ชีวิต
ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทความ ด้วยเนื้อหา ที่น่าอ่านน่าจำได้อย่างไร ผมไม่ใช่อาชีพนักเขียน แต่ผมก็พยายามจะเขียน ความคิด การเรียบเรียง การวางแผนในอนาคต มันอาจจะไม่ใช่เรื่องถูกต้องทั้งหมด แต่ก็หวังเล็กๆว่าน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดี ผมมีความฝัน และคิดว่าทุกคนก็น่าจะความฝัน ว่าชีวิตคนเราเกิดมาบนโลกใบนี้ ในสังคมแห่งความหลากหลายด้านความคิดและวัตถุนิยม โลภ โกรธ หลง ความหวัง ความศรัทธา และสารพัด ที่จะสมมุติมันขึ้นมาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะก้าวไป ให้ถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตผมซึ่งไม่ได้วิจิตพิศดาร อะไร? เกิดมาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ไม่มีฐานะร่ำรวย เพียงพอกินพอใช้ ชีวิตที่เรียบง่าย แบบพื้นๆ จำเจ แต่ผมก็มีความหวัง ย้อนหลังไปเมื่อผมเรียนจบและเริ่มทำงาน ช่วงอายุเรื่มต้นที่25ปี พยายามทำงาน เก็บเงิน ประหยัด ไม่ทานเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวไปร้องเพลงคาราโอเกะ สมัยก่อนมันไม่มีคาราโอเกะนี่นะ ทำแต่งาน สะสมเงิน สะสมประสพการณ์ ชีวิตที่ต่อสู้ดิ้นรน เป็นพ่อค้า กระจอกๆข้างถนน เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ช่วงวันเวลาที่ผ่านมา สอนให้รู้ว่า... ตนต้องพึ่งตน มีฝันที่ใหญ่เกินตัว เกินกำลัง และเกินความรู้ ผมคิดว่าเมื่อคนเราอายุสัก55ปี ก็น่าจะเกษียณการทำงานได้แล้ว มีเวลาทำงานเก็บเงินไม่มาก น่าจะมีเวลาสร้างเนื้อสร้างตัวสร้าง ทรัพย์สินสมบัติสัก20ปี หากทำไม่สำเร็จ อายุมากขึ้นก็จะลำบาก คนที่เขารับราชการบั้นปลายชีวิต ก็จะได้เงินบำเหน็จบำนาญ ไม่ต้องวางแผนอะไรมากนัก อายุงานมันช่วยทำให้หลังเกษียณมีสวัสดิการพอควร คนที่ไม่ได้รับราชการอย่างผม ต้องคิดมากหน่อย น่าจะเรียกว่าต้องรอบคอบ ผมวางแผนให้มีรายได้เลี้ยงตัวเองยามแก่ชรา ต้องสร้างแหล่งรายได้ ไว้เลี้ยงตัว จะไปรบกวนพี่น้องคงไม่ได้แน่ เพราะแต่ละคนก็ต้องมีภาระดูแลครอบครัวของแต่ละคน แบบนี้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตัวเที่ยงแท้แน่นอน ทำงานได้เงินมาก็เก็บสะสม โอกาสมา จังหว่ะมี ก็ควรหาวิธีทำให้เงินงอกเงย บางคนเรียกว่าใช้เงินไปทำงาน ให้งอกเงย ออกดอกออกผลตามสมควร โดยไม่ฉวยโอกาสโกงหรือกดขี่ข่มเหงหรือเอาเปรียบผู้อื่น เป็นคนทำดี พูดดี จิตใจดี ผมลงทุนซื้อที่ดิน ผืนแรก และผืนต่อๆมาตามแต่จะรวบรวมเงินได้ ดูราคาที่ดิน สมเหตุสมผล สมควรซื้อ สร้างบ้านให้คนเช่า มีรายได้ประจำทุกเดือน เพื่อให้เป็นรายได้เลี้ยงตัวเอง และครอบครัว โดยไม่ต้องไปรบกวนญาติพี่น้องและผู้อื่น ต่อยอด ความฝัน ความหวัง
เขียนโดย Prachaya Roekdeethaweesab
_______________________________________________________
บทความ Value Way ฉบับวันที่ 9 กรกฏาคม 2555 โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ ลงทุนปีละหมื่นเป็นเศรษฐีร้อยล้านได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นทุกคนต่างหวังที่จะรวยด้วยกันทั้งนั้น ส่วนใหญ่ต้องการรวยเร็ว ยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งต้องไม่ต้องใช้ความคิดมากหรือศึกษาหาความรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบกันมากขึ้นเท่านั้น นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่จึงมักตกเป็นเหยื่อของนักลงทุนรายใหญ่ที่สร้างราคาหุ้นหรือปล่อยข่าวลือต่างๆเพื่อหลอกล่อให้นักลงทุนรายย่อยที่อยากรวยเร็วแต่ไม่ชอบค้นคว้าเหล่านั้นตกเป็นเหยื่อของเกมตลาดหุ้น จนทำให้หลายคนถึงกับถอดใจและมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตลาดหุ้นคิดว่าเป็นแหล่งพนันบ้าง เป็นแหล่งหลอกลวงเงินบ้างเป็นต้น แต่สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าแล้ว การมองตลาดหุ้นเป็นแหล่งลงทุนของเงินที่เก็บสะสมไว้เพื่อวันข้างหน้าจะช่วยให้มีทัศนคติที่ดีต่อตลาดหุ้น หลายคนเคยน้อยใจว่ามีเงินแค่เล็กน้อยคงไม่สามารถลงทุนแบบเน้นคุณค่าได้ เพราะได้ผลตอบแทนน้อยและใช้เวลานานเกินไป ซึ่งความเป็นจริงการเก็บเงินแค่ปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนปีละ 20 เปอร์เซนต์จะสามารถทำเงินในพอร์ตให้เติบโตได้ถึงร้อยล้านบาทได้เลยทีเดียว สิ่งสำคัญคือการทำผลตอบแทนให้ได้อย่างสม่ำเสมอและระยะเวลาที่นานพอ นักลงทุนที่มุ่งมั่นสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับปีละ 20 เปอร์เซนต์ได้โดยการคัดเลือกหุ้นที่มีผลการดำเนินการที่ดี ผู้บริหารโปร่งใสและราคาหุ้นไม่สูงจนเกินไปนัก มีส่วนต่างความปลอดภัยหรือ Margin of Safety พอสมควร เมื่อบริษัทดำเนินกิจการให้เติบโตขึ้น ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวตามผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคตได้โดยนักลงทุนไม่ต้องซื้อๆขายๆหุ้นบริษัทที่ดีเหล่านั้นตลอดเวลา รวมถึงการเลือกบริษัทที่สามารถจ่ายปันผลได้ในระดับที่สูงจะช่วยให้ผลตอบแทนในการลงทุนเพิ่มขึ้นได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นระยะเวลาในการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ยิ่งระยะเวลามากเท่าไหร่ ผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงขึ้นมากเท่านั้น อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ถึงกับบอกว่าอัตราผลตอบแทนทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก หลายคนไม่เชื่อว่าการเก็บเงินปีละ 14,000 บาทและนำไปลงทุนจะสามารถทำเงินได้เป็นร้อยล้านบาทได้ เรามาดูยอดเงินสะสมจากการลงทุนปีละ 14,000 บาท โดยได้รับผลตอบแทนปีละ 20% ทบต้นไปเรื่อยๆในปีต่างๆ - ปีที่ 5 ยอดเงินสะสม = 100,000 บาท - ปีที่ 10 ยอดเงินสะสม = 360,000 บาท - ปีที่ 15 ยอดเงินสะสม = 1,010,000 บาท - ปีที่ 20 ยอดเงินสะสม = 2,610,000 บาท - ปีที่ 25 ยอดเงินสะสม = 6,610,000 บาท - ปีที่ 30 ยอดเงินสะสม = 16,550,000 บาท - ปีที่ 35 ยอดเงินสะสม = 41,280,000 บาท - ปีที่ 40 ยอดเงินสะสม = 102,810,000 บาท จะเห็นว่าการทำเงินหนึ่งล้านบาทในปีหลังๆใช้เวลาน้อยกว่าการหาเงินหนึ่งล้านบาทแรกมาก นักลงทุนต้องเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยต้องใช้เวลา ดังนั้นภายในเวลาอันสั้นจะไม่เห็นผล ต้องคิดว่านี่เป็นการ วิ่งมาราธอน ไม่ใช่ วิ่งร้อยเมตร สิ่งที่ต้องเผชิญคือน้ำอดน้ำทน ไม่ใช่แรงฮึดแค่อึดใจเดียว แต่ทุกวันนี้พวกเราตกอยู่ภายใต้กระแสของ อาหารจานด่วน ทุกเรื่องเน้นที่ความรวดเร็วและประสิทธิผล เวลาทานอาหารต้องรับประทานอาหารแบบฟาสต์ฟู้ด ส่งจดหมายต้องใช้บริการด่วนพิเศษ ขับรถต้องขึ้นทางด่วน แม้แต่การศึกษายังใช้วิธีเรียนลัด คนส่วนมากหวังผลทันตาเห็น จึงกลายเป็นรีบร้อนเร่งด่วน ขาดซึ่งความอดทน แม้แต่การลงทุนสร้างฐานะก็ไม่มีข้อยกเว้น ความเป็นจริงการลงทุนสร้างฐานะนั้นต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง จะเกิดความร้อนใจ พอร้อนใจมักทำเรื่องเสี่ยงๆ ฉะนั้น แทนที่จะพบกับความสำเร็จ กลับกลายเป็นล้มเหลว ถ้าเป็นกิจกรรมอย่างอื่น อาจเร่งความเร็วได้ แต่การลงทุนสร้างฐานะเร่งเร็วไม่ได้ เพราะ เวลา เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการสร้างตัว ยิ่งเร่งเร็วยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งส่วนมากจะ เลิกล้มกลางคัน เมื่อเจอกับเงื่อนไขเวลา เกิดความท้อถอย พาลขายหุ้น ขายอสังหาริมทรัพย์ เดินออกจากตลาดหุ้น หารู้ไม่ว่าการขาดความอดทนและความตั้งใจ ยากจะพบกับความสำเร็จได้ จะเห็นว่าถ้านักลงทุนมีระยะเวลาในการลงทุนนานเพียงพอและทำผลตอบแทนได้สม่ำเสมอ เงินเก็บแค่ปีละหมื่นกว่าบาทสามารถทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยล้านเลยทีเดียว หลายคนอาจมองว่าระยะเวลา 40 ปีนั้นนานเกินไป อย่าลืมว่าในตัวอย่างนั้นเก็บเงินแค่ปีละหมื่นสี่เท่ากันทุกปีหรือเดือนละ 1,666 บาททุกเดือน ดังนั้นถ้านักลงทุนสามารถเก็บเงินได้เพิ่มขึ้นระหว่างทางหรือทำผลตอบแทนได้มากขึ้นในแต่ละปี การทำเงินร้อยล้านบาทสามารถใช้เวลาที่น้อยลงไปได้มาก ฝันที่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านในชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป บทความ ข้อมูลอ้างอิงที่มา..
Viboon Pungprasert _______________________________________________________
Value Way ฉบับวันที่ 5 ตุลาคม 2552 โดยวิบูลย์ พึงประเสริฐ
กฏของการลงทุน
ตลาดหุ้นในรอบปีที่ผ่านมา จากจุดต่ำสุดในช่วงเดือนตุลาคมเมื่อปีที่แล้วจนถึงจุดสูงสุด 726 จุดในเวลานี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างสับสนว่าตลาดหุ้นจะไปทิศทางไหนต่อไป บ้างคิดว่าตลาดหุ้นจะตก จึงขายหุ้นออกไปก่อนแต่ปรากฏว่าดัชนีกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลาของความผันผวนเช่นนี้ บทความของบล.อเบอร์ดีนได้กล่าวถึงกฏของการลงทุนไว้หลายข้อที่น่าสนใจดังนี้
มองการณ์ไกล ราคาหุ้นมีส่วนประกอบสองส่วนคือความผันผวนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้และผลลัพธ์จากผลประกอบการของบริษัท ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆตามความผันผวนของตลาด แต่ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นมักเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท นักลงทุนควรมีระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสม ถ้าคิดว่าโรงงานของบริษัทสามารถทำผลตอบแทนได้ภายในสิบปี การลงทุนในหุ้นควรจะใช้ระยะเวลาเท่าๆกัน แยกให้ออกระหว่างการพนันและการลงทุน บางครั้งเราอยากจะสนุกสนานบ้างเป็นครั้งคราว การเล่นพนันอาจเป็นข้ออ้างที่ดีสำหรับวันหยุด แต่ถ้าคุณเล่นหุ้นแบบการพนัน คุณอาจจะประสบปัญหาได้ การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิดและบางครั้งอาจจะดูน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำไป การลงทุนต้องอาศัยทั้งวินัยและการศึกษาหาความรู้อย่างสม่ำเสมอ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นกว่าการลุ้นโชคจากการพนัน แต่สำหรับการลงทุนแล้ว จำไว้ว่าเจ้าของคาสิโนมักทำกำไรได้มากกว่าคนเล่นเสมอ
ต้องกล้าสวนกระแส คนเรามักชอบคิดและทำสิ่งที่เหมือนกับคนอื่นๆ มันทำให้เรารู้สึกดีและไม่แตกต่าง แต่บางครั้งพฤติกรรมเช่นนี้อาจทำให้เราตกอยู่ในอันตรายได้ เช่นการวิ่งหนีออกทางประตูฉุกเฉินพร้อมๆกับฝูงชนอาจทำให้คุณถูกเหยียบตายได้ ในตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน การซื้อหรือขายหุ้นทีหลังคนอื่นๆเป็นสิ่งที่สร้างผลตอบแทนได้แย่มาก วอร์เรน บัฟเฟตถึงบอกว่าให้กลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และให้โลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว
หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่เข้าใจ โลกสมัยใหม่เต็มไปด้วยความซับซ้อน บางครั้งเราอาจสับสนในเทคโนโลยี่หรือไม่ก็พบกับอะไรที่ยุ่งยากเกินความเข้าใจ ในการลงทุน สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่คุณซื้อ อย่างน้อยสิ่งนั้นควรทำให้คุณนอนหลับสนิท ให้คิดว่าหุ้นก็เหมือนกับหนังสือที่คุณอ่าน ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนั้นไม่เข้าใจก็วางมันลงซะ ปีเตอร์ ลินซ์บอกว่าถ้าคุณลงทุนในบริษัทใดแต่คุณไม่สามารถอธิบายบริษัทนั้นได้ด้วยประโยคสองสามประโยค แสดงว่าคุณไม่เข้าใจมันดีพอ
รู้ความแตกต่างระหว่างราคาและมูลค่า ในโลกรอบตัวเรา ความแตกต่างระหว่างราคาและมูลค่าอาจสังเกตเห็นได้ง่าย เช่น รถยนต์ราคาคันละหนึ่งล้านบาทเมื่อเทียบกับเสื้อผ้าชุดละหนึ่งล้านบาท ในกรณีนี้รถยนต์มีมูลค่ามากกว่าแน่ๆ แต่ในโลกของการลงทุน ความแตกต่างของราคาและมูลค่าไม่ได้ชัดเจนเช่นนี้ การวัดมูลค่าทางเศรษฐศาตร์หรือมูลค่าของกิจการบริษัทบางครั้งอาจต้องประเมินทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนที่ขึ้นกับผู้ประเมินแต่ละคนว่าจะมีความคิดเห็นเช่นไร ฟิลิป ฟิชเชอร์นักลงทุนระดับตำนานเท่านหนึ่งกล่าวว่าในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยผู้คนที่รู้จักราคาของทุกสิ่ง แต่กลับไม่รู้มูลค่าของสิ่งไหนเลย
ยอมรับเถอะว่าตลาดหุ้นฉลาดกว่าเรา ความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจเป็นผลเสียในการลงทุน คุณอาจคิดว่าคุณมีความสามารถในการทำนายทิศทางของตลาดหรือราคาหุ้นใดหุ้นหนึ่งได้ แต่อย่าลืมว่ามีคนอีกเป็นแสนเป็นล้านที่ทำแบบเดียวกันอยู่ ให้ถามตัวเองว่าเราฉลาดกว่าคนเหล่านั้นจริงๆหรือ จอห์น เมย์นาด เคนส์ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ยังบอกว่าการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการทำนายความคาดหวังของผู้อื่น
จะเห็นว่ากฏต่างๆเหล่านี้ยังใช้ได้ดีกับทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นไปในทิศทางใดก็ตาม
Create Date : 05 เมษายน 2555 |
| |
|
Last Update : 13 สิงหาคม 2557 17:57:47 น. |
| |
Counter : 2041 Pageviews. |
| |
|
|