Group Blog
All Blog
|
### ประวัติพระอาจารย์บัณฑิต สุปัณฑิโต(พระอาจาย์หมอ) ###
ท่านเกิดวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พรรษา 20 สิริรวมอายุได้ 48 ปี ณ วันมรณภาพ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2558 ปัจจุบันยังคงจำพรรษา ณ วัดป่าตอสีเสียด โยมมารดาชื่อ รุวณี ท่านพระอาจารย์มีพี่น้องร่วมบิดามารดา จำนวน 3 คน โดยมีพี่สาว 1 คน และน้องสาว 1 คน ชั้นประถมศึกษาจากโรงเรียนวัดอนันต์ และเข้าต่อชั้นมัธยมศึกษา ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 103 จากนั้นท่านมาเข้าเรียนที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย สมความปรารถนาที่ตั้งไว้ คือ อยากเป็นหมอ และขอบวช ท่านจบหมอปี พ.ศ.2534 เริ่มแต่อ่านหนังสือของหลวงตามหาบัวฯวัดป่าบ้านตาด ท่านก็เกิดศรัทธาและไปบวชเณรกับหลวงปู่เกล้า ปมุตโต วัดถ้ำเกีย และเมื่อเรียนหมออยู่ปีที่ 2 ท่านก็บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ครั้งแรกที่นี่เช่นกัน แต่เป็นการบวชระยะสั้น ที่โรงพยาบาลโนนสะอาด, อุดรธานี แล้วย้ายไปเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไชยวาน และโรงพยาบาลนายูง ตามลำดับ เมื่อท่านอยู่ไชยวาน ท่านได้มีโอกาสฟังธรรม ปฏิบัติธรรมกับพระสุปฏิปันโนสำคัญ ของกองทัพธรรมองค์หนึ่ง คือ ท่านพระอาจารย์บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส, อ.ไชยวาน ธรรมโอวาทของท่านพระอาจารย์บุญจันทร์ พลิกจิตท่าน และทำให้ท่านมีศรัทธา ในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่วแน่ ท่านกำลังศึกษาต่อแพทย์เฉพาะทาง แต่ลาออกก่อน จากโอวาทธรรมของท่านอาจารย์บุญจันทร์ที่กล่าวกับท่านว่า วิชาทางโลก เรียนเท่าใดก็ไม่รู้จบ แต่วิชาทางธรรมนั้นเรียนจบ อันเป็นเหตุให้ท่านหักเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อวันมาฆบูชา 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2538 และดำรงสมณะภาพจวบจนถึงวันมรณภาพ โดยมีพระอุดมญาณโมลี (หลวงปู่จันทร์ศรี จนฺททีโป) เป็นองค์อุปัชฌาย์ของท่าน ท่านเป็นผู้มีกตเวทิตาคุณต่อองค์อุปัฌาย์ของท่านมาก ได้ถวายงานมาโดยตลอด และเป็นหัวจักรสำคัญในการสร้าง เจดีย์พระบรมธาตุธรรมเจดีย์, วัดโพธิสมภรณ์ และเป็นผู้ดำเนินการหลักในการสร้าง หอเมตตาธรรมบำบัดวิกฤต (CICU) ณ โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ซึ่งเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวงต่อชนทั้งปวง อีกทั้งท่านได้ใช้ความรู้ทางแพทย์อุปัฏฐากพ่อแม่, ครูบาอาจารย์หลายๆ องค์ในยามอาพาธ เช่น หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต, หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน. หลวงพ่อเพียร วิริโย. หลวงปู่เกล้า ปมุตโต. หลวงปู่ลี กุสลธโร, หลวงปู่แนน สุภัทฺโท, หลวงปู่บุญมี ปริปณฺโน เป็นต้น กับท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย สนฺตุสสโก ต่อมา ท่านได้ไปศึกษาธรรมกับหลวงปู่แนน สุภัทฺโท วัดซำขามถ้ำยาว อันเป็นสถานที่ ที่ท่านบำเพ็ญภาวนาอย่างหนัก ปีถัดมา ท่านได้กลับไปอยู่กับหลวงปู่เกล้า เนื่องจากหลวงปู่เกล้าอาพาธ ท่านอยู่อุปัฏฐากหลวงปู่เกล้าจนถึงมรณภาพ ท่านจึงย้ายไปอยู่กับหลวงปู่ลี กุสลธโร วัดป่าภูผาแดง เป็นเวลา 2 ปี และกลับมาอยู่กับอุปัฌาย์ของท่าน ที่วัดโพธิสมภรณ์อีก 1 พรรษาก่อนมาตั้งวัดป่าตอสีเสียด, โนนเดื่อ อุดรธานี เพราะน้าชายของท่าน และญาติๆ ร่วมกันถวายที่ดินให้สร้างวัด ท่านได้ดูแลชาวบ้านแถบนั้นเป็นอย่างดี เป็นธุระทุกอย่าง ทั้งการให้ทาน อุปการะการศึกษา ดูแลเมื่อเขาเจ็บป่วย ท่านเล่าว่าเขามีบุญคุณยิ่งต่อท่าน เมื่อท่านมาใหม่ๆ มีชาวบ้าน 8 หลังคาเรือน ที่เขาใส่บาตรเลี้ยงท่านทุกๆวัน ท่านจึงเมตตาเขาเสมอมา ในทางธรรมท่านได้อุปัฏฐากทางใจให้กับผู้คนทั่วไป อบรมธรรมเพื่อหวังให้พวกเขาพ้นทุกข์ ทุกๆ วันหลังจังหัน และทุกวันพระในตอนค่ำ ท่านมีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นอเนกอนันต์ ท่านไม่เคยหวังลาภสักการะ หรือประโยชน์อื่นใด นอกจากเกื้อกูลใจเป็นสำคัญ ลาโลกไปด้วยอาการอันสงบ ทิ้งแต่รอยธรรมไว้เบื้องหลัง ให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกเสียดาย และอาลัยยิ่งนัก ### ประทับในดวงจิต เล่าเรื่องโดย พระไพศาล วิสาโล ###
เล่าเรื่องโดย พระไพศาล วิสาโล เมื่อปี ๒๕๑๙ ความตั้งใจของท่านแต่เดิม คือ ปักหลักที่ใดที่หนึ่งเพื่อสอนกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง แต่มาอยู่ได้ไม่นาน ชาวบ้านจากบ้านท่ามะไฟหวาน ก็นิมนต์ให้ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสที่นั่น เพราะขาดพระ ท่านรับปากเพราะคิดว่าจะไปเพียงชั่วคราว ครั้นไปถึงก็พบว่าชาวบ้านที่นั่นมีปัญหาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ เด็กเล็กที่เจ็บป่วยเพราะตามพ่อแม่ไปทำไร่ ในที่ไกลๆ บางคนถึงกับป่วยหนักจนตาย จึงแก้ปัญหาด้วยการรับเด็กเหล่านั้นมาดูแลที่วัด จะได้ไม่ต้องไม่เจอโรคภัยในป่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของศูนย์เด็กเล็กแห่งแรกของจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางความหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะภูโค้งเมื่อปี ๒๕๒๑ เป็นเขต สีชมพู คือเป็นเขตแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ สิ่งที่หลวงพ่อทำเวลานั้นผิดแผกจากพระทั่วไป ทางการจึงสันนิษฐานว่าท่านอาจเป็นแนวร่วมกับคอมมิวนิสต์ แต่ที่จริงหลวงพ่อทำเพราะเมตตาจิตล้วนๆ อยากช่วยเหลือเด็กและชาวบ้านเท่าที่ท่านจะทำได้ ในปี ๒๕๒๓ ได้ปีนเขาขึ้นมาที่วัดภูเขาทอง (สมัยนั้นยังไม่มีถนนจากแก้งคร้อขึ้นมา) เพื่อดูว่าจะช่วยเหลืออะไรท่านได้บ้าง เพราะตอนนั้นข้าพเจ้ายังเป็นฆราวาส ทำงานสนับสนุนพระและชาวบ้านที่ช่วยเหลือเด็กขาดอาหาร อันเป็นปัญหาใหญ่ของเมืองไทยเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อน จำได้ว่าเมื่อมาพักแรมที่วัดภูเขาทอง หลวงพ่อให้การดูแลอย่างอบอุ่น จัดหาที่หลับที่นอนและหมอนมุ้งให้ด้วยตัวท่านเอง เมื่อข้าพเจ้ามาบวชอยู่กับท่านที่วัดป่าสุคะโต ก็ยังเห็นท่านดูแลเอาใจใส่อาคันตุกะอย่างดีเช่นเดิม ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังสาละวนกับกิจอื่นอยู่ หลวงพ่อก็จัดที่นอนให้แก่อาคันตุกะเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยที่ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ท่านถือเป็นธุระของท่านเอง ไม่เคยปล่อยหรือสั่งให้ศิษย์หรือพระลูกวัดอย่างข้าพเจ้าทำเลย เป็นเช่นนี้อยู่นาน จนภายหลังท่านมีอายุมาก อีกทั้งมีพระและอุบาสกอุบาสิกาอยู่ประจำวัดมากขึ้น ท่านจึงวางมือในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ความใส่ใจอาคันตุกะของท่าน ก็ยังมีอยู่อย่างสม่ำเสมอ ท่านมีโครงการหลายอย่างเพื่อช่วยชาวบ้าน บางอย่างก็ได้ลงมือทำ เช่น พุทธเกษตร เพื่อชักชวนชาวบ้านหันมาหาการทำเกษตรเพื่อพึ่งตนเอง แทนที่จะปลูกแต่มันหรืออ้อยเพื่อขาย ซึ่งมีแต่จะทำให้เป็นหนี้มากขึ้น บางอย่างก็เป็นแค่ความคิด แต่ไม่ได้ลงมือ เช่น การฝึกอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้าให้แก่ชาวบ้าน ท่านตั้งใจจะหาทุนซื้อจักรเย็บผ้ามาไว้ที่ศาลานอก ให้ชาวบ้านได้ฝึกมือ แต่โครงการนี้ก็ไม่ได้ทำ เพราะระยะหลังหลวงพ่อหันมาเน้นหนัก การสอนกรรมฐานมากขึ้น เนื่องจากมีคนเข้ามาฝึกสติกับท่านอย่างต่อเนื่อง ท่านรักป่าและใส่ใจต้นไม้มาก เวลาเดินสำรวจป่า หากเห็นต้นไม้ล้มแต่ยังไม่ถึงตาย ท่านจะพยายามพยุงและช่วยชีวิตต้นไม้เหล่านั้น ท่านเล่าว่า ตอนเป็นฆราวาสไม่เคยมีนิสัยเช่นนี้ เห็นต้นไม้ก็คิดแต่จะตัด แต่กรรมฐานได้เปิดใจท่าน ให้มีเมตตาต่อสรรพชีวิต ท่านจึงพยายามอนุรักษ์ป่า ที่วัดป่าสุคะโตอย่างเต็มที่แม้อุปสรรคจะมากมาย ขณะเดียวกันก็ปลูกป่าที่วัดภูเขาทองจนร่มครึ้ม ทั้งๆ ที่ตอนท่านมานั้น วัดภูเขาทองโล่งเตียน เพราะเจ้าอาวาสองค์เก่าตัดต้นไม้หมด เนื่องจากเป็นอุปสรรคต่อการเล่นว่าว โดยเฉพาะหลังจากป่วยด้วยโรคมะเร็งเมื่อปี ๒๕๔๙ แต่ภาพหลวงพ่อปลูกต้นไม้ รดต้นไม้ ก็ยังเป็นภาพที่คนวัดเห็นคุ้นตา กระทั่งท่านป่วยหนักครั้งสุดท้าย ต้องนอนเป็นส่วนใหญ่ แต่หากมีแรงเมื่อใด ท่านก็จะลุกขึ้นมารดน้ำต้นไม้ ท่านไม่ได้สอนเท่านั้น แต่ท่านทำให้ดู และทำด้วยใจรัก ธรรมชาติ ที่วัดป่าสุคะโตจึงเจริญงอกงาม สร้างความรื่นรมย์แก่ผู้เยี่ยมเยือนและผู้อาศัยจนทุกวันนี้ บัดนี้หลวงพ่อจากไปแล้ว แต่ใครก็ตามที่รู้จักท่าน หากได้มาเห็นไม้งามตาป่าร่มรื่นที่สุคะโต คงอดคิดถึงท่านไม่ได้ ### สีประจำวันมีมาตั้งแต่เมื่อไรใครเป็นผู้กำหนด ###
เพราะโดนบังคับให้ท่อง หนึ่งวันอาทิตย์สีแดง สองวันจันทร์สีเหลือง ...... มาจากชื่อเทวดา สีกายของเทวดา แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็น พระอาทิตย์ มีกายสีแดง ให้นางฟ้า ๑๕ นางกลายเป็นผงละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระจันทร์ มีกายสีเหลืองนวล ให้กระบือ ๘ ตัวกลายเป็นผงแล้ว ห่อด้วยผ้าสีแดงหลัว ก็บังเกิดเป็นพระอังคาร มีสีกายเป็นสีแก้วเพทาย บางแห่งก็ว่าเป็นสีชมพู ให้พญาคชสาร ๑๗ ตัวกลายเป็นผง ห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระพุธ มีสีกายเป็นสีแก้วมรกต ให้พระฤๅษี ๑๙ ตนกลายเป็นผง แล้วเอาผ้าสีแสด ห่อผงนั้น ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระพฤหัสบดี มีสีกายเหมือนสีผ้าที่ห่อ ให้โค ๒๑ ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีน้ำเงินหรือสีคราม ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระศุกร์ ให้เสือ ๑๐ ตัวกลายเป็นผงแล้วห่อด้วยผ้าสีดำหลัว ประพรมด้วยน้ำอมฤต ก็บังเกิดเป็นพระเสาร์ มีกายสีดำคล้ำ เป็นสีเดียว กับผ้าที่ห่อ และเมื่อนำชื่อของเทวดาเหล่านั้น มาใช้เป็นชื่อวัน สีประจำวันนั้น ๆ ก็เป็นสีกาย ของเทวดา ที่เป็นชื่อวันนั่นเอง คือ คนที่เกิดวันใด ก็ถือเอาสีประจำวันนั้น เป็นสีมงคลประจำตัว เช่น เกิดวันศุกร์ ก็ถือเอาสีฟ้า หรือสีน้ำเงินอ่อน เป็นสีประจำตัว เป็นสีวันเกิด ในสมัยโบราณ ผู้หญิงจะนุ่ง สีตามวัน แต่ห่มผ้า อีกสีหนึ่ง ถือว่าจะโชคดี
ขอบคุณที่มา fb.Siriwanna Jill ### 16 คำทำนายของพระพุทธเจ้าได้เกิดแล้วในประเทศไทย (ต่อ) ###
ไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง พร้อมเชื้อเชิญให้หมาจิ้งจอกตัวนั้น ถ่ายปัสสาวะใส่ถาดทองนั้น- ทรงทำนายว่า ต่อไปคนดีมีสกุลทั้งหลายจะสิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำ หรือคนพาลจะได้เป็นใหญ่เป็นโต และคนมีตระกูล ก็จะต้องยกลูกสาว ให้แก่ผู้ไร้ตระกูลเหล่านั้น เหมือนเอาถาดทองไปให้หมาปัสสาวะรด แล้วหย่อนไปในที่ใกล้เท้า แม่หมาจิ้งจอกโซ ตัวหนึ่ง นอนอยู่ใต้ตั่งที่บุรุษนั้นนั่งอยู่ แล้วก็กัดกินเชือกนั้น โดยที่เขาไม่รู้ตัว- ทรงทำนายว่าในกาลข้างหน้า ผู้หญิงจะเหลาะแหละ โลเล ลุ่มหลงในสุรา เอาแต่แต่งตัว เที่ยวเตร่ ประพฤติทุศีล แล้วก็จะเอาทรัพย์ที่สามีหาได้ด้วยความลำบากไปใช้ หรือให้ชายชู้ เหมือนนางหมาโซที่นอนใต้ตั่ง คอยกัดกินเชือกที่เขาฟั่น และหย่อนลงไว้ใกล้เท้า แวดล้อมด้วยตุ่มว่างๆ เป็นอันมาก แต่คนก็ยังไปตักน้ำใส่ตุ่มที่เต็มอยู่ จนล้นแล้วล้นอีก โดยไม่เหลียวแลจะตักใส่ตุ่มที่ว่างๆ นั้นเลย ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อศาสนาเสื่อม คนเป็นใหญ่หรือมีอำนาจ จะเบียดเบียน หรือเอาเปรียบผู้ด้อยกว่า คนที่รวยอยู่แล้ว ก็จะมีคนจนหารายได้ ไปส่งเสริมให้รวยยิ่งขึ้น ดังฝูงชนที่ต้องตักน้ำใส่ตุ่มใหญ่ที่เต็มอยู่แล้วจนล้น ส่วนตุ่มที่ว่างอยู่กลับไม่ไปใส่น้ำ และมีท่าขึ้นลงโดยรอบ สัตว์ต่างๆ ก็พากันดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่น้ำบริเวณที่สัตว์เหยียบย่ำจะขุ่น กลับใสสะอาด ส่วนน้ำที่อยู่ลึกกลางสระที่สัตว์ไม่ไปดื่มหรือ เหยียบย่ำ แทนที่จะใส กลับขุ่นข้น- ทรงทำนายว่า ต่อไป เมื่อคนมีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม ขาดเมตตา คอยใช้อำนาจ รีดนาทาเร้นหรือกินสินบน ชาวบ้านชาวเมือง ก็จะหนีไปอยู่ตามชายแดนหรือที่อื่นๆ ทำให้ที่นั้นๆ ที่คนพากันไปอยู่มีความ มั่นคงเป็นปึกแผ่น เหมือนน้ำรอบๆ สระที่ใส ส่วนเมืองหลวงกลับว่างเปล่า เหมือนกลางสระที่ขุ่น โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ข้าวแฉะ ข้าวดิบ และข้าวสุกดี- ทรงทำนายว่า ในอนาคต เมื่อคนทั้งหลายไม่อยู่ในศีลในธรรม กันมากขึ้น ก็จะทำให้ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล หรือตกไม่ทั่วถึง ทำให้การเพาะปลูกบางแห่งได้ผล บางแห่งก็ไม่ได้ผล เช่นเดียวกับข้าว ที่มีสุกบ้าง ดิบบ้าง และแฉะบ้าง (อ่านว่า เปฺรียง มี 3 ความหมาย คือ 1. นมส้มผสมน้ำแล้วเจียวให้แตกมัน 2.น้ำมันจากไขข้อวัว และ 3.เถาวัลย์ เปรียง แต่ในที่นี้น่าจะหมายถึงเถาวัลย์เปรียง เทียบกับแก่นจันทน์ที่เป็นไม้เหมือนกันมากกว่า 2 ความหมายแรก)- ทรงทำนายว่า กาลภายหน้า พระภิกษุอลัชชีเห็นแก่ได้ทั้งหลาย แทนที่ จะนำธรรมะ ที่พระพุทธองค์สอน ไปสอนสั่ง ให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ และละความโลภ กลับใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหากิน หาปัจจัยบริจาคเข้าตัวเอง เหมือนเอาแก่น จันทน์ (ธรรมะคำสอนที่ดี) ไปแลกเอาเถาวัลย์เน่า (ลาภอามิสที่ได้รับมา ซึ่งไม่จีรัง และไม่ช่วย ให้พ้นทุกข์จริงๆ ได้) ทรงทำนายว่า ต่อไปคำพูดของคน ที่ไม่ควรจะ ได้รับความเชื่อถือ กลับจะได้รับความเชื่อถือ โดยเปรียบถ้อยคำของคนที่ไม่น่าเชื่อว่า มีน้ำหนักเบาเหมือนกับผลน้ำเต้า ซึ่งปกติจะลอยน้ำ แต่เมื่อคนเชื่อว่าคำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนัก หรือหนักแน่น จึงเปรียบคำพูดนั้นว่ามีน้ำหนักราวกับน้ำเต้าที่จมน้ำได้ ทรงทำนายว่า ถ้อยคำของคนที่ควรได้รับการเชื่อถือ ซึ่งหนักแน่น มีน้ำหนักเปรียบประดุจแท่งศิลา กลับไม่ ได้รับความเชื่อถือ หรือกลายเป็นถ้อยคำที่ไม่มีน้ำหนัก เหมือนเรือที่ลอยได้ ข้อนี้ตรงกันข้าม กับข้อที่แล้ว คือ คนหันไปเชื่อคำพูดคนที่ไม่ควรเชื่อ เหมือนสิ่งที่ควรลอยกลับจม สิ่งที่ควรจมกลับลอย วิ่งไล่กวดงูเห่าตัวใหญ่ และกัดเนื้องูเห่าขาดเหมือนกัดก้านบัว แล้วกลืนกินเข้าไป- ทรงทำนายว่า เมื่อมนุษย์ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ราคะ สามีจะตกอยู่ในอำนาจของเมียเด็ก และจะถูกดุด่าว่ากล่าวเช่นเดียวกับคนรับใช้ เหมือน เขียดตัวเล็กๆ แต่กลับกินงูได้ ถูกแวดล้อมด้วยกา- ทรงทำนายว่า ในอนาคตผู้มีตระกูลต้องไปเที่ยวประจบ และสวามิภักดิ์ต่อผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกา ทำให้เสืออื่นๆ สะดุ้งกลัว จนต้องหนีไปแอบซ่อนตัวจากฝูงแกะ- ทรงทำนายว่าต่อไปภายหน้า คนชั่ว หรือคนที่ไม่ดี จะเรืองอำนาจ และใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ทำให้คนดีถูกทำร้าย หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องหลบหนี ซ่อนตัวจากภัยร้ายเหล่านี้ เหมือนเสือซ่อนตัวจากแกะ ### 16 คำทำนายของพระพุทธเจ้าได้เกิดแล้วในประเทศไทย ###
ได้เสด็จเข้าสู่นิทรารมย์ในราตรีกาล ครั้นล่วงปัจฉิมยามใกล้รุ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็น พระสุบินนิมิตอันใหญ่หลวง ถึง 16 ประการ อันเป็นพระสุบินที่แปลกประหลาด จึงทรงตกพระทัยตื่นบรรทม และครั้นรุ่งเช้า ก็ได้ให้พวกพราหมณ์ปุโรหิตประจำราชสำนักทำนาย พวกพราหมณ์ปุโรหิต ก็พากันทำนายว่าเป็นพระสุบินที่ร้าย และว่าพระองค์จะต้องประสบภัยอันตราย 3 ประการ ไม่เสียราชทรัพย์ ก็จะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หรือไม่ก็ต้องสวรรคต อย่างใดอย่างหนึ่ง และแนะให้พระองค์ทำพิธีบูชายัญสัตว์ เพื่อสะเดาะเคราะห์ เมื่อพระนางมัลลิกา พระมเหสีทราบเรื่องเข้า จึงทูลให้ไปขอคำแนะนำจากพระพุทธเจ้า เหตุร้ายนั้นจะมีแน่นอน เพียงแต่มิใช่เกิดแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือแว่นแคว้นของพระองค์ แต่เหตุร้ายเหล่านี้ จะเกิดแก่สัตว์โลกทั่วๆ ไป และแก่พระศาสนาของพระพุทธองค์ ในภายภาคหน้า เมื่อล่วงเลยพุทธกาลไปแล้ว 2500 ปี เมื่อศาสนาเสื่อมลง (กล่าวกันว่า อายุพระพุทธศาสนา ของพระสมณโคดม ยืนยาวเพียง 5,000 ปี หลังจากนั้น ต้องรอยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย์ พระพุทธเจ้าองค์ต่อไปเสด็จมาโปรดสัตว์) ความฝันของพระเจ้าปเสนทิโกศล และคำทำนายของพระพุทธเจ้าทั้ง 16 ประการ ประกอบด้วย ต่างคิดจะชนกัน ก็พากันวิ่งมาสู่ท้อง พระลานหลวง จาก 4 ทิศ ฝูงชนต่างรอดู โคทั้งสี่ก็ส่งเสียงคำรามลั่น แต่แล้วต่างก็ถอยออกไป ไม่ชนกัน- พระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายว่า ในอนาคตในชั่วศาสนาของพระองค์ เมื่อโลกหมุน ไปถึงจุดที่เสื่อมลง มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ฝนฟ้าจักแล้ง ทุพภิกขภัยจักเกิดขึ้น คล้ายเมฆตั้งเค้าจะมีฝน มีเสียงคำรามกระหึ่ม แต่แล้วก็ไม่ตกกลับเลยหายไป เหมือนโคตั้งท่าจะชนกัน แต่ไม่ชนกันฉะนั้น ก็ออกดอกออกผลแล้ว พระพุทธองค์ทรงทำนายว่า ต่อไปเมื่อโลกเสื่อม มนุษย์แม้จะมีอายุเยาว์ มีวัยยังไม่สมบูรณ์ ก็จะมีราคะกล้า และสมสู่กันตั้งแต่อายุยังน้อย และจะมีลูกแต่เด็กๆ เหมือนต้นไม้เล็กๆ แต่ก็มีผลแล้ว พากันดื่มนมของฝูงลูกโคที่เพิ่งเกิด- ทรงทำนายว่า ต่อไปในอนาคตการเคารพนบนอบผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะเสื่อมถอย คนเฒ่าคนแก่พ่อแม่เมื่อหมดที่พึ่ง หาเลี้ยงตนไม่ได้ ก็ต้องง้อ ต้องประจบเด็กๆ ดังที่แม่โคที่ต้องกินนมลูกโคฉะนั้น เทียมแอกลากเกวียน กลับไปใช้โครุ่นๆ ที่ยังปราศจากกำลัง มาลาก เมื่อมันลากเกวียนให้แล่นไม่ได้ มันก็สลัดแอกนั้นเสีย- ทรงทำนายว่า ในภายหน้าเมื่อผู้มีอำนาจไม่ตั้งอยู่ในธรรม แทนที่จะยกย่องและมอบหมายหน้าที่ ให้กับผู้มีสติปัญญา ความรู้ กลับไปมอบยศศักดิ์ให้กับคนหนุ่มที่อ่อนหัด ด้อยประสบการณ์ ทำให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดี กิจการต่างๆ ก็ไม่สำเร็จ ก็เหมือนใช้โครุ่นมาเทียมแอก เกวียนก็แล่นไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น ฝูงชนก็เอาหญ้าไปป้อนที่ปากทั้งสองข้าง มันก็กินทั้งสองข้าง- ทรงทำนายว่า ในอนาคตเมื่อผู้บริหาร หรือผู้มีอำนาจ ไม่ดำรงอยู่ในธรรม ตั้งคนพาล หรือคนไม่มีศีลธรรม ไว้ในตำแหน่งอันมีผลต่อผู้อื่น คนเหล่านั้นก็จะไม่นึกถึงบาปบุญ คุณโทษ แต่จะตัดสินคดีต่างๆ ตามแต่ใจชอบ โดยเอาสินบนจากทั้งสองฝ่ายเป็นประมาณ ดังม้าที่กินหญ้าทั้งสองปาก |
tangkay
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?] (‿✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้ แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ .... สิบปีผ่านไป....... อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์ แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ Link |