Group Blog
All Blog
|
(‿✿)<< กรรม 4 อย่าง >><<บุคคล 4 ประเภท>>
ซึ่งพระอาจารย์พระครูบัวเกตุ เรื่อง กรรม 4 อย่าง ณ ศาลาบำเพ็ญบุญแม่ปาง อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเราได้อ่านมาหลายครั้งแล้ว และต้องการฝึกจิตทำกัมมัฎฐานได้อ่าน ปัจจุบันท่านอายุประมาณ 78 ปี ท่านนับว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่น่าเคารพสักการะยิ่งนัก ณ. วันนี้ดิฉันขออนุญาตนำพระธรรมเทศนา ความสุขในชาตินี้และในชาติหน้า เนื้อหาแห่งพระธรรมเทศนามีดังนี้ เปรียบเทียบไว้เป็นบุคคล 4 ประเภทในโลกนี้ "ตโม ตมปรายโน" ผู้มืดมามืดไป อย่างหนึ่ง "ตโม โชติปรายโน" ผู้มืดมาสว่างไปอย่างหนึ่ง "โชติ ตมปรายโน" ผู้สว่างมามืดไปอย่างหนึ่ง "โชติ โชติปรายโน" ผู้สว่างมาสว่างไปอย่างหนึ่ง ทั้ง 4 ประเภท เปรียบเทียบคนเราทั้งหมด สิ่งที่เป็นอกุศล ไม่เชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เอาแต่ตามใจของตนจนตลอดชีวิตอย่างนี้ ครั้นสิ้นชีพไปแล้วก็ไปสู่อบายภูมิ ไม่มีสว่างแห่งความดีเลย ท่านเปรียบไว้กับบุคคลอย่างนี้ว่า ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากสิ่งแวดล้อมดี ครั้นสิ้นชีพแล้ว จิตใจก็เศร้าหมองสู่อบายภูมิ แต่ในวัยสุดท้ายประพฤติตรงกันข้าม ประพฤติเหลวไหลไม่ชอบด้วยคลองธรรม ครั้นสิ้นชีพไปแล้วด้วยเหตุแห่งอกุศลเศร้าหมองนั้น จึงเรียกผู้นี้ว่า "ผู้สว่างมามืดไป" หรือ "ต้นตรงปลายคด" แต่ตอนปลายกลับคดด้วยถูกแมลงด้วงกัดก็ตาม บางคนในโลกนี้เกิดมาแล้วเป็นต้นว่า ด้วยความไม่ผ่องใสด้วยประการต่างๆ หรือได้รับคำแนะนำพร่ำสอน กุศลเจตนาใดๆที่มีอยู่แล้ว จนเกิดความร่มเย็นเป็นสุข ครั้นเมื่อสิ้นชีพไปแล้วก็ไปสู่สุคติ เรียกว่าในชีวิตนี้เกิดมาใช้ได้ไม่เสียที ผู้มีบุญญาธิการถึงแม้เกิดมาแล้วจะมีภาวะอย่างไร แต่ก็ไม่ท้อถอย มีสติปัญญา มีมานะอุตสาหะ สร้างสมคุณงามความดี ได้นามว่า "โชติ โชติปรายโน" ก็ด้วยอำนาจแห่งกรรม อยากไปสวรรค์ อยากไปเกิดบนสวรรค์ ขอให้เป็นสุคติอย่าให้เป็นทุคติ ก็หวังความปรารถนาเป็นสุข ย่อมมีความปรารถนาเหมือนกัน ก็ต้องกระทำให้เกิดมีขึ้นให้ถูกต้อง การนึกหรือการคิด แต่การที่จะปรารถนาเพียงนึกคิด เหมือนชาวนามีนาอยู่ ได้หว่านแล้ว ปลูกแล้ว มีผลแล้ว ก็ต้องกระทำความดีให้เกิดมีขึ้น ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือได้ แม้แต่ ฤาษี ชีไพร ดาบส ในสมัยนั้น เพราะฉะนั้น กรรมดี คือ การกระทำชอบ ย่อมเป็นสิ่งที่ควรกระทำให้เกิดมีขึ้นทุกเพศทุกวัย ความสุขนั่นแหละคือสุคติภพในปัจจุบัน ให้ผลก็คือความทุกข์ เกิดมาแล้วควรทำแต่ความดี แปลอย่างนี้ก็ได้ คำว่ารก เช่นป่าเป็นต้นก็ดี และยังทำให้ธรรมชาติ แต่ถ้าเกิดมาแล้วเป็นคนรกโลก เพราะเกิดขึ้นมาแล้วเป็นคนรกนั้น ทำให้คนที่เขาจะกระทำความดี ทำให้ความสดชื่นเป็นความอับเฉา เกิดขึ้นมามากเพียงใด คือย่อมประหัตถ์ประหาร เพราะฉะนั้นเกิดมาแล้ว ก็ทรงแสดงให้เห็นให้รู้ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเรารู้ตาม การทำความดี แม้ล่วงลับดับชีพดับขันธ์ไปแล้วก็ตาม ดังมีพุทธภาษิตว่า แต่ความดียังคงไว้ มีกระดูก มีเนื้อ มีเลือด มีเอ็น เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัย ได้แก่คุณธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เพราะฉะน้้น ความดีเป็นความหมายที่กว้าง ถึงแม้เราจะไม่ปรารถนา คืออบรมใจให้เป็นสมถะภาวนา การงานที่ทำอะไรทางกายที่เราเห็น แข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่ยากเกินไป ก็สามารถงอได้ตามความประสงค์ ต้องอาศัยกาลเวลานานๆ จำต้องอาศัยกาลเวลานาน ๆ คือวิญญานปฎิสนธินั่นแหละ ด้วยกิเลสกรรมวิบาก ก็ย่อมได้รับการอบรมในสิ่งเหล่านั้นมา จึงชื่อว่าเป็นของที่ยากมาก ความพากเพียร ความพยายาม "ยาวเม เถวปริโส" เพราะฉะนั้นการพากเพียร ควรหาอุบายอย่างไรจึงจะสงบได้ ด้วยการนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นต้น สมัยใดจิตใจอ่อน ท่านเปรียบเทียบการอบรมใจ ถ้าหากว่าไม่พอเหมาะพอดี สมัยใดปลอบต้องปลอบ เพราะฉะนั้นสติปัญญาจึงเป็นธรรม ก็จะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เขาจะเชื่อฟังหรือเขาจะหาอุบายอย่างอื่น จะต้องอาศัยคุณธรรม ก็ต้องอาศัยสติเป็นนายเข้ากำกับดังกล่าวมา คือไม่หนี ไม่เที่ยว ไม่ส่งส่าย เมื่อสงบแล้ว ตอนไม่สงบนั้นก็มีอาการ เพราะความสุขที่เกิดจากความสงบ ผู้ที่ไม่ใช่วิญญูชนคือผู้ที่ยังไม่ถึง จะรู้ได้ก็แต่เพียงปริยายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ด้วยบทภาวนา "พุทโธ" ที่เคยปฎิบัติมา เพื่อเป็นพื้นฐานแห่งปัญญา ♦♦♦ อานิสงส์ของผู้บวช 3 ประการ โดย พระไพศาล สาทโร ♦♦♦
เรื่อง อานิสงส์ของผู้บวช 3 ประการ จึงได้คัดลอกนำมาเสนอแต่ทุกท่าน มา ณ โอกาสนี้ด้วย จะได้ช่วยแนะนำกันไป อานิสงส์ของผู้บวช 3 ประการ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ วันนี้ ที่ 24 สิงหาคม 2553 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีขาล พระธรรมเทศนาในค่ำคืนนี้ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและวิริยะ ณ. สวนโมกข์วัดธารน้ำไหลแห่งนี้ จนกว่าจะยุติลงด้วยเวลา เพื่อความสะดวกของกระผมหรืออาตมา และท่านทั้งหลายไม่ต้องพนมมือ เรื่องที่จะบรรยายปาฐกถาธรรมคือ ซึ่งคนเราส่วนใหญ่มีความเข้าใจในคำว่า คำว่า อานิสงส์ หมายถึง ผลบุญกุศล ผลดี อีกทั้งยังมีอานิสงส์ต่อการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา นี่แหละคือ อานิสงส์ของผู้บวช 3 ประการ ปัจจุบันนี้มีผู้บวชอยู่นานๆ มีน้อยมาก ส่วนคนหนุ่มหรือผู้มีอายุน้อยส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่บวชกันตามประเพณี จึงมีผู้สนใจในอานิสงส์ผลบุญกุศล และหันไปนิยมวัตถุที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้นมา จะใช้จะเดินทางไปที่ไหนก็สะดวกสบาย รวดเร็วท้นใจ จะโทรฯ ติดต่อกันเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัสเลขหมาย จะอยู่ที่ไหนๆ คนละประเทศ คนละซึกโลก คนละทวีป แต่มนุษย์ก็ยังไม่พอ ยังหาความสุขไม่ได้ตามที่ตนต้องการ เพราะวัตถุ ทรัพย์สิน เงินทองเหล่านั้น จะซื้อจะกินจะใช้จ่ายอะไรก็ได้ แต่ไม่สามารถดับความทุกข์ได้ และวัตถุสิ่งของเหล่านั้นยังเอื้ออำนวยประโยชน์ เพื่อความสงบมีสันติสุข คนเราจึงต้องอาศัยธรรมะ และได้บัญญัติไว้แล้วเท่านั้น จึงจะช่วยให้เรา ทีนี้จะพูดถึงอานิสงส์ของผู้บวช บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ตามธรรมวินัย เป็นต้น และเป็นผู้มักน้อย รักสันโดษสงัดเงียบ ฉะนั้น ภิกษุผู้บวชจะต้องเป็นผู้เสียสละสิ่งของ มีความสำรวมกาย วาจา ใจ ให้เป็นผู้บริสุทธิ์สุจริตจริง ผู้บวชย่อมจะได้รับอานิสงส์อันใหญ่หลวง และเพื่อดับไฟกิเลสไฟทุกข์ หากไม่ได้ถึงน้้นก็ย่อรองลงมา ในการประพฤติปฎิบัติธรรมวินัยให้ได้ผลดี เพื่อความพ้นทุกข์เท่าที่ตนจะสามารถปฎิบัติได้ เหมาะที่จะเป็นผู้นำ หรือหัวหน้าครอบครัว เหมาะแก่การกราบไหว้ของบุคคลทั่วไป ถ้าบุตรคนใดทำให้มารดา - บิดา มีความศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไป เรียนรู้ธรรมะอันลึกซึ้งมั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย และตอบแทนบุญคุณของ มารดา - บิดา ได้จริง เป็นที่ศรัทธาของมหาชนทั่วไป เหตุที่เราได้บวชกันเพราะพระพุทธศาสนามีอยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น เราจึงต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณของพระศาสนา ที่สืบทอดอายุพระพุทธศาสนากันมาตามลำดับ ๆ เราจึงได้บวชกันเราจึงต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัย สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนมั่นคงอยู่ในโลกนี้ และเพื่อประโยชน์ของสัตว์โลกทั้งหลายสืบไป ธรรม หมายถึง หลักความจริงของธรรมชาติ แต่เป็นกฎธรรมดาของธรรมชาติ หรือของสิ่งทั้งปวง ธรรมช่วยส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติธรรมออกพ้นจากกองทุกข์ ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์เป็นตถตา วินัยเป็นสิ่งที่บังคับ มนุษย์เป็นผู้บัญญัติ ให้ปฏิบัติตามวินัยอยู่ร่วมกันอย่างถูกต้อง คือวินัยบัญญัติขึ้น ก็อนุโลมเพื่อให้ได้ผลตามธรรมะสูงสุด วินัยเป็นเครื่องหมายของการทำคนให้เป็นคนดีมีระเบียบ มีความสามัคคีกลมเกลียวกันมีความไว้วางใจกัน ทำให้หมู่คณะอยู่ร่วมกันเข้ากันได้ด้วยดี เช่นเดียวกับพระภิกษุมาจากต่างถิ่น ต่างสถานที่ ทุกคนต้องปฏิบัติตามพระวินัย อยู่ร่วมกันมีความสุขสงบเปรียบเสมือนดอกไม้หลากหลาย ก็จะดูสวยงามเป็นที่ชื่นชมเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส คือผู้บวชจะต้องปฏิบัติดีถูกต้อง วินัยเปรียบเสมือนหนึ่งรากแก้วที่หยั่งลึกลงใต้ดิน ต้นไม้ใหญ่คือพระธรรม ที่พระพุทธองค์ ส่วนรากฝอยเป็นรากหาอาหารมาหล่อเลี้ยงลำต้น นี่คืออานิสงส์ของผู้ปฏิบัติธรรมวินัย ฉะนั้น การบวชของพระภิกษุจะต้องเป็นผู้เสียสละ ด้วยการอดกลั้น อดทน บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง และปฏิบัติตามพระวินัยอันเป็นเครื่องนำพา ด้วยการทำปาฏิโมกข์ทุก 15 วัน สรุป พระเดชพระคุณหลวงพ่อพุทธทาส ผู้บวชที่ประสงค์จะได้รับอานิสงส์ผลแห่งการบวช หรือความประสบผลสำเร็จในการบวชของตนด้วยตนเอง เพื่อเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้เป็นผู้เสียหาย ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ ตนจะต้องมีหิริและโอตัปปะ ในการรักษาเกียรติยศของตน เป็นผู้สำนึกในลักษณะของการบวชอันแท้จริง การใช้สอย การทำ การพูด และความรู้สึกนึกคิด จากสิ่งที่ควรเว้น ควรละ ตามธรรมตามวินัยในพระศาสนานี้ ไม่นำมาซึ่งอันตรายแก่ตน เป็นวัตถุที่ตั้งอยู่อาศัยของตน ความเป็นอย่างนี้ย่อมสำเร็จประโยชน์ได้ถึงที่สุด กล่าวคือ กัมมัฎฐานอันเป็นประธาน มีการพิจารณาจตุปัจจ้ย นับว่าเป็นอาวุธและเป็นเครื่องป้องกัน จนทำให้ตนมีสิทธิ์อันชอบธรรม รู้จักถือเอาประโยชน์อันสูงสุด และโอกาสที่ตนสามารถบำเพ็ญประโยชน์ตน สมกับบาลีที่ว่า อปิ เจ ปตฺตมาทาย อนาคาโร (อ่านว่า อิปิ เจ ปัตตะมาทายะ อะนาคาโร ซึ่งมีใจความว่า แม้บวชเป็นคนไม่มีเหย้าไม่มีเรือน การบรรพชานั้นยังประเสริฐกว่าความเป็นจักรพรรดิ และนี่คือ คำสอนที่พระเดชพระคุณ และทั้งหมดนี่คือ ปาฐกถาธรรม ซึ่งเราได้นำมาเสนอเฉพาะเรื่องนี้ เลยขออนุญาตตัดทอนมาเพียงนี้ก่อน ขอให้ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้จงมีแต่ความสุข ♥♥♥ จิตสั่ง ♥♥♥
"สติ"พอกพูนเพิ่มเติมจิตสม จิตนิ่งนิ่งวิ่งสั้นสั้นปั้นอารมณ์ ตามทุกลมหายใจเข้า-ออกก็รู้ ดูนานนาน อัน"สัญญา"อยากห้ามคิดแต่จิตสั่ง "สังขาร"ยังตามต่อพอเล่าขาน "เวทนา"นั้นไซร้อยากได้นาน "รูป"เที่ยบปาน"สติ"ครองต้องลองทำ ที่ว่า"จิต" เกิดดับจับให้ได้ ตามดูไปให้ตนรู้ดูขำขำ จิตย้ำคิดจิตย้ำบอกหลอกให้จำ อย่าถลำทำตามจิตอย่าคิดลอง "สติ"คือการระลึกรู้ดูให้ออก สิ่งที่บอกว่าคือสุขนั้นทุกข์สนอง "อนิจจัง" "ทุกขัง" "อนัตตา"หามาครอง แม้ไม่มองจิตก็รู้ดูตามไป อย่าให้จิตสั่งการจะพาลเศร้า จิตจะเคล้าเพิ่มให้คิดจิตลื่นไหล ตามไปเรื่อยดูติดติดคิดอะไร จิตหลอกไปใจเรารู้อยู่ไม่นาน |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |