เกริ่นนำ เปิดตัว
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่านก่อนอื่นขอแสดงเจตนาบริทธิ์ก่อนว่า ที่เขียนข้อมูลบทความหาได้ชวนท่านผู้อ่าน ไปลงทุน หรือเก็งกำไร เพียงบันทึกไว้บางส่วนหากท่านนำข้อมูลเหล่านี้ซื้อ หรือ ขายกำไร หรือ ขาดทุนจากข้อมูลเหล่านี้ ท่านต้องเข้าใจด้วยว่าเงินในกระเป๋าของท่านที่ควักออกมาซื้อหุ้นนั้นหาได้มีใครเอาปืนมาจี้ ข่มขู่ หรือบังคับหากเกิดข้อผิดพลาดจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ท่านต้องโทษตัวเองอย่าหาแพะมารับบาป ห้ามโทษผู้อื่นโดยเด็ดขาด ด้วยความปราถนาดี โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านผมได้รับแรงบันดาลใจจากการเล่นหุ้น นับถือ ศรัทธา เลื่อมใสหากไม่มีท่านเหล่านี้ ผมคงไม่มีแรงบันดาลใจ เขียนเรื่องเหล่านี้เลยครับขอยกย่องท่านเหล่านี้ ไว้ ณ.ที่แห่งนี้เฮีย ดับเบิ้ลคอ (เฮียคลายเครียด)ในภาพจะเห็นได้ว่า เฮียหลบให้ผมโชว์ความหล่อให้ผมคนเดียวเฮียเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ที่ผมรักนับถือ เฮียให้ข้อคิดมากมายเตือนสติในโลกของการลงทุน เฮียปลอบใจเสมอพันคนทุกข์พันอย่างเป็นสัจธรรม เฮียตั้งสำนักTemple Boxing School เป็นผู้บัญญัติคำ มนุษย์หุ้น มันก็เป็นเช่นนั้นเองรับปรึกษาและแนะนำได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องยืมตังค์______________________________________________________ คุณธันวา เลาหศิริวงศ์จาก...www.thaivi.comคุณธันวาเป็นนักลงทุน Good Investorผมได้เรียนรู้ถึงการบริหารธุรกิจ รู้จัก IBM ดีขึ้นเห็นถึงความมีจรรยาบรรณ ความโปร่งใสในการประกอบธุรกิจความซื่อตรงต่อการทำงาน ผมปรับเปลี่ยนการลงทุนที่ไม่ได้มุ่งหวังแต่ผลกำไร แต่มุ่งไปที่ความสุขใจกับอนาคตตามวิสัยทัศน์__________________________________________________หนุ่มน้อยคนนี้มาแทนคุณพ่อ ชาญชัย ยงปิยะกุลพ่อมดการเงิน ตอบปัญหาได้มากกว่าศิราณีแห่งเดลินิวส์อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของผม เทคนิคทางคอมพิวเตอร์เครื่องมือการเขียนบล็อก ตลอดจนโปรแกรม และมากมีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา__________________________________________________คุณมนตรี นิพิฐวิทยาผู้ก่อตั้งเวปไทยวิ ผู้เขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค อ่านก่อนรวยถาวรกว่าถ้ายังไม่อ่าน จะรวยไม่ค่อยถาวร นะอิอิผมชอบเรียกคุณมนว่า เจ้าสำนัก....ผู้เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ เป็นกันเองมาโดยตลอด_____________________________________________________________________คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐนักเขียนคอลั่มน์นิสต์ ปากกาคม คารมดี______________________________________________________คุณเจ๋ง ที่รักวิธีการลงทุน แบบบับเฟต์สไตล์การลงทุนซื้อทั้งบริษัท เป็นเงินเท่าไหร่....มันดีนะ มันถูกนะ ทำไมราคามันยังลงมาอีกนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในโลกการลงทุนของผม______________________________________________________น้องธิติพล ศรัทธาพรถึงแม้ว่ายังหนุ่ม แต่ความคิดริเริ่มแบบผู้นำอ่านหุ้นเก่ง เขียนกลอนแบบมืออาชีพและได้ให้การสนับสนุนผม ได้เขียนเรื่องราวต่างๆมากมายขอบคุณทุกท่านครับ __________________________________________________________________ ______________________________________________________"ละครบทเก่าของนักเล่นหุ้น "ฆ่าตัวตาย-ประท้วง-คลังแทรกแซง" จากนิตยสารผู้จัดการ( ธันวาคม 2538)ข่าวร้ายยุคไร้สติปราบเซียนหุ้นสิ้นปี กดดันให้วิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพต้องฆ่าตัวตายประท้วงตลาดหลักทรัพย์เปรียบไปก็เหมือนโศกนาฎกรรมในบ่อนการพนัน ที่ผู้เล่นยอมรับกติกาบ่อนไม่ได้และมองโบกในแง่ร้ายกว่าความเป็นจริง กติกาที่ว่านี้คือมาตรการฟอร์ชเซลล์ที่บังคับขายหุ้นที่ไปวางค้ำประกันเงินกู้มาเล่นหุ้น เพื่อลดความเสี่ยง"แม้จะมีการประท้วงด้วยการยิ่งด้วยการยิงตัวตาย ก็ไม่ได้กระทบต่อหน้าที่ของผมเพราะจะทำอะไรต้องมีสติและรอบคอบ ไม่ใช่เมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว ทำอะไรไม่ถูก ซึ่งผมจะอยู่หน้าที่ในฐานะผู้นำของตลาดหุ้นต่อไป" เสรี จินตนเสรียืนยัน ฐานะกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ต่อไป หลังหายช็อคจากเหตุร้ายที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาการประท้วงกดดันให้ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ลาออกครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ในปี 2525 ยุคตลาดหุ้นที่เคยซื้อขายกันวันละ 250 ล้านบาทต่อวัน ลดเหลือเพียงวันละไม่ถึง 10 ล้าน นักเล่นหุ้นรายย่อยแบบมาร์จิ้นต่างเจ็บหนักขณะที่โบรกเกอร์กลุ่มหนึ่งก็เรียกร้องให้กระทรวงการคลังยุคปู่สมหมาย ฮุนตระกูลเป็น รมว. คลังเข้าช่วยเหลือภาวะซบเซานี้ ผลจากการแทรกแซงครั้งนั้นทำให้สามผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์ยื่นใบลาออก ได้แก่บัณฑิต บุณยะปานะ ประธานกรรมการ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม กรรมการและผู้จัดการทั่วไป และทวี วิริยฑูรย์ รองผู้จัดการตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาของตลาดหลักทรัพย์โศกนาฏกรรมของผู้ลงทุนรายย่อยได้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2520 หุ้นของราชาเงินทุนของเสรี ทรัพย์เจริญที่ปั่นราคาจาก 275 บาท พุ่งขึ้นสูงสุด 2,470 บาท และภายในปีเดียวกันก็หล่นวูบลงเหลือ 375 บาท บริษัทราชาเงินทุนมีปัญหาชำระเงินคืนลูกค้าผู้ตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ได้ เพราะเช็คเด้งเนื่องจากแบงก์กรุงเทพปฏิเสธการจ่ายเงิน จนทางแบงก์ชาติต้องเพิกถอนใบอนุญาตนักเก็งกำไรที่กู้ยืมเงินทองทั้งหมดซื้อหุ้นเพิ่มทุน เพื่อหวังรวยจากลูกหุ้นราคาถูกต่างก็สิ้นเนื้อประดาตัว บ้างก็โดดตึกฆ่าตัวตาย บ้างก็เป็นบ้าเคาะกระดานสูง-ต่ำอยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญา เป็นที่น่าสลดสังเวชใจแม้เวลาจะเพิ่มประสบการณ์ชีวิต แต่สัจธรรมที่ว่าความโลภไม่เคยปรานีใครก็ทำให้เกิดเหยื่อรายใหม่ ๆ เกิดขึ้นเพราะคิดว่าเป็นคนละเรื่องที่น่าจะออกตัวได้ทัน แต่อนิจจา กรณีของวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพก็เกิดขึ้นฟ้องตัวเองว่ากู้ยืมเงินเล่นหุ้นและติดหุ้นราคาสูงไว้ เมื่อถูกบังคับขายก็แทบบ้าฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงเสรี โชคร้ายที่วิวัฒน์ลืมคิดไปว่า ในการพนันทุกชนิดคนรวยที่สุดคือ "เจ้ามือ" ส่วนคนที่เล่นชนะแล้วรู้จักเลิกเล่น นั่นแหละคือหนทางรอดท่ามกลางความวิตกกังกลเกี่ยวกับปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่ง ดร. สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นถึง 3 แสนกว่าล้านบาทหรือเกือบจะถึง 7% ของจีดีพี ทำให้นักลงทุนต่างชาติขนย้ายเงินหนีไปหาตลาดอื่น ๆ กระทบกระเทือนดัชนีหุ้นตกต่ำวันละ 15-20 จุด การแก้ไขปัญหาดุลบัญชีเดินสะพัดต้องใช้เวลาหลายปีที่จะลดยอดขาดดุลให้เหลือต่ำกว่า 1% ตามเป้าหมาย ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่าต่อให้เทวดามาเกิดก็แก้ไม่ได้ระยะสั้น แต่ที่หยิบกยมาเป็นประเด็นคือความไม่เชื่อมั่นในผู้บริหารกระทรวงการคลัง"ถ้ามีความมั่นใจ ทุกคนก็จะยอมซื้ออนาคต แต่หลังจากที่ผ่านมา 3 เดือนต่างชาติดูแล้วไม่ค่อยแน่ใจก็เลยขายดีกว่า" ดร. สมชายวิเคราะห์เหตุให้ฟังวิกฤตการณ์ตลาดหุ้นขณะนี้เป็นหนึ่งในแรงกดดันทางการเมือง ที่มีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล และเศรษฐกิจโดยม็อบเซียนหุ้นและโบรกเกอร์ต่างดาหน้าสู่ทำเนียบรัฐบาล และรุกหนักทางกระทรวงการคลังให้แทรกแซงเข้าช่วยเหลือเหมือนละครฉากเก่า ๆ ที่เคยเป็นมาแรงกดดันทางการเมืองนี้ผลักดันให้บทบาทของสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะประธานกรรมการต้องออกมาทำหน้าที่ "หมอใหญ่" ผ่าตัดรักษาคนไข้โรคถุงเงินอักเสบ ด้วยมาตรการเสริมสภาพคล่องในตลาดตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. ศกนี้ ด้วยการจัดสรรเงินกู้ 30,000 ล้านบาทที่ระดมผ่านแบงก์กรุงไทยแก่ผู้เล่นหุ้นในอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน 10% ต่อปีเม็ดเงินที่อัดฉีดไป 30,000 ล้านบาทนี้แบ่งเป็นสองก้อน ก้อนแรก 10,000 ล้านบาทให้กับนักเล่นหุ้นประเภทมาร์จิ้นผ่อนชำระโดยไม่เรียกหลักประกันเพิ่มหรือบังคับขาย ส่วนที่เหลือ 20,000 ล้านบาทเสริมสภาพคล่องโดยแบงก์กรุงไทยจะเป็นคนคัดเลือกให้สินเชื่อแก่บริษัทในสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ที่จะเป็นผู้กำหนดซื้อหุ้นที่มีสภาพคล่องสูงนอกจากนี้การปรับลดอัตราอินนิเชียลมาร์จินลงจากเดิมที่คิดในอัตรา 40% เหลือ 30% ก็เพิ่มกำลังซื้อให้มากขึ้นเนื่องจากมีเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้ามาเสริมสภาพคล่อง เสริมด้วยมาตรการที่ให้ออกซิเจนแก่คนไข้หนัก ด้วยการรับจำนำใบหุ้นเก่าซึ่งถือเป็นทางออกสำหรับผู้เล่นหุ้นที่ถูกบังคับขายในบางส่วนด้วยแต่มาตรการระยะสั้นทั้งหลายทั้งปวงที่เร่งเสริมสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์นี้ มีปัญหาใหญ่ที่หนักหน่วงอยู่ประการเดียว คือคนไข้ไม่มั่นใจว่า "หมอใหญ่" อย่างสุรเกียรติ์ เสถียรไทยจะชำนาญโรคหรือไม่ ?!ดังนั้นข่าวร้ายสิ้นปีนี้จึงอาจจะเป็นแรงกดดันทางการเมืองที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐมนตรีคลังคนใหม่ในปีหน้า ขณะที่นักลงทุนรายย่อยก็ต้องเผชิญชะตากรรมยามเศรษฐกิจไร้ฟองสบู่ -----------------------------------------------------------------------------ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย ______________________________________________________ธุรกิจ : Quotes of The Dayวันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 09:00จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisisโดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบัน และมองอนาคตได้อย่างถูกต้องนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่ถูกบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำครั้งใหญ่ที่สุด ผ่านเลยมาแล้ว 73 ปี (เกิดขึ้นระหว่างปี 2472-2478) จวบจนวันนี้ ยุคข้าวยากหมากแพงก็หมุนกลับซ้อนทับประวัติศาสตร์อีกคราสัจธรรมของเหรียญที่มีสองด้าน ภายใต้วิกฤติจึงแฝงเร้นไว้ซึ่งหนทาง อยู่ที่ใครจะพลิกวิกฤตินั้นเป็นโอกาสเหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ทมิฬที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2530 นับเป็นวิกฤติตลาดหุ้นครั้งประวัติศาสตร์ของโลกและของไทย กระทบมายังตลาดหุ้นทั่วทั้งโลก เป็นวิกฤตการณ์ที่ต้อนรับการถือกำเนิดของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (6 ตุลาคม 2530) เพียงไม่กี่วันเหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงกับนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นจำนวนมากแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ดัชนีราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดที่ 472.86 จุด มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 243.97 จุด ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2530 โดยระดับดัชนีลดลงถึง 228.89 จุด หรือ 48.4 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาไม่ถึง 2 เดือนพอเกิดเหตุการณ์ Black Monday ฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนต่างตระหนักถึงผลกระทบและระดมกำลัง ทั้งมีการจัดตั้งกองทุน และดำเนินมาตรการหลายประการเพื่อแก้ไขสถานการณ์จนคลี่คลายความตื่นตกใจ ทำให้ระดับราคาหุ้นกลับฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ววิกฤติครั้งนั้น ก็คือ โอกาส สำหรับใครอีกหลายคนในยุคส่งผ่านอำนาจ จาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาสู่พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ หัวหน้าพรรคชาติไทย นายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศไทย ได้ก่อให้เกิดประวัติศาสตร์เศรษฐกิจหน้าใหม่ของประเทศไทยที่ต้องจดจำ ทั้งรีบเร่ง รุ่งเรือง หลงระเริง ฟุ่มเฟือย และเจ็บปวดความรู้จักอดออม ดำรงความเป็นอยู่อย่างไม่ฟุ่มเฟือยในยุครัฐบาลป๋าเปรม สะสมฐานะทางการคลังจนเข้มแข็ง ส่งต่อผลดีมาถึงรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ หันมายึดนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจการคลังเชิงรุก ขยายการลงทุนไปทุกสารทิศบนฝันอยากเป็น เสือเศรษฐกิจตัวที่ 5 ของเอเชีย ยุคนั้นเราจะได้ยินคำว่า NICs หรือ Newly Industrialized Countries และนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า อันโด่งดังในยุคน้าชาติ "No Problem ..ไม่มีปัญหา เป็นวลีที่ผู้นำพูดให้ได้ยินกันจนติดหู แม้ยุคนั้นจะใช้การลงทุนเป็นธงนำ แต่ก็ขับเคลื่อนเศรษฐกิจล้อไปกับนโยบายประชานิยมดีๆ นี่เอง เราได้ยินโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด เราได้เห็นราคาที่ดินพุ่งทะยานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เวลาฮันนีมูนของน้าชาติก็มาสะดุดหลังจากเกิดไฟสงครามอ่าวเปอร์เซีย อิรักบุกยึดคูเวตเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2533 ปัญหาคอร์รัปชันแพร่กระจายในวงกว้าง จนรัฐบาลชุดนี้ถูกตั้งฉายาว่า รัฐบาลบุฟเฟ่ต์คาบิเนต ในที่สุดก็ถูกคณะรสช.นำโดย "บิ๊กจ๊อด" พลเอกสุนทร คงสมพงษ์ โค่นลงจากอำนาจหลังจากคณะรสช.แต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจไทยยังไม่ทันจะฟื้นตัว รสช.ก็วางแผนสืบทอดอำนาจ วางตัวให้พลเอกสุจินดา คราประยูร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนเกิดขบวนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่โดยพลังประชาชน นำโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง และบานปลายนำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ที่ต้องจดจำในปีเดียวกันนั้นเองก็ได้ก่อกำเนิดนักเลงหุ้นระดับพระกาฬที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึก เขาคือ สอง วัชรศรีโรจน์ ศิษย์เอกวัดพระธรรมกาย ที่เข้ามาแสวงหาโอกาสความร่ำรวยจากตลาดหุ้น ผ่านมาแล้ว 16 ปี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีชื่อสองอยู่เบื้องหลังหุ้นร้อนหลายต่อหลายตัวประวัติศาสตร์ต้องบันทึกอีกครั้งในช่วงปลายปี 2536 ดัชนีราคาหุ้นติดเครื่องทะยานขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง มีเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นทุกวันในช่วงนั้น หุ้นทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ 1,753.73 จุด จนกระทั่งถึงวันนี้ 15 ปีผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เคยไต่ขึ้นไปถึงจุดนั้นได้อีกเลยสูงสุดคืนสู่สามัญ คือความจริงแท้แน่นอน ไม่มีฟองสบู่ใดจะยืนยาวและมั่นคงเท่ากับพื้นฐานที่เป็นจริง ในที่สุดงานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกรา รัฐนาวาชวน 1 ดำเนินไปได้พักใหญ่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่ดิน ส.ป.ก.4-01 ก่อนจะเปลี่ยนผ่านมาสู่รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มหมุนอย่างเชื่องช้า ขณะที่ภาคเอกชนยังหลงระเริงเงินกู้บีไอบีเอฟ โดยไม่หวั่นเกรงความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ในหลายธุรกิจได้เกิด Over Supplyปีศาจร้ายเข้ามาเยือนแล้วอย่างเงียบๆในยุค "นายบรรหาร" ตลาดหุ้นไทยต้องถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง เมื่อนักลงทุนรายย่อยทนไม่ไหวกับภาวะความตกต่ำ รวมตัวกันประท้วงนายเสรี จินตนเสรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังในขณะนั้น และแล้ว เสียงปืนก็ดัง เปรี้ยง!!! ณ อาคารสินธร นายวิวัฒน์ ศรีสัมมาชีพ ลั่นไกหมายปลิดชีพตนเองเพื่อประท้วง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ใดๆดีขึ้น และก็ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าปรอทวัดไข้เศรษฐกิจได้ส่งสัญญาณใกล้ถึงจุดระเบิดแล้วเศรษฐกิจไทยมาถึง จุดอับปาง ในยุครัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 โดยสัญญาณร้ายเริ่มมีตั้งแต่ ม็อบโทรศัพท์มือถือ ก่อตัวประท้วงย่านถนนสีลม เริ่มมีข่าวลือสถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ในที่สุดก็นำไปสู่การสั่งปิด 56 ไฟแนนซ์ ขณะเดียวกันค่าเงินบาทเริ่มถูกนักเก็งกำไรโจมตีอย่างหนัก ธนาคารแห่งประเทศไทยต่อสู้จนทุนสำรองระหว่างประเทศหมด นำไปสู่การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท และต้องเข้าโครงการขอความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ได้เกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายระลอก เศรษฐกิจไทยดำเนินไปด้วยความยากลำบากอย่างที่สุด ธุรกิจน้อยใหญ่ต้องล้มละลาย ตลาดหุ้นตกต่ำถึงขีดสุดตกจาก 1,753 จุด ลงมาต่ำสุด 204 จุด มี เจ้าสัวเยสเตอร์เดย์ เกิดขึ้นมากมาย รวมทั้งได้ก่อเกิดวลีดัง ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ของเจ้าพ่อวงกาเหล็ก "สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง" และการต่อสู้ชนิดหัวชนฝาของ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" เพื่อรักษาอาณาจักรแสนล้าน "ทีพีไอ" สุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้รัฐนาวาชวน 2 เข้ามาแก้ปัญหาในยุคที่เศรษฐกิจไทยมีความหวังเหลือเพียงเลือนราง และถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อเปิดให้ต่างชาติเข้ามารุมทึ้งเศษซากธุรกิจในราคาแบกะดิน นับตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ กว่า 5 ปี ด้วยนโยบาย ประชานิยม เอาใจรากหญ้า กงล้อเศรษฐกิจไทยเริ่มขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ยิ่งรัฐบาลเข้มแข็งมากเท่าไร ก็ยิ่งสะสมจุดอ่อนมากขึ้นเท่านั้น และก็นำมาสู่การปฏิวัติรัฐประหาร ล้างไพ่ใหม่อีกครั้งทุกๆ เหตุการณ์ข่าวสำคัญ ในหนังสือ 2530-2551 จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis เล่มนี้ ให้ประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อทำให้เข้าใจปัจจุบันดีขึ้น และมองทางเดินไปสู่อนาคตได้อย่างถูกต้องคนเดินถนนที่ราบเรียบตลอดเวลา มักจะชะล่าใจชอบวิ่ง จึงมักหกล้มในที่สุด แต่คนที่เดินบนถนนที่ขรุขระ มักระวังตัวเพราะความกลัวจึงปลอดภัย ธรรมชาติมักหยิบยื่นความสามารถให้แก่เรา ถ้าเรารู้เท่าทันเล่มนี้เป็นหนังสืออ้างอิงข่าวเศรษฐกิจ เล่มแรก-เล่มเดียว ของประเทศไทย ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อการเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิงเสริมต่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจ ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทย ตลอดช่วงเวลากว่า 2 ทศวรรษ ภายใต้การพิมพ์ของสำนักพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ Bizbook โดดเด่นด้วยกราฟฟิก SET Index มากถึง 21 ภาพ ช็อตคัตให้คุณได้ทำความเข้าใจและเรียนรู้สาเหตุการเติบโต ตีบตัน ของตลาดทุนไทยในรอบ 21 ปีที่ผ่านมา นี่คือหนังสือที่ทรงคุณค่าเล่มหนึ่งที่บันทึกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยTags : จาก Black Monday ถึง Hamburger Crisis //www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20091115/86425/จาก-Black-Monday-ถึง-Hamburger-Crisis.html______________________________________________________
วิชาเผ่นพันลี้
เขียนโดย..aeawมินีซีรีส์ "เผ่นพันลี้"AEAW &CO ขออนุญาตเฮียเอี๋ยวด้วยครับ เก็บมาจากกระทู้เก่าห้องสินธร๑ คุณเอี๋ยวไปเจอยอดคนอำประกายที่ถ่ายทอดวิชาได้อย่างไรอัธยาศรัยอันดีงามของคุณเอี๋ยวทำให้อาจารย์ยอมถ่ายทอดวิชาให้ ใช้หรือไม่1.ปี 38 ผมพบเขาโดยเขาย้ายมาที่ธนชาติ มากับเพื่อนผมที่เดิมเขาปิดไปตามสมัยนิยมเราพบกันทักทายแต่ก็ต่างคนต่างเล่นผมก็เล่นแบบงี่เง่าเสียเงินไปเรื่อยๆตามแบบฉบับของรายย่อยทั่วไปหุ้นยังคงตกไปเรื่อยๆพอเวลาลดค่าเงินบาท หุ้นตีกลับผมถือได้5 ซิลลิ่ง ก็ขาย แต่มันไปต่อไม่เลิกในที่สุดผมทนไม่ไหวซื้อคืนที่ปลายดอย 55555รายย่อยก็แบบนี้ ความอดทนและทนอดไม่พอขายในเวลาที่ไม่ควรขายและซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อและในที่สุดผมก็ติดหุ้นอีกแล้วจาก700 กว่าจุด ผมมา คัสลอสที่337 จุดเพราะผมจะไปเที่ยวภูเก็ตกับเพื่อนๆไม่อยากมีหุ้นแต่แล้วช่วงที่ไปเที่ยวหุ้นกลับตีกลับ ไป400 ผมบินกลับเชียงใหม่ซื้อคืนทันทีปรากฎว่า หุ้นตกอีก 2 weekผมเครียดจนต้องเอาหัวไปแนบกับถังน้ำเย็นเข่าอ่อน ท้อแท้ และโกรธตัวเองในที่สุดตั้งใจถือยาว และแล้วมันก็ตีกลับไป 530วันนั้นดีใจแม้จะได้เงินคืนเพียงน้อยนิดวันนั้นคุยกับอาจารย์แบบเพื่อนๆคุยกันเราไม่เคยคุยกันเรื่องหุ้นเลยเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเก่งหรือปล่าวผมไม่เคยปรึกษาใครตัดสินใจด้วยตัวเองตลอดอยู่ๆเขาเอ่ยปากถามผมว่าเฮียเชื่อเราไม๊ ถ้าเชื่อ ขายล้างport เลยและแม้ว่าจะเตลิดขึ้นไปก็อย่าไปสนใจปล่อยมันไปเหมือนมีอะไรดลใจ ผมตอบว่า ผมเชื่อครับแล้วผม เทขายหมดเลย ตอนเย็นนั้นหุ้นขึ้นต่อมันขึ้นต่ออีกเป็นเดือนเกือบ2 เดือนแต่ไปแค่ 560จุด เพียง 30 จุดเท่านั้นแล้วเขาบอกให้รอโดยไม่บอกอะไรอีกเลยนั่งก็นั่งคนละที่ต่อไป แต่กลางวันเริ่มไปกินข้าวและคุยกันหลังจากนั้นหุ้นเริ่มตก ผมเฝ้ารอคอยในธนชาติมีคนรู้จักมาถามว่าไม่ซื้อหุ้นเหรอมันตกต่ำกว่าที่ขายแล้วนะ ผมบอกว่าไม่ครับรอ เขาบอกคร่าวๆว่า ดู 400 ก่อนบอกคนคนอื่นโดนหัวเราะเยาะใส่ 555555แบบนี้ตลาดก็แตกนะซิ แล้วคนที่พูดก็เดินจากไปผมไม่สนใจ ผมเชื่อมั่นเขาก็นั่งเฉยๆเล่นสั้นในแบบฉบับของเขาไปทุกวันแต่ผมไม่ซื้อเลยแม้แต่บาทเดียวช่วงนั้นผมหันไปขี่จักรยานออกกำลัง"ตี4ขี่ขึ้นดอยสุเทพ 7โมงเช้าลงดอยมารับลูกไปส่งโรงเรียน"แล้วมานั่งหลับในห้องค้าเมื่อปั่นได้ที่จนเกิดอุบัติเหตุแขนหักทั้ง2ข้างเข้าเฝือกไปหลายเดือน หุ้นก็ยังแกว่งตัวลงมาตลอดผมนั่งอยู่บ้านอีกเดือนทนไม่ไหวมาห้องค้าแตกตื่นกันใหญ่เรื่องแขนหักเขาทั้งคู่เห็นผมก็เรียกและบอกให้มานั่งกับเขาแทรกระหว่างตรงกลางตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาผมนั่งกับเขาตลอดผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท่งกราฟก็ไม่เคยดู รู้อย่างเดียวมันมีแต่แท่งเขียวและแดงผมไม่สนใจมัน เขาบอกให้เล่นตามเขาไปเขาซื้อ ผมก็ซื้อเขาขาย ผมก็ขาย เริ่มได้กำไรผมตามเขาไปตลอด เขาดูกราฟตลอดเวลาผมเริ่มสนใจทำอย่างไรถึงจะรู้แบบเขานะเขาบอกว่าจงดูไปเรื่อยๆเมื่อสงสัยอะไรก็ให้ถาม แต่เขาจะไม่บอกลองคิดดูคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดูแล้วก็ไม่รู้ว่าจะถามอะไรงงอย่างเดียว แต่ก็ซื้อและขายตามตลอดเมื่อใกล้ 400 เขาบอกว่าห้ามซื้อ มันเอาไม่อยู่เขาบอก ไป 250 เลย ผมก็เลยรอต่อไปอีกนานจนเมื่อถึง250 เขาบอกให้โจมตีซื้อเลยเราซื้อ เมื่อใกล้ 300 เขาบอกว่ามันแปลกๆให้เททิ้งเขาล้าง port ผม งงผมยังไม่ทำตาม เกี่ยงขอขาย bbl ให้มากกว่าเขาอีก 25 สตางค์ปิดตลาดเที่ยงเราออกไปกินข้าวกันยังไม่ทันเปิดตลาดตอนบ่าย ข่าวออกอเมริกายิงจรวดโทมาฮ็อกไป72 ลูกเข้าสู่อาฟกานิสถานหุ้นตกระเนระนาดทันทีจากกำไร ผมขาดทุนทันที เพราะไม่เชื่อหลังจากนั้นเขาก็บอกให้รอ 210 จุดทันทีผมรอจนใกล้เมื่อ210 มาถึงเขาบอกอย่าพึ่ง ดูอีกนิดพอไหลมา 204 เขาบอกซื้อทันที เต็มport เลยหลังจากนั้น ผมเชื่อเขาทุกอย่างทุกคำพูดแม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรแล้วหลังจากนั้น ดัชนีเล่นตามคำพูดเขาแทบทุกอย่าง เขาบอกวันนั้นจะเป็นแบบนั้นถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันจะทำอย่างนี้เขาบอกweekนั้นต้องเป็นแบบนั้นและ month ต้องเป็นแบบนั้น ไม่อย่างงั้นจะป็นแบบนี้หรือไม่ก็ไม่ใช่เลย ผมเริ่มรู้ว่ามีคนรู้จริงเขาบอกผมว่าเพราะพระเจ้าเมตตาประทานความรู้ให้เขาพบเจอผมอยากรู้บ้างแต่ผมไม่ได้เปลี่ยนศาสนานะครับผมอยากรู้จากเขา ผมไปซื้อ notebookแล้วติดต่อ irs มาขึ้นมาใส่โปรแกรมที่เชียงใหม่ผมเริ่มลงทุนเพื่ออยากจะเรียนรู้เขาให้ผมไปนั่งดูกราฟเองโดยห้ามใช้เส้นค่าเฉลี่ยต่างๆผมเจอแต่เขียวกับแดง ไม่รู้เลยจนกระทั่งลองขยับไปมาแบบเขาแล้วจึงเห็นว่ามันมีอะไร และพบข้อสงสัยขึ้นเมื่อนำไปถามเขาพวกเขาหัวเราะ แล้วบอกว่าเจอแล้วหรือเมื่อพบและเจอผม ค่อยๆศึกษาแต่ผมไม่เก่งมีข้อผิดพลาดเยอะงมไปแก้ไขไปจากซื้อเครื่อง ปี 40 จนงมไปมาผ่านไป5ปีปี45 เขาบอกว่ารู้เรื่องเยอะแล้วกลางปี46 เขาบอกว่าตอนนี้เราคุยภาษาเดียวกันแล้ว"แต่ขั้นตอนสุดท้าย เขาบอกว่าต้องตัดสินใจเอง"ปัจจุบันผมเล่นคนละที่กับเขา"เพราะผมอยากที่จะตัดสินใจเองแล้ว"เมื่อหุ้นขึ้นจาก 204 เขาให้เล่นรอบแถว400 เพื่อลดต้นทุนแล้วซื้อคืนเมื่อลงต่ำ ครั้งสุดท้าย 550เขาให้ล้าง port แล้วบอกให้ไปรอ 250ซึ่งเป็นเรื่องอีกเกือบ2ปีเขาเรียกผมซื้อ nfs ที่3 บาท แล้วไปขายที่ 20 กว่าบาทแล้วเขาให้ผมมารอรับ ที่ 4 บาทปรากฎว่าทุกอย่างที่เขาพูดเป็นจริงครับแปลกและมหัศจรรย์มากเลยสำหรับผมในตอนนั้นแต่สำหรับคนที่ใช้วิชาหรือเครื่องมืออื่น ที่เก่งและชำนาญจริงอาจไม่แปลกการถ่ายทอดวิชานั้น อาจารย์ผมบอกว่าไม่สอนใครทั้งนั้นเขาบอกว่าพระเจ้าเมตตาผมและรักผมมากพระเจ้าให้ผมเรียนรู้โดยผ่านเขาเขาจะพูดยังไงผมไม่รู้ผมรู้อย่างเดียวว่าเขาเป็นคนที่ถ่ายทอดให้ผมผมยังจดจำในบุญคุณนี้ตลอดเวลาครับ"เขาไม่สนใจเล่น อินเตอร์เนต เขาไม่อยากดัง เขาต้องการสงบและเขารู้จักพอ"เขาบอกว่าเพราะผมเป็นคนดี ผมไม่รู้ว่าดีตรงไหนแต่เขาก็ถ่ายทอดให้ผมคนเดียวยกเว้นญาติพี่น้องของเขา ถ้าจะเรียนรู้เขาจะสอนโดยไม่ปิดบังทันที ส่วนคนอื่นผมไม่รู้ครับจากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:21:06 ]๒ คุณเอี๋ยวได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชา"เผ่นพันลี้"มากี่ปีแล้วครับ2. การเรียนรู้ก็ประมาณ 6ปีแล้วครับผมยอมรับว่าความรู้นี้กว้างใหญ่เรียนรู้อย่างไรไม่จบสิ้นมีรูปแบบและความผันแปรที่พลิกแพลงและพิศดารในรูปแบบของ set index บ้านเรา"ผมยอมรับว่าขาลงคือโอกาสของการเรียนรู้ขาขึ้นเล่นง่าย เล่นยังไงก็ได้เงินแต่ขาลงยอดฝีมือเท่านั้นถึงจะได้เงิน"รูปแบบของบ้านเราเล่นยากที่สุดในโลกถ้าเป็นประเทศใหญ่ๆผมว่ายอดฝีมือบ้านเรากินเงินง่ายมากครับของเราเล่นนอกตำราเยอะเพราะต้องสกัดนักเก็งกำไรซึ่งบ้านเรามีมากและประเทศอื่นนักลงทุนจะมากของเรานี่แบบผสมผสานทั้ง ไต้หวัน ฮ่องกง ยุโรป อเมริกาสรุป เป็นแกงโฮ๊ะครับ๓ สองสามีภรรยาที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้คุณเอี๋ยวยังคงเล่นหุ้นอยู่หรือเปล่านับเป็นสุดยอดคนอำประกายจริงๆนั่งดูหุ้นที่ห้องค้าได้นานถึงสองปี โดยไม่ได้ซื้อขายเลย3. สุดยอดฝีมือทั้ง2 ยังเล่นอยู่ครับ"แต่ตอนนี้ผมก็แยกมาทดลองการเรียนรู้อีกครั้งครับ"เขาจะลงทุนเมื่อถึงเวลาที่จะได้เงินเท่านั้นเขาจะขายเมื่อถึงเวลาที่จะลง๔ หลังจากใช้เคล็ดวิชานี้ พอร์ตเริ่มดีวันดีคืนอย่างชัดเจนหรือไม่4. หลังจากขาดทุนจนป่นปี้ เงินในกระเป๋าเลข8หลัก หดเหลือ เลข 6หลักหุ้นต้องเริ่มใหม่จากหลัก พันหุ้นปัจจุบัน หุ้นในมือ เริ่มเล่นใน8หลักแล้วครับส่วนกำไรขออนุญาตไม่พูด๕ เคล็ดวิชานี้ ให้ผู้รับการถ่ายทอดปฏิญาณว่าจะไม่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ใครหรือไม่มิน่า ถึงไม่ยอมขึ้นเขียง เอ๊ยขึ้นเวทีไปบรรยาย ฮาๆๆ5. ถูกต้องแล้วครับเฮียคงไม่ได้ถ่ายทอดตามความต้องการของอาจารย์ท่านบอกคนรู้มากความผันแปรยิ่งมากเล่นหุ้นจะยากยิ่งขึ้นเหมือนที่คุณ think_pos บอกเป็นเพราะอะไรไม่รู้ยามใดที่ขึ้นกระทู้หรือมาบอกกล่าวมักไม่เป็นไปตามนั้นส่วนถ้าเล่นในใจหรือเล่นเองมักเป็นตามนั้น๖ แก่นแท้ของเคล็ดวิชานี้คืออะไร6. แก่นแท้หรือหัวใจคือ"หุ้นจะขึ้น ต้องมีหุ้นเต็ม port และหุ้นจะลง port ต้องว่าง"บูชาเงินสดครับ และสิ่งสำคัญ"ห้ามติดหุ้นอย่าบอกว่าไม่ขายไม่ขาดทุน"เมื่อมีเงินย่อมมีโอกาสที่จะล้างขาดทุนในสิ่งผิดพลาดที่เกิดขึ้นและห้ามคาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จงดูมันทำ๗ "เผ่นพันลี้" อาศัยการดูแรงกรรมแห่งความโลภและความกลัวผ่านทั้งกราฟแบบไหนครับ เมตาสต๊อก แท่งเทียน หรืออีเลียตเวฟ7. การดูก็แบบแท่งเทียนครับแต่ห้ามไปท่องจำแบบของญี่ปุ่นเช่นรูปแบบอย่างนี้จะเกิดแบบนั้นการเรียนรู้ต้องอาศัยความเข้าใจ"รูปแบบเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าตามตำราเป๊ะถ้าตามตำราจริงป่านนี้ทุกคนรวยหมดแล้วครับ"รูปแบบการเล่นในตัวหุ้นต้องเลือกหุ้นที่ถูกกับลักษณะของนิสัยใจคอตนเองตนต้องรู้ตนเอง จะรู้ว่าเมื่อต้องทนถือหุ้นจึงถือได้และเมื่อจับก็จับได้เล่นหุ้นที่ขัดกับนิสัยตัวเองโอกาสได้กินยากถือไม่ไหวเช่นขายแล้วขึ้น ซื้อแล้วลงจงศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนทุ่มเงินไม่งั้นคุณอาจไม่มีโอกาสแก้ตัวเมื่อผิดพลาดอาจารย์เขาเมตตาผมถึงรอดไม่งั้นตายไปนานแล้วครับ 55555555555 จบจากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:22:19 ]ขออนุญาตถามคุณเอี๋ยวเพิ่มเติมเผื่อนักลงทุนรายใหม่ๆจะได้ประโยชน์บ้างขอแก้ไขเพิ่มเติม โดยใส่คำตอบของคุณเอี๋ยวลงไปด้วย๑ ก่อนจะใช้วิชา"เผ่นพันลี้"คุณเอี๋ยวก็สามารถตัดขายขาดทุนโดยไม่ลังเลอยู่แล้ว ใช่หรือไม่ครับขนาดตัดขายขาดทุน ยังไปเที่ยวต่อได้ ไม่ธรรมดาแล้ว๑ ตอนนั้นผมลงทุนตามกฎของผมคือลงเพียง 10% ของสินทรัพย์ถ้าหมดก้อนนี้ผมจะไม่เล่นหุ้นอีกต่อไปเพราะแสดงว่ามันไม่ใช่ทางของเราอย่างแท้จริง๒ ตามวิธี"เผ่นพันลี้"เลือกเผ่นตอนไหนถือว่าสำคัญกว่ากันก. เผ่นตอนขายหยุดขาดทุนข. เผ่นตอนขายทำกำไร2. กำไรหรือขาดทุนก็ได้ ถ้าผมพบว่า ดัชนีจะลงลึกและผมสามารถทำช็อตเซล เพื่อลดต้นทุนและยามรีบาวน์ผมสามารถขายเพื่อล้างขาดทุนและเริ่มนับ1 ใหม่เพื่อทำกำไรชุดใหม่ครับ๓ ในกรณีที่ตัดสินใจผิดพลาดจากวิชา"เผ่นพันลี้"เช่น ตัดขายขาดทุนแล้วหุ้นกลับขึ้นขายทำกำไรแล้วหุ้นกลับขึ้น เช่นกันใช้วินัยอันไหนมารับมือกับความผิดพลาดครับ3. อย่างนี้เรียกว่า ช็อตแพ้ข้อสำคัญเราต้องดูออกด้วยว่าแพ้จริงไม่ใช่แค่รีบาวน์แล้วทุบกลับลงมาถ้าช็อตแพ้ต้องยอมซื้อคืนแล้วกินกำไรใหม่ครับ๔ "ตั้งฐาน"คืออะไรครับ อธิบายพอคร่าวๆในงานมีตติ้ง คุณเอี๋ยวบอกว่าพออ่านกระทู้เจอผมซื้อทุ่งคาก็พบว่าทุ่งคา"ตั้งฐาน" ไปเรียบร้อยแล้ว เลยไม่ตาม4.การตั้งฐานก็คือการสะสมพลังของหุ้นตอนทุ่งคาเฮียเข้าใจผิดครับคือผมพบแล้วว่ามันตั้งฐานเสร็จเพื่อขึ้นแต่ผมบังเอิญไปเจอตัวที่ตั้งฐานใกล้เคียงแต่ดูชื่อชั้นแล้วน่าซื้อกว่าเลยไปเข้าตัวนั้นเพราะโลภมากครับ ก็ วอร์แรนท์ นะครับเฮียขอบคุณมากๆครับคุณเอี๋ยวเออ ขอถามหลังไมค์แบบคุณอึ้งฯตอนนั้นเครียดมากๆได้ทำ "Kumpangdin visit"หรือเปล่า ฮาๆๆๆๆๆๆจากคุณ : คลาย เครียด - [ 19 ก.พ. 47 09:31:16 ]
อ่านความหมายแท้จริงของคำว่า VI และ VS
เขียนโดย อยากเชือกV = valuable = มีค่า มีประโยชน์I = investor = คนเอาเงินมาซื้อเพื่อเอากำไรจากดอกเบี้ยหรือส่วนต่างราคาหุ้น หรือกำไรจากปันผล (ถ้าลงทุนทำธุรกิจ สร้างโรงงาน ไม่น่าเรียกเป็น investor ควรใช้ศัพท์คำอื่น เช่นนักธุกิจ นักอุตสาหกรรม ฯลฯ)S = speculator = คนเสี่ยงโชคเพื่อค้ากำไร มีทุกอาชีพทุกรูปแบบ เช่นเสี่ยงซื้อหุ้น เสี่ยงซื้อบ้านหรือที่ดินเพื่อรอขายต่อเอากำไรV I คือ คนเอาเงินมาซื้อหุ้นโดยวางแผนล่วงหน้าว่าจะเอากำไรตามเป้าหมายหรือตามกำหนดระยะเวลานาน โดยจะไม่สะทกสะท้านหากราคาที่ซื้อจะตกลงเท่าไร จุดมุ่งมายคือต้องกำไรเท่านั้นจึงจะขาย และเมื่อถึงวันที่ขาย ก็จะมีความสุข ภาคภูมิใจที่ตนเองคาดการณ์แต่เริ่มต้นนั้นถูกต้อง สร้างคุณค่าทางใจได้ VI ที่แท้จริงคือ คนที่ซื้อหุ้นเมื่อยามวิกฤต อ่านวิกฤตเป็นโอกาส ขณะที่คนส่วนมากทิ้งหุ้นหนีจาก สรุปคือมีกำไรและความสุขใจสมคุณค่า โดยไม่สนใจเวลา ถือว่ามีฝีมือ จิตใจเข้มแข็ง อ่านเกมออก (เพราะซื้อเมื่อยามวิกฤต หากซื้อเมื่อยามตลาดเป็นกระทิงในราคาสูงแล้วยอมสู้กับเวลาถือยาวจนวันหนึ่งได้กำไรค่อยขาย ไม่ถือว่ามีคุณค่า ถือเป็นนักเสี่ยงโชคที่เอาเวลาเป็น ((ตัวช่วย)) เท่านั้น )VS คือ คนเอาเงินซื้อหุ้นในราคาที่คนส่วนใหญ่คิดว่าแพง แล้วสามารถขายเอากำไรได้ในเวลาสั้นๆได้ พร้อมกับเอาส่วนที่กำไรไปซื้อหุ้นที่ตนเองคาดว่าจะกำไรในอนาคตได้ดีเก็บไว้ เมื่อถึงเวลานั้นก็ขายหุ้นที่เก็บไว้ได้กำไรและมีความสุข ภาคภูมิใจ อย่างนี้ก็ถือมีฝีมือ จิตใจเข้มแข็ง อ่านเกมออก (หากวางแผนซื้อและเชื่อจะขายได้กำไรมากในเวลายาวๆ ก็เข้าข่าย VI คือซื้อยามวิกฤตแพงแล้วไปขายสูงกว่าในเวลานานมากขึ้น มีความสุขเช่นกัน)VI VS จึงแตกต่างตรงที่เวลาเท่านั้น เวลาจึงเป็นตัวตัดสินความสามารถของ 2 สไตล์ตัวอย่าง นาย A ซื้อหุ้น ABC แล้วขายใน 2 วันได้กำไร 2 % แล้วเอากำไรซื้อหุ้น XYZขณะนั้นซึ่งราคาไม่ถูกในสายตาคนส่วนใหญ่ แต่เอาไปขายอีก 12 เดือน ได้กำไรกับ นาย B ซื้อหุ้น XYZ เมื่อราคาตกมากๆ แล้วขายใน 12 เดือน ได้กำไรโดยทั้งคู่วางแผนก่อนซื้อ และพอใจมีความสุข ภาคภูมิใจหลังขายมีกำไรตามต้นทุนที่ตนเองซื้อ อย่างนี้ก็ต้องให้อย่างนี้ต้อง ให้นาย A เป็น VS ให้นาย B เป็น VIจะเห็นว่าความสามารถคนละแบบ คนหนึ่งเอาต้นทุนไปเสี่ยง แต่ใช้เวลาเป็นตัวช่วย อีกคนไม่มีต้นทุนเสี่ยง แต่ต้องหาต้นทุนจากกำไรเป็นตัวช่วย หากมองในแง่เสี่ยงก็เสี่ยงทั้งคู่ หากมองกลับมุมก็มีตัวละลายความเสี่ยงคนละแบบ ความแตกต่างอยู่ที่ คนหนึ่งต้องใช้ฝีมือในการเอาเก็งกำไรเป็นต้นทุน(ซึ่งก็เสี่ยงและเห็นผลในเวลาสั้น) อีกคนต้องใช้ฝีมือประเมินค่าวิกฤตให้เห็นอนาคต(ซึ่งก็เสี่ยงและพลาดได้แต่เห็นผลในเวลานานจนคนส่วนใหญ่ลืมค่าความเสี่ยงนี้ไป)จะแล่นหุ้นสไตล์ไหน ก็ต้องขึ้นกับคุณสมบัติเฉพาะตัว ทั้งเงินทุน ความรอบรู้ จิตใจ และอื่นๆ ไม่ควรตั้งแง่รังเกียจซึ่งกันและกัน จงคิดว่าเมื่อคุณเป็นเขาก็อาจต้องทำแบบเขา เมื่อเขาเป็นคุณก็อาจจะทำแบบคุณ แต่เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้จากคุณ : อยากเชือก - ( 22 ส.ค. 46 )_________________________________________________________-----------------------------------------------Subject: FW: เมียเมียหลวงคือ ภรรยาที่เคยดีที่สุดในอดีต แต่กาลเวลาและสิ่งแวดล้อมทำลายความดีของเธอจนหมดสิ้นในระยะเวลาอันสั้น และทิ้งความโหดร้ายไว้ให้เธอต้องรับผลกรรม คือความจุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น แก่ง่าย ตายยาก พูดมาก กินจุ อ้วนเหมือนหมู ดุเหมือนเสือเมียเก็บคือ อาหารพิเศษ มีรสชาติแตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไป เหมาะที่จะกินเป็นครั้งเป็นคราว เพื่อแก้เลี่ยน เป็นสินค้ายอดนิยมและมีราคาแพง เงื่อนไขเยอะเมียน้อยคือ ผู้หญิงที่ดีที่สุด ที่ผู้ชายเพิ่งมาค้นพบภายหลังเมียแต่งคือ ผู้หญิงที่ทรงคุณค่าและคุณผู้ชายอยากจะประทับรอยรักสุดใจขาดดิ้น แต่ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่านี้เมียเช่าคือ ผู้หญิงผิวคล้ำ ขี้ร้อน ใช้เสื้อผ้าน้อยชิ้น สูบบุหรี่กินเหล้าเป็นงานอดิเรก รสนิยมสูง นิยมบริโภคของนอก มีปริมาณความรักขึ้นลงตามกระแสเงินสดเมียจ๋าคือ ผู้หญิงหน้าดุเหมือนเสือ ยืนชูไม้ต้นรักเหมือนเทพีสันติภาพ และมีสามีนั่งคุก เข่าอยู่กับพื้น ประสานมือเหนือหน้าอกเหมือนไหว้เจ้า เพราะมีประวัติเพิ่งทำการละเมิดข้อห้ามร้ายแรงของภรรยาบังเกิดเกล้า ลักษณะตัวสั่น น้ำลายไหลเล็กน้อยพูดตะกุกตะกักว่า 'เมียจ๋า' ซึ่งเป็นคำพูดในความหมาย ขออภัย ไถ่โทษเมียกูคือ ผู้หญิงสวย ขาว หุ่นเพรียวผอม อายุน้อย หน้าตาน่ารัก เพราะยังไม่มีการรวมตัว ของไขมันและตีนกา พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ผู้ชายที่พบเห็นจะเกิดอาการเขื่อนกั้นน้ำลายพัง ทำให้เอ่อล้นออกมานอกปาก แสดงอาการหึงหวง กีดกันชายอื่นไม่ให้เข้าใกล้ แสดงความเป็นเจ้าของ ทั้งที่บางครั้งยังไม่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเมียบังเกิดเกล้าคือ ผู้หญิงที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ความรู้น้อย บริหารงานไม่เป็น vision เป็นศูนย์ เผด็จการ ชอบใช้อำนาจในทางที่ผิด ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย ใช้คำพูดหยาบคายบุคลิกภาพน่ารังเกียจ เป็นที่ชิงชังของเพื่อนบ้านและผู้ชายทั่วไป โดยเฉพาะสามีจากคุณสมบัติที่น่าสยดสยองดังกล่าว ทำให้สามีเกลียด ขยะแขยง คลื่นไส้จนไม่อยากพูดด้วย ไม่อยากโต้ตอบ ไม่อยากมีเรื่อง สามีที่มีภรรยาประเภทนี้ จึงใช้คำพูดอยู่สองคำ คือ 'ครับ' และ 'ใช่ครับ' และใช้สรรพนามเรียกภรรยาว่า 'แม่' มักอธิบายให้เพื่อนฟังว่า เรียกตามลูก แต่เพื่อนๆ ไม่แน่ใจว่าเรียกตามลูกหรือเรียกด้วยความเคารพยำเกรง เพื่อสวัสดิภาพของตัวเอง และที่สำคัญ ได้ลบคำว่า 'นอกใจ'ออกจากสมองและพจนานุกรมในบ้านเรียบร้อยแล้วเพิ่มเติมความหมายของคำว่า เมีย (WIFE)W = without = ปราศจากI = Information = แจ้งให้ทราบF = Fighting = ต่อสู้ (ทะเลาะ)E = Every Day = ทุก ๆ วันรวมความก็คือWithout Information Fighting Every dayแปลเป็นไทยก็คือหาเรื่อง ทะเลาะได้ ทุก ๆ วัน โดย ปราศจาก การ แจ้งให้ทราบล่วงหน้า _______________________________________________________