พระพิฆเณศ
______________________________________________________________
คาถาบูชาพระพิฆเณศ เทพแห่งความสำเร็จ ______________________________________________________________
คาถาบูชาพระพิฆเณศ
โองการพินธุ นาถังอุปปันนัง พรหมมะโน จะอินโธ พิฆฆะเนศโต มหาเทโว อะหังวันทา มิสัพพะทา สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ประสิทธิเม
_______________________________________________________________
ลักษณะทางประติมากรรมของพระพิฆเณศ
พระคเณศนั้นมีหลายปาง และมีให้เลือกสรรการบูชาตามความเหมาะสม แต่ภาพโดยสรุป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเศียรก็ดี สัตว์พาหนะ ตลอดจนถึงเครื่องประดับและอิริยบทต่างก็ดี พอจะแยกได้ดังนี้ เศียร พระคเณศมีตั้งแต่ 1 เศียรหรือพระพักตร์เดียว ไปจนถึง 2-5 เศียร ซึ่งปาง 5 เศียรนี้นิยมใช้ในปางเหรัมภะซึ่งแพร่หลายในอินเดียและเนปาล ส่วนพระคเณศในแบบของคนไทยนั้นจะมีเพียงเศียรเดียวเท่านั้นส่วนใหญ่แล้ว พระคเณศจะมีเพียงสองตาเท่านั้น ส่วนตาที่ 3 บริเวณหน้าผาก (บ้างใช้เปลวไฟเป็นสัญลักษณ์แทน ) นิยมใช้ในลัทธิตันตระที่ชัดเจนมากเห็นจะเป็นพระพิฆเณศวร์ในศิลปะแบบธิเบต นอกจากนี้บริเวณหน้าผากทั่วไป อาจจะเป็นรูปจันทร์เสี้ยว หรือเส้น 3 เส้นตามลักษณะของไศวะนิกาย หรือพระเศียรอาจจะสวมมงกุฎชนิดแบบราบ(กรัณฑมุกุฎ) หรือสวมชฎาทรงสูงก็ได้ ส่วนงานั้น จะมีเพียงงาเดียวข้างขวาเท่านั้นส่วนงาข้างซ้ายนิยมทำหักไว้ งวง มีลักษณะที่ห้อยตรงแต่ส่ายปลายไปทางซ้ายหรือขวาแต่ที่นิยม คือหันงวงไปทางซ้าย และหยิบขนม บตะสะ (โมทกะ)จากถ้วยขนมที่ถืออยู่ในซ้ายมือ หรือบางทีก็เป็นพวกผลไม้ป่า กร มีจำนวนกรตั้งแต่ 2-4 เรื่อยขึ้นไปถึง 10 กว่ากรหรือมากกว่านั้น สัญลักษณ์ที่ถือตามพระกรต่าง ๆเช่น งาหัก,ผลมะนาว, ผลไม้ป่า,มะขวิด,ลูกหว้า,หัวผักกาด,ขนมโมทกะ, ผลทับทิม,ส่วนอาวุธนั้นมีมากมายอาทิ ขวาน,บ่วงบาศ,ดาบ,ตรีศูล ฯลฯ สิ่งอันเป็นมงคล เช่น สังข์,แก้วจินดามณี,ครอบน้ำ ฯลฯ ท่าทาง พระคเณศในยุคแรกนั้นจะเป็นพระคเณศ ในรูปแบบของการยืนเสียเป็นส่วนใหญ่ จากนั้นจึงได้พัฒนาเป็นการนั่ง ซึ่งมีการนั่งถึง 4 ลักษณะด้วยกันคือ 1. ท่ามหาราชลีลา หรือเข่าข้างหนึ่งยกขึ้น อีกข้างหนึ่งงอพับบนอาสนะ (ซึ่งมีมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12) 2. นั่งขาไขว้กัน 3. นั่งห้อยพระบาทข้างใดข้างหนึ่งส่วนอีกข้างวางพับอยู่บนอาสนะ 4. นั่งโดยขาทั้งสองพับอยู่ทางด้านหน้า ฝ่าเท้าทั้งสองอยู่ชิดกัน (ศิลปชวา,บาหลี) เครื่องประดับ ในยุคแรกไม่นิยมการทรงเครื่องประดับต่อมาจึงเริ่มมีเครื่องทรงมากขึ้น เริ่มจากสายยัชโญปวีต (สายศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพราหมณ์ บางทีก็เป็นงูธรรมดา ส่วนผ้าที่นุ่งนั้น จะแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่นที่สร้างรูปเคารพส่วนเครื่องทรง นั้นมีการเพิ่มเติมมากขึ้นเช่น มงกุฏ ,สร้อยคอ,สร้อยข้อมือ,สร้อยข้อเท้า,สร้อยกระดิ่ง พาหนะ เท่าที่พบในปัจจุบันมีเพียง หนู นกยูงและสิงโตเท่านั้น
//www.geocities.com/ganes108/ganes13.htm
ข้อมูลอ้างอิง
______________________________________________________________
ความหมายของหนูกับช้าง หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของการพึ่งพาและปรองดอง ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมีชัยของฝ่ายที่อยู่เหนือกว่า
ในทางมนุษยวิทยาแล้วมีผู้วิเคราะห์ไว้ว่า
หนูกับช้างเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าสองกลุ่ม เผ่าที่มีชัยเหนือกว่าอาจจะเป็นชนกลุ่มที่นับถือช้างอยู่แต่เดิม จึงได้สร้างและยึดเอาประเพณีการนับถือช้างเป็นเทพเจ้ามาเป็นตัวแทนกลุ่ม หรืออีกอย่างที่เป็นไปได้คือ คนสมัยดั้งเดิมนั้นประกอบอาชีพทางด้านกสิกรรม และแน่นอน หนูย่อมเป็นศัตรูอันร้ายกาจของไร่นา ภาพที่แสดงออกในรูปของช้างและงูที่เป็นสังวาลนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ทำลายหนูอันเป็นศัตรูสำคัญของผลิตผล ทางการเกษตรอย่างชัดเจน ทั้งการนำหนูมาเป็นบริวารนั้น
เนื่องจากหนูขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วเพราะหนู ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่มีความฉลาดและกัดทุกอย่างให้ขาดได้ ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมสำหรับการเป็นพาหนะของเทพเจ้าแห่งปัญญา อันมีคุณสมบัติในการขจัดซึ่งอุปสรรค
_______________________________________________________________
พิธีกรรม การบูชาต่อพระพิฆเณศ
การนับถือบูชาพระคเณศในประเทศไทยปรากฏเป็นรูปธรรมอย่างเด่นชัดในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะว่าพระราชพิธีที่สำคัญ ๆ ในราชสำนักจะมีพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการบูชาพระคเณศประกอบเข้ามาในพิธีต่าง ๆ ดังกล่าวด้วย ซึ่งพิธีกรรม ที่มีการบูชาพระคเณศตามคติพราหมณ์ที่ปฏิบัติอยู่ในประเทศไทย สมัยปัจจุบันก็คือ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา พระราชพิธีต่างๆเหล่านี้จะมีการอ่านโคลกสรรเสริญบูชาเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ โดยจะเริ่มด้วยคาถาบูชาพระคเณศก่อนเป็นอันดับแรกสุด ก่อนจะบูชาพระศิวะเสียอีกทั้งนี้เพื่อให้พระคเณศประทานพรให้สามารถทำพิธีนั้นให้สำเร็จ ได้ด้วยดี
พิธีกรรมที่มีการบวงสรวงบูชาพระคเณศในฐานะเทวรูปประธานในพิธีที่น่าสนใจได้แก่ ๑. พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย พระราชพิธีนี้เป็น ๒ พิธีต่อเนื่องกันคือ พิธีตรียัมปวาย กับ พิธีตรีปวายจะกระทำในเดือนยี่ของทุกปีเป็นเวลา ๑๕ วัน พิธีนี้จัดเป็นพิธีใหญ่ของศาสนาพราหมณ์ และ แต่เดิมจะมีการโล้ชิงช้าด้วย ในพิธีดังกล่าวจะมีการอ่านโคลกสรรเสริญ และถวายโภชนาหารแด่เทพพระเจ้า ณ เทวสถานทั้ง ๓ หลัง คือ สถานพระอิศวร สถานพระคเณศ และ สถานพระนารายณ์ เรียงกันไปตามลำดับ มีการอัญเชิญเทวรูปพระอิศวร พระอุมา พระมหาวิฆเนศวร และ พระนารายณ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจิมแล้วอัญเชิญมาเข้าพิธีโดยรถยนต์หลวง ๒. พิธีจับเชิง พิธีนี้เป็นการขอขมาโทษต่อช้างสำคัญ ที่สำคัญที่จะได้เป็นใหญ่เป็นโตต่อไป พิธีนี้ต้องมีการผู้มัดช้างเพื่อฝึกสอนช้าง การฝึกบางครั้งต้องดุหรือลงโทษประกอบด้วย จึงต้องขอขมาเสียก่อน และเพื่อเป็นการกล่อมเกลานิสัยช้างป่าที่ดุร้ายให้เชื่องขึ้น พิธีจับช้างนี้ภายในปะรำพิธีตรงข้ามกับเบญจภาคจะจัดตั้งโต๊ะ หมู่บูชาพระมหาวิฆเนศวร์อันประกอบด้วยดอกไม้ ธูปเทียน ขันน้ำมนต์ (ขันสาคร) และ กำหญ้าคา ถัดไปทางซ้ายตั้งโต๊ะเชือกบาศก์ ชะนัก (ขอสับช้าง) และเชือกมะนิลาหุ้มด้วยผ้าขาว พิธีนี้จะมีการบูชาพระรัตนตรัย บูชาพระมหาวิฆเนศวร์โดยกราบตามวิธีรำพัดชา กล่าวคำสรรเสริญพระมหาวิฆเนศวร ์และขอพรตามแต่ปรารถนา เสร็จแล้วอัญเชิญพระมหาวิฆเนศวร์ลงสรงในขันน้ำมนต์ แล้วอัญเชิญกลับไปโต๊ะหมู่บูชา น้ำสรงในขันสาครนี้จะใช้ประพรมให้ผู้ฝึกช้างทุกคนถือเป็นสวัสดิพิพัฒน์มงคล ๓. พิธีน้อมเกล้าถวายและพระราชพิธี ีขึ้นระวางสมโภชในวันพระราชพิธีฯ จะมีการแห่ช้างสำคัญในกระบวนแห่ พราหมณ์จะอัญเชิญพระเทวกรรมเข้าในพิธีด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธปฏิมาพระชัยหลังช้าง และจุดธูปเทียนบูชาพระเทวกรรม พร้อมกับทรงศีลในตอนท้ายพระราชพิธีนี้ พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้พราหมณ์ คู่สวดอ่านฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างเป็นอันเสร็จพระราชพิธี ๔. พิธีบวงสรวงพระคเณศก่อนการดำเนินการจัดสร้างพระเมรุมาศ การจัดสร้างพระเมรุมาศเพื่อใช้ในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพของพระมหากษัตริย์และ พระบรมวงศานุวงศ์องค์สำคัญ ๆ ณ บริเวณท้องสนามหลวง ก่อนที่จะดำเนินการจัดสร้างพระเมรุมาศ จะต้องประกอบพิธีบวงสรวงพระพิฆเณศวร์เสียก่อน เพื่อความสวัสดีและการจัดสร้างจะได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจะไม่มีการ อัญเชิญพระพิฆเณศวร์มาเข้าพิธี แสดงว่าพระพิฆเณศวร์จะเกี่ยวกับพิธีทางช่างเท่านั้น (พิธีศพไม่เกี่ยว) ๕. พิธีไหว้ครูทางนาฎกรรมและการช่าง ในทางนาฏกรรมนั้นบรมครูจะปรากฏรูปเคารพในลักษณะ ของหัวโขนซึ่งจะอัญเชิญมาประกอบวิธีไหว้ครูพร้อมกับเครื่องใช้ในการแสดงต่างๆ หัวโขนที่ใช้ประกอบการแสดงอันได้แก่ ศีรษะของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ (เทพเจ้าสูงสุด) คือพระอินทร์ พระคเณศ พระปรคนธรรพ์ และ พระปัญจสีขร ซึ่งเป็นเทพเจ้าฝ่ายดุริยางค์ศิลป์ โดยเฉพาะศีรษะพระคเณศนั้นจะอัญเชิญไปประดิษฐานไว้โต๊ะหมู่บูชา ที่จัดไว้โดยเฉพาะแยกจากศีรษะเทพองค์อื่นๆสำหรับการบูชาเป็นพิเศษ ส่วนศิลปะทางการช่างนั้น แม้จะไม่ได้นับถือพระคเณศเป็นเทพสำคัญโดยตรง เช่นเดียวกับพระวิษณุ แต่พระคเณศก็มีบทบาทไม่น้อยในพิธีไหว้ครูศิลปะการช่าง ตามคติดั้งเดิมที่ว่า ในการเล่าเรียนศิลปวิทยาการทั้งปวงต้องมีการสวดบูชาพระคเณศก่อน ซึ่งพระคเณศนั้นทางนาฏศิลป์ถือว่ามีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ศึกษาทางการนี้จะเชื่อกันว่าครูแรง หากไม่เคารพบูชาหรือทำการใดๆอันไม่เหมาะสมเป็นการลบหลู ่ก็มักจะประสบภัยพิบัติ ๖. การไหว้ครูของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาลัยช่างศิลป์ นาฏศิลป์ สถาบันต่างๆเหล่านี้มีรูปของพระคเณศเป็นตราสัญลักษณ์ ของสถาบันเมื่อมีการไหว้ครู ก็จะต้องไหว้บรมครูทางงานศิลปะคือพระคเณศเสียก่อน โดยจะมีการประกอบพิธีตามรายละเอียดที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้น
๗. การบูชาพระคเณศในพิธีคเณศจตุรถี พิธีคเณศจตุรถีหรือพิธีอุทิศต่อพระคเณศนี้เป็นพิธีที่ชาวฮินดู ในประเทศอินเดียกระทำกันในวันขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังได้กล่าวรายละเอียดไว้แล้ว ๘. การบูชากราบไหว้พระคเณศของคนธรรมดาทั่วๆไป การบูชาพระคเณศจากคติความเชื่อของพ่อค้าวาณิชในสมัยโบราณ โดยเฉพาะพ่อค้าชาวอินเดีย จะกราบไหว้บูชาพระคเณศในแง่ของเทพผู้อำนวยความสำเร็จทางการค้าและความร่ำรวย จวบจนกระทั่งปัจจุบันคติความเชื่อดังกล่าวกลับมาได้รับความนิยมกันอีก ดังจะเห็นได้จากบรรดาร้านค้าต่างๆ จะมีหิ้งบูชาพระคเณศเป็นการบูชาพระคเณศเพื่ออำนวยความสำเร็จ และความร่ำรวยทางการค้าให้แก่ผู้บูชาโดยจะบูชาทุกวัน ด้วยผลไม้บ้าง ขนมหวานบ้าง อ้อยควั่น ดอกไม้สีแดงสดใส น้ำนมเปรี้ยว น้ำสะอาด ฯลฯ
_______________________________________________________________________
(ภาพประกอบ เป็นพระพิฆเณศ องค์บูชาที่บ้าน... ประกอบพิธีกรรมหล่อจาก...วัดถลุงทอง จังหวัดนครศรีธรรมราช) _______________________________________________________________________
ปางพระพิฆเณศ แม้ว่าพระคเณศจะมีพระนามมากมายถึง 108 พระนามไปจนถึง 1008 พระนาม แต่ในแง่เทวประติมานั้นมีอยู่เพียง 8 ถึง 9 ปางเท่านั้นที่คนนิยมบูชา โดยการบูชาในแต่ละปางก็ให้คุณที่แตกต่างกันออกไป เชิญเลือกบูชาได้ตามอัธยาศัย ปางพาลคเณศ เป็นพระคเณศในวัยเด็กรูปลักษณ์ที่เห็น มักจะเป็นพระคเณศยังคลานอยู่กับพื้น หรือยังอยู่ในอิริยบถไร้เดียงสาอย่างเด็ก ๆ ถ้าโตขึ้นมาหน่อย จะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวมี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งหมายถึงความเป็นสุขภาพดีของเด็ก ๆในครอบครัวรวมความหมายถึงให้เด็ก ๆได้ระลึกถึงการเคารพรักในบิดา มารดา ปางนี้นิยมบูชากันในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กในวัยเรียน ปางนารทคเณศ ปางนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระคเณศมักจะอยู่ในอิริยาบถยืน มี 4 กร ในคัมภีร์และหม้อน้ำกมัลฑลุ ไม้เท้า และร่ม ซึ่งถ้าเป็นศาสนาพุทธแล้ว คงเปรียบได้กับพระสีวลี ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ผู้มีลาภมาก แต่สัญลักษณ์ของพระคเณศนั้น หมายถึงการเดินทางไกล แต่มักจะเป็นการเดินทางไปเพื่อการศึกษาต่อ หรือเป็นปางที่เหมาะสมกับวิชาชีพของคนที่เป็นครูบาจารย์เท่านั้น ปางลักษมีคเณศ ปางนี้พระคเณศจะประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมี 6 กร และพระหัตถ์หนึ่งโอบพระลักษมีเทวีไว้ การบูชาปางนี้เสมือนหนึ่งได้บูชาเทพทีเดียวกันถึง 2 พระองค์ในลักษณะของทวิภาคี (คเณศ -ลักษมี) กล่าวคือ ลักษมีคเณศ ย่อมมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ พูนสุข ความมั่งคั่ง มั่งมีอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ ปางวัลลยภาคเณศ ปางนี้พระคเณศจะอุ้มพระชายาทั้ง2 ไว้บนตักทั้งซ้ายและขวา ซึ่งชายาทั้งคู่คือคือนางพุทธิและสิทะ ดังที่ตำนานได้กล่าวไว้ ปางนี้ให้ความหมายในลักษณะของความสมบูรณ์ของการเป็นครอบครัวมีทรัพย์สินและบริวารมากมาย ปางมหาวีระคเณศ เป็นพระคเณศที่มีจำนวนของพระกรมากเป็นพิเศษ อาจจะ 12,14,16, กรแต่ละพระหัตถ์นั้นถือศาสตราวุธหลากหลายชนิดแตกต่างกันไปอาทิลูกศร คันธนู ดาบยาว ตะบอง ขวาน จักร บ่วงบาศ งูใหญ่ หอก ตรีศูล ปางนี้ถือกันว่าเป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรูหมู่อมิตรทั้งหลาย ดังนั้นจึงเป็นความเหมาะสมพิเศษกับบรรดานักรบ แม่ทัพนายกอง ทหาร ตำรวจและข้าราชการ ปางเหรัมภะคเณศ เป็นปางพระคเณศที่ห้อยพระบาทอยู่บนพญาราชสีห์ พระคเณศปางนี้จะมีอยู่ห้าเศียร หรืออาจจะเป็นเศียรตามปกติก็ได้ เพราะสัญลักษณ์ที่แท้จริงของปรางค์นี้ก็คือ สิงโตเท่านั้น เพราะสิงโตเป็นเจ้าป่า ดังนั้นจึงเหมาะสมที่ผู้ใหญ่ที่ต้องมีบริวารในการปกครองมาก นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บรรดดากษัตริย์ทั้งหลายแต่โบราณนิยมบูชากัน เรียกว่าเป็นสุดยอดปางของพระคเณศก็ว่าได้ ปางสัมปทายะคเณศ เป็นพระคเณศที่เราพบเห็นกันบ่อยคือ มีอาวุธอยู่ในสองพระหัตถ์บน ส่วนพระหัตถ์ล่างด้านซ้ายนั้นถือขนม และด้านขวาอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งความหมายของปางนี้คือ การอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง ปางตรีมุขคเณศ เป็นพระคเณศที่มี 3 พระพักตร์ 4 กร บ้างก็ว่ามีความหมายถึง 3 โลก บ้างก็ว่าหมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา ปางปัญจคฌณศ บางคนเรียกปางนี้ว่า พระคเณศเปิดโลก ปางวิชัยคเณศ เป็นปางที่พระคเณศทางขี่หนูเป็นพาหนะมี 4 กร พระหัตถ์ขวาด้านล่างอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งมีความหมายถึงการอยู่เหนือบริวารนั่นเอง _______________________________________________________________________
//www.geocities.com/ganes108/ganes6.htm
ฤทธิ์แห่งปัญญาของพระพิฆเณศ
มีตำนานที่กล่าวถึงความมีสติปัญญาและไหวพริบของพระคเณศไว้หลายตอน อย่างเช่นกรณี ที่ท่านเป็นผู้ลิขิตมหากาพย์ภารตะ ครั้งหนึ่ง มหาฤาษีวยาสะมีความต้องการที่จะเขียนมหากาพย์ภารตะ แต่เกรงว่าตนจะทำเองไม่สำเร็จ จึงไหว้วานให้ผู้อื่นช่วย แค่ไม่มีใครกล้าอาสาที่จะรับผลงานชิ้นนี้ ฤาษีนารอดเห็นว่าพระคเณศองค์เดียวเท่านั้นที่จะเขียนมหากาพย์ชิ้นนี้ได้ ในที่สุดฤาษีวยาสะจึงต้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระคเณศ พระคเณศบอกว่า จะเขียนตามที่ฤาษีบอก แต่ทันทีที่ฤาษีหยุดบอกจะหยุดเขียนทันที ฝ่ายฤาษีบอกว่า สิ่งที่พูดออกไปจากปากของเราต้องตีความให้ถ่องแท้ก่อนที่จะลงมือเขียน ฉะนั้นเมื่อฤาษีต้องใช้การคิดสำหรับโศลกต่อไปก็จะบอกศัพท์ยาก ๆเพื่อให้พระคเณศตีความเสียก่อนเพื่อเป็นการประวิงเวลา พระคเณศจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดอัจฉริยะในฐานะที่เป็นผู้ลิขิต มหาภารตะ ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์มหากาพย์สุดยอดของฮินดู
อย่างไรก็ตาม เรื่องมหากาพย์ภารตยุทธ์นี้ แน่นอน คงไม่มีใครเชื่อว่ามาจากฝีมือพระคเณศแน่ แต่นั่นเป็นภูมิปัญญาของปราชญ์โบราณที่ต้องการจะบอกกับคนในยุคสมัยต่อไปว่า การบูชาครูเพื่อขอดวงปัญญาในการทำงานให้ลุล่วงนั้น เป็นสิ่งสำคัญในลำดับแรก โดยเฉพาะการรจนางานในเชิงพระคัมภีร์ เหมือนเช่นพระมหาธีรราชเจ้า มักจะประพันธ์อักขระเพื่อถวายบูชาต่อพระคเณศก่อนที่จะเริ่มงานประพันธ์ทุกครั้ง มีอยู่หลายกรณี หลายเหตุการณ์ที่ท่านทรงแสดงความเป็นเทพแห่งปัญญาที่แท้จริง แต่กรณีที่เด่นๆก็อย่างเช่น กรณีเดินทางรอบโลกเพื่อผลมะม่วง ในคราวหนึ่ง พระนางอุมาได้นำเอาผลมะม่วงมาถวายกับพระศิวะผลหนึ่ง ปรากฏว่าลูกทั้งสองคนคือ พิฆเนศวรและขันธกุมาร ต่างก็อยากจะเสวยมะม่วงผลนี้ด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเหตุนี้พระศิวะจึงอยากรู้ว่า ลูกทั้งสองคนนี้ใครจะเก่งกว่ากัน โดยตั้งโจทย์ว่า ใครก็ตามหากเดินทางรอบโลกถึงเจ็ดรอบและกลับสู่วิมานปาวตา (วิมานของพระศิวะและพระนางอุมา) ก่อนผู้นั้นจะได้ผลมะม่วงลูกนี้ ว่าแล้วฝ่ายขันธกุมารก็ไม่รอช้า รีบขี่นกยูงตระเวนท่องโลกทันที ฝ่ายพิฆเนศแทนที่จะเอาอย่าง กลับเดินประทักษิณรอบบิดาเจ็ดรอบ และกล่าวว่า " ข้าแต่พระบิดา พระองค์คือจักรวาล และจักรวาลคือพระองค์ พระองค์ผู้สร้างโลก และทรงเป็นบิดาแห่งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทำประทักษิณพระบิดาเจ็ดรอบ ถือว่าได้กุศลเท่ากับเดินทางรอบโลกเจ็ดรอบ " มหาเทวะศิวะเทพยินดีในคำตอบและชื่นชมในสติปัญญา จึงมอบผลมะม่วงให้กับพระพิฆเนศวรทันที
_______________________________________________________________________
บทบาทความสำคัญของพระพิฆเณศ
คนไทยคุ้นเคยกับบรรดาเทพทั้งหลายมาช้านานแต่ในบรรดาเทพทั้งหมดคนไทยรู้จักพระพิฆเณศวร์มากที่สุด เพราะท่านเป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมากที่สุดจนกล่าวได้ว่าคนไทยยอมรับใน องค์พระพิฆเณศ เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เป็นตราประจำกรมกองต่างๆมากมาย
พระพิฆเณศ เป็นเทพแห่งปราชญ์ ความรอบรู้ต่างเป็นเทพแห่งขจัดอุปสรรคความขัดข้อง ดังนั้นหากผู้ใดเป็นผู้รู้และประสบความสำเร็จ ต่อกิจการทั้งปวงมักจะบูชาพระพิฆเณศ ์ก่อนในอินเดียเองก็มีแนวความเชื่อในเรื่องพระพิฆเณศ ์ในทุกลัทธิศาสนาไม่ว่าลัทธิที่ถือองค์พระศิวะเป็นใหญ่ นับถือพระพรหมเป็นใหญ่หรือพระนารายณ์ เป็นใหญ่ ทุกลัทธิล้วนให้ความสำคัญต่อพระพิฆเณศ ทั้งสิ้น
ด้วยทุกตำราได้กล่าวถึงที่มาของพระพิฆเณศ ไว้สูง สำคัญและฤทธิ์มาก มีความเฉลียวฉลาด มีคุณธรรม คอยช่วยเหลือปกป้องปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและ เป็นยอดกตัญญูแม้พระพิฆเณศ จะเป็นเทพที่มีความเก่งกาจ สามารถยิ่งแต่ก็เป็นเทพที่สงบนิ่งไม่เย่อหยิ่งทรนง อันเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐอีกประการหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
จึงกล่าวได้ว่า พระพิฆเณศเป็นมหาเทพที่ดีพร้อมครบถ้วนด้วยความดีงาม สมควรแก่การยกย่องบูชาเป็นนิจ
แม้แต่องค์พระศิวะมหาเทพผู้สร้างและพระบิดาแห่งองค์พระพิฆเณศ ์ยังกล่าวว่า ไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดหรือทำพิธีบูชาใด ให้ทำการบูชาพระพิฆเณศ ก่อนกระทำการทั้งปวง
ผู้ใด ต้องการความสำเร็จ ให้บูชาพระพิฆเณศ ผู้ใด ต้องการพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง ให้บูชาพระพิฆเณศ
//www.geocities.com/ganes108/ganes2.htm
_______________________________________________________________________
ความหมายของส่วนต่างๆของพระพิฆเณศ
พระคเณศ ทรงมีรูปร่างเดียว โดยทรงมีพระเศียรเป็นช้าง มีพระกรรณกว้างใหญ่ มีงวงยาว แต่ทรงมีร่างกายเป็นมนุษย์ มี 4 หรือ 6 หรือ 8 กรแล้วแต่พระภาคที่จะเสด็จมา รูปร่างของพระองค์แสดงถึงสิ่งเป็นมงคลดีเยี่ยม ซึ่งทรงสั่งสอนถึงความดีและความสำเร็จพระคเณศ ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้และปัญญายิ่งใหญ่ แต่ละส่วนของท่านให้ความหมายในเชิงปรัชญาได้ดังนี้
พระเศียร - ทรงใช้เศียรอันใหญ่ที่เต็มด้วยปัญญาความรู้ เป็นที่รวมแห่งปัญญาทั้งหมด
พระกรรณ - ทรงใช้รับฟังคำสวดจากพระคัมภีร์และความรู้ในรูปอย่างอื่น ๆอันเป็นสิ่งแรกแห่งการศึกษา
งวง - เราได้นำเอาความรู้ต่าง ๆที่ได้รับจากการเลือกเฟ้นระหว่างทวิลักษณะ ความผิด-ถูก ความดี-ความชั่ว อันมีงวงช้างที่ยาวและใหญ่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำหรือการค้นหาสิ่งที่ดีงามต่างๆ อันปัญญานั้นเกิดขึ้นเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาของชีวิตให้หลุดพ้นจากอุปสรรค และพบกับความสำเร็จสมดั่งความมุ่งหมาย
งา - งาข้างเดียวโดยอีกข้างหักนั้น เพื่อแสดงให้รู้ว่าจะต้องอยู่ในเหตุระหว่างความดี-ความชั่ว ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ดีถึงความแตกต่างกัน ดั่งเช่น ความเย็น-ความร้อน การเคารพ-การดูหมิ่นเหยียดหยาม ความซื่อสัตย์-ความคดโกง
หนู - แสดงถึงความปรารถนาของมนุษย์
บ่วงบาศ - ทรงถือโดยทรงลากจูงคนทั้งหลายให้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์
ขวาน - เป็นอาวุธทรงใช้ปกป้องความชั่วร้ายและคอยขับไล่อุปสรรคทั้งหลาย ที่มาก่อกวนต่อบริวารของพระองค์ ขนมโมทกะ - ข้าวสุกผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก เพื่อประทานให้เราเป็นรางวัลต่อการที่เราปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระองค์
ท่าประทานพร - หมายถึงความยิ่งใหญ่แห่งความผาสุกและความสำเร็จให้กับสาวกของพระองค์
//www.geocities.com/ganes108/ganes4.htm
_______________________________________________________________________
ตำนานแห่งการเสียงาของพระพิฆเณศ
มีหลายตำนานมาก พอจะแบ่งได้ดังนี้
ตำนานแรก ปรศุรามใช้ขวานจาม ปรศุรามนั้นเป็นอวตารของวิษณุเทพ กล่าวว่า ปรศุรามได้ยืมขวานจากพระศิวะไปทำลายเหล่ากษัตริย์ เมื่อเสร็จภารกิจจะเข้าเฝ้าที่เขาไกรลาส ระหว่างนั้นบริเวณพระที่นั่งชั้นใน พระศิวะมหาเทพกำลังสนทนาอยู่กับนางปราวตี พระคเณศไม่ยอมให้ปรศุรามเข้าพบ ปรศุรามโมโหเลยใช้ขวานของพระศิวะขว้างไปยังพระคเณศ พระองค์จำใจต้องใช้ใช้งาข้างซ้ายรับขวานนั้น ด้วยเหตุที่ท่านทรงมีความกตัญญูเป็นอย่างยิ่งในบิดา ครั้นจะต่อสู้กันไปก็อาจทำได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรกับการทำลายฤทธิ์เดชของอาวุธซึ่งเป็นของบิดาตนเอง
ตำนานสอง ได้เศียรช้างงาเดียว เมื่อคราวที่พระศิวะได้ทำพิธีโสกัต์และพระวิษณุเทพพลั้งเผลอเปล่งวาจา ยังผลให้เศียรของกุมารหายไปนั้น ได้มีเทวโองการให้หาเศียรของมนุษย์ที่เสียชีวิตมาต่อให้ แต่ปรากฏว่าในวันอังคารนั้นไม่มีมนุษย์ผู้ใดถึงฆาต มีเพียงช้างงาเดียวที่นอนตายอยู่ทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรมาต่อให้
ตำนานสาม โดนพระศิวะใช้ขวานจาม เมื่อคราวที่กุมารน้อยถือกำเนิดใหม่ ๆและเฝ้าปากทวารห้องสรงน้ำของพระแม่ปราวตีนั้นพระศิวะไม่ทราบว่าเป็นลูก เลยเกิดการต่อสู้กันพระศิวะโมโหจึงใช้ขวานขว้างไปโดนงาของพระคเณศหัก
ตำนานสี่ งาถอดได้เองตามธรรมชาติ เมื่อคราวที่พระคเณศต่อสู้กับอสูรอสุรภัค พระคเณศแสดงเดชโดยการถอดงาของตัวเองขว้างไปที่อสูร
//www.geocities.com/ganes108/ganes9.htm
_______________________________________________________________________
//www.geocities.com/kanes108/ _______________________________________________________________________
*****พระพิฆเนศ***** เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ (ความเชื่อของ...ฮินดู)
เป็นเทพเจ้าผู้บันดาลให้เกิดอุปสรรค ความขัดข้องทั้งมวล หรือจะทรงนำพาข้ามพ้นอุปสรรค จึงมีความเชื่อต่อผู้นับถือ เป็น...เทพเจ้าผู้บันดาลความสำเร็จแห่งกิจการทั้งปวง
คาถา...โอม ศรีคเณศายะ นมะ
ศาสนาฮินดู นับถือยิ่งนัก
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
เคยออกแบบเทวรูปพระคเณศ สร้างไว้ในวิทยาลัยนาฏศิลปตามจังหวัดต่างๆ เป็น...ตราสัญลักษณ์ ของ...กรมศิลปกร หรือตามพิพิธภัณฑ์
องค์ที่นับว่าสวยที่สุด ในเมืองไทย
พระคเณศ ณ เทวาลัยหน้าห้างสรรพสินค้าอิเชตัน
_______________________________________________________________________
องค์ที่นำมาเสนอประกอบภาพนี้ เป็นของผมเอง เพื่อไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น ความเชื่อก็คือความเชื่อ เป็นหลักยึดเหนี่ยวทางใจ ให้คิดดี ทำดี เป็นคนดี พระจะได้คุ้มครอง
-----------------------------------------------------------------------
พระพิฆเนศวร์
พระพิฆเนศวร์ หรือ พระคเณศ เทพเจ้าซึ่งมีเศียรเป็นช้าง มีกำเนิดจากตำนานเทพพื้นเมืองอินเดีย ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญใน ศาสนาฮินดู ูและได้แผ่ขยายความเชื่อถือศรัทธามาสู่แผ่นดินสยามตั้งแต่ครั้งโบราณ จึงปรากฏรูปประติมากรรมพระพิฆเนศวร์ ณ โบราณสถาน และสักการะสถานหลายแห่ง หลายอายุสมัยทั่วประเทศ
แนวคิดหลักประการสำคัญกล่าวว่า พระพิฆเนศวร์เป็นเทพผู้ประทานความสำเร็จ เป็นเทพที่สามารถขจัดอุปสรรคกีดขวางทั้งปวงได้ บุคคลผู้บูชาจะเกิดความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นด้านกิจการงานใด ๆ
จึงยกย่องว่า พระพิฆเนศวร์
เป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการ
เทพเจ้าแห่งความฉลาด รอบรู้
เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ
เทพประจำเรือน
เทพผู้ประทานความอุดมสมบูรณ์
เทพผู้คุ้มครองป้องกันขัดขวงสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง
หรือกล่าวได้ว่าเป็น เทพเจ้าแห่งจักรวาล
ดังนั้น เมื่อจะประกอบพิธีกรรมใด ๆ ก็มักจะเป็นเทพที่ได้รับการบูชาก่อนการบูชาเทพองค์อื่น ๆ เพื่อความเป็นศิริมงคลให้พิธีกรรมและงานดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไป ได้ด้วยดีโดยปราศจากอุปสรรค
พิธีกรรมและวันสำคัญบูชาพระพิฆเนศวร์ที่ยึดถือกันมาคือ
ประจำปี วันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๙ และวันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ส่วนในแต่ละเดือน บูชาวันขึ้น ๔ ค่ำ และแรม ๔ ค่ำ ของแต่ละเดือน ของที่ถวายเช่น ขนมโมทกะ ขนมหวาน ผลไม้ นมสด หญ้าแพรก เป็นต้น สำหรับบทสรรเสริญพระพิฆเนศวร์ มีหลายบท คาถาบูชาจำง่ายสั้น ๆ ดังนี้
โอมศรีคเณศายะนะมาฮา
ประวัติ กรมศิลปากร
นับแต่อดีตที่ล่วงเลยมาเป็นเวลานานก่อน พ.ศ. ๒๔๕๔ มรดกศิลปวัฒนธรรมไทย โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม การละคร ดนตรี ฟ้อนรำ งานช่างประณีตศิลป์ การหอสมุด จดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์ ฯลฯ อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงาน กรม กระทรวงต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ไม่มีการรวบรวม จัดไว้ใน ความรับผิดชอบ ของหน่วยงานใด เป็นการเฉพาะ
จนกระทั่งในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ ทรงเล็งเห็นความสำคัญ "มรดกศิลปวัฒนธรรม" อันเป็นรากเหง้า ของชีวิต และบ้านเมือง จึงทรงมีพระราชดำริ ให้โอนกิจการของช่างมหาดเล็ก จากกระทรวงวัง และกรมพิพิธภัณฑ์ จากกระทรวงธรรมการ มาจัดตั้งเป็น " กรมศิลปากร"
เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๙
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้โอนงานพิพิธภัณฑ์ ไปอยู่ในความควบคุมดูแลของ กรรมการหอพระสมุดฯ และได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งราชบัณฑิตยสภา เรียกว่า " ศิลปากรสถาน"
กรมศิลปากร จึงถูกยกเลิกไป ตามประกาศ พระบรมราชโองการฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือ เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๔๗๖ ก็ได้มี พระราชบัญญัติ จัดตั้งกรมศิลปากร ขึ้นมาใหม่ อีกครั้ง โดยสังกัด กระทรวงธรรมการ หลังจากนั้น ได้มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ส่วนราชการภายใน และย้ายสังกัด เพื่อความเหมาะสม หลายครั้ง จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๑ จึงได้ม ีพระราชบัญญัติ โอนกรมศิลปากร มาสังกัด กระทรวงศึกษาธิการ จนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน กรมศิลปากรมีหน้าที่ และความรับผิดชอบในการผดุงรักษา อนุรักษ์ ส่งเสริม เผยแพร่ศิลปวิทยาการและวัฒนธรรมของชาติในด้านต่าง ๆ อาทิ ศิลปกรรม วรรณกรรม การศึกษา ค้นคว้า ด้านโบราณคดี ประวัติศาสตร์ การจดหมายเหตุแห่งชาติ และการดูแลรักษา บูรณะโบราณสถาน โบราณวัตถุ และศิลปวัตถุของชาติ จนถึงทุกวันนี้ รวมเป็นเวลา ๘๘ ปี
ปัจจุบัน การแบ่งส่วน ราชการภายใน และอำนาจหน้าที่ ของกรมศิลปากร ได้เป็นไปตาม พระราชกฤษฎีกา แบ่งส่วนราชการ กรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๓๘ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๑
บทบาทหน้าที่
๑. ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รวมทั้งกฎหมาย และระเบียบอื่น ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้อง
๒. บำรุงรักษา อนุรักษ์ ฟื้นฟู ส่งเสริม สร้างสรรค์ และเผยแพร่ ศิลปวิทยาการ และวัฒนธรรมชาติในด้าน
พิพิธภัณฑ์ โบราณคดี และโบราณสถาน วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี หอสมุดแห่งชาติ และหอจดหมายเหตุแห่งชาติ นาฎศิลป์ ดุริยางคศิลป์ คีตศิลป์ สถาปัตยกรรม และศิลปกรรม ๓. จัดการศึกษาด้านนาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ คีตศิลป์ และช่างศิลป์ ทั้งในระบบและนอกระบบ
จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านช่างศิลป์ นาฎศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และคีตศิลป์ ทั้งไทยและสากล และศิลปวัฒนธรรม จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านช่างศิลป์ นาฎศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และคีตศิลป์ ทั้งไทยและสากล และศิลปวัฒนธรรม ๔. ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม ด้านการพิพิธภัณฑ์ โบราณคดี โบราณสถาน ภาษาไทย วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี หอสมุดแห่งชาติ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ นาฎศิลป์ คีตศิลป์ สถาปัตยกรรม และศิลปกรรม
๕. ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมาย กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ กรมหรือตามที่กระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
พระพิฆเนศนั้นเป็นดวงตราประจำของกรมศิลปากร โดยลายกลางเป็นพระพิฆเณศ รอบวงกลมเป็นดวงแก้ว 7 ดวงอันหมายถึง ศิลปวิทยาทั้ง 7 แขนงคือ ช่างปั้น, จิตรกรรม, ดุริยางคศิลป์, นาฏศิลป์, วาทศิลป์, สถาปัตยกรรม, อักษรศาสตร์ พระพิฆเณศนั้นสวมสังวาลย์นาค พระหัตถ์ขวาบนถือวัชระ พระหัตถ์ขวาล่างถืองาหัก หัตถ์ซ้ายเบื้องบนถือบ่วงบาศ เบื้องล่างถือครอบน้ำ (ขันน้ำมนต์หรือหม้อน้ำ)
พระพิฆคเณศ เทพผู้ขจัดอุปสรรค
ชาติกำเนิดอย่างเป็นรูปธรรมของ พระพิฆเณศ เริ่มต้นในราวพุทธศตวรรษที่ 11 พระพิฆเณศ อยู่ในฐานะของพระราชโอรสของเทพและพระศรีอุมาเทวี 2 โดยมีพระขันธกุมาร เป็นน้อง พระพิฆเณศนั้นเป็นเจ้าแห่งอุปสรรค ดั้งนั้นการบูชาพระองค์ท่านก็เพื่อช่วยให้พ้นอุปสรรคและความขัดข้องทั้งหลายเสียให้หมดสิ้น และในขณะเดียวกัน พระอง๕ท่านได้ชื่อว่าเป็นบรมครูทางศิลปะทั้งมวล ดังนั้น ตามหลักประเพณีโบราณนั้นถือว่า พระพิฆเณศต้องรับการบูชาก่อนพระองค์อื่นเสมอ พระพิฆเณศมีปางต่าง ๆ มากมาย แต่ละปางล้วนมีความหมายต่างกัน อีกทั้งแต่ละปางก็ยังถืออาวุธอันแตกต่างกันออกไปด้วย
ปางพาลคเณศ เป็นพระในวัยเด็ก รูปลักษณะที่เห็นมักจะอยู่ในท่าที่คลานอยู่กับพื้น ถ้าโตขึ้นมาหน่อย จะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัว มี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งหมายถึงความมีสุขภพดีของเด็ก
ปางนารทคเณศ ปางนี้จะอยู่ในอริยบทยืน มี 4 กร ถือคัมภีร์หม้อน้ำกมัลฑลุ ไม้เท้าและร่ม เป็นสัญลักษณ์ของผู้เดินทางไกลไปศึกษาต่อ หรือบุคคลที่อยู่ในอาชีพครู
ปางลักษมีคเณศ ปางนี้มักประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมี 6 กร โดยพระหัตถ์หนึ่งจะโอบพระลักษมีเทวีไว้ และมีโอกาสได้บูชาเทพทั้ง 2 พระองค์ในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะพระลักษมีเทวีมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่งและความมั่งมีทั้งหลาย
ปางวัลลยภาคเณศ ปางนี้พระพิฆเณศจะอุ้มพระชายาทั้งสองไว้บนตักทั้งซ้ายและขวา พระชายาทั้งสองหมายถึงนางพุทธิและนางสิทธิ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของครอบครัว มีทรัพย์สินและบริวารมากมาย
ปางมหาวีระคเณศ เป็นพระพิฆเนศที่มีจำนวนพระกรมากเป็นพิเศษ อาจจะ12, 14, 16 กร แต่ละพระหัตถ์ ถืออาวุธที่ต่างกันไป เช่น ลูกศร, คันธนู, ดาบดาง, ตะบอง, ขวาน, จักร, บ่วงบาศ, งูใหญ่, หอก, ตรีศูล ปางนี้เหมาะแก่การทำศึกสงครามกับหมู่อมิตรทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกบรรดาแม่ทัพ นายกอง ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ บูชาดีนักแล
ปางเหรัมภะคเณศ เป็นพระพิฆเณศที่ห้อยพระบาทอยู่บนพระยาราชสีห์ พระพิฆเณศปางนี้จะพิเศษกว่าปางอื่นตรงที่มี 5 เศียร เป็นปางที่เหล่ากษัตริย์บูชามาตั้งแต่โบราณกาล หมายถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
ปางสัมปทายะคเณศ เป็นพระพิฆเณศที่เราพบเห็นกันบ่อยมากเป็นปางเพื่อการประทานพรให้ประสพความสำเร็จ
ตรีมุขคเณศ เป็นพระพิฆเณศ 3 พระพักตร์ 4 กร
ปัญจคเณศ เป็นพระพิฆเณศเปิดโลกธาตุ
วิชัยคเณศ เป็นพระพิฆเณศที่ขี่หนูเป็นพาหนะ มีความหมายว่าอยู่เหนือบริวารนั่นเอง
อันตำนานชาติกำเนิดของพระพิฆเณศว่ากันไปหลายทาง อาทิ พระนางปารวตี มเหสีของพระศิวะมหาเทพ ทรงมีพระสหายคู่พระทัยอยู่ 2 นาง คือ ชยา และ วิชยา นางทั้งสองได้แนะนำมหาเทวีว่า คนที่รับใช้พระนางอยู่ในขณะนี้นั้นล้วยแต่เป็นบริวารของพระศิวะทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น นนที, ภฤงคิ แต่ถ้าพระนางจะมีคนรับใช้ที่เป็นบริวารของพระนางเองคงจะดีไม่น้อย วันนั้น พระนางปราวตีไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับแต่อย่างไร จนคราวหนึ่งในระหว่างที่นางกำลังสรงน้ำอยู่ พลันนึกถึงคำพูดของพระสหายทั้งสอง จึงนำเอาเหงื่อไคลของพระนางมาสร้างเป็นบุรุษงาม ลำดับนั้น พระเทวีทรงมีโองการให้ไปเฝ้าหน้าทวารห้ามมิให้ใครเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต วันหนึ่งพระมหาเทพได้เสด็จมายังที่ประทับของพระนาง ขณะนั้นพระนางอยู่ในห้องสรงน้ำพอดี บุรุษผู้นี้ขวางประตูทวารทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีเยี่ยม พระศิวะทรงพิโรธด้วยเห็นว่า บุรุษผู้นี้ไร้กาละเทศะจาบจ้วงมหาเทวะ ผู้เป็นสามีของพระนางปาราวตี จึงทรงมีเทวบัญชาให้ภูติและคณะของพระองค์ทรงสังหารทวารบาลผู้นี้ทันที แต่บรรดาบริวารของพระศิวะเทพกลับไม่มีใครเอาชนะได้ จนต้องไปอัญเชิญพระวิษณุมาช่วย ฝ่ายนางปราวตีได้ยินเสียงอาวุธที่สัปยุทธ์กัน ทั้งพระสหายทั้งสองมารายงานว่า ฝ่ายเทวดายกพลมาโรมรันนายทวารบริวารของพระองค์ นางได้ยินดังนั้นจึงสร้างบริวารขึ้นเพื่อช่วยเหลือนายทวารผู้นั้น พระวิษณุเทพได้ใช้อุบายจนสามารถตัดเศียรของนายทวารผู้นั้นได้ ดังนั้นฝ่าเทวีจึงไม่ยอมเข้าทำการรบพุ่งกับฝ่ายเทวะ เป็นศึกสงครามระอุไปทั่ว ในที่สุดฤษษีนารัทต้องมาอ้อนวอนสรรเสริญให้พระเทวีเยือกเย็น และขอให้ยุติศึก พระศิวมหาเทพจึงมีเทวโองการให้เทวดาเดินทางไปยังทิศเหนือ และนำศรีษะของสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่ได้พบเพื่อมาต่อกับเศียรที่ขาดหายไป เทวดาได้นำศรีษะของช้างซึ่งมีงาเดียวมาต่อเข้ากับพระศอของบุตรพระเทวี ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ พระโอรสของพระนางจึงมีนามว่า คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง), เอกทันตะ (มีงาข้างเดียว), เมื่อบุรุตบุตรพระเทวีฟื้นคืนชีพขึ้นจึงทราบว่า พระศิวะนั้นเป็นบิดาจึงได้ขอขมาโทษพระองค์และเหล่าเทวดาทั้งหลาย เนื่องจากตนต้องปฏิบัติตามมอบหมายจากพระเทวี หลังจากนั้นพระศิวะมหาเทพได้ประสาทพรให้พระโอรสเป็นพระคณปิติ (ผู้มีอำนาจ-ผู้ยิ่งใหญ่) มีอำนาจเหนือภูติทั้งหลาย จากตำนานดังกล่าวนี้ พระคเณศจึงมีหลายพระนามเช่น คชานนะ, เอกทันตะ, คณปิติ
บางตำนานว่าคราวหนึ่งพระศิวะมหาเทพ ได้เคยประทานพรแก่ผู้สักการะบูชาพระศิวลึงค์ที่โสมนาถว่า จะไม่ตกนรก ดังนั้นจึงเป็นช่องว่าให้คนชั่วเหล่านั้นพากันไปกราบไหว้บูชา จนสวรรค์เต็มไปด้วยคนชั่วร้าย ความดังกล่าวรู้ถึงพระเทวี ดังนั้นวันหนึ่งขณะที่นางสรงน้ำอยู่จึงเอาน้ำมัน ที่ใช้ในการสรงน้ำผสมกับเหงื่อไคลของพระองค์ ปั้นเป็นรูปคนที่มีหัวเป็นช้าง จากนั้นจึงได้เอาน้ำจากพระคงคามาประพรมให้มีชีวิตขึ้น พระนางบอกกล่าวแกเทวดาทั้งหลายว่า บุรุษผู้มีเศียรเป็นช้างผู้นี้มีหน้าที่ขัดขวางคนชั่วมิให้ไปบูชาศิวลึงค์ที่โสมนาถ เพื่อให้คนชั่วเหล่านี้ได้ตกนรกทั้ง 7 ขุม
อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่าพระศิวะมหาเทพ ได้ประทานพรให้ทำการพลีบูชาที่วิหารโสมีศวร ได้ขึ้นสวรรค์ดังนั้นจึงมีพวกศูทร คนบาปและคนป่าเถื่อนทั้งหลายเป็นจำนวนมากนิยมขึ้นสวรรค์ด้วยวิธีนี้ พระอินทร์และเหล่าเทวดาทั้งหลาย
ได้รับความเดือดร้อนป็นอันมากจึงเข้าเฝ้าพระนางปราวตีเป็นลำดับต่อไป พระนางทรงลูบวรกายเบา ๆ บังเกิดเป็นเป็นบุรุษหนึ่งเศียรเป็นช้างมี 4 พระกร พระเทวีตรัสว่า พระองค์ทรงสร้างบุรุษนี้ตามประสงค์ของเทวดา เพื่อสร้างความขัดข้องแกมนุษย์ในการบูชาที่วิหารโสมมีศวร ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์บาปเหล้านั้นต้องตกนรก
ในปุราณะเดียวกันยังมีอีกตำนานหนึ่งว่า มีนางรากษสคนหนึ่งนามว่า มาลินี ในคราวหนึ่งนางปราวตีได้เอาคราบไคลและน้ำมัน มาผสมกันและออกเดินทางไปรับประทาน ให้นางรากษสตนนั้นซึ่งอาศัยอยู่ที่ปากแม่น้ำคงคา เมื่อนางรากษสได้กินคราบไคลแล้วตั้งครรภ์ขึ้น บังเกิดเป็นบุรุษหนึ่งมีเศียรเป็นช้าง 5 เศียร นางปารวตีและพระศิวะเทพรับเอาบุตรนางรากษสนั้นมาเป็นพระโอรส พระศิวะมหาเทพทรงรวมเศียรทั้ง 5ให้ เป็นหนึ่งเดียว และพระราชมานนามว่า วิฆเนศวริ (ผู้ขวางเสียซึ่งความขัดข้อง)
อีกตำนานหนึ่งว่า หลังจากงานอภิเษกของพระศิวะมหาเทพกับนางปราวตีแล้ว ทั้งสองพระองค์อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลายาวนาน แต่ไม่ปรากฏว่ามีโอรสและธิดาใด ๆ พระศิวะมหาเทพจึงทรงแนะนำให้พระนางทำพิธีปันยากพรต (บุญยักวริตะ) ขึ้นเพื่อบูชาพระวิษณุเทพ ในวันที่ 13 ค่ำ เดือนมาฆะ พิธีดังกล่าวจะต้องทำเรื่อย ๆ ไปตลอด 1 ปี พระวิษณุเทพพึงพอใจในการปฏิบัติศาสนกิจของนางปราวตี จึงมีเทวโองการให้พระกฤษณะอวตารไปเฝ้าพระเทวี ด้วยรูปร่างอันสง่างามและประทานให้พระเทวีปราวตีเกิดสิ่งปกติ กล่าวคือ ทรงไปเกิดเป็นพระโอรสที่มีอำนาจเหนือทุก ๆ คน และเป็นที่สักการะแห่งเทพเจ้าทั้ง 3 โลกและมวลมนุษย์ทั้งหลาย.- __________________________________________________________________
พระพิฆเณศวร เทพเจ้าแห่งวิชาการ และศิลปศาสตร์ทั้งปวง องค์นี้ประดิษฐานอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าอิเซตัน
_______________________________________________________________________
โอมนะโม พระคะเณศายะ นะโมนะมะ คันธะมาละ สิทธาหะนัม กะพะมะนะ สัมมาอะระหัง วันทามิ สัมมาอะระหัง วันทามิ สัมมาอะระหัง วันทามิ
( คำสวดบูชาพระคเณศ ในบริเวณวิทยาลัยนาฎศิลป )
บุคคลใดยึดมั่นศรัทธาในองค์พระคเณศ น้อมจิตนมัสการพระองค์ท่านว่า
นโม คเณสายะ วิฆเนสารายะ
ย่อมจะได้รับการคุ้มครอง และได้รับการประสิทธิ์ประสาท ให้เกิดความสำเร็จในกิจการที่ปรารถนาทุกประการ
_______________________________________________________
_______________________________________________________
_______________________________________________________
_______________________________________________________
_______________________________________________________
Create Date : 04 ตุลาคม 2548 |
| |
|
Last Update : 8 มีนาคม 2554 9:10:47 น. |
| |
Counter : 13983 Pageviews. |
| |
|
|