถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม ถูกก่อร่างสร้างตัวเติบใหญ่ด้วยกันมา รูปแบบนั้นๆจะกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรไปในที่สุด ยิ่งนานวัน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะค่อนข้างยุ่งยาก ยุ่งเหยิงและอันตรายพอสมควร(ถ้าไม่สามารถสื่อการเปลี่ยนแปลงให้ทุกระดับได้รับทราบเป้าหมายร่วมกัน)
ความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ได้กล่าวไปในสี่ข้อแรก(ยุทธศาสตร์บริษัท+อํานาจการต่อรอง+ความจงรักภักดีต่อตราสินค้า+ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ)จะแข็งแกร่งเพียงใด ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมขององค์กรนั้นๆว่ามีสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดสิ่งที่ดีต่างๆมากน้อยเพียงใด
ข้อได้เปรียบพิเศษ
ในบางธุรกิจการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่ค่อนข้างจะยากเพราะด้วยธรรมชาติของอุตสาหกรรมที่ผู้เล่นรายเก่ามีความได้เปรียบในรูปแบบต่างๆเช่น ความได้เปรียบเพราะมีสิทธิบัตร,ใบอนุญาต,สัมปทาน,ความเชี่ยวชาญพิเศษ,ทําเลที่ตั้ง ถ้าบริษัทไหนมีข้อได้เปรียบดังกล่าว การเข้ามาแบ่งแชร์รายได้ของผู้เล่นรายใหม่ก็ยิ่งยากขึ้นครับ
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณ
การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณคือเรื่องที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ตัวเลขที่ต้องทําเพื่อให้เกิดสิ่งที่จับต้องได้ โดยผมจะใช้ปัจจัยเชิงปริมาณ(การวิเคราะห์งบการเงิน) เพื่อประโยชน์อยู่สองอย่างคือ
1.ไว้ดูว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตของบริษัทนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เช่นรูปแบบของรายได้และกําไรสิบปีที่ผ่านมามีความสมํ่าเสมอหรือไม่ เข้าข่ายหุ้นเติบโต หุ้นพื้นฐาน หรือหุ้นวัฎจักร หรือNPM ROEที่ผ่านมาเป็นอย่างไร สมํ่าเสมอหรือไม่ สิ่งนี้บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของกิจการในระยะยาว
2.ไว้คอยตรวจสอบเช็คผลประกอบการในแต่ละไตรมาสว่าตรงตามที่เราจินตนาการหรือประเมินไว้หรือไม่ มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับตนเองในอดีตและคู่แข่งขันในตลาด หรือมีสัญญาณอะไรบ่งบอกถึงความถดถอยของกิจการหรือเปล่า
การที่เราจะวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณได้ อย่างน้อยเราก็ต้องมีความรอบรู้ถึงภาษาทางทางบัญชีที่เขาเอาไว้สื่อ ในบทนี้ขั้นต้นผมจึงขออธิบายถึงค่าตัวแปรแต่ละตัวที่ผมได้ใช้ประจําในการลงทุน และการแปรความงบการเงินอย่างคร่าวๆนะครับ
PE(PRICE/EARNINGS)
PE หรือ ราคา(ต่อหุ้น)/กําไร(ต่อหุ้น) เช่นราคาหุ้นในตลาดอยู่ที่5บาท กําไร4ไตรมาสย้อนหลัง(EPS)อยู่ที่1.0บาทต่อหุ้นแสดงว่าPEตัวนี้อยู่ที่5/1.0คือ5เท่า และด้วยตามทฤษฎี ถ้าเราถือหุ้นPE=5เท่า หมายความว่าเราจะคืนทุนจากการเป็นเจ้าของกิจการนี้ภาย5ปี หรือจะคิดแปลงเป็นเปอร์เซนต์= 1/5 * 100 = ผลตอบแทนที่20เปอร์เซนต์ต่อปีนั่นเอง ซึ่งดูเป็นอะไรที่ง่ายมาก หน้าที่เราเพียงเลือกลงทุนในกิจการที่PEตํ่าๆ เราก็จะได้ผลตอบแทนที่สูงๆแล้ว
.แต่ช้าก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป ขอบอกก่อนว่าEที่แสดงให้เราเห็นในหนังสือพิมพ์และเวปต่างๆนั้น คือผลกําไร4ไตรมาสย้อนหลัง นักลงทุนผู้ชาญฉลาด เขาจะศึกษาประวัติศาสตร์ในอดีตเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ผ่านมาของตัวธุรกิจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาประเมินมูลค่าของกิจการจากผลกําไรในอดีต พวกเขาจะซื้อมูลค่าของกิจการในอนาคตเท่านั้น และอีกข้อที่ควรระวังคือ ผลกําไรในอดีตที่แสดงในงบนั้น ไม่ได้บ่งบอกคุณภาพของกําไรเลย เช่น กําไรนั้นอาจจะเกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว(ผลกําไรที่ไม่ดี) หรือเป็นผลกําไรที่ยั่งยืนคนอื่นมาแย่งไปไม่ได้ง่ายๆ(ผลกําไรที่ดี) ผมจึงคิดว่าอย่างน้อยเราต้องทําความเข้าใจกับ รายได้&กําไร ให้ถ่องแท้ก่อน จึงจะสามารถประเมินมูลค่าของกิจการได้อย่างถูกต้องครับ
รายได้ & ก าไร (Revernue & Earnings) บริษัททุกบริษัทมีเป้าหมายในการสร้างความมั่งคั่งหรือสร้างกําไรให้กับธุรกิจ แต่ในความเป็นจริงกําไรในรูปแบบบัญชีที่แสดงให้เราเห็นในงบเพียงไตรมาสหรือปีนั้นไม่ค่อยตรงกับความมั่งคั่งสักเท่าใดนัก เพราะในงบการเงินนั้นเป็นการสะท้อนกําไรให้เห็นตามรูปแบบบัญชีที่มีการกําหนดไว้ให้มีมาตรฐาน เพื่อการเปรียบเทียบที่ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นการที่เราจะนําเอารายได้และกําไรบรรทัดสุดท้ายมายึดเป็นบรรทัดฐานในการซื้อขายหุ้นจึงเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง หน้าที่เราคือต้องปรับแต่งรายการบางรายการเสียก่อน เพื่อให้เป็นกําไรที่แท้จริง และก่อนที่เราจะทําอย่างนั้นได้ เราต้องรู้โครงสร้างของงบการเงินอย่างคร่าวๆกันก่อนนะครับ
ผมชอบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ร้านไหน?กําไรมากกว่า! หนังสือเล่มนี้ได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพของโครงสร้างของธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยการยกตัวอย่างเปรียบเทียบธุรกิจให้เห็นเป็นสามส่วนคือ 1.เครื่องผลิตเงิน 2.วัสดุอุปกรณ์ที่จะใส่เข้าไปในเครื่องผลิตนี้ และ3.ผลผลิตจากเครื่องนี้ จะได้ผลผลิตออกมาเป็นอะไรและเท่าไหร่ คล้ายๆกับหลักการ input process output นั่นเอง
1.เครื่องผลิตเงิน ในธุรกิจแต่ละประเภทจะมีต้นทุนของเครื่องผลิตเงินไม่เท่ากัน หรือแม้กระทั่งธุรกิจประเภทเดียวกัน หลายบริษัทก็มีต้นทุนในส่วนนี้ไม่เท่ากัน เราสามารถมองหาเครื่องผลิตเงินนี้ได้จากฝั่งซ้ายของงบดุลในส่วนของทรัพย์สินถาวรประเภทต่างๆ ธุรกิจที่ดีที่สุดในมุมมองของฝ่ายบัญชี คือธุรกิจที่มีต้นทุนเครื่องผลิตเงินที่น้อยที่สุด เพราะในรูปแบบบัญชีจะถือว่าต้นทุนในเรื่องนี้เป็นความเสี่ยงประเภทหนึ่งที่มีเป้าหมายต้องลดลงให้ได้ เพราะเครื่องผลิตเงินเป็นต้นทุนคงที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปอยู่รูปอื่นได้ ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงตลาดอย่างฉับพลัน คนที่มีต้นทุนเครื่องผลิตเงินที่สูงกว่า ก็จะปรับตัวได้ยากกว่านั่นเอง ธุรกิจที่มีเครื่องผลิตเงินนี้สูงมากๆก็เช่น ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจโรงกลั่น และอุตสาหกรรมหนักประเภทต่างๆ และสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนไม่ค่อยชอบคือ ผลพลอยได้ที่ตามมาจากเครื่องผลิตเงินนี้ นั่นคือ ค่าเสื่อม ที่จะถูกซอยมาเป็นรายจ่ายในทุกๆไตรมาส เช่นถ้าเราซื้อเครื่องจักรนี้เป็นเงิน100ล้านบาท มีการตัดค่าเสื่อม10ปี จะมีการบันทึกเป็นรายจ่ายปีละ10ล้านบาทเป็นต้น
ที่ดินเป็นสิ่งเดียวในรายการทรัพย์สินไม่หมุนเวียนที่ไม่มีค่าเสื่อม
แต่มุมมองของกลยุทธ์ จะมีทรัพย์สินบางสิ่งที่บริษัทจะต้องถือเป็นเจ้าของ เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน ทําให้ในเชิงกลยุทธ์การมีต้นทุนของเครื่องผลิตเงินในบางเรื่องน่าจะเป็นผลดีกว่าไม่มี
2.หมายถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในเครื่องเพื่อให้เกิดผลิตผลที่เราอยากจะได้ ตัวอย่างเช่นธุรกิจร้านอาหาร การตกแต่งร้านอาหารรวมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ห้องครัว จะเป็นเครื่องผลิตเงิน ส่วนวัสดุที่เราใส่เข้าไปจะหมายถึง วัตถุดิบในการประกอบอาหารและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ถ้าเราดูที่งบดุล จะเห็นรายการพวกนี้อยู่ในส่วนของทรัพย์สินหมุนเวียนประเภทต่างๆและอีกส่วนจะไปแสดงในงบกําไรขาดทุนในส่วนของค่าใช้จ่ายขายและบริหาร
การวัดประสิทธิภาพของกิจการ ถ้าเป็นกิจการประเภทเดียวกัน เราสามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพ ได้จากการเปรียบเทียบต้นทุนค่าเสื่อมจากเครื่องผลิตเงินกับรายได้แล้ว เรายังสามารถดูได้จากการเปรียบเทียบทรัพย์สินหมุนเวียนกับรายได้ที่เกิดขึ้น โดยดูว่าถ้าบริษัทใช้เงินทุนน้อยกว่าในการสร้างรายได้ที่เท่ากัน ก็บ่งบอกไปถึงต้นทุนที่ตํ่ากว่า เพราะสามารถหมุนรอบทรัพย์สินในส่วนนี้ได้ดีกว่านั่นเองครับ
3.ผลผลิตจากเครื่องผลิตเงิน ผลผลิตที่ดีที่สุดที่เราอยากได้คือเงินสด แต่ในความเป็นจริงของธรรมชาติธุรกิจแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน บริษัทไม่สามารถฝืนธรรมชาติของธุรกิจได้ ผลผลิตที่ได้มาจึงอาจจะอยู่ในรูปของ สินค้าสําเร็จรูป และ ลูกหนี้การค้า แล้วค่อยแปลงไปเป็นเงินสดอีกต่อหนึ่ง ทําให้บางธุรกิจงบการเงินดูมีกําไรดี แต่ท้ายที่สุดกิจการก็ไปไม่รอด เพราะเก็บหนี้ไม่ได้ หน้าที่ของนักลงทุน ไม่ใช่ไปปฎิ เสธ ธรรมชาติของธุรกิจ แต่ต้องติดตามความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นกับตัวธุรกิจมากกว่า ถ้าพูดถึงลูกหนี้และสินค้าคงเหลือจะอยู่ในส่วนของทรัพย์สินหมุนเวียนเช่นเดียวกัน และถ้าบริษัทไหนมีสองรายการข้างต้นเป็นสัดส่วนที่สูงในทรัพย์สินรวม หน้าที่เราคือ -ต้องเข้าไปดูในหมายเหตุงบการเงินที่จะบ่งบอกยอดลูกหนี้ค้างชําระว่าเกินดิวอยู่มากน้อยเพียงใด และมีการตั้งสํารองหนี้สงสัยจะสูญไว้มากพอหรือเปล่า -ในส่วนของสินค้าสําเร็จรูปก็เช่นเดียวกัน เราสามารถดูประสิทธิภาพของการบริหาร สต๊อกได้จากการนําไปเปรียบเทียบกับรายได้(เช่นเดียวกันกับวัตถุดิบ) เพราะถ้าบริษัทไหนสามารถหมุนรอบสินค้าที่ผลิตออกมาไปแปลงเป็นเงินได้เร็วกว่า บริษัทนั้นก็จะมีต้นทุนการเงินที่ตํ่ากว่านั่นเอง
จากรูปแบบการหาเงินข้างต้นจะนํามาเขียนในรูปแบบงบการเงินได้ดังนี้
1.งบดุล ทรัพย์สิน=หนี้สิน+ทุน
ทรัพย์สิน คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี จะประกอบด้วยทรัพย์สินหมุนเวียน คือสิ่งที่ใส่เข้าไปเพื่อให้ได้ผลผลิตออกมา และทรัพย์สินไม่หมุนเวียน คือเครื่องจักรผลิตเงินที่เป็นต้นทุนไม่สามารถแปลงเป็นรายได้เข้ามาได้ หนี้สิน คือ สิ่งที่เรายืมคนอื่นมาใช้ แล้วจะผ่อนจ่ายให้เขาภายหลัง เช่นเจ้าหนี้การค้าเครื่องผลิตเงิน เจ้าหนี้การค้าวัตถุดิบที่จะใส่เข้าไปในเครื่อง หรือเจ้าหนี้เงินกู้ที่เรากู้มาเพื่อชําระเจ้าหนี้การค้า โดยเอาทรัพย์สินไปคํ้าประกัน ทุน คือ ทรัพย์สินทั้งหมดของเราที่หักเจ้าหนี้ทั้งหลายออกไปแล้ว
2.งบกําไรขาดทุน รายได้-ค่าใช้จ่าย=กําไร
รายได้ คือ ผลผลิตที่ได้จากเครื่องผลิตเงิน(OUTPUT) ค่าใช้จ่าย คือ ส่วนที่INPUTเข้าไปในเครื่องผลิตเงินเพื่อจะได้เงินออกมา และ ค่าเสื่อมของเครื่องผลิตเงิน กําไร คือ ส่วนที่เหลือจาก OUTPUT-INPUT นั่นเอง
3.งบกระแสเงินสด => ในเมื่อกําไรในงบกําไร/ขาดทุน จะเป็นการแสดงตัวเลขทางบัญชี แต่ไม่ใช่เงินสดที่อยู่ในมือ จึงมีการคิดงบกระแสเงินสดขึ้นมาเพื่อกระทบยอดเงินสดจริงๆที่อยู่ในมือเพื่อดูสภาพคล่องของกิจการ เช่นมีการซื้อเครื่องผลิตเงินด้วยเงินสด1ล้านบาท ตัดค่าเสื่อม10ปี ในงบกําไรขาดทุนจะมีการตัดค่าใช้จ่ายปีละ1แสนบาทตั้งแต่ปีแรกจึงถึงปีที่10 แต่งบกระแสเงินสดจะมีการตัดทางบัญชีออกไป1ล้านในปีแรก(แต่ตัดค่าใช้จ่ายในงบกําไร/ขาดทุนแสนเดียว) และทุกๆปีงบกระแสเงินสดจะมีการยกคืนกลับทางบัญชีปีละแสนจากงบกําไรขาดทุนที่ถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายไปปีละแสนเป็นต้น และในส่วนของเจ้าหนี้,ลูกหนี้ ที่บันทึกในงบกําไร/ขาดทุนแล้ว แต่ ยังไม่ได้เงินสด ก็ต้องนํามาปรับให้แสดงสถานะเงินสดที่อยู่ในบริษัท เพื่อประโยชน์ในการดูสภาพคล่องของธุรกิจ
ผมคิดว่า ถ้าเรามองเห็นธรรมชาติของธุรกิจแต่ละประเภท เราจะสามารถรู้จุดอ่อนในตัวธุรกิจ ผ่านการดูจากงบการเงินที่แสดงในทุกๆไตรมาส ทําให้เราสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจได้ดียิ่งขึ้นครับ
รายได้และกําไรเราพอรู้คร่าวๆแล้วว่า การเกิดรายได้และกําไรในครั้งเดียวถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่ค่อยจะดี รายได้/กําไรที่ดีนั้น จะต้องมาจาก 1.ความสมํ่าเสมอในการใช้บริการ ลูกค้ามีการใช้บริการซํ้าแล้วซํ้าอีก 2.มีการกระจาย ไม่กระจุก ทั้งในฐานของลูกค้าและฐานของรายได้ 3.ลูกค้ามีความพึงพอใจในการใช้สินค้า/บริการนั้นๆ
อีกมุมหนึ่ง การที่เราจะหาหุ้นเติบโต เราต้องมองหาธุรกิจที่สามารถเพิ่มรายได้ในอนาคตได้อีกพอสมควร นั่นคือเราต้องมองรายละเอียดสามข้อเพิ่มเติมดังนี้
1.ให้มองส่วนแบ่งการตลาดว่า ธุรกิจเราเมื่อเทียบกับตลาดรวม มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่กี่เปอร์เซนต์ ถ้าเราเจอธุรกิจที่บริษัทยังมีส่วนแบ่งการตลาดที่น้อย ก็ยังบ่งบอกโอกาสที่จะเติบโตโดยการแย่งส่วนแบ่งการตลาดจากรายอื่นเข้ามา แต่ในทํานองกลับกันถ้าเรามีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงมาก(ส่วนมากจะไม่ใช่หุ้นเติบโต แต่จะเป็นหุ้นพื้นฐานที่แข็งแกร่ง) 2.ให้มองความต้องการของสินค้า/บริการนั้นๆในตลาดรวมว่า มีความต้องการอีกมากเพียงใด ถ้าตลาดยังเปิดกว้างอีกมาก แสดงว่าเราเจออุตสาหกรรมที่เป็นเทรนในอนาคต
3.ความพร้อมของบริษัทว่าสามารถเติบโตได้ในระดับใด ในบางบริษัทไม่มีความเตรียมพร้อม หรือมีข้อจํากัดในบางเรื่องทําให้ไม่สามารถเติบโตก้าวกระโดดไปกับอุตสาหกรรมที่กําลังเติบโตได้ เช่นมีข้อจํากัดในเรื่องของเงินทุน มีข้อจํากัดในเรื่องการบริหารจัดการภายในองค์กรเป็นต้น
ถ้าธุรกิจที่มีองค์ประกอบทั้งสามที่เปิดกว้าง โอกาสในบริษัทนี้ที่จะเติบโตก็ย่อมง่ายกว่าบริษัทที่ทั้งสามส่วนดังกล่าวเริ่มตีบตัน
พูดถึงPEแล้วไม่พูดถึงPEG ก็คงไม่ได้ PEGคือการเอาค่าPEมาตั้งหารด้วยเปอร์เซนต์ของการเติบโตของผลกําไรในอนาคต เช่นหุ้นAตอนนี้เทรดอยู่PEที่15เท่า มีการเติบโตในอีกสามปีข้างหน้าราวๆ30เปอร์เซนต์ต่อปี หุ้นตัวนี้จะมีPEGอยู่ที่15/30=0.5 หุ้นBเทรดอยู่PEที่10เท่า คาดว่าอีก3ปีข้างหน้าจะมีการเติบโตอยู่5 เปอร์เซนต์ต่อปี PEG=10/5=2เท่า ซึ่งจะเห็นว่าPEGยิ่งถูกยิ่งดี การใช้PEGเปรียบเทียบหุ้นแต่ละตัวนี้อย่างน้อยๆ 1.ควรจะเป็นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่นไม่ควรเอาหุ้นพื้นฐานไปเทียบกับหุ้นฟื้นตัวเป็นต้น 2.ช่วงระยะเวลาในการคํานวณการเติบโตต้องเป็นช่วงเวลาเดียวกัน เช่นไม่ควรจะประเมินการเติบโตตัวหนึ่ง1ปี อีกตัวหนึ่ง5ปี มาเปรียบเทียบกัน 3.ควรจะประเมินในช่วงระยะเวลาที่พอมองออกเท่านั้น ไม่ควรยาวจนเกินไป
P/BV(PRICE/BOOK VALUE)
P/BV คือ ราคา(ต่อหุ้น)/มูลค่าทางบัญชี(ต่อหุ้น) ถ้าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาP/BV=1 หมายความว่าเราสามารถซื้อหุ้นได้ในราคาเดียวกับมูลค่าทางบัญชีหรือราคาเดียวกับส่วนของเจ้าของ แต่อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้แล้วว่าราคาBVไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพของผลกําไร และถ้าเราไม่สามารถเทคโอเวอร์กิจการทั้งหมดได้ การถือครองหุ้นในราคาตํ่ากว่าส่วนทุน ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ขาดทุนในการซื้อกิจการนั้นๆ
แต่ถ้าเราใช้P/BV เพื่อที่จะหาหุ้นเทริ์นอะราวด์ หุ้นวัฎจักร หุ้นทรัพย์สินมาก หรือ ดูเพื่อจะเอาP/BVมาเป็นส่วนเผื่อความปลอดภัย(MOS) ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ
BV บุ๊คแวลูหรือส่วนทุนคือค่าๆเดียวกันต่างกันเพียงหน่วยนับ ถ้าเราเอาส่วนทุนมาหารจํานวนหุ้นทั้งหมดก็จะได้ออกมาเป็นBV เพราะฉะนั้นค่าBVเราจึงควรเจาะเข้าไปทําความเข้าใจในรายละเอียดของทรัพย์สินและหนี้สินที่เป็นสัดส่วนใหญ่ๆของกิจการ สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สินเช่น -ที่ดิน จะไม่มีค่าเสื่อม บริษัทส่วนมากจะบันทึกไว้ในราคาทุน ยกเว้นบริษัทที่ต้องการทําการปรับปรุงราคาทรัพย์สินใหม่(จะต้องแจ้งไว้ในหมายเหตุงบการเงิน) เพราะฉะนั้นบริษัทที่มีที่ดินมากๆในราคาที่ซื้อมานานแล้ว จะมีทรัพย์สินแฝงอยู่ในส่วนนี้พอสมควร
-ทรัพย์สินที่ถูกซ่อนไว้
.หลายบริษัทมีทรัพย์สินที่ซ่อนไว้ที่อยู่ในรูปของแบรนด์ ความจงรักภักดีของลูกค้า ซัพพลายเชน ทําเลที่ตั้ง วัฒนธรรมองค์กร ทรัพย์สินเหล่านี้ไม่สามารถจับต้องได้และไม่แสดงอยู่ในงบดุล ซึ่งหลายบริษัททรัพย์สินแฝงนี้มีค่ามากกว่าทรัพย์สินที่จับต้องได้ในงบดุลเสียอีก
-บางกิจการมีลักษณะตัดค่าเสื่อมไปเร็วกว่าการใช้งานจริง เช่นธุรกิจAวางสายเคเบิลใต้ดิน ได้ตัดค่าเสื่อมสายที่6ปี ทั้งๆที่สามารถใช้งานได้ถึง10ปี หรือในทางกลับกันมีบางธุรกิจที่มีการตัดค่าเสื่อมที่ใกล้เคียงความเป็นจริง แต่ต้นทุนในการสร้างใหม่ เฟ้อขึ้นตามค่าครองชีพ ทําให้เงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นทุกปี เราสามารถรู้ได้ โดยเข้าไปดูงบกระแสเงินสดในส่วนของค่าเสื่อมเทียบกับในส่วนของกิจการเพื่อการลงทุน เปรียบเทียบว่าบริษัทจะต้องลงทุนใหม่เพื่อรักษาสภาพของกิจการให้คงอยู่กับค่าเสื่อมว่าใครมีจํานวนมากกว่ากัน ถ้างบลงทุนมีมากกว่าค่าเสื่อมอยู่ต่อเนื่องหลายๆปี ทั้งๆที่รายได้ไม่เพิ่ม ก็เป็นการบ่งบอกว่าเงินลงทุนในปัจจุบันแพงกว่าในอดีต บริษัทประเภทนี้จะรักษากําไรให้เท่าเดิมได้นั้น จะต้องปรับราคาขายสินค้าหรือไปลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นให้ลดลง
-ถ้าสัดส่วนBVไปหนักในส่วนของสินค้าคงคลัง เราควรติดตามไปดูว่ายอดขายต่อสินค้าคงคลังมากเกินความเป็นจริงหรือไม่ เช่นบริษัทAมียอดขายไตรมาสละ200ล้านบาท ในอดีตมีสต๊อกสินค้าผลิตเสร็จรอการจําหน่ายอยู่60ล้านแต่ในไตรมาสนี้มีมากถึง100ล้านบาท สัญญาณดังกล่าวอาจจะบ่งบอกถึงการถดถอยของยอดขายในอนาคต แต่ในไตรมาสนี้บริษัทก็ยังไม่อยากลดกําลังการผลิตเพื่อให้มีต้นทุนต่อหน่วยที่ตํ่าเพื่อที่จะได้ขายสินค้ามีกําไร หรือ อาจจะบ่งบอกได้อีกมุมหนึ่งว่า บริษัทอาจจะมีข้อตกลงจําหน่ายสินค้าล๊อตใหญ่ให้กับลูกค้ารายใดรายหนึ่ง จะเห็นได้ว่าสัญญาณหนึ่งๆอาจจะเป็นทั้งผลบวกและลบในคราวเดียวกัน หน้าที่เราคือจะต้องติดตามหาข้อมูลต่อไป อีกข้อที่ต้องติดตามถ้าสินค้าคงคลังมีสัดส่วนที่สูงผิดปรกติ คือเรื่องสินค้าสามารถหมดอายุหรือล้าสมัยได้หรือเปล่า และทางบริษัทมีการสํารองด้อยค่าทรัพย์สินไว้มากน้อยเพียงใด
-ถ้าสัดส่วนBVไปหนักในส่วนของลูกหนี้การค้า หน้าที่เราก็ต้องไปศึกษาดูยอดหนี้คงค้างว่าอยู่ในเกณฑ์ระดับใด มีการตั้งสํารองเพียงพอหรือไม่
-ถ้าสัดส่วนBVไปหนักอยู่ในเครื่องผลิตเงิน หน้าที่เราต้องเข้าไปเช็คประสิทธิภาพของการดําเนินงาน ว่าบริษัทนั้นอ้วนแต่ตัวหรือเปล่า แต่สุขภาพการเงินไม่แข็งแรง ถ้าเจอบริษัทประเภทนี้ สิ่งที่ต้องตามอย่างใกล้ชิดคือเรื่องสารกระตุ้นของกิจการ ถ้าเราเจอบริษัทลงทุนสูงในเครื่องจักรผลิตเงิน แต่ยังไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดขึ้นมาได้ แถมมีการกู้เงินในสัดส่วนที่สูง สามสัญญาณนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโอกาสที่จะเพิ่มทุนได้ในอนาคตครับ
-ถ้ามองในส่วนของหนี้สิน เราสามารถแยกประเภทหนี้สินได้เป็นสองประเภท คือหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยและหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ในรูปแบบของบัญชีนั้นการที่เรามีหนี้ในรูปแบบที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับยอดขายแล้วยิ่งสูงยิ่งดี เพราะเสมือนเราเอาเงินของเจ้าหนี้การค้ามาหมุนนั่นเอง(ผมเรียกว่าหนี้ที่ดี)แต่ในทํานองกลับกัน ถ้าบริษัทไหนมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยเมื่อเทียบกับยอดขาย ยิ่งสูงยิ่งไม่ดี เพราะทําให้เกิดต้นทุนที่สูงขึ้นนั่นเอง แต่เราไม่ควรกลัวปัจจัยเหล่านี้จนเกินเหตุ จนเป็นสิ่งที่ปิดกั้นภาพใหญ่ๆของธุรกิจนะครับ เพราะหนี้สินเปรียบเสมือนเฟืองเกียร์ที่ช่วยเร่งความเร็วของรถ เกียร์ยิ่งสูงรถเราก็สามารถวิ่งได้เร็วมากขึ้น แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุก่อนถึงเป้าหมายก็มากขึ้นตามเช่นกัน หน้าที่เราคือเฝ้าติดตามปัจจัยความเสี่ยงเหล่านั้น เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ
GPM ,SG&A ,NPM(อัตราก าไรขั้นต้น,ค่าใช้จ่ายและบริหาร,อัตราก าไรสุทธิ)
*อัตรากําไรขั้นต้น=กําไรขั้นต้น/ยอดขายสุทธิ* *กําไรขั้นต้น=รายได้จากการขายสินค้า-ต้นทุนของสินค้า*
*ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร หมายถึง ค่าใช้จ่ายทุกๆอย่างที่เกี่ยวข้องกับการขายและรวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับบริหารงานทั้งหมด
*อัตรากําไรสุทธิ=กําไรสุทธิ/ยอดขายสุทธิ*
ถ้าเราเปรียบเทียบสามค่านี้กับงบการเงินในอดีตที่ผ่านมาและเปรียบเทียบกับธุรกิจประเภทเดียวกัน เราจะสามารถเห็นถึงประสิทธิภาพของการทํากําไรของบริษัทได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว โดยธรรมชาติของธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่มีค่าทั้งสามสมํ่าเสมอ ไม่เหวี่ยงขึ้นลง เพราะถ้าบริษัทไหนสามารถรักษาระดับค่าทั้งสามได้ หมายความว่าบริษัทนั้นๆมีความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการปรับราคาสินค้าตามราคาวัตถุดิบ และถ้าจะเป็นการดีที่สุดคือ GPM NPM จะค่อยๆปรับตัวขึ้น และSG&Aค่อยๆปรับตัวลดลง เนื่องจากการประหยัดของขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้น
วอเรนเคยกล่าวไว้ในเรื่องการทํากําไรของบริษัท วอเรนจะขอเลือกธุรกิจอยู่สองประเภทคือ
1.ธุรกิจที่มีNPMสูงๆในระยะยาว ธุรกิจที่มีNPMสูงๆได้ในระยะยาวจะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพขอบข่ายคูเมืองที่บริษัทได้สร้างไว้ไม่ให้คู่แข่งเข้ามาแย่งชิงลูกค้าไปได้ง่ายๆ หน้าที่ของเราในข้อนี้คือ มองหาให้เจอว่าขอบข่ายที่ว่านั้นคืออะไร และเฝ้าติดตามตรวจสอบว่าขอบข่ายคูเมืองยังมีสภาพที่ดีในการกันคู่แข่งอยู่หรือเปล่า
2.ธุรกิจที่มีการหมุนรอบเงินทุนหมุนเวียนได้เร็วๆจะทําให้อัตรากําไรขั้นต้นและอัตรากําไรสุทธิ มีตัวคูณที่มากขึ้นตามการหมุนรอบของการขาย ทําให้กําไรสุทธิของบริษัทนั้นๆสูงขึ้นตาม เช่นมีร้านขายของชําสองร้าน
-ร้านAขายกิฟชอป มีอัตรากําไรขั้นต้นที่50เปอร์เซนต์ อัตรากําไรสุทธิที่30เปอร์เซนต์ มีการลงทุนไปกับเครื่องผลิตเงินที่3ล้านและลงทุนไปกับสินค้าอีก2ล้าน ร้านค้านี้มียอดขายต่อปีที่4ล้านบาท(อัตราการหมุนเวียนสินค้าที่2รอบต่อปี หรือประมาณ180วัน) เท่ากับมีกําไรสุทธิ1.2ล้านบาท
-ร้านBขายของใช้ในชีวิตประจําวัน มีอัตรากําไรขั้นต้นที่15เปอร์เซนต์ อัตรากําไรสุทธิที่10เปอร์เซนต์ มีการลงทุนเครื่องผลิตเงินที่3ล้านและลงทุนไปกับสินค้า2ล้านเหมือนร้านกิฟชอป แต่ร้านนี้สามารถสร้างยอดขายได้เดือนละ2ล้าน(อัตราการหมุนเวียนสินค้าที่1เดือนต่อรอบหรือประมาณ30วัน) เท่ากับร้านนี้มีกําไรสุทธิเดือนละ2แสนปีละ2.4ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้นกําไรสุทธิในร้านBจะน้อยกว่าร้านAถึง3เท่า แต่กําไรสุทธิยังมากกว่า2เท่า เนื่องมาจากการหมุนรอบของเงินทุนที่Bทําได้ดีกว่าAนั่นเอง หน้าที่ของเราในฐานะนักลงทุนคือมองหาธุรกิจที่สามารถหมุนรอบเม็ดเงินได้สูง ROEก็จะสูงตามการหมุนรอบที่มากขึ้น และถ้าบริษัทไหนสามารถหมุนรอบเงินทุนได้สูงกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน ก็จะบ่งบอกไปถึงว่าบริษัทนั้นมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง จนอาจจะเป็นขอบข่ายคูเมืองในเรื่องของต้นทุนที่ถูกกว่า ที่ทําให้คู่แข่งเจาะฐานที่มั่นของบริษัทได้ยากขึ้น
ROE & ROA (ผลตอบแทนต่อส่วนทุน และ ผลตอบแทนต่อทรัพย์สิน)
ค่าทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่ผมสนใจลําดับต้นๆในการเลือกลงทุนกิจการ เพราะภาพในอดีตและปัจจุบันของพี่อาร์ทั้งสองนี้ จะสามารถบ่งบอกถึงขอบข่ายคูเมือง และประสิทธิภาพของการบริหารจัดการได้ระดับหนึ่งทีเดียว
สาเหตุที่ผมกล่าวไว้ว่า พี่อาร์ในอดีตจะสามารถบ่งบอกถึงขอบข่ายคูเมืองและประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ เนื่องมาจากงบการเงินในระยะยาวจะสามารถสะท้อนธรรมชาติของธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งพี่อาร์ทั้งสองคือส่วนหนึ่งของงบการเงินที่ถูกแปลงค่ามาให้ดูง่ายขึ้น เราลองมาดูว่าพี่อาร์บ่งบอกอะไรเราบ้างนะครับ
ROE(return on equity)
ค่านี้หาได้จากการนํากําไรสุทธิตั้งหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น(ส่วนทุน)แล้วแปลงเป็นเปอร์เซนต์ จากสูตรจะเห็นว่าค่านี้บ่งบอกถึงความสามารถของบริษัทว่าบริษัทสามารถผลิตกําไร(output)ให้ผู้ถือหุ้นได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งค่านี้ยิ่งสูงก็ยิ่งดี อย่างเช่นวอเรนจะมองหาธุรกิจที่มีROEที่สมํ่าเสมอในระยะยาวสูงกว่า15เปอร์เซนต์เท่านั้น ค่านี้สามารถบ่งบอกบางอย่างให้เรารู้คร่าวๆเพื่อไปเจาะลึกหาทรัพย์สมบัติกัน เรามาดูรายละเอียดปลีกย่อยของค่านี้กันนะครับ
-ถ้าเราเจอบริษัทที่มีROEสูงสมํ่าเสมอต่อเนื่องเป็นสิบปี สิ่งนี้จะบ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันคู่แข่งขันได้เป็นอย่างดี
.ถ้าเรามองหาหุ้นพื้นฐานหรือหุ้นเติบโต เราต้องมองหาธุรกิจที่มีROEสูงอย่างสมํ่าเสมอและถ้าจะดีที่สุดถ้าค่าROEนั้นมีทิศทางที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
-ถ้าเราเจอบริษัทที่มีROEตํ่าอย่างสมํ่าเสมอต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีแล้ว สิ่งนี้อาจจะบ่งบอกว่าเราเจอบริษัทที่เข้าข่ายธุรกิจตะวันตกดิน
.ถ้าเรามองเห็นธุรกิจประเภทนี้ให้พยายามมองหาธุรกิจที่มีแนวโน้มกลับตัวจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจหรือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
-ถ้าเราเจอบริษัทที่มีROEขึ้นและลงเป็นลูกคลื่นเป็นรอบๆนั่นอาจจะบ่งบอกถึงธรรมชาติของธุรกิจที่เป็นโภคภัณฑ์
.จงทําความเข้าใจในธรรมชาติของธุรกิจที่เป็นหุ้นวัฎจักร มองหาจุดที่ROEเริ่มกลับตัวให้เราเห็น บางครั้งภาพใหญ่ๆในอดีตของROEสามารถช่วยเราให้กล้าที่จะลงทุนในช่วงที่ธุรกิจตกตํ่าสุดๆได้เหมือนกัน
-ถ้าเราเจอบริษัทที่มีROEเอาแน่เอานอนไม่ได้ กําไรสลับขาดทุนเหมือนโยนหัวก้อย จะบ่งบอกธรรมชาติของธุรกิจที่ยังหาตําแหน่งที่ดีให้กับตนเองไม่ได้หรืออาจจะไม่มีอํานาจต่อรองในการขึ้นราคาสินค้าแต่ไม่ใช่หุ้นวัฎจักร
.ถ้าเจอธุรกิจประเทศนี้ บอกได้คําเดียวว่าถ้าจะซื้อหุ้นในกลุ่มนี้วัตถุประสงค์คือการซื้อเก็งกําไร จากปัจจัยบางเรื่องที่ทําให้กําไรกระโดดเป็นบางไตรมาสหรือบางปี ต้องไม่ใช่มุมมองการลงทุนในระยะยาวในการจะเป็นเจ้าของกิจการ
ถ้าบริษัทไหนสามารถรักษาค่าROEที่สูงได้อย่างสมํ่าเสมอ สามารถบอกกลายๆได้ถึงความสามารถในการเติบโตของบริษัทนั้น เพราะว่ากําไรที่ได้เพิ่มขึ้นมาในแต่ละปีจะมาเพิ่มอยู่ในส่วนทุน(E)ทําให้ฐานตัวหารเพิ่มมากขึ้น การที่จะให้มีค่าROEได้เท่าเดิม บริษัทมีอยู่เพียงสองวิธีคือ1.ปันผลทั้งหมดจากกําไรที่ได้มาหรือ 2.มีการเติบโตของรายได้หรือกําไรที่มากขึ้นนั่นเอง
ถ้าบริษัทไหนสร้างROEได้สูงในระยะยาว บ่งบอกถึงขอบข่ายคูเมือง เพราะธุรกิจที่จะสร้างROEได้สูงหมายถึงถ้าไม่มีNPMที่สูงก็ต้องมีการหมุนเวียนของเงินทุนที่สูง การมีNPMที่สูงได้ในระยะยาวย่อมเป็นธุรกิจที่หอมหวานอย่างแน่นอน ใครๆก็อยากเข้ามาแชร์นํ้าผึ้งกองนี้ การรักษาNPMที่สูงได้อย่างต่อเนื่องจึงเป็นการบอกได้อย่างกลายๆว่า บริษัทนี้ต้องมีอะไรดีๆในการป้องกันคู่แข่งอย่างแน่นอน หน้าที่ของเราคือค้นหาปัจจัยนั้นๆให้เจอ และติดตามเฝ้าดูความแข็งแกร่งนั้นๆเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ส่วนธุรกิจใดที่สามารถหมุนเวียนเงินทุนได้สูงกว่าคู่แข่ง ก็เป็นการบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการได้ดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งนั่นก็คือความสามารถในการป้องกันคู่แข่งไปในตัวนั่นเอง หน้าที่เราก็ต้องทําหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบค่าสัญญาณต่างๆจากงบการเงินว่าบริษัทยังบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพเหนือคู่แข่งหรือไม่
ค่าROEเป็นค่าที่มีเกียร์เข้ามาเป็นฟันเฟืองตัวช่วย ทําให้สามารถเร่งกําไรได้สูงมากขึ้น เพราะ ทรัพย์สิน=หนี้สิน+ทุน ค่า ROE ก็เป็นการหาทรัพย์สินที่ใช้ทุนเป็นตัวหาร แต่สามารถมีผู้ช่วยคือส่วนหนี้สินที่เพิ่มเกียร์ให้กับธุรกิจ เช่นบริษัทA B Cมีกําไรที่10บาทเท่ากัน
งบดุลAเป็นดังนี้ 100=20+80 บริษัทนี้มีROE=10/80*100=12.5เปอร์เซนต์ งบดุลBเป็นดังนี้ 100=50+50 บริษัทนี้มีROE=10/50*100=20เปอร์เซนต์ งบดุลCเป็นดังนี้ 100=80+20 บริษัทนี้มีROE=10/20*100=50เปอร์เซนต์
จะเห็นได้ว่ายิ่งใช้เงินทุนตนเองน้อยเท่าไหร่ ผลตอบแทนเรายิ่งมากขึ้นเท่านั้น(เพราะเราใช้เงินคนอื่นมาหากําไรให้เรา)ถ้าตอบตามภาษาROEจะเห็นว่าบริษัทที่น่าลงทุนที่สุดคือบริษัทC แต่ช้าก่อน
.หน้าที่ของเราต้องละเอียดมากกว่านั้น เราต้องมองธุรกิจให้ครบทุกด้าน ไม่ใช่เพียงด้านใดด้านหนึ่ง อย่างน้อยๆเราต้องรู้ว่าหนี้ที่ทําให้ROEสูงนั้นเป็นหนี้ที่ดีหรือหนี้ที่ไม่ดี ถ้าหนี้ที่ดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นหนี้ที่ไม่ดี(หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย)เราก็ต้องมองให้ลึกขึ้นว่า หนี้ระดับนี้มีความเสี่ยงต่อธรรมชาติของธุรกิจมากน้อยเพียงใด เพราะบางครั้งการมีหนี้ที่สูงกว่า ก็ไม่ได้บอกว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่า เสมอไป เช่นธุรกิจสาธารณูปโภคที่มีการทําสัญญากับภาครัฐอย่างชัดเจนเช่นโรงไฟฟ้า การกู้ถึง80เปอร์เซนต์อาจจะไม่เสี่ยงเท่ากับการกู้20เปอร์เซนต์เพื่อมาสร้างเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์โดยที่ยังไม่มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
ROA(return on asset) ค่านี้หาได้จากการนํากําไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีตั้งหารด้วยทรัพย์สินทั้งหมดแล้วแปลงเป็นเปอร์เซนต์ ค่านี้เป็นค่าที่ผมเอาไว้ดูประสิทธิภาพของการบริหารจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือของกิจการ และคนสร้างสูตรนี้ขึ้นมาคงมีเหตุผลเดียวกันนี้ สูตรในการคํานวณจึงเอากําไรก่อนเสียดอกเบี้ยและภาษีมาเป็นตัวตั้งในสูตร เพราะดอกเบี้ยในแต่ละช่วงเวลาและในแต่ละบริษัทอาจจะไม่เท่ากัน เรื่องภาษีก็เช่นเดียวกัน ในบางช่วงของธุรกิจนั้น การเสียภาษีมีข้อยกเว้นและข้อจํากัดมากมายที่ทําให้การเสียภาษีไม่ตายตัวมื่อเทียบกับกําไรก่อนภาษี ถ้าเราต้องการดูประสิทธิภาพของการบริหารจัดการจริงๆจึงไม่ควรนําสองค่านี้มาคิดรวมด้วย
ค่าROEมีจุดอ่อนอยู่ตรงสามารถมีผู้ช่วย(หนี้) จึงต้องเอาค่าROAมาเป็นตัวตรวจสอบอีกทอดหนึ่งว่า ROEที่แสดงอยู่นั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
ค่าROAมีค่าตัวแปรคือ R และ A ผลตอบแทน(R)นี้หน้าที่เราคือต้องเข้าไปดูในส่วนของกําไรที่ได้มานั้นเป็นกําไรที่อยู่ในรูปใด(ลูกหนี้,สินค้า,เงินสด)ถ้าเป็นลูกหนี้ก็ต้องเฝ้าติดตามสัดส่วนหนี้ค้างชําระว่าผิดปรกติหรือไม่ อีกค่าตัวแปรคือทรัพย์สิน(A)เราก็ต้องเข้าไปดูในคุณภาพของทรัพย์สินเพื่อวิเคราะห์เชิงลึกต่อไป(เพราะบางครั้งธุรกิจมีROAที่สูงขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าจะประสิทธิภาพจะดีขึ้น) เช่นเคยมีบริษัทหนึ่งขายโรงพิมพ์ออกไปและทําการเช่ากลับมาแทน ทรัพย์สินจากเครื่องหายไป ค่าเสื่อมหายไป โดยมีค่าใช้จ่ายมาแทนที่ จะเห็นว่าAลดลง ทําให้ค่าROAสูงขึ้นจากในอดีต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพของบริษัทนี้สูงขึ้นจากในอดีต และอีก ข้อที่ลืมไม่ได้คือเรื่องทรัพย์สินที่ถูกซ่อนไว้ ที่อยู่ในรูปของทรัพย์สินไม่มีตัวตนที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นะครับ
การเปรียบเทียบROAเพื่อดูประสิทธิภาพในการบริหารจัดการจะเปรียบเทียบได้เฉพาะกับธุรกิจที่เหมือนกันเท่านั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบข้ามกลุ่มอุตสาหกรรมได้ เพราะด้วยโครงสร้างทรัพย์สินในแต่ละอุตสาหกรรมไม่เหมือนกัน เช่นธุรกิจบริการรับจัดทําบัญชีย่อมมีค่าROAที่สูงเพราะธรรมชาติของธุรกิจไม่จําเป็นต้องมีทรัพย์สินมากๆเมื่อเทียบกับธุรกิจโรงแรมที่ลงทุนหลักๆไปกับเครื่องผลิตเงินเกือบทั้งหมด
อย่างที่เราได้ยินวอเรนกล่าวไว้ว่า เขาชอบธุรกิจสองประเภทคือ ธุรกิจที่มีกําไรสุทธิสูงๆและธุรกิจที่มีการหมุนรอบเงินทุนได้เร็วๆ ถ้าเราตีความหมายของคําพูดนี้อีกมุมหนึ่งจะเห็นได้ว่า เมื่อเราเอากําไรสุทธิคูณกับการหมุนรอบของทรัพย์สิน นั่นก็คือค่าของRนั่นเอง เพียงแต่จะเป็นค่าROAที่เอากําไรสุทธิเป็นตัวตั้งหารด้วยทรัพย์สินทั้งหมด
และถ้าเราแยกประเภทของธุรกิจออกตามROA เราจะสามารถแยกธุรกิจออกเป็นสี่กลุ่มดังนี้
1.ธุรกิจที่มีNPMสูง และ การหมุนรอบของทรัพย์สินสูง โมเดลธุรกิจที่เข้าข่ายข้อนี้ จะต้องมีจุดขาย จุดแข็ง ที่แกร่งมากๆคนอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก จุดแข็งที่ว่าอาจจะอยู่ที่แบรนด์ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ถ้าเราเจอธุรกิจที่เข้าข่ายในข้อนี้ที่มีโอกาสเติบโตสูง ขอแนะนําว่า เราน่าจะเจอเพชรเม็ดงามในการลงทุนเข้าแล้ว กลยุทธ์ในข้อนี้คือซื้อแล้วถือยาวๆ และถ้าเราจะขายก็ต่อเมื่อมูลค่าของกิจการแพงมากๆๆๆเกินพื้นฐานจริงๆ หรือจนกว่าจุดแข็งของเขาจะถูกคู่แข่งขันเจาะได้เท่านั้น
2.ธุรกิจที่มีNPMสูง แต่ การหมุนรอบของทรัพย์สินที่ตํ่า โมเดลธุรกิจในกลุ่มนี้มีสองประเภท -ประเภทแรกเป็นธุรกิจงานบริการที่เก็บกินกําไรจากการลงทุนในทรัพย์สินของตนเอง ธุรกิจประเภทนี้มีการลงทุนในครั้งแรกค่อนข้างสูงมาก เช่น ธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล สาธารณูปโภค เป็นต้น ธุรกิจประเภทนี้จะมีจุดอ่อนเรื่องเงินลงทุนที่นําไปลงในเครื่องผลิตเงินที่ค่อนข้างสูง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฐานของรายได้ที่ลดลง จะมีผลกระทบค่อนข้างมากต่อกําไรสุทธิบรรทัดสุดท้าย แต่ในทํานองกลับกัน ถ้าบริษัทไหนสามารถผลักดันธุรกิจให้มีการใช้งานเกือบเต็มความสามารถในการผลิต/บริการ ค่าROA ROEและบรรทัดสุดท้ายของกําไรจะค่อนข้างสวยมากๆ(ยกเว้นงานสาธารณูปโภคที่มีการประมูลกําหนดราคาต้นทุน ราคาผู้ซื้อ และผลกําไรไว้ล่วงหน้าแล้ว)
-ประเภทที่สองเป็นประเภทรับบริหารจัดการทรัพย์สินของคนอื่น และเก็บเกี่ยวผลกําไรจากการบริการ เช่นธุรกิจประกันภัย ธนาคาร ไฟแนนซ์ โบรกเกอร์ เป็นต้น ธุรกิจประเภทนี้จะสามารถสร้างกําไรได้สูงมากในช่วงบูมๆของธุรกิจทั้งๆที่ROAค่อนข้างจะตํ่า เพราะว่ามีเกียร์เร่งจากเงินของคนอื่นนั่นเอง แต่ในทํานองกลับกัน จุดแข็งที่เป็นตัวเร่งผลกําไรก็เป็นดาบสองคมที่เราต้องเฝ้าระวังเช่นเดียวกัน
3.ธุรกิจที่มีNPMตํ่า แต่มีการหมุนรอบของทรัพย์สินที่สูง โมเดลธุรกิจในกลุ่มนี้ ส่วนมากจะเป็นงานบริการเทรดเดอร์ที่เกี่ยวกับการซื้อมาขายไป หรือเป็นธุรกิจที่รับจ้างผลิต(OEM)บางประเภท ถ้าเราเจอธุรกิจในกลุ่มนี้เราต้องเข้าไปดูอีกสองสิ่งเพิ่มเติมคือ อํานาจการต่อรอง และ ประสิทธิภาพการหมุนรอบของทรัพย์สินเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
สาเหตุที่ต้องพิจารณาในเรื่องอํานาจการต่อรองของซัพพลายเชนทั้งสาย เพราะด้วยธรรมชาติของธุรกิจที่NPMตํ่า การเปลี่ยนแปลงNPMเพียงน้อยนิดอาจมีผลต่อความเป็นความตายของบริษัททีเดียว เช่นธุรกิจซื้อมาขายไปแห่งหนึ่งมีNPMที่2.0เปอร์เซนต์ แต่สามารถหมุนรอบทรัพย์สินได้สูงถึง10รอบต่อปี ทําให้บริษัทนี้มีROAคร่าวๆหลังภาษีสูงถึง20เปอร์เซนต์ จุดที่ควรสนใจเป็นพิเศษของบริษัทนี้อยู่ตรงการเพิ่ม/ลดNPMมากกว่าการหมุนรอบของทรัพย์สิน การเพิ่มกําไรขั้นต้นเพียง1เปอร์เซนต์จะส่งผลให้ทําให้บริษัทนี้มีกําไรก่อนภาษีเพิ่มขึ้นถึง50เปอร์เซนต์ แต่ในทํานองกลับกันถ้าบริษัทมีกําไรขั้นต้นลดลง1เปอร์เซนต์บริษัทก็จะมีกําไรก่อนภาษีที่ลดลงประมาณ50เปอร์เซนต์เช่นเดียวกัน เพราะด้วยฐานกําไรที่บางเฉียบนั้น จึงทําให้เราต้องใส่ใจในเรื่องของอํานาจการต่อรองราคาวัตถุดิบและอํานาจการต่อรองการขึ้นราคาสินค้าของคู่ค้าเป็นพิเศษ เพื่อการคงไว้ซึ่งกําไรบรรทัดสุดท้ายนั่นเอง
ส่วนประสิทธิภาพการหมุนรอบของทรัพย์สินเมื่อเทียบกับคู่แข่งนั้น จะสามารถบอกถึงความแข็งแกร่งของตัวธุรกิจที่จะเป็นขอบข่ายคูเมืองป้องกันคู่แข่งเข้ามานั่นเอง
4.ธุรกิจที่มีNPMที่ตํ่า และ มีการหมุนรอบของทรัพย์สินที่ตํ่า โดยปรกติคุณควรมองผ่านเมื่อเจอธุรกิจประเภทนี้ เพื่อผลตอบแทนของคุณเอง นอกจากว่าคุณจะมีความขยันและมีเวลาเหลือเฟือ ก็ให้ทําความเข้าใจรู้จักทีละบริษัทว่าธุรกิจเขาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะถ้าเจอว่าในอดีตธุรกิจนี้มีสองตํ่าเป็นช่วงๆ ในอดีตธุรกิจนี้มีNPMที่สูงกว่านี้ เราอาจจะเจอธุรกิจที่เข้าข่ายธุรกิจเทริ์นอะราวด์หรือหุ้นกลุ่มวัฎจักรก็เป็นได้
เกาะที่สี่ วิธีการมองและก าหนดจุดซื้อตามผลตอบแทนที่เราต้องการ
การประเมินมูลค่าของกิจการสามารถแยกการประเมินได้เป็นสองแบบคือ 1.การประเมินมูลค่า แบบคร่าวๆ ในรูปแบบต่างๆ ผมจะเรียกการประเมินในรูปแบบนี้ว่า การประเมินแบบพ่อค้าแล้วกันนะครับ 2.การประเมินมูลค่าแบบมีตัวเลขที่เฉพาะเจาะจง การประเมินในแบบนี้จะเป็น การประเมินแบบไฟแนนเชียล หรือ การประเมินแบบ DCF นั่นเอง
ที่ผ่านมา ผมได้ใช้การประเมินแบบพ่อค้ามาโดยตลอด ไม่เคยใช้การประเมินแบบDCFเลย คงด้วยเพราะผมเป็นถนัดที่จะเป็นพ่อค้า(ไม่ใช่แม่ค้า) ฮา. สาเหตุจริงๆคือ การประเมินแบบ DCF นั้นจะต้องใช้ข้อมูลที่มากพอและ เหมาะสมที่จะใช้ในกลุ่มธุรกิจที่เรียบง่าย ไม่เหวี่ยงทั้งNPM รายได้ และอัตราการเจริญเติบโต ซึ่งค่อนข้างเป็นข้อจํากัดในการประเมินมูลค่าพอสมควร และที่ผ่านมาผมเคยได้ยินอาจารย์ของผมคือ ดร.นิเวศน์ ที่ได้กล่าวไว้ว่า ท่านก็ไม่ชอบที่จะใช้ และทางอาจารย์ปู่ วอเรน บัฟเฟต์ ก็กล่าวเช่นเดียวกัน ส่วนตัวผม ที่ผ่านมาจึงไม่ได้มุ่งเน้นที่จะศึกษาเจาะลึกในด้านDCF แต่หันมาใช้วิธีแบบพ่อค้าๆ ที่สามารถประเมินมูลค่าของกิจการได้อย่างคร่าวๆคือ
มูลค่าของกิจการแบบพ่อค้า จะประกอบไปด้วยสองส่วนคือ PEของกิจการที่เหมาะสม คูณ กับ กําไรที่เขาจะหาได้ในปีนั้นๆ โดยหุ้น3กลุ่มที่ผมถือว่าเขาเป็นะรรมชาติของธุรกิจคือ หุ้นโตเร็ว หุ้นพื้นฐาน และหุ้นโตช้า หุ้นทั้งสามกลุ่มนี้เราจะต้องประเมินกําไรคร่าวๆของเขาให้ออก ในช่วง1ปี 3ปี หรือ 5ปีข้างหน้า และเราต้องประเมินPEคร่าวๆของหุ้นในตัวนั้นๆออกมาโดยพิจารณาในเรื่องการเติบโตในอนาคตประกอบกับคุณภาพของกิจการ และพอเราได้มูลค่าคร่าวๆใน1ปี 3ปี 5ปี. ในอนาคตจึงคํานวณกลับมาหาผลตอบแทนที่เราจะได้ จากราคาหุ้น ณ ตอนนั้นๆ หรือเราก็คํานวณหาจุดซื้อเพื่อกําหนดผลตอบแทนอย่างคร่าวๆ
แต่ถ้าเราต้องผลตอบแทนที่สูง เราควรเน้นการลงทุนไปที่หุ้นสามกลุ่มดังนี้คือ -หุ้นกลุ่มโตเร็ว -หุ้นกลุ่มฟื้นตัว -หุ้นกลุ่มวัฎจักร
หุ้นทั้งสามกลุ่มนี้ ถ้ามีการลงทุนถูกที่ถูกเวลา เราอาจจะได้ผลตอบแทนมากกว่า1เท่าภายใน1ปี แต่ถ้าราคาขึ้นมารับข่าวแล้ว ความเสี่ยงก็มีสูงมากขึ้นตามราคาหุ้นที่สูงขึ้น(แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้น ณ ตอนนั้นถูกหรือแพง) นักลงทุนที่เข้ามาทีหลัง จงอย่าโลภเกินความรู้ ควรศึกษาธุรกิจอย่างจริงๆจังๆ คํานวณมูลค่าของกิจการให้ออก จึงค่อยตัดสินใจว่าทําการลงทุนในตัวธุรกิจนั้นๆหรือไม่ และที่ราคาเท่าไหร่(คํานวณจากผลตอบแทนที่อยากจะได้) การเข้ามาลงทุนในช่วงที่ตลาดส่วนมากรับรู้ข่าวแล้วจะต้องใจเย็นและระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าผู้ค้นพบ เพราะถึงแม้ในระยะ1-2ปีข้างหน้า เรายังเห็นส่วนต่างราคาที่เหมาะสม มีอีกพอสมควร แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นในระยะสั้นจะลงไม่ได้ เพราะด้วยที่ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาอาจจะขึ้นมามากแล้ว การปรับฐานราคาอาจจะเกิดขึ้นได้เป็นระยะตามข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นๆ การลงทุนในหุ้นสามกลุ่มนี้ จึงมักมีทั้งคนได้และเสียในช่วงเวลา1-2ปีของราคาหุ้นที่กําลังปรับตัว โดยเฉพาะหุ้นฟื้นตัวและวัฎจักร แต่ถ้าเป็นหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพ ซึ่งมีเวลาเป็นเพื่อน กลยุทธ์การถือครองหุ้นยาวๆไปกับธุรกิจที่เติบโต จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อการลงทุนของเรา
-หุ้นพื้นฐาน หุ้นกลุ่มนี้จะสามารถเติบโตไปเรื่อยๆตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ การขยายตัวของธุรกิจสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวของมันเอง คนที่ไม่ชอบความเสี่ยงต้องการความมั่นคง ให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ โดยคํานวณผลตอบแทนที่ต้องการเปรียบเทียบกับPEในตลาดและคาดการณ์การเติบโตของเขา ถ้าราคาหุ้นยังแพงก็ให้รอ หาจังหวะซื้อตอนที่ราคาหุ้นถูกเทกระจาดจากนายตลาด ถ้าราคาหุ้นไม่แพงก็ซื้อและถือครอง กําไรที่คาดว่าจะได้ก็มาจากการเติบโตของบริษัทบวกเงินปันผลนั่นเอง
-หุ้นโตช้าและหุ้นทรัพย์สินมาก ผู้ซื้อหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้ จะต้องมีความอดทนในผลตอบแทนที่อาจจะแพ้ตลาดอยู่เสมอๆในช่วงตลาดที่เป็นขาขึ้น แต่หุ้นกลุ่มนี้จะมีเงินปันผล และ ราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง เป็นเบาะรองรับเวลาตลาดเป็นหุ้นขาลง ถ้าเรามีความพอเพียงแล้ว จะเกษียณชีวิตด้วยเงินปันผล และจะไม่ได้ติดตามเจาะลึกในผลประกอบการของบริษัท การแบ่งเงินลงทุนมาอยู่ในหุ้นโตช้าที่มีปันผลสูงๆ ก็น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดี ที่ปลอดภัยกว่าเราไปลงทุนในหุ้นที่ดี แต่มีPEสูงๆทั้งพอร์ต
ข้อเสริมควรจํา ***การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงคุณภาพเพื่อที่จะให้เราสามารถแยกเพชรพลอยออกจากกรวด เพื่อที่จะกําหนดค่าPEในอนาคตได้ว่า ธุรกิจนี้ในอนาคต หนึ่งปี สามปี ห้าปีข้างหน้าควรมีPEอยู่ที่เท่าไหร่***
***การวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณ เพื่อที่จะหาผลกําไรในอนาคตของธุรกิจที่เราศึกษา การมองเห็นธรรมชาติของธุรกิจจากปัจจัยเชิงคุณภาพ บวกกับ การเห็นงบการเงิน(ปัจจัยเชิงปริมาณ)ในอดีต ทําให้เราสามารถคํานวณผลกําไรในอนาคตของธุรกิจนี้ได้อย่างคร่าวๆ***
***การวิเคราะห์มูลค่าของธุรกิจ ถ้าหุ้นตัวนั้นอยู่ในกลุ่ม โตช้า โตเร็ว พื้นฐาน ผมจะใช้วิธีการคํานวณPEล่วงหน้า1-3-5ปีข้างหน้าตัวอย่างเช่น ธุรกิจA ตอนนี้มีราคา15บาท ด้วยการวิเคราะห์จุดอ่อน จุดแข็งในตัวธุรกิจ ธุรกิจประเภทนี้เป็นหุ้นเติบโต น่าจะสามารถเติบโตได้มากกว่า10เปอร์เซนต์ต่อปีได้ต่อเนื่องอีก5ปีในอนาคต จุดอ่อนของบริษัทนี้ที่ควรเฝ้าติดตามมีเรื่องงบการขยายกิจการ และจุดอิ่มตัวในอีก5ปีข้างหน้า วิเคราะห์อํานาจการต่อรองค่อนข้างสูง สามารถปรับราคาได้ตามราคาต้นทุน และ กระจายฐานลูกค้าค่อนข้างดี มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ประเมินรอบด้านแล้ว PEที่เหมาะสมในปีหน้าควรอยู่ที่12เท่า PEเหมาะสมในอีก5ปีข้างหน้าควรอยู่ที่10เท่า(คิดในเชิงปลอดภัย)หรือ12เท่า(คิดในเชิงรุก) EPSใน4ไตรมาสข้างหน้าคิดว่าได้กําไร2บาทต่อหุ้น ในอีก5ปีข้างหน้าเขาจะมีEPSอยู่ที่3.2บาท(ถ้าโต10เปอร์เซนต์ทบต้นต่อปี) ราคาหุ้นที่เหมาะสมในปีนี้อยู่ที่2คูณ12=24บาทต่อหุ้น และราคาหุ้นอีก5ปีข้างหน้าเหมาะสมอยู่ที่32-38.4บาทต่อหุ้น(ถ้าจะยึดค่าเฉลี่ยอยู่ที่35.2บาทต่อหุ้น) อัพไซด์ของหุ้นตัวนี้อยู่ที่60เปอร์เซนต์ใน1ปีข้างหน้า และเฉลี่ย5ปีประมาณ18.5เปอร์เซ็นต์ทบต้นบวกเงินปันผลที่จะได้ในแต่ละปี
ถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังนั้นไม่ได้อย่างที่คิด จะมีสาเหตุมาจาก 1.เราประเมินค่าPEที่สูงหรือตํ่าเกินไป 2.เราประเมินผลกําไรในอนาคตเขาผิด ซึ่งความผิดทั้งสองแบบนั้น ถ้าเรามีการฝึกที่สมํ่าเสมอ ไม่นานนักเราก็จะสามารถประเมินPEและผลกําไรของธุรกิจได้แม่นยํามากขึ้นตามประสบการณ์ที่สูงขึ้น***
***แต่ถ้าเป็นหุ้นกลุ่มวัฎจักรและหุ้นฟื้นตัว ผมจะใช้วิธีหาจุดกลับตัวจากภาพใหญ่ๆ หรือดูPB/Vเป็นหลักแล้วทําการเจาะวิเคราะห์ปัจจัยเชิงปริมาณประกอบเพื่อเลือกหุ้นที่จะลงทุน จากก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเป็นมือใหม่ควรหลีกห่างจากหุ้นวัฎจักรเพราะการประเมินPEที่ค่อนข้างเหวี่ยง จนมีคํากล่าวที่ว่า ถ้าซื้อหุ้นโภคภัณฑ์ ให้ซื้อตอนPEสูงๆและขายตอนPEตํ่าๆ และข้อที่สองการประเมินกําไรบรรทัดสุดท้ายค่อนข้างจะยาก เพราะNPMของธุรกิจประเภทนี้จะเหวี่ยงสูงมาก การประเมินผลกําไรในธุรกิจกลุ่มนี้ผมคิดว่าให้มองภาพใหญ่ๆและเจาะความต้องการในดีมานต์ซัพพลายให้ออก หาจุดซื้อในตอนอุตสาหกรรมนี้ใกล้ล่มสลายกันเกือบหมด ใช้ปัจจัยเชิงปริมาณค้นหาธุรกิจที่ต้นทุนตํ่าที่สุด และพร้อมในโอกาสการขยายกําลังการผลิตที่จะมาถึง การซื้อหุ้นกลุ่มนี้ควรดูค่าP/BVเป็นหลักมากกว่าค่าPE และควรจะขายเมื่อมีคนทั่วไปรับรู้ข่าวว่ากลุ่มธุรกิจนี้ฟื้นตัว ประกอบกับโบรกเกอร์และนายตลาดที่ประเมินPEให้อย่างสวยหรูโดยคิดว่า กําไรที่ดีในปีนั้นๆของบริษัทจะสามารรักษาให้คงอยู่ในระดับนี้ได้ตลอดไป ส่วนหุ้นฟื้นตัว จุดที่เลือกซื้อเหมือนกับเลือกซื้อหุ้นวัฎจักร เพราะหุ้นวัฎจักรก็หุ้นฟื้นตัวประเภทหนึ่งที่มีเป็นรอบๆตามธรรมชาติของธุรกิจ แต่หุ้นฟื้นตัวนั้นบางธุรกิจอาจจะกลายร่างเป็นหุ้นเติบโตจากการเปลี่ยนโครงสร้างของธุรกิจก็เป็นได้ เราก็ต้องมาประเมินPEของธุรกิจนี้ใหม่อีกครั้งหนึ่งในมุมมองของการประเมินโดยPEตามวิธีของหุ้นกลุ่มเติบโต***
***หุ้นกลุ่มสุดท้าย คือหุ้นทรัพย์สินมาก หุ้นกลุ่มนี้จะพิเศษอยู่ที่ บริษัทได้อมของดีๆไว้โดยการบันทึกทรัพย์สินไม่ตรงกับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุดของการวิเคราะห์หุ้นกลุ่มนี้คือ 1.ประเมินมูลค่าเหมาะสมของธุรกิจเมื่อผู้บริหารยอมปลดล๊อคทรัพย์สินนั้นออกมาจากงบดุลมาหางบกําไรขาดทุน(ถ้าปลดล๊อคจากงบดุลไปงบดุล เท่าที่เห็นตลาดจะไม่ค่อยตอบสนองรับข่าวสักเท่าไหร่) 2.ค้นหาตัวเร่งที่จะทําให้ผู้บริหารกระทําในข้อที่1. ถ้าเรายังมองไม่ออกในข้อที่2 ผมคิดว่าการซื้อลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ไม่น่าจะได้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีนัก เพราะโดยส่วนมากหุ้นประเภทนี้ในเมืองไทย กลุ่มผู้บริหารถือครองหุ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง(เกิน50เปอร์เซ็นต์) การเทคโอเวอร์ทั้งแบบเป็นมิตรและไม่เป็นมิตร จึงกระทําได้ค่อนข้างยาก การปลดล๊อคในทรัพย์สินจึงอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยใน10ปีข้างหน้า ผลตอบแทนของเราที่ไปคาดหวังในส่วนนี้จึงอาจจะได้แค่ผลตอบแทนที่เขาหากําไรได้ในแต่ละปีเท่านั้นเอง*** ภาคสาม ปัจฉิมบท
ถ้าเรายังอยู่ในทางโลก เราไม่อาจปฎิเสธได้ว่า เงินคือปัจจัยสําคัญที่จะทําให้เราสามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย สองภาคแรกเป็นการปูทางให้ท่านหาขุมสมบัติที่ซ่อนอยู่ให้เจอ เพื่อสักวันหนึ่งท่านจะหลุดพ้นจากหนูปั่นจักร เป็นอิสระภาพทางการเงิน
Create Date : 08 กันยายน 2556 |
| |
|
Last Update : 8 กันยายน 2556 21:04:58 น. |
| |
Counter : 416 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
มหากาพย์ ไตรภาค / โดย นาย นริศ จิระวงศ์ประภา
มหากาพย์ ไตรภาค
โดย นาย นริศ จิระวงศ์ประภา
มหากาพย์ไตรภาค
ในโอกาสที่ผมได้รับการชักชวนจากทีมงาน THAIVI.ORG ให้เขียนอะไรก็ได้ที่อยากจะเขียน เล่าอะไรก็ได้ที่อยากจะเล่า โดยทางเวปจะนําไปลงใน thaivi weekly โดยสลับสับเปลี่ยนงานเขียนจากนักลงทุนหลาย ๆ ท่าน มาลงอาทิตย์ละ 1 ตอน สั้น ๆ เน้นว่าสั้น ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเรื่องเขียนหนังสือ อาศัยว่าเคยตอบกระทู้ก็พอรู้เรื่อง แต่จะให้เขียนเป็นเรื่องแล้วต้องเขียนสั้น ๆ ก็เห็นว่าคงจะยาก จึงทําให้ผมเกิดไอเดียในการถ่ายทอดความรู้ แนวคิด หลักการลงทุน ที่ผมมีอยู่ โดยการร่ายยาวเป็นซีรีส์ซะเลย (เห็นกําลังนิยมกันอยู่) และด้วยความยาว จึงขอแบ่งเป็น 3 ภาค โดยภาคที่หนึ่ง ผมอยากจะสื่อเรื่อง จุดเริ่มต้นของความสําเร็จ โดยเสนอแนวความคิดและการตัดสินใจที่ผมใช้ในการลงทุน ภาคที่สองคือแนวทางการปฎิบัติตามล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า เป็นการชี้ช่องทางและวิธีการที่ผมมักจะใช้เพื่อประมวลผลตัดสินใจลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และภาคสุดท้ายที่อยากจะเล่าคือปัจฉิมบท เป็นบทสรุปการดําเนินชีวิตที่สมดุลย์หลังมีอิสระภาพทางการเงิน
โดยวัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ เขียนมาเพื่อนักลงทุนมือใหม่ที่ยังค้นหาหนทางในการลงทุน เนื้อเรื่องในเล่มนี้ จะเน้นเรื่องชี้ช่องทางในการคิดและแนวทางปฎิบัติ เน้นการตอกเสาเข็ม วางรากฐานและเตรียมโครงสร้างไว้ ส่วนรายละเอียดความรู้ในเรื่องต่างๆ ที่นักลงทุนควรจะต้องมี ได้มีผู้เขียนที่ดีๆมากมายหลายเล่มได้เขียนไว้แล้ว ขอให้ผู้อ่านได้สนใจที่จะอ่าน และนําไปแต่งเติมบ้านในแบบที่ตนเองชอบนะครับ
และขอออกตัวก่อนว่า เนื้อเรื่องที่ผมนํามาเขียนนั้นหลายเรื่องก็อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่อง ครูพัก ลักจํา เอาของเขามายํามาโซ้ย ถ้ามีผิดพลาดตกหล่นประการใด หรือไม่เห็นด้วยเรื่องไหน ผมขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียวคร้าบ. ภาคที่1 กระบวนการแนวความคิด&การตัดสินใจ
ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คน คงเคยสงสัยในเรื่องเดียวกันกับผม ที่ว่า ในบรรดาผู้คนที่เรารู้จัก ทําไมหลาย ๆ คนถึงได้ดูราวกับว่าเขาเหล่านั้นประสบความสําเร็จในชีวิตอย่างง่ายดาย ทําอะไรก็ดูจะถูกที่ ถูกเวลาไปเสียหมด เข้าทํานอง คิดอะไรก็ใช่ ทํายังไงก็ถูก แถมยังถูกซํ้าแล้วซํ้าอีก จนบางคนสามารถประสบความสําเร็จในทางหน้าที่การงาน หรือบางคนก็สร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างรวดเร็ว กลายเป็นเศรษฐี หรือมหาเศรษฐีในเวลาไม่นานนัก แตกต่างกับบางคนที่มักจะผิดพลาดอยู่เสมอ ผิดที่ ผิด เวลา ชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ปัญหาอุปสรรคให้เสียจังหวะอยู่รํ่าไป เข้าทํานองตรงข้ามกันคือ ทําอะไรก็ผิด คิดอะไรก็พลาด อยู่ตลอด
แล้วอะไรเป็นสิ่งกําหนดชะตาชีวิต ที่ทําให้คนที่ประสบความสําเร็จ แตกต่างกับคนโดยทั่วไป ?
>>>บางคนอาจจะคิดถึงการศึกษาที่แตกต่างกัน
แล้วมันจะจริงหรือเปล่า
? เพราะอย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่ เศรษฐีในประเทศหลายท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัวเจริญ แห่งอาณาจักรไทยเบฟ เจ้าสัวเฉลียว แห่งค่ายกระทิงแดงที่รู้จักกันดี หรือแม้แต่เศรษฐีต่างประเทศอย่างบิล เกทส์ แห่งไมโครซอฟท์ หรือ สตีฟ จ๊อป แห่งแอปเปิ้ลแหว่ง ต่างก็เรียนไม่จบเหมือนกัน
>>>บางคนอาจจะคิดถึงพื้นฐานบุญเก่าที่สร้างสมมาดี ทําให้ได้อยู่ในที่โอกาสเหมาะสม เรียกว่าถูกที่ ถูกเวลาทุกทีไป
จริงหรือ
? เพราะเท่าที่ผมได้อ่านประวัติของหลาย ๆ ท่านที่ประสบความสําเร็จในชีวิต ชีวิตของบางท่านอาจถือได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์ หรือบางท่านต้องพบกับความยากลําบากในจุดเริ่มต้นของชีวิตที่อาจจะถือว่าติดลบด้วยซํ้า ถึงตรงนี้ หลายคน ก็คงคิดหาสาเหตุไปร้อยแปด
>>>พระเจ้าดลบันดาล
? >>>กรรมเก่ามาเอาคืน
? >>>หรือบางคนอาจจะคิดถึงทฤษฎีต่างประเทศที่ว่า Random Four Random Five หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ฟลุก อธิบายเป็นภาษาชาวบ้านได้ว่าเกิดจากการสุ่มของธรรมชาติที่ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวนั่นเอง
โดยส่วนตัวผมเอง ไม่คิดว่าเป็นไปตามหลักสุ่มสี่สุ่มห้า หรือฟลุกหรอกครับ
ผมคิดถึงสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้กว่าสองพันปีมาแล้วว่าทุก ๆ อย่างของผล ล้วนเกิดโดยมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่เกิด ล้วนมีเหตุอันเป็นที่มาของสิ่งนั้น หรือคุยกันง่าย ๆ ให้เห็นภาพว่าถ้าเราอยากได้ผลอะไร ก็ไปหาเอาได้ที่ต้นนั้นๆ เช่น ถ้าเราอยากกินมะม่วง ก็ควรไปหาที่ต้นของมะม่วง ไม่ใช่ไปที่ต้นของมะพร้าว ใช่ไหมครับ ในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราอยากรู้ผลในเรื่องอะไร เราก็ไปหาที่ต้นเหตุของเรื่องนั้นให้เจอ
..
แล้วต้นเหตุหล่ะมันหาอย่างไร มันอยู่ตรงไหน
?
พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสไว้อีกนั่นแหละว่า
ทุกๆอย่างเริ่มจากจิต หรือถ้าเป็นภาษาทางโลกอย่างที่ผมเข้าใจ คือ ทุกๆอย่างเริ่มต้นจากความคิด ผมจึงมองเห็นว่า คนกลุ่มนี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันค่อนข้างชัดเจน คือเรื่อง แนวความคิดและการตัดสินใจ
คนกลุ่มที่ประสบความสําเร็จในชีวิตนั้น จะผ่านการตกผลึกทางความคิด มีความสามารถในการคิดและตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตได้ ถูกมากกว่าผิด (โดยเฉพาะเรื่องสําคัญ ๆ) คนกลุ่มนี้ผมเชื่อว่า ขั้นตอนในการคิดของพวกเขาค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการเรียงลําดับความคิดอย่างเป็นระบบ และ มีที่มาที่ไปของความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งต่างกับคนอีกกลุ่มที่ไม่ค่อยประสบความสําเร็จในชีวิต ที่ตัดสินใจด้วยความคลุมเครือ ใช้สัญชาตญาณในการตัดสินใจเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็มักจะไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง ประกอบกับการตัดสินใจโดยสัญชาตญาณนั้น เมื่อคิดถูกในเรื่องใด ก็จะไม่รู้ว่าตนเองคิดถูกในเรื่องนั้นเพราะอะไร หรือถ้าตัดสินใจผิด ก็ไม่รู้ว่าต้นเหตุที่ตนผิดอยู่ตรงไหน(เห็นแต่อาการของความผิด) จึงไม่สามารถนํามาเป็นบทเรียนในการคิดหรือในการตัดสินใจในเหตุการณ์ทํานองเดียวกันได้อีกในครั้งต่อไป นั่นคือความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มนี้
ผมจึงอยากจะแยกแยะให้ทุกท่านได้เห็นกระบวนการคิดของคนเรา ซึ่งหลายท่านอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่เห็นมีอะไรแปลกใหม่เลย มีแต่เรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ หรือรู้มาตั้งนานแล้ว ก็ต้องขออภัยที่ผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ซึ่งผมคิดว่าจริง ๆ แล้ว สําหรับท่านที่รู้ ก็คงเป็นเพราะท่านเองก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบความสําเร็จในชีวิตนั่นเองครับ
ผมขอแยกแยะกระบวนการ หรือองค์ประกอบต่าง ๆ ของการคิดออกมา โดยขอเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจง่ายขึ้นในการทําความรู้จักกระบวนการคิดของพวกเรานะครับ
ผมคิดว่ากระบวนการคิดและตัดสินใจของคนเรา มีองค์ประกอบอยู่ 4 ส่วน
1. ฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จับต้องได้ ถ้าจะเทียบกับคนเราก็คงเป็นองค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกายจําพวกหู ตา จมูก ปาก เหมือนซีดีรอม คีย์บอร์ด จอภาพ ที่เอาไว้รับรู้ ตอบสนองและแสดงผล สมอง เหมือนซีพียู และฮาร์ดดิสก์ไว้เก็บข้อมูล &ประมวลผล โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าโดยปกติเราใช้ฮาร์ดแวร์ในร่างกายกันไม่เต็มที่ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ปกติ เคยเห็นว่ามีคนวิเคราะห์วิจัยพบว่ามีการใช้งานของสมองเพียง 5 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง และเท่าที่สังเกตุคนที่ประสบความสําเร็จในชีวิตส่วนมากก็ไม่ได้มี IQ หรือมีสมองที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน ดังนั้นโดยส่วนตัวผมจึงคิดว่า ฮาร์ดแวร์ เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง ที่มีความจําเป็นที่ ขาดไม่ได้เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าว่าความสําเร็จของคนขึ้นกับใครมีฮาร์ดแวร์ที่ดีกว่ากัน คนที่มีฮาร์ดแวร์พอใช้ได้ ผมคิดว่าก็สามารถจะไต่เต้าไปถึงจุดสูงสุดได้เช่นกันครับ
2. ซอฟต์แวร์ คือโปรแกรมที่สั่งให้ฮาร์ดแวร์ทํางาน หรือชุดคําสั่งที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อกําหนดให้ฮาร์ดแวร์มีการทํางานตามลําดับขั้นตอน ถ้าจะเทียบกับคนเรา อาจเป็นเรื่องของ แนวคิด กระบวนการคิด การตัดสินใจ ให้ทําอะไร เมื่อไร ที่ไหน หรืออาจเปรียบเสมือนแผนที่และเข็มทิศนําทาง ที่คอยบอกว่าจุดหมายที่ต้องการนั้นต้องไปทางไหน โดยส่วนตัวผมมองว่าจุดนี้เป็นจุดที่สําคัญมากๆจุดหนึ่ง ซึ่งหลาย ๆ คน ก็มักจะพลาดในจุดนี้ ชีวิตพวกเรามองจุดหมายที่คล้ายๆกัน เช่น ต้องการประสบความสําเร็จในการเลือกหุ้น ทุกๆคนคิดที่จะรวยจากหุ้นเหมือนๆกัน แต่ทําไมแต่ละคนได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก พวกเรามองแต่จุดหมายที่กําลังจะไป แต่กลับไม่ได้มาทบทวนตนเองว่า แผนที่นําทางของเรานั้นถูกหรือผิด ภาษาทางโลกกับทางธรรมใช้คําๆเดียวกันในเรื่องนี้คือคําว่า หลง แล้วสิ่งที่จะทําให้เรามองสิ่งต่างๆได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่หลงทางนั้นผมคิดว่า เราต้องมีแผนที่หรือแนวคิดที่ถูกต้องเสียก่อน ซึ่งผมขอยกเรื่องแนวคิดซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไว้คุยกันคราวหน้านะครับ
3. ดาต้าเบส หรือ ฐานข้อมูล ในอดีตต้องยอมรับว่า คนที่กุมข้อมูลข่าวสารนั้นได้เปรียบมาก ๆ ในตลาดหุ้น แต่ในปัจจุบันช่องว่างนั้นได้แคบลงไปมากแล้ว และกลับกลายเป็นยุคที่ข่าวสารข้อมูลท่วมท้นเสียมากกว่า คนที่จะประสบความสําเร็จในชีวิตได้ในยุคนี้ ไม่เหมือนเช่นในอดีตที่ใครมีข้อมูลมากกว่าคือผู้ชนะ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ชนะ คือผู้ที่สามารถคัดกรองข้อมูลได้ถูกต้องมากกว่า เพราะข่าวสารปัจจุบัน มีทั้งที่เป็นความเห็นและความจริง ผสมปนเปเป็นแกงโฮ๊ะให้เราต้องแยกกันเอาเอง ทั้งจากกูรูที่รู้จริงและกูไม่รูที่ไม่รู้จริง แถมยังมีกูรูที่มีผลประโยชน์แอบแฝงมาเบี่ยงเบนประเด็นไปเสียอีก
ในเรื่องนี้ ผมคิดว่าคนที่ประสบความสําเร็จ จะมีความโดดเด่นจากคนที่ไม่ประสบความสําเร็จ ด้วยเหตุผลในสองด้านคือ
-พวกเขาสามารถแยกแยะข้อมูลได้อย่างถูกต้องระหว่าง ความเห็นกับความจริง ของเหตุการณ์ที่กําลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
-พวกเขามองข่าวสารอย่างเป็นกลาง มองอย่างที่มันกําลังจะเกิดขึ้น ต่างกับคนที่พลาด ที่มองข่าวสาร ในมุมอย่างที่เขาคิดไว้ก่อน และเห็นมันในทางที่พวกเขาอยากจะเห็น ไม่ใช่มองเห็นอย่างที่ความจริงกําลังจะเป็น
4. Bug & Virus ถ้าแปลกันจริง ๆ ผมคิดว่าจะยิ่งงง ขอทับศัพท์เลยนะครับ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขัดขวางการทํางานของฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ทําให้แต่ละส่วนทํางานไม่ประสานกัน หรือ ทําให้เราคํานวณผิดพลาดจากความเป็นจริง ถ้าเปรียบเทียบเป็นตัวเรากับการลงทุน Bug และ Virus คงเปรียบได้กับกิเลส 3 ตัว คือ
ความกลัว ความโลภ และ ความหลง
กิเลสทั้งสามนี้จะทําให้ การคิด การอ่าน การประเมินผล ของเรานั้นไม่ตั้งอยู่บนหลักของเหตุและผล ซึ่งในการลงทุน ถ้าเราต้องการตัดสินใจให้ถูกต้องด้วยเหตุที่เราคิด ใตร่ตรองอย่างรอบคอบไว้แล้วว่าผลที่จะเกิดตามมานั้น เป็นผลดีอย่างแน่นอน(แผนที่ถูกต้อง) เราก็ควรจะมองกิเลสทั้งสามให้ออก คนที่ประสบความสําเร็จในด้านการลงทุน เขาเหล่านั้นมองเห็นกิเลสที่กําลังก่อขึ้นในใจตนเอง เขาเลือกที่จะมองและพิจารณาไปที่กิเลสทั้งสามเสมือนว่านั่งดูหนัง และเข้าใจว่าสิ่งที่เห็นนั่นคือบทบาท หรือเหตุการณ์ที่ดําเนินไปในเรื่อง เขาสามารถรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ตนเอง ว่าเกิดขึ้นจากอะไร และไม่ปล่อยให้การกระทําของตนเองคล้อยไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามเหตุการณ์ในขณะนั้น และตัดสินใจทําสิ่งต่าง ๆ ด้วยเหตุผล ที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหตุการณ์หรือนายตลาดดูเหมือนจะไม่มีสติครับ นักลงทุนมือหนึ่งของโลก อย่างเช่น วอเรน บัฟเฟตต์ จึง กล่าวไว้ว่า ถ้าเราอยากประสบความสําเร็จในชีวิตการลงทุน จงลงทุนแบบสวนกระแส อย่างคัดสรร
เราย้อนกลับมาที่หลายๆท่านอาจจะยังสงสัยเรื่องที่ผมได้เกริ่นก่อนหน้านี้ไว้ว่า ทุกๆอย่างเริ่มต้นจากความคิด
หลาย ๆ ท่านยังอาจจะแย้งอยู่ในใจ
..? อะไรจะขนาดนั้น
? แค่ความคิด จะมีผลขนาดนั้นได้อย่างไร
..?
ผมขอให้ท่านลองเปรียบชีวิตของเราเหมือนกับเราอยู่ใจกลางป่าใหญ่ เราต้องการที่จะกลับบ้าน มีทางเลือกให้เราเลือกไปอยู่หลายทาง ด้านหนึ่งเป็นเหวลึก ด้านหนึ่งเป็นหน้าผาสูงชัน อีกด้านหนึ่งเป็นป่ารก การจะเดินทางต่อไป บางคนก็เลือกที่จะปีนลงเหว เพื่อจะเดินลงไปหาแม่นํ้า บางคนก็เลือกเดินฝ่าเข้าไปในป่า เพื่อไม่ให้เสียเวลา บางคนก็เลือกที่จะปีนป่ายหน้าผาขึ้นไปยอดเขา เพื่อต้องการมองให้เห็นทิศทางที่จะต้องไปก่อน หรือบางคนก็ไม่กล้าตัดสินใจ ปล่อยเวลาไปกับการเที่ยวเล่น เตร็ดเตร่ ย้อนไปย้อนมา ไม่เลือกทางไหนสักทาง ซึ่งแต่ละด้านที่แตกต่างไปก็เปรียบเสมือนเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน
..ท่านเพียงแค่คิดว่าจะเลือกเดินทางใดทางหนึ่ง ความคิดนั้นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิตต่อไปในอนาคตของท่านเลย จริงไหมครับ
เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับมาไม่ได้อีก การเลือกเดินในเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งจึงเป็นเรื่องสําคัญ เพราะอย่างที่บอกว่านั่นเท่ากับเป็นการกําหนดจุดเริ่มต้นของเส้นทางชีวิต ซึ่งก็อาจหมายถึงจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันด้วยเช่นกันครับ
ประเด็นที่อยากให้ท่านสนใจนั้นอยู่ที่ท่านมีแผนที่ ที่สามารถทําให้ท่านเลือกทางเดินได้ถูกต้องแล้วหรือยัง ความคิดในการเลือกเส้นทางการลงทุน เปรียบเสมือนแผนที่นําทางการลงทุนให้ท่าน บางคนกว่าจะรู้สึกได้ว่าตัวเองเดินทางมาผิดทาง ก็ไกลโข เสียเวลาไปมากมาย หรือบางคนกว่าจะรู้ ก็อาจจะเสียเวลาไปเกือบทั้งชีวิตก็มี
ซึ่งมันเหนื่อยขึ้นอีกหลายเท่าเลยนะครับ เมื่อรู้ว่าที่เราเพียรทํามาทั้งชีวิต
มันผิดทาง
หลังจากที่เรารู้แล้วว่า แนวคิดสําคัญมากขนาดไหน ผมขอเสนอแนวคิดที่ผมได้ใช้เป็นแผนที่นําทางในการลงทุน สักสี่เรื่องพอหอมปากหอมคอ ดังต่อไปนี้นะครับ
แนวคิด การเล่นหุ้นคือการประกอบกิจการ
ก่อนอื่นต้องขอโทษคนส่วนมากที่เข้าใจแนวคิดในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ครั้นผมจะกล่าวถึงเรื่องอื่น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องที่เป็นหัวใจสําคัญที่สุดของการเป็นนักลงทุน ก็กระไรอยู่ ท่านที่รู้อยู่แล้วก็ผ่านบทนี้ไปได้เลยครับ ไม่น่าจะเป็นไร แต่ท่านไหนที่ยังไม่เคลียร์ ขอให้ท่านทําความเข้าใจในเรื่องนี้ให้อย่างถ่องแท้นะครับ เพราะอย่างที่ผมได้กล่าวไปเบื้องต้นว่า ถ้าท่านคิดจะเป็นนักลงทุนแนวVI(Value Investor) เรื่องนี้ถือว่าเป็นแกนหลักยึดเหนี่ยวการลงทุนทีเดียวครับ
ก่อนอื่นเรามาทําความเข้าใจในวิธีหาเงินกันก่อนนะครับว่ามีกี่รูปแบบและอะไรบ้าง ในเรื่องวิธีการหาเงินนี้ผมได้แนวคิดมาจากพ่อรวยเรื่องเงินสี่ด้าน ถ้าใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ซื้อมาอ่านดูนะครับ การแยกประเภทการหาเงินของเขามีอยู่สี่รูปแบบคือ
1.ลูกจ้าง=การหาเงินโดยใช้แรงกายเข้าแรก1ต่อ1 โดยไม่มีตัวช่วย อาชีพในกลุ่มนี้นับตั้งแต่คนขายแรงงานหาเช้ากินคํ่า ไปถึงดารานักฟุตบอลที่มีค่าตัวเดือนละหลายล้านบาท การหาเงินในกลุ่มนี้จะใช้เวลาของตนเองเข้าไปแลกกับเงินโดยตรง มีเงินเดือนที่ตายตัว ถ้าหยุดการทํางาน ก็ไม่ได้เงิน
2.เจ้าของกิจการ=การหาเงินโดยใช้แรงกายเข้าไปแลก แต่แตกต่างจากกลุ่มแรกคือ คนกลุ่มนี้เป็นเจ้านายของตนเอง ทํามากได้มาก ทําน้อยได้น้อย แต่ยังเหมือนกันอยู่อย่างคือ ยังต้องเป็นหนูปั่นจักร ถ้าไม่ทําก็ไม่ได้เงิน สังเกตกันดีๆจะเห็น ว่า คนที่เล่นหุ้นประเภทต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา เข้าข่ายคนกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าคนเล่นหุ้นจะมีตัวช่วยพิเศษในเรื่องของเงินเข้ามาช่วยเพิ่มความเร่งให้กับจักรอีกแรงหนึ่ง แต่ถ้าเขาหยุดเทรดเขาก็ไม่ได้เงิน
3.การหาเงินโดยใช้แรงกาย+แรงสมองเข้าแรก=กลุ่มนี้จะพิเศษกว่าคือจะมีส่วนของระบบและคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในบางส่วน ทําให้เขาสามารถหยุดการทํางานเป็นช่วงๆได้โดยเนื้องานไม่สะดุด หมายความว่าถึงแม้นคนกลุ่มนี้จะไม่ทํางาน แต่ยังสามารถมีรายได้และกําไรตราบเท่าที่ระบบและคนที่วางไว้ทํางานแทนให้ คนกลุ่มนี้มีส่วนน้อยนักที่สามารถพัฒนาองค์กรจนกระทั่งเหวี่ยงงูให้พ้นคอ ลอยตัวจากปัญหาของธุรกิจของตนเองได้ ส่วนมากถ้าองค์กรไม่ใหญ่พอ คนกลุ่มนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองที่ยังต้องขับเคลื่อนไปกับองค์กร ไม่สามารถหยุดงานได้เบ็ดเสร็จจริงๆ
4.การหาเงินโดยใช้แรงสมองเข้าแรกเพียงอย่างเดียว=คนกลุ่มนี้สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเอาแรงกายไปแรกเงินมา กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า นักลงทุนคนกลุ่มนี้จะลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ รวมไปถึง คนเล่นหุ้น อย่างเราๆท่านๆด้วย คนกลุ่มนี้จะใช้เงินให้ไปทําหน้าที่หาเงินแทนเรา ถ้าจะพูดในมุมมองของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หน้าที่นักลงทุนคือเลือกซื้อกิจการที่เราต้องการเป็นเจ้าของและคอยติดตามดูผลการดําเนินงานของกิจการเป็นระยะๆ
จะเห็นได้ว่า การลงทุน คือการให้เงินทําหน้าที่หาเงินแทนเรา ผมว่าทุกๆคนเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจในวิธีการ เอาเงินไปต่อเงินที่ไม่เหมือนกัน คนกลุ่มหนึ่งมองราคาหุ้นเป็นหลัก มองผลก าไรอยู่ที่ส่วนต่างของราคาหุ้น มองว่าท าอย่างไรจะขายให้แพงกว่าที่ซื้อมา โดยไม่มองว่าทรัพย์สินชิ้นนั้นมีราคาเท่าไหร่ ถ้ามองในมุมนี้จะคล้ายๆการเล่นแชร์ลูกโซ่ ใครเป็นไม้แรกก็รวยไป ใครจะมารับเป็นไม้สุดท้ายก็กินแกลบ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มมองว่า การลงทุนคือการเลือกซื้อกิจการในมูลค่าที่เหมาะสม และให้กิจการนั้นหาเงินให้แก่เรา คนกลุ่มนี้จะประเมินมูลค่าของกิจการให้ออกว่ามีมูลค่าเหมาะสมทั้งกิจการอยู่ที่เท่าไหร่ และทําการเปรียบเทียบกับราคาในตลาด ส่วนต่างของสองราคานี้จะเรียก Upside หรือ MOS(magin of safety)ก็ได้ครับ
ประเด็นสําคัญมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เราต้องใช้มันสมองเข้าแรกผลตอบแทนที่เราอยากจะได้ โดยการศึกษาธุรกิจที่เราจะไปลงทุนว่ามูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่เท่าไหร่ และซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่มันควรจะอยู่ให้มากที่สุด เมื่อเลือกได้แล้วก็เพียงแต่ซื้อแล้วถือเพื่อให้กิจการทํางานแทนเราจนกว่าธุรกิจเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือเราเจอบริษัทที่ถูกและดีกว่าจึงทําการขายธุรกิจเดิมเพื่อไปซื้อธุรกิจใหม่ ถ้าท่านบอกว่ารู้
แต่ว่าไม่รู้วิธีการประเมินมูลค่าของกิจการ หรือ รู้
.แต่เคยประเมินแล้วมันผิดพลาด หรือ รู้
.แต่มันยากและนานเกินไปในการศึกษา
จริงอยู่ว่ามันยาก และใช้เวลา เพราะผมเคยใช้เวลาถึงสองสามปีในการมองเห็นแนวทางการประเมินมูลค่าของกิจการอย่างชัดเจนและมั่นใจในแนวทางของตนเอง แต่ผมคิดว่าประสบการณ์ของผมที่นํามาเขียนหนังสือเล่มนี้ บางทีท่านอาจจะใช้เวลาเพียงสองสามวันในการอ่านและทําความเข้าใจ และนําไปฝึกฝนเพียงสองสามเดือนก็สามารถประเมินมูลค่าของกิจการที่ตนเองลงทุนได้อย่างคร่าวๆ เพียงแต่ท่านต้องยอมหงายแก้ว รองรับน ้าที่ผมจะรินใส่ในแก้วของพวกท่านนะครับ แล้วท่านจะรู้ว่า การเล้นหุ้น คือ การประกอบกิจการ จริงๆ
แนวคิดที่สอง เวลา
เกี่ยวกับเรื่องของเวลา ผมมีแนวความคิดอยู่หลายแนวทางครับก็ต้องขออนุญาต เล่าสู่กันฟังไปเรื่อย ๆ นะครับ อาจจะมีเนื้อนิด นํ้าหน่อย ผสมปนเป ก็ถือว่าอ่านนิยายแล้วกันนะครับ
เวลา ในความคิดผม สิ่งนี้เป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในการบริหารจัดการ หลายท่านที่มีความรู้มากกว่าผมอาจจะงง เพราะตําราเล่มไหน ๆ ก็กล่าวถึงเพียงแค่ 4M (Man, Money, Material and Management) เท่านั้นเอง แต่ผมอยากจะขอแถม Time หรือเวลาเข้าไปอีกอย่างครับ บางท่านอาจจะบอกว่าอยู่ใน Time Management ไงล่ะ ผมคิดว่าก็อาจจะเป็นอย่างนั้นในตําราบางเล่ม เพียงแต่ต้องขอยกออกมาให้ชัดเจน เพื่อให้ท่านได้เห็นความสําคัญของมันในเรื่องที่เราคุยกันอยู่ครับ เพราะการจัดการจะมีประสิทธิภาพที่สุด ก็ต่อเมื่อได้เนื้องานที่ต้องการ ในเวลาที่กําหนดเท่านั้น เช่นมีร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ทําอาหารได้อร่อยมากๆ แต่ทําอาหารออกมาจานละชั่วโมงก็คงไม่ไหว ไช่ไหมครับ
เคยมีคนกล่าวถึงเรื่องเวลาในมุมมองของธุรกิจไว้ว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เงินซื้อไม่ได้ เราได้เวลามาคนละเท่า ๆ กัน และที่สําคัญ เราได้มันมาอย่างจํากัดเสียด้วย เราจึงควรรบริหารจัดการมันให้ดีที่สุดในแต่ละวัน พูดง่าย ๆ ก็ใช้มันให้คุ้มค่านั่นแหล่ะครับ การใช้เวลาให้คุ้มค่าในความคิดของผม ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องใช้เวลาทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับงาน งาน งาน และงาน หรือต้องทําเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษเพื่อชดเชยเวลาอันจํากัด แต่การใช้เวลาให้คุ้มค่าในความคิดของผม จะหมายถึงให้ท่านพิจารณาถึง ผลที่ได้มาเมื่อเทียบกับเวลาที่ท่านกําลังเสียไปกับเรื่องนั้น ๆ มากกว่า
อย่างที่ได้คุยกันไปแล้วข้างต้น ถ้าท่านเลือกทางเดินผิดทาง ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เพียรพยายามมาตลอดกลับพาตัวท่านไปยังจุดหมายที่ไม่ต้องการ ท่านก็จะเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ นอกจากนั้นประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างทางยังอาจจะทําให้ได้ความเชี่ยวชาญที่ผิด ๆ มาเป็นของแถมอีกด้วย
ผมขอยกตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาอีกนิด เพื่อให้เห็นภาพ ไหน ๆ ตอนแรกก็เปรียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว เพื่อให้ต่อเนื่องก็ขอยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวนะครับ
ผมมีเพื่อนสองคนที่หลงในเทคโนโลยี ไอทีคอมพิวเตอร์ด้วยกันทั้งคู่ คนแรกตัดสินใจเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการศึกษา เรียนรู้ถึงกระบวนการต่าง ๆ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ คนที่สองเลือกเอาความลุ่มหลงและตอบสนองความต้องการด้วยการสรรหามาลอง ตอบสนองความสนุกในการใช้ เรียกว่ารุ่นไหนออกใหม่ ต้องมีหมด ทั้งไอแพด ไอโฟน ไปจนไอติม (ถ้ามันจะมี) จนเมื่อวันเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ๆ ท่านทั้งหลายก็คงเดาออก ทั้งสองคนมีความสุขกับเส้นทางที่ตนเองเลือกโดยที่คนแรกกลายเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีทักษะ มีความเข้าใจระบบการทํางานของเครื่องไม้เครื่องมือทั้งหลายอย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตเขาอาจจะเป็นคนที่คิดชุดคําสั่งหรือระบบอะไรสักอย่างให้กับเครื่องมือพวกนั้นด้วยซํ้าไป ในขณะที่คนที่สอง ก็จะมีอุปกรณ์จําพวกนี้แทบทุกรุ่น เก็บเป็นซากบ้าง เสียบ้าง มีความรู้ในการใช้อุปกรณ์แทบทุกชนิด แต่ไม่มีทักษะในการมองระบบทั้งระบบ และสุดท้าย เขาก็ยังต้องคาดเดา รอคอยว่าอะไรจะออกมาใหม่ และวิ่งไล่ตามให้ทันกับอุปกรณ์พวกนั้นอยู่ดี
สิ่งที่ผมอยากจะบอกในเรื่องนี้ก็คือ ท่านมีความสุขความพอใจกับเป้าหมายแบบไหน และท่านได้อะไรจากการเดินทางในเส้นทางสายนั้น คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปแค่ไหน เวลาที่เราเสียไปอยู่ทุก ๆ วันนี้ มันเพิ่มทักษะอะไรให้กับเราบ้าง และที่สําคัญทักษะนั้นสามารถพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ต่อยอดแนวความคิดของเราได้หรือไม่
เรื่องของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน การนั่งเฝ้าหน้าจอดูตัวเลข , ดูกราฟที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่ท่านเสียไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี หรือ 10 ปี
ท่านได้พัฒนาอะไรไปบ้าง เมื่อเทียบกับการใช้เวลาเท่า ๆ กัน ในการอ่านหนังสือกูรูหุ้น อ่าน 56-1 อ่านรายงานการประชุม ดูงบการเงิน วิเคราะห์รูปแบบธุรกิจ ในหุ้นแต่ละตัว แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
..ผมไม่บอก ท่านก็คงรู้ว่า บรรทัดสุดท้ายของชีวิตสองคนนี้ ว่าใครจะมีงบการเงินที่สวยกว่ากัน
แนวคิดที่ผมคิดว่าน่าสนใจอีกแนวหนึ่ง สําหรับเรื่องเวลา คงเป็นเรื่อง การบริหารจัดการเวลาอย่างเข้มข้นและมีตัวช่วย ครับ เพราะในขณะเราต้องการที่จะประสบความสําเร็จทางด้านการเงิน การลงทุน แต่ปัจจัยบางอย่างใน 4M ของเราอาจ มีไม่เท่ากับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ นั่นแปลว่าเราต้องให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการเรื่องเวลาให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หรือประสบความสําเร็จนั่นเองครับ เพราะอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้ว่าเวลาจะเป็นสิ่งเดียวที่หาซื้อไม่ได้ แต่เราทุกคนมีเวลาคนละเท่า ๆ กัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเรื่องของของปัจจัยข้อนี้ครับ
ก่อนที่ผมจะนําเข้าเรื่อง เวลา อีกครั้ง ผมขอพาท่านทั้งหลายรําลึกความหลัง เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ในเรื่อง เวลา ในเรื่องเก่าแก่นี้ บางท่านอาจจะนึกได้ไม่ยาก เพราะพึ่งจะได้ติวให้ลูกไปไม่นาน หรือบางท่านก็อาจจะนานนนนนนมาก เพราะลูกๆเรียนจบหมดแล้ว ฮา. แต่ผมคิดว่าคงพอนึกออกได้ไม่ยากหรอกครับ เพราะชื่อย่อหุ้นเกือบ500ตัวยังจําได้เกือบหมดเลยครับ ฮา.
เรื่องแรก น่าจะเป็นความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น ในบทแรงและการเคลื่อนที่ ที่กล่าวไว้ว่า แรงกิริยาเท่ากับแรงปฎิกิริยา แปลง่าย ๆ ก็ Action = Reaction นั่นล่ะครับความหมายของมันก็ไม่ซับซ้อน คือถ้าลงแรงกระทําเท่าไร ก็จะได้ผลลัพธ์ของแรงนั้นกลับมาเท่ากัน อ่านถึงตรงนี้อาจจะงง ตกลงว่าเกี่ยวกันตรงไหน เกี่ยวกันตรงที่ว่า ถ้าท่านทุ่มเทสนใจในการศึกษาพื้นฐานของกิจการมากเท่าไหร่ ท่านก็จะได้ความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นตอบสนองกลับคืนมามากเท่านั้นเช่นกันครับ ท่านอาจจะคิดว่ากฎข้อนี้ก็พื้น ๆ ไม่มีอะไรเด็ดๆเลย เอามาพูดทําไม
ผมว่าเราไปดูข้อถัดไปเพื่อหาตัวช่วยดีกว่า
เรื่องที่สอง คานและโมเมนต์ ที่พูดถึงการออกแรงที่น้อยแต่ได้งานที่มากกว่า
กฎข้อนี้ได้สอนเราในเรื่อง เราต้องหาจุดหมุน หาเครื่องทุ่นแรง ที่ทําให้เราออกแรงน้อยที่สุด แต่ได้งานมากที่สุด
..แล้วมันหมายความว่าไงล่ะ
เกี่ยวกันตรงไหน ยังไม่เห็นเข้าใจ
งั้นเราก็ไปดูกฎข้อสุดท้ายเลยแล้วกัน จะได้เข้าใจกันเสียที
เดี๋ยวท่านทั้งหลายจะว่าผมอ่านแต่ฟิสิกส์ เพราะฉนั้นเรื่องสุดท้ายอยู่ในวิชาชีววิทยาครับ เรื่องพันธุศาสตร์กับวิวัฒนาการ
เรื่องที่สาม การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต โดยอาศัยการสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ของธรรมชาติมีอยู่ 3 ประเภท
1.การขยายพันธุ์แบบการแบ่งตัว ก็ค่อย ๆ งอกจากตัวเดิมออกมาเป็นติ่ง ใหญ่ขึ้น ๆ แล้วก็หลุดออกมาดื้อ ๆ นี่แหละครับ จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ ทวีคูณไปเรื่อย ๆ มีพวกเชื้อรา แบคทีเรียเป็นตัวอย่างครับ
2.การขยายพันธุ์แบบการผสมพันธุ์ การขยายพันธุ์แบบนี้จะมีการถ่ายทอดพันธุกรรมจากเพศผู้กับเพศเมียไปหารุ่นถัดไปอย่างละครึ่งๆ คงไม่ต้องยกตัวอย่างใช่ไหมครับ ว่าเช่นอะไร
3.การขยายพันธุ์แบบผิดธรรมชาติ หรือการกลายพันธุ์ เป็นความผิดปกติของการขยายพันธุ์จากแบบที่1หรือ2 เกิดการนอกลู่นอกทางไม่อยู่กับร่องกับรอยเดิม นาน ๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง และมีโอกาสน้อยมากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ เช่น หวัด2009 คนมีเขี้ยวลากดิน หรือม้ามีปีก ใครนึกภาพไม่ออกลองหาภาพยนตร์เรื่อง X-MEN หรือ งานประชุมรัฐสภามาเปิดดูกันครับ ฮา.
แล้วไวรัส หรือ X-MEN มาเกี่ยวกับเรื่องของเวลาได้ยังไง
เริ่มโมโหแล้วนะเฟ้ย
บอกแล้วไงว่า จะมีทั้งเนื้อและนํ้าผสมปนเป ฮา. หลอกให้อ่านตั้งนาน อย่าเพิ่งโกรธกัน ผมจะเข้าเรื่องแล้วครับ ผมคิดว่าถ้าเราต้องการใช้เวลาให้มีค่าที่สุดในการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากความรู้พื้นฐานมัธยมที่หลอกให้อ่านมาข้างต้น ผมดึงมาใช้ได้แบบนี้ครับ
1. Action = Reaction ผลลัพธ์ เท่ากับแรงกระทํา เห็นด้วยไหมครับ เราจึงควรใช้เวลาในเรื่องนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หมายความว่า ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุนแนวVI เราต้องฝึกมองทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นการลงทุนแนวนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของใช้ตามตลาดสดจนกระทั่งซื้อบ้าน ให้รู้จักเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชนิดให้เห็นถึงความถูกความแพง
หรือ การใช้ของใช้ต่างๆก็ต้องรู้จักคิดในแนวVIคือใช้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย
หรือถ้าเราเจอข่าวอะไรก็ตามที่ผ่านมาในแต่ละวัน ให้เรานึกถึงผลกระทบที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต แรกๆก็จะไม่คล่องหรอกครับ สมองก็จะเป็นบื้อๆหน่อย เหมือนจีบสาวครั้งแรกนั่นแหล่ะครับ ถ้าคนแรกบื้อๆแล้วแห้วนะครับ คนที่สองสามสี่เดี๋ยวก็คล่องเองแหล่ะครับ ไม่เชื่อก็ถามพี่ porjai@thaivi ดูสิ ถ้าเราฝึกบ่อยๆ หัดมองในมุมของธุรกิจ และ มองทุกๆอย่างในแนวของ Value หรือมองคุณค่าในสิ่งของ สักวันหนึ่ง คําว่า VI มันจะอยู่ในสายเลือด และเมื่อถึงเวลานั้นคุณจะทําอะไร จิตใต้สํานึกมันจะสั่งการแบบแวลู ให้โดยอัตโนมัติครับ
2.คาน และโมเมนต์ แม้ว่าธรรมชาติได้ลงโทษผมให้เกิดมาไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เพื่อความสมดุลย์ ธรรมชาติจึงให้ผมเกิดมาท่ามกลางคนที่ฉลาดลํ้าลึกมากมายหลายคน แถมยังโชคดีได้เกิดมาในยุคที่การติดต่อสื่อสารสุดแสนทันสมัย ยุคที่สามารถรู้จักเพื่อนที่อยู่คนละทวีป(แต่กับคนข้างบ้านเราอาจจะไม่รู้จักกัน)..ฮา. ยังเถลไถลใส่นํ้าได้อีก
ข้อนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ผมเรียกว่าตัวช่วย ในแง่ที่ว่าถ้าผมต้องการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ถ่องแท้ด้วยตัวผมเอง ผมอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปีในเรื่องนั้นๆ แต่โชคดีที่ผมได้กูรูผู้รู้จริงแนะนํา จึงอาจเป็นการเบิกฟ้าเห็นตะวัน(บ้าหนังจีน) ให้กับผมได้ภายใน 15 นาที
ดังนั้นผมจึงอยากแนะนําให้ท่าน เรียนรู้จากคนหลายๆคน เปิดสมองเปิดใจให้กว้างเปรียบเสมือนเป็นแก้วที่ใส่นํ้าแข็ง พร้อมที่จะเทชาเย็น นํ้าเขียว นํ้าหวานใส่ได้เสมอ อยากได้นํ้าอะไร ก็ไปหาตู้กดนํ้าชนิดนั้น เช่นเดียวกัน ถ้าท่านอยากรู้เรื่องไหน ให้ไปหากูรูเรื่องนั้น ๆ ประสบการณ์ของคนหลาย ๆ คน ที่ลองผิดลองถูกมาทั้งชีวิต น่าจะเป็นตัวช่วยทางลัดที่จะทําให้เราใช้เวลาในการเรียนรู้สั้นลงไปเยอะเลยนะครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องหาให้ถูกคนนะ ถ้าผิดคนก็นรกเลยล่ะ เพราะดันไปปีนหน้าผาหรือกระโดดลงเหวที่ผิดด้านครับ
ถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะถามผมว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไปหาถูกคนหรือเปล่า
ผมคิดว่าเราไปดูข้อที่สามกันดีกว่า หลายท่านน่าจะเห็นคําตอบครับ
3.การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต (หรือการอยู่รอดของนักลงทุน) มีอยู่สามทาง
ทางแรก การขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งตัว คือพวก copy paste แบ่งเซล
เอาไปซะทุกอย่าง ผิด ๆ ถูก ๆ เขาให้มา ก็เอาไปหมด คิดเองก็ไม่เป็น โอกาสของคนกลุ่มนี้ในตลาดหุ้น ก็ทําได้แค่เพียงเท่าๆกับดัชนี บางคนก็เถียงว่า ขอเป็นเหาฉลามที่ถูกตัว เกาะไปเรื่อยๆ ก็รวยได้
..ผมก็ขอให้บุญเก่าที่ท่านได้สะสมมาในอดีตชาติ เป็นแรงผลักดันทําให้ท่านได้เกาะฉลามให้ถูกตัวถูกที่ถูกเวลาแล้วกันนะครับ
..แต่ถึงแม้นบุญเก่าทั้งจะมากโข ผมก็ยังไม่แนะนํา เพราะท่านต้องพึ่งเขาอยู่ตลอดเวลา
.เชื่อใจเขาได้แค่ไหนกัน
.ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อเขาจนสามารถทําให้เขากลัวตัวสั่น จนเวลาเขาจะซื้อหรือจะขายต้องแจ้งให้ท่านทราบก่อนทุกครั้งหรือเปล่า
.จะใช่หรือไม่ใช่ ผมก็คิดว่าอย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ
ทางที่สอง กลุ่มนี้จะไม่เอามาทั้งหมดเหมือนกลุ่มแรก แต่จะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากพ่อ และ แม่ อย่างละครึ่ง โดยธรรมชาติจะเป็นตัวคัดเลือกให้ผู้ที่เข้มแข็ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ให้คงอยู่ต่อไป ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจะล้มหายตายจาก และสูญพันธุ์ไปในที่สุด ถ้าเปรียบการลงทุน เราต้องมองหารูปแบบพันธุกรรม หรือ นักลงทุนต้นแบบ ที่เขาสามารถอยู่รอดในตลาดมาอย่างยาวนาน แล้วทําการ copy , adjust and paste เป็นเทคนิคคล้าย ๆ R&D (Research and Develop) แต่เราไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาทําวิจัยหรือทดลองเอง แต่ใช้วิธีที่เรียกว่า C&D (Copy and Develop) อย่าคิดว่าผมเขียนให้อ่านสนุก ๆ ไปนะครับ เทคนิคนี้ สมัยนี้ใช้กันตั้งแต่นักเรียนทํารายงาน นักศึกษาทําวิทยานิพนธ์ ไปจนบริษัทข้ามชาติเชียวนะครับ
วิธีนี้ต่างกับวิธีแรกตรงที่ เราต้องคัดเลือกผู้ที่มีพันธุกรรมที่ดี ชนะในตลาดมาอย่างยาวนาน มาเป็นต้นแบบ พยายามมองทะลุไปหาพันธุกรรมที่ทําให้เขาสามารถขึ้นมาเป็นผู้นํา(มองหาเหตุว่าเขาคิดอย่างไร ปฎิบัติอย่างไร กับการลงทุน) เรียนรู้และสอบถามจากกูรูทั้งหลายเหล่านั้น นําความคิดเหล่านั้นมาตกผลึกให้เป็นแนวความคิดของเราเองให้ได้ แล้วจึงนําไปต่อยอด ทดลองปฎิบัติในตลาดสไตล์การลงทุนของเรา
สาเหตุที่เราต้องทําอย่างนี้เพราะ พวกเขาเหล่านั้นได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า พวกเขามีแนวทางที่ถูกต้อง ที่เขาสามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมในอดีตมาอย่างยาวนานได้อย่างดีเยี่ยม
แล้วกลุ่มคนเหล่านั้นคือใครครับ
หาได้ที่ไหนช่วยบอกที
..ผมแนะนําให้ไปหาที่นี่เลยนะครับ //www.thaivi.org กลุ่มคนเหล่านี้ เรียกตนเองว่า เป็นนักลงทุนเน้นหุ้นคุณค่า(Value Investor) ที่เราๆท่านๆได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ว่าจะเป็นต้นตําหรับ บิดาของชาววีไอคือ ปู่ทวดเบนจามิน เกรแฮม, ปีเตอร์ ลินซ์, วอเรน บัฟเฟตต์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์, อาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร , อาจารย์ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา, พี่หมอบํารุง ศรีงาน , พี่chatchai@thaivi , พี่พรชัย รัตนนนทชัยสุข, พี่มนตรี@thaivi , พี่วิบูลย์@thaivi , คุณลูกอิสาน@thaivi , คุณIH , คุณyoyo ,คุณblueblood ,คุณpicatos และอีกเยอะแยะมากมายที่ถ้าให้ผมเขียน คงจะเขียนได้อีก1หน้ากระดาษ คนกลุ่มนี้ประสบความสําเร็จในตลาดหุ้น ในแนวทางนี้ คนกลุ่มนี้เสกเงินหมื่นเป็นร้อยล้านบาทได้ถ้ามีเวลามากพอ แล้วท่านคิดว่าท่านจะเลือกใครไปเป็นต้นแบบดีครับ
ส่วนผมนั้นมีต้นแบบในใจแล้วครับ
อย่างที่สาม พวกกลายพันธุ์ หลายท่านที่ได้ดู x-men คงจะชอบ ถ้าเราสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์แปลกๆ เช่น หายตัวได้ หรือ มีพลังจิตอ่านใจคนเป็นต้น แต่ในความเป็นจริงของสิ่งมีชีวิต ความน่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์แล้วสามารถมีชีวิตอยู่รอดโดยปกติ น่าจะเป็นสักหนึ่งในล้าน และยิ่งถ้าสามารถกลายพันธุ์แล้วประสบความสําเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ ความน่าจะเป็นยิ่งจะน้อยกว่ามากๆๆ
ผมจึงคิดว่า ถ้าท่านไม่ได้มีไอคิวที่เป็นเลิศ หรือคิดว่าตนมีสิ่งพิเศษที่เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว ผมคิดว่า เราไม่ควรแสวงหาหนทางการลงทุนที่แปลกๆ ที่คนส่วนน้อยที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นจึงจะประสบความสําเร็จ
ผมจึงคิดว่าถ้าท่านไม่อยากเสี่ยงกับเงินของท่านเพื่อแลกกับคําว่า ผู้ค้นพบหนทางใหม่ เช่นโคลัมบัส ท่านก็ไม่ต้องไปค้นหาหนทางเดินใหม่ที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่านั่นคือหนทางที่ถูกต้องในระยะยาวดีกว่าครับ
.เชื่อ ผม เต๊อะ
บทเรียนแนวคิดเรื่องที่สาม
.เรื่องธรรมะกับการลงทุน
ผมยอมรับโดยดุษฎีว่า ทุกๆวันนี้ที่ผมเอาตัวรอดในตลาดหุ้นได้อย่างภาคภูมิใจนั้น แนวคิดส่วนมากของผมนั้น เอามาจากหลักคําสั่งสอนของพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็น การพิจารณาทุกๆอย่างเป็นเหตุและผล(อิทัปปัจจยตา) เรื่องจะเราทําสิ่งต่างๆให้ประสบความสําเร็จควรทําอย่างไร (อิทธิบาท4 และ พละ5) หรือแม้กระทั่งเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน ผมก็นําคําสั่งสอนทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้เช่นเดียวกัน
เรื่องธรรมะนั้นไม่เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ จึงค่อนข้างจะเข้าใจได้ยาก แต่ส่วนตัวผมคิดว่าในบทนี้ค่อนข้างเป็นหัวใจสําคัญในการเปลี่ยนแนวความคิดสําหรับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าของผมเอง จึงอยากให้ทุกๆท่านที่อ่าน ค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ และนํามาพิจารณากับความเป็นจริงที่เกิดกับประสบการณ์ของท่านเอง เพื่อความ เข้าใจ ในหลักการ คําสั่งสอนของพระพุทธเจ้าครับ
อิทัปปัจจยตา คําๆนี้เป็นแก่นหลักคําสอนของพุทธศาสนา ซึ่งผมนํามาเป็นแกนกลางโครงสร้างการลงทุนของผมเช่นเดียวกันครับ คําๆนี้แปลได้ว่า
เมื่อมีเหตุ ย่อมมีผล เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อดับเหตุ ผลก็ย่อมดับตาม
คนที่ประสบความสําเร็จในชีวิตทุกคน ล้วนมีเป้าหมาย(ผล) ในชีวิตทั้งสิ้น และที่สําคัญคนเหล่านี้พอเห็นเป้าหมาย(ผล) ที่จะไปคว้ามา เขาจะค้นหาเส้นทางที่เขาจะต้องเดิน(มองหาเหตุที่ทําให้เกิดผล) และเดินตามทาง(สร้างเหตุให้เกิด) นั้นๆ โดยไม่ลดละความพยายาม เพื่อให้ได้ผลตามที่เขาต้องการ
ในเรื่องนี้ คุณหมอทั้งหลายค่อนข้างจะได้เปรียบวิชาชีพอื่นๆ ที่เขาจะเข้าใจกฎในข้อนี้อย่างชัดเจน เพราะทุกๆครั้งที่เขาได้วินิจฉัยโรค เขาได้มองข้ามผล (อาการของโรค) มองทะลุไปหาเหตุ(วินิจฉัยหาโรคที่กําลังเป็นอยู่) และคุณหมอที่เก่งๆ เขายังสอบถามพฤติกรรมต่างๆ เพื่อหาต้นเหตุจริงๆที่ทําให้เกิดโรคนั้นๆ จะเห็นว่า โรคคราวนี้กลายเป็นผลที่เกิดขึ้น ส่วนต้นเหตุจริงๆ กลายเป็นที่มาของการเกิดโรค
.ซึ่งถ้าคุณหมอรู้ถึงต้นเหตุที่สร้างโรค เขาอาจจะแนะนําวิธีป้องกันโรคไม่ให้โรคนั้นกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ในเรื่องการลงทุน คงจะปฎิเสธไม่ได้ว่าเราต้องการผลคือการได้กําไรจากการลงทุน
.หรือพูดง่ายๆชาวบ้านๆคือ ถ้าเราซื้อหุ้น1บาท เราก็อยากให้มันขึ้นไป2บาท5บาท10บาทใช่ไหมครับ
.ตอนนี้เรารู้แล้วว่าราคาหุ้นคือผล เราก็ต้องมองย้อนไปหาเหตุกันดีกว่า เพื่อที่จะได้เดินตามเหตุนั้นๆ
..
เท่าที่ผมสังเกตุ แนวทางการลงทุนใหญ่ๆในตลาดบ้านเรานั้น มีสามแนวทาง ให้นักลงทุนเลือกหยิบจับมาใช้ และมักจะถกกันว่าแนวทางแบบใดเหมาะสมกับตลาดบ้านเราที่สุด วันนี้ในเมื่อผมเป็นวีไอ ผมจึงขอมองสไตล์ของผมที่ใช้หลักเหตุและผลมาอธิบาย เพื่อหาต้นเหตุแห่งความรวย ถ้าจะไปขัดใจนักลงทุนกลุ่มอื่น ก็ขออภัยด้วยนะครับ
1 แนวทางทางเทคนิค(ว่าด้วยเรื่องการอ่านกราฟ)
แนวทางนี้จะสอนหลักการ เรื่องความเป็นไปได้ของราคาหุ้นในอนาคต จากค่าสัญญาณต่างๆที่ผ่านมาแล้วในอดีต ซึ่งคนส่วนมากในตลาด ได้นิยมชมชอบในแนวทางนี้ จึงทําให้หุ้นหลายๆตัว ที่คนกลุ่มนี้กระทําการซื้อขาย มีแนวรับ แนวต้าน เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด(ในระยะสั้น)
หัวใจบทสรุปบรรทัดสุดท้าย ของคนกลุ่มนี้คือ สัญญาณซื้อ และ สัญญาณขาย หลายๆครั้งที่ผมได้ฟังแนวทางนี้ตามสื่อต่างๆดูเหมือนจะทําได้ง่ายและดูดี (โดยเฉพาะเวลาที่นํามาสอน หรืออบรมวิธีดูกราฟ เขามักจะเลือกเอากราฟตรงที่มันใช่ มาให้ดู) แต่เวลาที่ผมจะนําไปปฎิบัติจริงกลับเจอจุดอ่อนตรงที่ค่าต่างๆในอดีต(ที่โชว์ให้เห็นเป็นกราฟและสัญญาณต่างๆ)มันเพียงเป็นแค่ ผล ของสิ่งที่มันได้ผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถเชื่อมั่นต่อผลนั้นได้ในระยะยาว เพราะ ผล ของกราฟ จะแปรเปลี่ยนได้ค่อนข้างเร็ว เช่น มีการสอนไว้ว่า ถ้าชนแนวต้าน ไม่สามารถทะลุได้ เราควรจะขายหุ้น เพื่อกลับมารับหุ้นใหม่ตรงแนวรับ แต่ถ้ามันทะลุแนวต้าน(ตรงที่เราเพิ่งจะขายนั่นแหล่ะ) ให้ซื้อตาม เพราะแนวต้านจะกลับไปเป็นแนวรับ โดยปริยาย แต่ปัญหาที่ผมได้เจอ คือมันมักจะวกกลับ สลับขาหลอกเราให้ซื้อๆขายๆอยู่เสมอๆ
ทําให้คนบางคน ศึกษาเรื่องกราฟแล้ว ก็ยังคลางแคลงใจในเรื่องนี้อยู่ เพราะเขาคิดว่ากราฟสามารถจัดแต่งได้ จากคนบางกลุ่มที่มีกําลังเงินมากพอ บางคนจึงเริ่มมองหา ต้นเหตุ ต้นตอของกราฟ นั่นก็คือ แหล่งที่มาของเงินที่จะไหลเข้ามากระทําต่อรูปของกราฟให้เป็นไปอย่างที่ เจ้ามือ ต้องการให้เป็น เรามาดูกันต่อครับว่า เหตุ ของกราฟคือ เจ้ามือ นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร
2แนวทางทางฟันโฟลว์(ว่าด้วยเรื่องการไหลของเงิน)
แนวทางการไหลของเงินนี้ ค่อนข้างเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนพอสมควร มีหลักการและทฤษฎีค่อนข้างจับต้องได้ ได้มากกว่าการอ่านกราฟ หัวใจของคนกลุ่มนี้คือ การไหลของเงินที่จะไหลจากทรัพย์สินที่ผลตอบแทนตํ่าไปหาทรัพย์สินที่มี ผลตอบแทนสูง แนวทางนี้มีกูรูระดับโลกเช่น จอร์จ โซรอส ผมไม่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่ผมก็มีมุมมองในแบบฉบับไทยๆ ขอแบ่งหุ้นออกมาเป็น3กลุ่ม ตามประเภทของ เจ้ามือ (ฟันโฟลว์) นะครับ
2.1 หัวหน้าใหญ่ของตลาดบ้านเราคงจะหนีไม่พ้น กองทุน และ ต่างชาติ เจ้ามือสองกลุ่มนี้ค่อนข้างมีหน้าตักที่ใหญ่ จึงเลือกที่จะเล่นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง และ ตัวใหญ่ๆในตลาด มีหลายๆท่านที่ชอบคาดเดาการซื้อขายหุ้นของเจ้ามือกลุ่มนี้ โดยดูจาก
-การซื้อขายของnvdr -ดูสรุปการซื้อขายรายวันของกลุ่มต่างๆ -ดูอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของแหล่งต่างๆ -ดูจากสัญญาณของค่าเงิน -ดูช่วงจังหวะของพันธบัตรต่างๆที่จะหมดอายุ -ดูราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักๆในตลาด
โดยคนกลุ่มนี้มีหลักการว่า กระแสเงินจะต้องไหลไปหาทรัพย์สินที่พวกเขาคิดว่าความเสี่ยงตํ่าที่สุด และได้ผลตอบแทนสูงสุด ในช่วงเวลานั้นๆ
ตลาดหุ้นในเมืองไทยก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะมีเงินกระจายเข้ามาเป็นรอบๆ จากการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินของชาวต่างชาติ ถ้าใครบางคนพอจะมองทิศทางของเงินที่จะไหลเข้าจากต่างชาติได้
โดยซื้อดัก ในหุ้นตัวใหญ่ๆ สภาพคล่องสูงๆที่กลุ่มนี้นิยมชมชอบ และ ขายตามนํ้า ถ้ามีสัญญาณว่าต่างชาติจะออกของ
นักลงทุนกลุ่มนี้ก็มีโอกาสที่จะทํากําไรได้เช่นเดียวกัน
แต่ผมว่าการพึ่งจมูกคนอื่นหายใจนี่มันคงทรมานน่าดู แถมเดี๋ยวนี้ธุรกรรมยิ่งซับซ้อนมีทั้งช๊อตเซลรายตัว รายกลุ่ม มีทั้งฟิวเจอร์ มีทั้งอนุพันธ์ทวีคูณความโลภ เอากันให้นัวเนีย ยิ่งดูยิ่งปวดหัว ยิ่งดูยิ่งอ่านไม่ขาด แต่พอหวยออกที ก็รู้งี๊
.ยั๊วเยี๊ยะ เต็มตลาด คนที่มีความสามารถรอบรู้และมีข้อมูลที่ครบครันในเรื่องนี้ผมว่าน้อยเต็มที ความรอบรู้และไอคิวแบบผมคงจะไม่สามารถในเรื่องนี้ ผมจึงคิดว่า เราควรทําในสิ่งที่ง่ายกว่าคือ ไปหาต้นเหตุของราคาหุ้นจริงๆจะดีกว่ามาเสียเวลาเดาผลที่จะเกิดขึ้นจากเจ้ามือกลุ่มนี้ครับ
2.2 เจ้ามือของสายนี้ค่อนข้างโหด แนวคิดของคนกลุ่มนี้ คิดว่าตลาดคือ
. zero sum game หมายความว่าการที่เขาจะทํากําไรจากตลาดหุ้นได้ เขาต้องล้วงเงินนั้นมาจากกระเป๋าของคนอื่นเท่านั้น หมายความว่าเขาต้องเป็นคุมเกมในหุ้นตัวนั้นๆ เป็นเจ้ามือทุบ/ปั่นหุ้น โดยการทุ่มเงินเข้ามาพร้อมกับปล่อยข่าวเพื่อที่จะให้เกิดแรงโมเมนตั้มตามมาภายหลัง
สายนี้ถ้าใครรู้ข่าวต้นตอก่อน ก็รวยไป ใครเข้ามาทีหลังก็ได้เที่ยวยอดดอย หรือ ขายก้นเหวเป็นประจํา แต่การควบคุมเกมของคน กลุ่มนี้ ผมคิดว่า ถ้าเจ้ามือไม่ใช่คนที่สามารถควบคุมตกแต่งบัญชีงบการเงินได้ เขาก็จะสามารถควบคุมราคาหุ้นได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เพราะในที่สุด ผลประกอบการในระยะยาวก็จะเป็นตัวชี้วัดว่ามูลค่าของกิจการว่า ควรอยู่ที่เท่าไหร่ ทําให้เจ้ามือก็ไม่กล้าฝืนกระแสของมวลชนเช่นกัน
2.3 หุ้นส่วนมากในตลาดจะเข้าข่ายในข้อนี้ คือมี นายตลาด เป็นเจ้ามือ ราคาหุ้นที่ขยับขึ้น/ลง เกิดจากนายตลาดในขณะนั้น กําหนด ดีมานต์/ซัพพลาย ขึ้นมา มีบ่อยครั้งที่ราคาหุ้นขยับขึ้น/ลงอย่างรวดเร็ว ก็เกิดมาจากคนกลุ่มนี้มีการซื้อ/ขายพร้อมกัน จากข่าวสารที่ได้รับ เสมือนหนูเรมมิ่งที่ไปไหนไปด้วยกัน
.บางครั้งก็ทําให้หลายๆท่านไปยืนหนาวเหน็บอยู่บนยอดดอยได้ แต่บางครั้งเมื่อเวลาผ่านไป
..ยอดดอยบางแห่งก็กลับกลายไปเป็นหุบเขาก็มี หรือ หุบเขาที่ถูกนายตลาดเทกระหนํ่าซัมเมอร์เซล ชนิด เสมือนบริษัทใกล้จะเจ๊ง ก็กลับดีดตัวขึ้นไปอยู่ปลายฟ้าก็เจอมาแล้ว
..ทั้งหมดที่ควบคุมราคาหุ้นให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมในระยะยาว ก็ไปอยู่กับคําตอบต้นเหตุเหมือนเดิมคือ มูลค่าของกิจการที่มันควรจะอยู่นั่นเอง
3แนวทางการเลือกหุ้นเน้นคุณค่า(ว่าด้วยหลักการเปรียบเทียบมูลค่าของกิจการกับจํานวนเงินที่จ่ายออกไป) เหตุ ที่อยู่เหนือการควบคุมของเจ้ามือทั้งสาม คือ มูลค่าของกิจการ เราในฐานะเป็นนักลงทุน จะต้องพิจารณาปัจจัยทั้งสองด้านประกอบการซื้อขายหุ้นคือ
1.มูลค่าของกิจการที่ควรเป็นอยู่ 2.ราคาซื้อขายของนายตลาดขณะนั้น
ในเรื่องแนวทางการคัดเลือกกิจการ และการประเมินมูลค่าของกิจการ ถือว่าเป็นหัวใจสําคัญ และเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ผมขอยกยอดไปคุยกันในภาคที่สองนะครับ ในบทนี้อยากจะสื่อถึงแนวคิดในเรื่องอะไรคือเหตุ อะไรคือผล ของราคาหุ้น ซึ่งก็คงจะสรุปได้ว่า คุณค่าของกิจการทั้งหมด เป็นต้นเหตุ
ส่งผลให้บ.มีกําไรมากหรือน้อย
ระยะยาวจะส่งผลให้การไหลของเงินเข้าหรือออกในกิจการนั้นๆ
และสุดท้ายก็ส่งผลเป็นกราฟให้พวกเราเห็นอดีตที่ผ่านมาครับ
ถ้าเราต้องการหาเหตุในเรื่องนี้(เพื่อจะรวย)ก็เพียงศึกษากิจการที่เราลงทุนให้มากที่สุด ประเมินมูลค่าของกิจการออกมา เอาไปเปรียบเทียบกับราคาที่นายตลาดเสนอให้ เพื่อคํานวณผลตอบแทนที่เราจะได้รับ
..จริงอยู่ว่าการประเมินมูลค่าของกิจการไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็เป็นหนทางเดียวที่เราจะรู้ว่าราคาหุ้นที่เหมาะสมในตอนนี้ มันควรอยู่ที่เท่าไหร่
จุดอ่อนเดียวที่ผมเห็นในการสร้างกรรมรวยทางนี้คือ เราคิดผิด ประเมินมูลค่าของกิจการไม่ถูกต้อง ซึ่งหมายความว่า ทุกๆอย่างที่เราตัดสินใจไปนั้น มีเหตุมาจากตัวเราทั้งสิ้น และถ้าเรารู้ว่าเราคิดถูกหรือคิดผิดตรงไหน เราก็สามารถพัฒนาความคิดของเรา ให้ หาปลาเป็นเอง และ จับปลาเก่งขึ้น ในอนาคตครับ และในบทต่อๆไปผมจะเล่าให้ฟังถึงวิธีลัดในการจับปลาให้ฟังครับ
สตีฟ จ๊อบ เคยกล่าวในงานปัจฉิมนิเทศน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งว่า ขอให้ท่าน เลือกงานที่ตนเองรัก แล้วท่านจะประสบความสําเร็จในชีวิต คํากล่าวนี้มีคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ว่านําไปปฎิบัติจริงกับวิถีชีวิตอย่างเช่นปัจจุบันได้ยาก แต่ผมกลับเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ผมคิดว่าที่สตีฟ จ๊อบ กล่าวนั้นคล้ายๆกับสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้เมื่อสองพันห้าร้อยปีที่แล้ว ซึ่งสรุปได้เป็นสามประเด็นดังนี้คือ
1.การที่เราจะทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ดี เราต้องเริ่มจากความชอบในสิ่งที่เรากําลังจะทําอยู่ก่อน เช่น คนที่จะมาเล่นหุ้น เขาก็ต้องคิดเป็นบวกในการลงทุนในหุ้น โดยอาจจะคิดว่าหุ้นทําให้เขารวยหรือเป็นอิสระภาพทางการเงินได้ เขาจึงเล่น(ลงทุน)หุ้น แต่สําหรับคนที่เขาไม่ชอบเรื่องหุ้น หรือคิดว่ามันคงจะทําให้เขาขาดทุน เขาก็คงจะเอาเงินไปลงทุนทางอื่นที่เขาเชื่อว่ามันใช่ หรือถ้าพูดถึงแนวทางการลงทุน เราก็ต้องเปิดใจ เชื่อในหลักเหตุและผล เชื่อในหลักการการลงทุนเน้นหุ้นคุณค่า 2.ถ้าเราได้ชอบในแนวทางใดๆแล้ว ความพยายามจะตามมาส่วนหนึ่งโดยอัตโนมัติ หน้าที่ของเราคือ เราต้องขับดันความพยายามที่จะศึกษาและค้นคว้าหาแนวคิดของนักลงทุนที่ประสบความสําเร็จให้มีอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ตกผลึกเป็นแนวความคิดของเราเอง สําหรับประมวลผลในขั้นต่อไป 3.เมื่อเราได้ข้อมูล แนวคิด แนวทางต่างๆเข้ามาเป็นดาต้าเบส เราต้องฝึก ประมวลผล ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลองคาดเดาหาคําตอบที่น่าจะเป็น และติดตามเฝ้าดูผลที่เกิดขึ้น ว่าตรงหรือไม่ตรงกับที่เราคาดคิดไว้หรือไม่ การกระทําบ่อยๆ ซํ้าแล้ว ซํ้าอีก เราจะเกิดทักษะ เกิดความรอบรู้(ปัญญา)ในเรื่องนั้นๆขึ้นมาโดยอัตโนมัติ เช่น ถ้าเราติดตามการเคลื่อนไหวของหุ้น10-20ตัวโดยกระจายทั้งหุ้นโตเร็ว หุ้นพื้นฐาน หุ้นวัฎจักร หุ้นฟื้นตัว หรือ หุ้นปั่น ติดตามพื้นฐานของกิจการเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งระยะสั้น-ระยะกลาง-ระยะยาว
การคิดและประมวลผลระยะแรกอาจใช้เวลามากพอควร แต่ถ้าเราหมั่นฝึกฝนลับสมองเราอยู่บ่อยๆก็การคิดรวบยอดของเราก็จะเร็วขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น เมื่อเราขับรถยนต์(รุ่นโบราณ ที่ใช้ครัช)ใหม่ๆ สมองเราต้องสั่งการ ก่อนสตาร์ท เขย่ากระปุกเกียร์ให้อยู่ตรงเกียร์ว่าง ให้เท้าซ้ายเหยียบครัช เท้าขวาเหยียบเบรก ต้องค่อยๆปล่อยครัชพร้อมกับเร่งคันเร่ง กว่าจะขับเป็น คนฝึกสอนเหงื่อตกไปหลายลิตรทีเดียว แต่ถ้าเราฝึกฝนจนชํานาญแล้ว หนังก็เป็นคนละม้วน สมองเราจะสั่งการโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัว หรือบางท่านอาจบอกว่ามันคือsix senseอธิบายไม่ได้ แต่ผมว่ามันคือ จิตใต้สํานึก ที่เกิดจากการฝึกฝน ประมวลผล และสั่งการอยู่ในรูปของ ปัญญา มากกว่าครับ
สิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้คือหลัก อิทธิบาท4
..อิทธิแปลว่าความสําเร็จ บาท แปลว่า ทาง อิทธิบาท4จึงแปลว่า ทางแห่งความสําเร็จ4ประการ คือ ฉันทะ(ความรักในสิ่งนั้นๆ) วิริยะ(ความเพียรพยายาม) จิตตะ(ความเอาใจใส่) และวิมังสา(ความไตร่ตรองจนเกิดปัญญา)
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากจะได้บอกถึงหนทางเดินแห่งความสําเร็จไว้แล้ว ท่านยังได้กล่าวถึง พละ5 แปลเป็นภาษาบ้านๆง่ายๆอย่างที่ผมเข้าใจ คือ การทําให้จิตมีพลัง5ประการ อย่างที่เราทราบๆกันอยู่ว่า วิชาพละศึกษา เป็นวิชาที่สอนและแนะนําให้เราออกกําลัง กาย ให้แข็งแรง ส่วนพละ5ที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ท่านก็ทรงชี้แนะการออกกําลังของจิตใจ ท่านทรงแนะว่าทําอย่างไรจิตจึงจะมีพลัง เช่นถ้ามีคนสองคน คนหนึ่งเขามองอะไรได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ครบทุกแง่ทุกมุม กับอีกคนหนึ่ง มองอะไรก็เป็นลางๆ ไม่รู้ว่าตนเองคิดถูกคิดผิด ท่านคิดว่าสองคนนี้ ใครจะประสบความสําเร็จในชีวิตการลงทุนครับ
.เรามาดู วิธีการฝึกจิตให้แข็งแรงตามแนวทางพระพุทธศาสนากันนะครับ
พละ5 มีองค์ประกอบ5อย่างดังนี้ 1.ศรัทธา เราจะทําอะไรให้สําเร็จ เราต้องเริ่มต้นด้วยความศรัทธา เราต้องเชื่อมั่นในสิ่งนั้นๆ เพื่อให้มีกําลังใจในการกระทําสิ่งต่างๆ เช่นถ้าเราจะลงทุนในแนวทางของดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หรือ วอเรน บัฟเฟตต์ เราก็ต้องเริ่มจากความศรัทธาในตัวของท่าน เชื่อแนวทางคําสอนของท่านว่าทําให้เราเป็นอิสระภาพทางการเงินได้ เราจึงจะพยายามศึกษาแนวทางของท่านทั้งหลายเหล่านั้น 2.ปัญญา เราต้องมีการคิด-ไตร่ตรอง ค้นหาความเป็นจริงในสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามา และพยายามทําความเข้าใจในสิ่งที่เรากําลังศึกษาอยู่ให้ถ่องแท้ ในแนวทางที่เราศรัทธา เช่นถ้าเราลงทุนในบริษัทหนึ่ง เราก็ควรจะศึกษาบริษัทนั้นๆในทุกแง่ทุกมุม ไตร่ตรองให้ครบทุกด้าน หาเหตุ หาผล เพื่อให้เห็นความเป็นจริงตามเหตุตามผล 3.วิริยะ เราต้องมีความเพียรพยายาม มุ่งมั่นที่จะค้นหาข้อมูลและสิ่งที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่เรากําลังศึกษาอย่างมุมานะ ไม่ย่อท้อ หรือ ศึกษาแนวทางการประเมินกิจการในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้มีความรอบรู้ในเรื่องการประเมินมูลค่าของกิจการนั้นๆ 4.สมาธิ ความนิ่ง การจดจ่อ แน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างมุ่งมั่นนั้น จะทําให้เกิดพลังในความคิด และ ข้อดีของความนิ่ง มีสมาธิอีกอย่างคือ ทําให้เราไม่ตัดสินใจอะไรบุ่มบ่ามจนเกินไป 5.สติ คือความระลึกได้ รู้ว่าตนเองกําลังทําอะไรอยู่ ไม่เผลอจิตไปจากสิ่งที่กําลังปฎิบัติ เราจะสังเกตุเห็นว่า ศรัทธา กับ ปัญญา ทั้งสองสิ่งนี้มีความตรงกันข้ามกัน ถ้าใครมีศรัทธาสูงแต่ปัญญาตํ่า เราก็จะอยู่ในขอบเขตของความงมงาย ถ้าใครมีศรัทธาตํ่า ปัญญาสูง ก็เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ค่อยรับฟังใคร ส่วนอีกคู่ วิริยะ กับ สมาธิ ก็จะค่อนข้างตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจนเช่นกัน ถ้าใครมีวิริยะสูง แต่ สมาธิตํ่า ก็จะกลายเป็นพวกไฮเปอร์แอกทีฟ ถ้าใครมีวิริยะตํ่า สมาธิสูง ก็จะเข้าข่ายเป็นคนเฉื่อยชา
การที่เราจะทําให้4ข้อนี้สมดุลย์และสมบูรณ์นั้น เราต้องมีสติเป็นตัวควบคุมครับ ผมขอสรุปคําสั้นๆไว้ให้เป็นแนวคิดในเรื่องนี้ว่า -อย่างมงาย ให้คิดทุกอย่างให้เป็นเหตุเป็นผล อย่างเป็นกลาง ไม่เอนเอียง -อย่าเชื่อมั่นในตนเองสูงเกินไป ควรฟังแนวคิดของคนอื่นมาพิจารณาอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะคนที่เคยประสบความสําเร็จมาแล้วยิ่งต้องระวังให้มากในความคิดของตนเอง -อย่าคิดเร็วทําเร็ว ไม่ควรตื่นตูมในข่าว ควรไตร่ตรองในแต่ละเรื่องด้วยเหตุและผลอย่างมีสติ -อย่าตัดสินใจช้า อย่าหลอกตนเอง และไม่ควรเฉยชาจากความจริงที่เกิดขึ้น ถ้าปัจจัยพื้นฐานของเหตุและผลเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
ในเรื่อง ธรรมะกับการลงทุน ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมใช้เป็นหลักยึดเหนี่ยว แต่กลัวท่านจะเบื่อไปเสียก่อน ผมจึงขอพูดถึงเรื่อง จิตวิทยาการลงทุน เป็นเรื่องสุดท้ายนะครับ เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นนามธรรม จึงไม่สามารถอธิบายรายละเอียดให้เห็นตัวตนอย่างชัดเจนได้ แต่ถ้าใครหมั่นดูจิต ดูความคิด ดูอารมณ์ ของเราเองบ่อยๆ ผมว่ามันก็ไม่ยากเกินไปที่จะเห็นอารมณ์ของเราและของนายตลาดครับ
มีบางคนกล่าวไว้ว่า การควบคุมอารมณ์ในการลงทุน มีความสําคัญมากกว่า การประเมินมูลค่าของกิจการ เพราะการวิเคราะห์มูลค่าของกิจการนั่นสามารถเรียนรู้และถ่ายทอดให้แก่กันได้ง่ายกว่าการพัฒนาทางด้านอารมณ์ ความเห็นผมก็คิดว่าน่าจะจริง เพราะผมเห็นนักทุนบางท่านที่เก่งมากๆ แต่ก็ยังไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่ควร อาจจะเป็นเพราะจิตใจเขาไม่นิ่งพอ หรือ เขาอาจจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจอยู่เสมอๆ ในบทนี้ผมจึงขอกล่าวถึงประเด็นของ กิเลส และ อารมณ์ที่แฝงมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะได้รู้จักตัวตนของมัน เผื่อเวลาที่มันโผล่ออกมาให้เราเห็น เราจะได้ ไม่หลง และถูกมันจูงจมูกอยู่เรื่อยๆ กิเลสที่ผมจะกล่าวถึงที่เกี่ยวกับการลงทุนในวันนี้จะมีอยู่สามตัวครับ คือ
.
ความกลัว ความโลภ ความหลง
ความกลัว มนุษย์เดินดิน ย่อมมีความกลัวอยู่ในจิตใจเหมือนๆกัน แต่ความกลัวของแต่ละคนนั้นย่อมไม่เหมือนและไม่เท่ากัน ความกลัวของเรานั้นเกิดจากประสบการณ์ในอดีตทั้งที่จําได้และจําไม่ได้มาปรุงแต่งเป็นแรงผลักดันให้เรารู้สึกกลัว แสดงว่า เวลาที่เราทําอะไรแล้วเจ็บหรือพลาดในเรื่องนั้นๆ จิตใจเราอาจจะไปจดจํา และอาจจะรู้สึกกลัวเรื่องนั้นโดยอัตโนมัติ เช่นถ้าเรามักจะขาดทุนจากข่าวลือ ข่าวอินไซด์ ซื้อเมื่อไหร่ ก็ยอดดอยทุกที เราก็คงจะเบื่อจากข่าวประเภทนี้ พอเราไม่มีความชอบในเรื่องนี้ เราก็จะเริ่มสังเกตุและใส่ใจพิจารณาในเรื่องนี้อย่างเป็นกลาง สักวันหนึ่งเราก็จะเกิดปัญญา เลิกแสวงหาและฟังข่าวประเภทนี้ แต่ถ้าใครแสวงหาเพื่อที่จะอยู่วงใน เผอิญเจอสายข่าวดี เจอข้อมูลที่ถูกมากกว่าผิด ในระยะยาวผมคิดว่าน่าเป็นห่วง เพราะเขาจะไม่กลัวข้อมูลในประเภทนี้(ไม่มี snake bite effect ในเรื่องนี้) ทําให้เขาจะแสวงหาหลักการอินไซด์ มากกว่าหาหลักการที่แท้จริงคือมูลค่าของกิจการ วันนี้เขาอาจจะได้แต่ไม่มีหลักประกันในวันหน้าเลย และยิ่งนานวันไป เขาก็ยิ่งจะเขวจากหลักการที่มี เพราะมัวแต่คอยจ้องมองหาข่าวภายใน เมื่อถึงเวลานั้น กิเลสอีกตัวคือ ความหลงจะเข้ามาครอบงําเขาคนนั้นครับ
ความกลัวที่ผมเห็นอยู่บ่อยๆอีกเรื่องคือ ความกลัวที่ราคาหุ้นมันลดลง ความกลัวในเรื่องนี้ ผมคิดว่าคงจะเกิดจากความไม่รู้ว่ามูลค่าของกิจการควรอยู่ที่เท่าไหร่ วิธีแก้ในเรื่องนี้ต้องอาศัยระยะเวลาในการเรียนรู้ คือ เราต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้ และติดตามกิจการที่เราลงทุน ต้องลองประเมินมูลค่าของกิจการในรูปแบบต่างๆ ว่ามูลค่ามันควรอยู่ที่เท่าไหร่ ช่วงแรกๆอาจจะประเมินคร่าวๆจากภาพใหญ่ๆที่เรามองเห็น พอประสบการณ์เรามากขึ้น เรียนรู้ธุรกิจนั้นๆได้รอบรู้มากขึ้น ขอบเขตมูลค่าของกิจการก็จะชัดเจนมากขึ้นตามลําดับ
.การประเมินมูลค่าของกิจการนั้นไม่ได้หมายความว่า ให้เอาราคาหุ้นในตลาดมาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าเราคิดผิดหรือถูก แต่เราควรเอาผลวิเคราะห์ในเรื่องธุรกิจของเขาที่เราประเมินไว้ คอยเปรียบเทียบกับผลการดําเนินงานจริงของเขาว่าใกล้เคียงกันไหม มีอะไรแตกต่างจากที่เราคิดไว้บ้าง ถ้าเราสามารถวิเคราะห์กิจการได้ค่อนข้างใกล้เคียงในระยะยาว อ่านทิศทางที่บริษัทกําลังจะก้าวไปได้ถูกต้อง แสดงว่าท่านได้เข้าใจรูปแบบธุรกิจของเขาแล้ว และเราก็น่าจะประเมินจุดซื้อหรือขายหุ้นของเราได้อย่างสบายใจ และคงไม่ต้องไปกังวลใจในเวลาราคาหุ้นที่ในตลาดมีราคาลดตํ่าลงจากความเป็นจริง
Create Date : 08 กันยายน 2556 |
| |
|
Last Update : 8 กันยายน 2556 20:47:14 น. |
| |
Counter : 2002 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
P_ปรัชญา |
|
|
|
|