จิตวิทยาสำคัญอย่างไรต่อโยคะ
ท่ามกลางกระแสแห่งความนิยมโยคะในโลกยุคปัจจุบัน จะพบว่ามีการฝึกโยคะกันหลากหลายรูปแบบและหลากหลายสำนัก ก่อให้เกิดคำถามว่า อะไรคือโยคะที่แท้จริง อะไรเป็นโยคะแบบปลอมๆ จิตวิทยาซึ่งเป็นศาสตร์สมัย ใหม่ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกจึงเข้ามาบทบาทสำคัญในเรื่องดังกล่าว เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการแยกแยะและให้ความกระจ่างแก่คนทั่วไป เช่น เรามักจะได้ยินคำถามว่า โยคะร้อนใช่โยคะหรือไม่ หรือหากในอนาคต อาจมีโยคะแบบใดก็ตาม เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของโลก เช่น โยคะแบบเกาหลี อัฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ เป็นโยคะที่แท้จริงหรือไม่ หากเรายึดตำราดั้งเดิมเป็นแนวทาง และใช้จิตวิทยามาศึกษาควบคู่กันไป ก็จะขจัดข้อสงสัยดังกล่าวได้ หลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา มีอยู่ 2 ประการ คือ 1. วิธีการหรือคำสอนและทิศทาง 2. ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทั้ง 2 ประการนี้ต้องเป็นไปตามที่ระบุไว้ในตำรำโบราณหรือตรงตามประเพณีที่สืบทอดมา ยกตัวอย่างเช่น 1. การเปล่งเสียง โอม เป็นโยคะหรือไม่ เราจะทราบได้อย่างไร ในคัมภีร์ศรีมัท ภควัต มหาปุราณ เล่มที่11 บทที่ 14 โศลกที่ 32-35 ระบุเรื่องนี้ไว้ โดยมีรายละเอียด3 ประการคือ 1. เกิดแรงสั่นสะเทือนบริเวณหัวใจ (Heart region vibration) 2. เสียงที่ค่อยๆ สอบเบาลง (Tapering sound) 3. ประหนึ่งใยบางเบาของก้านบัว (Like lotus stalk pipe) ดังนั้นวิธีการเปล่งเสียงโอม ต้องใช้โทนเสียงต่ำ จึงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนบริเวณหัวใจและจะทำให้ทอดเสียงยาวค่อยๆจางหายไป เหมือนใยบัวได้ง่ายกว่าการใช้โทนเสียงสูง เป็นต้น 2. ท่าศพ มีระบุไว้ในหฐปฎีปิกะ โศลกแรก กล่าวถึงวิธีการคือ ให้นอนลงประดุจดังศพ โศลกที่สองเป็น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมี 2 ประการคือ ความเหนื่อยล้าหมดไปเและจิตมีความผ่องใส เมื่อวิเคราะห์ท่าศพผ่านคำจารึกจากคัมภีร์โบราณ จะช่วยให้เราเข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของท่าศพ นั่นคือ มิใช่แค่การขจัดความเหนื่อยล้าทางกายเท่านั้น แต่เป็นการผ่อนคลายชำระล้างในระดับจิตใจ จิตของมนุษย์ มี 3 ระดับ คือ มนัส อหังการ์ และพุทธิ หากเราฝึกท่าศพ จะมีการพัฒนาระดับของความมีสติ (Awareness) มากขึ้นเรื่อยๆ คือเมี่อเริ่มฝึกใหม่ๆ จะมีสติรับรู้ร่างกายทีละส่วน จนเมื่อมีความชำนาญขึ้นจะเกิดการขยายผลครอบคลุมทั้ง 3 ระดับของจิต นำไปสู่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของท่าศพ คำอธิบายทางจิตวิทยาคือ ขณะที่อยู่ในท่าศพ จะเกิดมีสภาวะ 2 ประการเกิดขึ้น ค้นพบ (Detect) และ ปล่อยวาง (Reject ) เป็นการใช้สติตรวจพบสิ่งที่สะสมและหยั่งรากลึกอยู่ในรูปของความเก็บกด ความเศร้าหมอง ความกลัว ความปรารถนา แรงจูงใจต่างๆ ซึ่งจะปรากฏขึ้นในพื้นจิต จากนั้นจึงปฎิเสธหรือละวางสิ่งเหล่านี้ โดยปราศจากอารมณ์ในเชิงลบ ค้นพบแล้วขับออกด้วยอาการปล่อยวาง ไม่ยึดถือไว้ ไม่ตัดสิน ไม่มีอคติใดๆ ซึ่งจะนำไปสู่การผ่อนคลายอันซับซ้อนละเอียดอ่อน ที่เรียกว่า จิตวิชาญ (Citta Vishranti ) จิตจะถูกชำระล้างให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส การผ่อนคลายซึ่งคู่ขนานไปกับการตื่นรู้ของจิตนี้ ( Parallel Vigilance) จะไม่เกิดขึ้น หากเราฝึกโยคะแบบการออกกำลังกาย สภาวะนี้เป็นความโดดเด่นประการสำคัญของท่าศพ ที่ระบุไว้ในคัมภีร์โบราณ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่ ธารณะ และ ฌาน ได้ในที่สุด 3. ตราตากะ เป็นการฝึกเพ่งจ้องเปลวเทียน หรือหัวแม่มือ ด้วยความผ่อนคลาย เป็นการชำระล้างดวงตาและจิตใจ ดวงตาเป็นช่องทางที่สำคัญต่อการเปิดรับข้อมูลเข้าสู่สมองและจิต คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าจะตอบสนองต่อข้อมูลหรือสิ่งเร้ามากเกินไป ดังนั้นการควบคุมดวงตาจึงเท่ากับเป็นการจัดสมดุลของระบบประสาทเสียใหม่เพื่อ ให้รับและตอบสนองต่อสิ่งเร้าแต่เพียงพอดี ในทุกเทคนิคของโยคะ เป็นการประหยัดพลังงาน ฝึกร่างกายให้ใช้พลังงานน้อยที่สุด แต่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การทำสมาธิ ซึ่งใช้พลังงานน้อยมากแต่มีประโยชน์มากมาย การฝึกโยคะมี 4 สภาวะ คือ 1 วิตารกะ (Vitarka) ตั้งคำถาม หรือลังเล สงสัย ต่อต้าน 2 วิจาระ (Vichara) พิจารณาอย่างรอบคอบ 3 อนันทะ (Saananda) เกิดความยินดี เป็นสุข พอใจ 4 อาสมิสตะ (Asmita) เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติหรือจักรวาล ใน ทางจิตวิทยานั้น ใช้สภาวะที่1-3 เป็นการบำบัดรักษา เช่น ช่วยขจัดการนอนไม่หลับ ขจัดความวิตกกังวล คลายความเครียด ช่วยให้ระบบประสาทเป็นปกติ เป็นต้น สภาวะที่ 1-3 นั้น สามารถเรียนรู้หรือสอนกันได้ เป็น โยคะทางกาย ( Material Yoga) ส่วนสภาวะที่ 4 นั้น ต้องเรียนรู้ค้นพบด้วยตัวเอง ไม่อาจสอนกันได้ เป็น โยคะทางจิตวิญญาณ ( Spiritual Yoga) 4. Yoga Citta Vritti Nirodtha เป็นโศลกสำคัญที่สุดซึ่งระบุไว้ในปตัญชลีโยคะสูตร บทที่ 1.2 กล่าวว่า โยคะเป็นไปเพื่อดับการปรุงแต่งของจิต แต่เมื่อนำจิตวิทยามาศึกษาประโยคนี้ เราจะพบข้อโต้แย้งว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะดับการปรุงแต่งของจิตทั้ง 5 ประการอย่างสิ้นเชิงคือ 1 นิทรา/Nidra/Sleep/นอนหลับ 2 สมฤดี/Smrti/Memory/ความจำ 3 ประมาณะ/Pramana/Right knowledge/ความรู้ที่ถูกต้อง 4 วิปารยายะ/Viparayaya/Wrong knowledge ความรู้ที่ไม่ถูกต้อง 5 วิกัลปะ/Vikalpa/Imagine/จินตนาการ ดังนั้นในแง่จิตวิทยา จึงอธิบายว่า ให้มีการปรุงแต่งของจิตเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และปรับการปรุงแต่งนั้นให้มีความพอดี เช่น ไม่นอนมากเกินไป ไม่จำมากเกินไป คิดเฉพาะเท่าที่จำเป็น เป็นต้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ในมิติด้านจิตวิทยา โยคะคือการฝึกควบคุมอารมณ์ขั้นพื้นฐาน กายกรรม และวจีกรรม ซึ่งจะนำความสงบสุขมาสู่ชีวิตของเรา หมายเหตุผู้ถอดความ: ในการถอดคำบรรยายซึ่งเป็นการพูดและมีการพาดพิงเชื่อมโยงและอธิบายรายละเอียด ข้ามไปมานั้น เมื่อจะแปรเนื้อความเป็นภาษาเขียนที่เข้าใจได้กระชับชัดเจนนั้น จำเป็นต้องมีการเรียบเรียง วางลำดับประโยคใหม่ เพิ่มเติมข้อความ และตัดคำถามบางส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปบ้าง โดยพยายามคงเนื้อหาให้ใกล้เคียงมากที่สุด มีแผ่นซีดีที่บันทึกการบรรยายให้ขอยืมไปฟังได้ที่ห้องสมุดสารัตถะค่ะ บรรยายโดย Dr. R.S. Bhogal ครูใหญ่ และ ผู้บรรยายวิชา Yoga and Mental Health แห่ง โรงเรียนอบรมครู สถาบันไกวัลยธรรม เมืองโลนาฟลา ประเทศอินเดีย ซึ่งเดินทางมาเมืองไทยเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2549 แปลเป็นไทยโดย ครูกรพินท์ ลิขิตกิจสมบูรณ์
Create Date : 02 พฤษภาคม 2556 |
| |
|
Last Update : 2 พฤษภาคม 2556 23:57:15 น. |
| |
Counter : 1043 Pageviews. |
| |
|
|