Group Blog
 
All blogs
 

พร 7 ประการ

สวัสดีทุกท่านครับ

ชาวพุทธที่ชอบทำบุญ ให้ทาน ย่อมจะได้ยินได้ฟังพระสวดอนุโมนทนา (พระก็ต้องการบุญเหมือนกัน)
และให้พร กันอยู่บ่อย ๆ คือ พร 7 ประการ ในบทว่า

อายุวัฑฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิริวัฑฒะโก ยะสะวัฑฒะโก
พะละวัฑฒะโก วัณณะวัฑฒะโก สุขะวัฑฒะโก

ทุกท่านคงจะจำได้ มาทำความเข้าใจความหมายของพรกันครับ

พรที่ 1 อายุวัฑฒะโก แปลว่าขอให้เจริญด้วยอายุ คือ อย่ามีอายุสั้นพลันตาย ให้มีอายุ ยืน ๆ ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีอายุยืน ในทางพระพุทธศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสตอบปัญหาของสุภมาณพบุตรของโตเทยพราหมณ์ข้อหนึ่งว่าคนที่จะมีอายุยืนได้นั้นมันเกี่ยวข้องกับกรรมเก่าด้วย เช่น ในอดีตชาติฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์อื่น ๆ มาหรือไม่ ? ถ้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์อื่นมามากในปัจจุบันชาติกรรมก็มาบันดาลตัดรอนให้อายุสั้นพลันตาย แต่ถ้าบาปเก่าไม่มีซ้ำเติมก็จะเป็นผู้มีบุญ คืออายุยืน

พรที่ 2 ธะนะวัฑฒะโก เจริญด้วยทรัพย์ทุกคนปรารถนาต้องการมีชีวิตดีๆ ด้วยกันไม่มีใครที่จะปรารถนาอยากจะลำบาก ไหว้พระกราบพระ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งใด ก็มักจะอธิษฐานปรารถนาแต่สิ่งที่ต้องการ หลักธรรม ควรแก่การดำเนินชีวิต คือ 1. ขยันหมั่นเพียร 2. รักษาดี 3. มีกัลยาณมิตร 4. เลี้ยงชีวิตเหมาะสม ขยันหานั้น คือ ขยันทำมาหากิน บางคนขยันกิน ไม่ขยันหามันก็เลยเกิดปัญหา หามาได้แล้วต้องรู้จักรักษา นอกจากรักษาดีแล้วก็ต้องรู้จักใช้รู้จักขวนขวายสร้างบุญสร้างกุศล มีกัลยาณมิตร (มีเพื่อน) ที่ดี คือว่า เป็นผู้ประพฤติอยู่ในศีลธรรม รู้จักควรแก่ความเหมาะสมแก่ฐานะของตน

พรที่ 3 สิริวัฑฒะโก เจริญด้วยสิริมงคล ทำอย่างไร จึงเจริญด้วยมงคล สิริมงคล แปลว่า สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น งอกงามขึ้น เหมือนต้นไม้ได้ปุ๋ย คนที่มีสิริวัฑฒะโก ต้องเป็นคนที่คิดดี พูดดี ทำดี คนคิดดี พูดดี ทำดีเป็นสิริมงคลแก่ตนถ้าคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี สิริมงคลก็หาได้ยาก มีแต่อัปมงคล เมื่อสิริมงคลของตนเกิดแล้วก็จะเป็นที่รักใคร่ของบุคคลอื่นผู้พบเห็น

พรที่ 4 ยะสะวัฑฒะโก ให้เจริญด้วยยศ ยศก็เป็นอย่างหนึ่งที่ทุกคนปรารถนาไม่ว่าจะ รับราชการหรือไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ก็มีความปรารถนากันโดยส่วนมากเพราะคำว่า ยศ แปลว่า ยิ่ง แปลว่า ใหญ่ ใครมียศหากสำคัญว่ายิ่งใหญ่เหนือกว่าคนอื่นใช้อำนาจไปทางผิดๆมักก่อให้เกิดโทษแก่ตนเอง และบุคคลรอบข้างยศนั้นมีอยู่สองฝ่ายมีทั้งฝ่ายดีทั้งฝ่ายชั่วยศฝ่ายดีมี สาม

1. อิสสริยยศ ความเป็นใหญ่ยิ่ง ต้องเป็นการพระราชทานจากพระมหากษัตริย์
2. เกียรติยศ เกียรติยศนี้สังคมเป็นผู้มอบให้ เกิดจากความดีที่เราได้ทำ เกิดจากประโยชน์ ที่เราได้สร้าง
3. บริวารยศ อันนี้ผู้น้อยให้ มีมิตรมีบริวารมาก “บริวารมาเพราะน้ำใจมี บริวารหนีเพราะน้ำใจลด บริวารหมดเพราะน้ำใจแห้ง”

มีอิสริยยศ ย่อมจะชนะอุปสรรค, มีเกียรติยศย่อมชนะภัย, มีบริวารยศ ย่อมชนะงาน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงเหตุของยศไว้ว่า คนจะมียศได้ต้องมีคุณธรรมสำคัญ 7 ประการ คือ

อุฏฐานะวะโต คือเป็นผู้แข็งขันขยันในการงาน
สะตีมะโต ทำงานด้วยความระมัดระวังคือเป็นผู้มีสติ
สุจิกัมมัสสะ เป็นผู้มีการงานบริสุทธิ์สะอาด
นิสัมมะการิโน ใคร่ครวญตรวจสอบก่อนแล้วจึงทำ
สัญญะตัสสะ จะ เป็นผู้มีปกติสำรวม
ธัมมะชีวิโน ประพฤติตนตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมโดยปรกติ
อัปปะมัตตัสสะ เป็นผู้ไม่ประมาท
ยะโสภิวัฑฒะติ นี่แหละ ยศจะเจริญยิ่ง

พรที่ 5 พะละวัฑฒะโก ให้เจริญด้วยพละกำลัง ทุกคนปรารถนาให้ตนมีกำลังกาย และกำลังใจที่ดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อคราวอายุมากขึ้นความไม่เที่ยงของสังขาร (อนิจจัง)ก็เกิดขึ้น จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอย เป็นสภาพธรรมโดยแน่แท้ ฉะนั้นทุกท่านจึงปรารถนาว่าขอให้มีกำลังแข็งแรง ไม่ป่วย ไม่ไข้

พรที่ 6 วัณณะวัฑฒะโก ให้เจริญด้วยวรรณะ คำว่า “วรรณะ” หมายเอาผิวพรรณก็ใช่ คำกล่าวสรรเสริญก็ด้วย

พรที่ 7 สุขะวัฑฒะโก ให้เจริญด้วยความสุข อุดมด้วยฃวามสุข ทุกคนปรารถนาก็คือความสุขกาย และสุขใจ สุขกาย…ต้องการมีความเป็นอยู่ที่ดีๆ ของอิริยาบถต่างๆทุกขณะ และ ความไม่มีโรคภัยเบียดเบียน สุขใจ เพราะปราศจากกิเลสเบียดเบียน

ข้อเหล่านี้มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า ผู้ให้ข้าว ชื่อว่าให้กำลัง ผู้ให้ผ้า ชื่อว่าให้ผิวพรรณ ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ ความสุข ผู้ให้ประทีบโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ

เนื้อเรื่อง ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต

วิธีจะให้สำเร็จแน่ๆ ต้องลงมือทำเหตุดีด้วยตนเอง ก็จะได้ผลดีแน่ๆ ครับ




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2551    
Last Update : 22 ตุลาคม 2551 8:22:59 น.
Counter : 8049 Pageviews.  

วาทะพระอรหันต์หญิง ผู้ไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียว

สวัสดีทุกท่านครับ

ตอนนี้อยู่ในช่วงอุณหภูมิบ้านเมืองอาจจะแปรปรวนนิดหนึ่ง ยังไงก็รักษาสุภาพกายและใจไว้ให้ดีครับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงโรค มี ๒ อย่าง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โรค ๒ อย่างนี้ โรค ๒ อย่างเป็นไฉน คือ ๑. โรคทางกาย ๒. โรคทางใจปรากฏอยู่ว่าสัตว์ทั้งหลายผู้ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๑ ปีก็มี,ยืนยันว่าไม่มีโรคทางกายตลอดเวลา ๒ ปีก็มี, ๓ ปีก็มี, ๔ ปีก็มี, ๕ ปีก็มี, ๑๐ปีก็มี, ๒๐ ปีก็มี, ๓๐ ปีก็มี, ๔๐ ปีก็มี, ๕๐ ปีก็มี, ๑๐๐ ปีก็มี, ยิ่งกว่า ๑๐๐ปีก็มี, แต่ว่าผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลกเว้นแต่พระขีณาสพ(พระอรหันต์)

นำวาทะพระอรหันต์หญิง ผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวมาฝากครับ

พระวิมลาเถรี

พระเถรีรูปนี้ ได้บำเพ็ญบารมีสั่งสมกุศลซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุ
นิพพานไว้มากในภพก่อนๆ เช่นกัน สมัยพุทธกาลนี้เกิดเป็นธิดาของหญิงชาวเมือง
เวสาลี มีจิตปฏิพัทธ์พระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย ภายหลังพระเถระ
ให้โอวาทแก่นางโดยชี้แจงถึงอสุภกัมมัฏฐานเป็นข้อสำคัญ ได้เกิดศรัทธาใน
พระศาสนาและขอบวชในสำนักของภิกษุณี เพียรพยายามอยู่ไม่นานก็สำเร็จเป็น
พระอรหันต์ ได้พิจารณาการปฏิบัติของตนแล้วเปล่งอุทานว่า..

“ข้าพเจ้าเป็นผู้เมาวรรณะ รูปสมบัติ ความสวยงาม บริวารสมบัติ
และมีจิตกระด้างด้วยความเป็นสาว ดูหมิ่นหญิงอื่น ข้าพเจ้าประดับ
ร่างกายนี้ให้วิจิตรงดงามสำหรับลวงผู้ชายโง่ๆ ได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือน
หญิงแพศยา ดุจนายพรานที่คอยดักเนื้อฉะนั้น ข้าพเจ้าแสดงเครื่อง
ประดับต่างๆ และอวัยวะที่ควรปกปิดเป็นอันมากให้ปรากฏ กระทำ
มายาหลายอย่างให้ชายเป็นอันมากยินดี วันนี้ข้าพเจ้านั้นมีศรีษะโล้น
(บวชแล้ว) ห่มผ้าสังฆาฏิเที่ยวบิณฑบาตแล้ว มานั่งอยู่โคนต้นไม้
ได้บรรลุฌานอันไม่มีวิตก ข้าพเจ้าตัดเครื่องเกาะเกี่ยวทั้งที่เป็นของ
ทิพย์ และทั้งที่เป็นของมนุษย์ได้ทั้งหมด ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป
มีความเย็น ดับสนิทแล้ว.”



พระอโนปมาเถรี

พระเถรีรูปนี้ ได้บำเพ็ญบารมีสร้างสมกุศลซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุ
นิพพานไว้มากในภพก่อนๆ สมัยพุทธกาลเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีชื่อเมฆีใน
นครสาเกต ความสวยของเธอเป็นที่หมายปองของชายเป็นอันมาก
หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทูลขอบวช
เป็นภิกษุณีได้ไม่นานก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากได้พิจารณาการปฏิบัติของตน
แล้วกล่าวอุทานว่า..

“ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลสูง ที่มีสิ่งของเครื่องปลื้มใจมาก มีทรัพย์มาก
สมบูรณ์ด้วยผิวพรรณสัณฐานและรูป เป็นธิดาของเมฆีเศรษฐี เป็นผู้อัน
พระราชบุตรปรารถนา อันพวกบุตรเศรษฐีหมายปองกัน อิสรชนมีพระราชกุมาร
เป็นต้น พากันส่งทูตไปขอต่อบิดาของข้าพเจ้าว่า จงให้อโนปมาแก่เรา อโนปมาธิดา
ของท่านนั้นมีค่าตัวเท่าใด เราจักให้เงินและทองเป็น ๘ เท่าของค่าตัวนั้น.
ข้าพเจ้าได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในโลก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า ได้
ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ เข้าไปเฝ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง.
พระโคดมพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดข้าพเจ้า ด้วยพระกรุณา
อนุเคราะห์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ ณ อาสนะนั้น ก็บรรลุผลที่ ๓ ( อนาคามิผล )
ครั้นแล้ว ก็โกนผมบวชไม่มีเรือน นับตั้งแต่ตัณหาอันข้าพเจ้าทำให้เหือดแห้งแล้ว
ถึงวันนี้ ก็นับเป็นราตรีที่ครบ ๗ ”




พระสามาเถรี

อดีตชาติได้บำเพ็ญบุญไว้มากในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เพื่อบรรลุอริยผล
เช่นกัน ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ถือกำเนิดเป็นธิดาในตระกูล
คฤหบดีมหาศาลในกรุงโกสัมพี มีชื่อว่า สามา. นางสามานั้นรู้เดียงสาแล้ว ได้เป็น
เพื่อนรักของอุบาสิกาสามาวดี เมื่ออุบาสิกาสามาวดีเสียชีวิตเกิดความสังเวช
จึงได้ออกบวชในสำนักของภิกษุณี
ครั้นบวชแล้วไม่อาจบรรเทาความโศกที่เกิดขึ้น เพราะนึกถึงอุบาสิกา
สามาวดี จึงไม่อาจบรรลุอริยมรรคได้ กาลต่อมาเธอได้ฟังโอวาทของพระอานนท์
เถระ จึงได้เริ่มตั้งวิปัสสนากรรมฐานจนได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา
ทั้งหลาย นับแต่วันนั้นมา ๗ วัน
ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พิจารณาการปฏิบัติของตน เมื่อประกาศการ
ปฏิบัตินั้น ได้กล่าวคาถาสองคาถาเป็นอุทานว่า..

“เราทำใจให้อยู่ในอำนาจไม่ได้ จึงไม่ได้ความสงบใจ
ต้องเข้าออกจากวิหาร ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง เรานั้นถอนตัณหาขึ้น
แล้วในวันที่ ๘ จากวันที่ได้รับโอวาทของพระอานนท์เถระ เรา
อันความทุกข์เป็นอันมากถูกต้องแล้ว ยินดีแล้วในความไม่
ประมาท บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว ได้ปฏิบัติคำสอนของ
พระพุทธเจ้าแล้ว.”


พระวาสิฏฐีเถรี

พระเถรีรูปนี้ ได้บำเพ็ญบารมีสั่งสมกุศลซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งการบรรลุ
นิพพานไว้มากในภพก่อนๆ เช่นกัน สมัยพุทธกาลนี้เกิดเป็นธิดาของตระกูลหนึ่ง
ในกรุงเวสาลี หลังจากมีสามีแล้วได้คลอดบุตรคนหนึ่ง แต่บุตรน้อยได้เสียชีวิต
ในวัยที่กำลังวิ่งเล่นได้ เธอจึงถูกความเศร้าโศกถึงบุตรบีบคั้นจนเสียสติ
เมื่อหมู่ญาติและสามีช่วยกันเยียวยาแก้ไข เธอได้หนีออกจากบ้านไปโดย
ที่คนเหล่านั้นไม่รู้ และได้พบกับพระศาสดาในระหว่างถนนเมืองมิถิลา หายเป็นบ้า
ด้วยพุทธานุภาพ พระพุทธองค์ได้แสดงธรรมแก่เธอโดยย่อ เกิดธรรมสังเวช
ทูลขอบวชกับพระศาสดาอยู่ในสำนักภิกษุณีทั้งหลาย บำเพ็ญเพียรไม่นานก็บรรลุ
เป็นพระอรหันต์ ภายหลังพิจารณาการปฏิบัติของตนแล้วกล่าวอุทานว่า...

“ข้าพเจ้าถูกความเศร้าโศกถึงบุตรบีบคั้น มีจิตฟุ้งซ่าน หมดความรู้สึก
เปลือยกาย สยายผม เที่ยวซมซานไปตามที่ต่าง ๆ
ข้าพเจ้าได้เที่ยวไปในถนน กองหยากเยื่อ ในป่าช้า ในตรอกใหญ่
ตรอกน้อย อดๆ อยากๆ ตลอดสามปี ภายหลังได้พบพระสุคตผู้ฝึกบุคคลที่
ยังไม่ได้ฝึก ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง หาภัยแต่ที่ไหนมิได้ กำลังเสด็จไปสู่กรุงมิถิลา
กลับได้สติแล้วเข้าไปถวายบังคม
พระโคดมพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดข้าพเจ้าด้วยพระกรุณา
ข้าพเจ้าฟังธรรมของพระองค์แล้วออกบวชไม่มีเรือน เพียรพยายามในคำสอนของ
พระศาสดา ได้ทำให้แจ้งซึ่งบทธรรมอันรุ่งเรืองเกษม
ข้าพเจ้าถอนและละความโศกอันมีพระอรหัตเป็นที่สุดได้หมดแล้ว
เพราะข้าพเจ้ากำหนดรู้วัตถุที่ตั้งเหตุเกิดแห่งความโศกทั้งหลายได้.”

โรคทางใจทั้งหลายนี้ล้วนมาจากไฟกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะ หากจะแก้ต้องแก้ด้วยธรรมะ
มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็จะทำให้นำสิ่งที่ไม่สบายทางใจออกไปได้บ้างครับ

เชิญแวะกระทู้ เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว (โบราณอุบาย) ครับ




 

Create Date : 17 ตุลาคม 2551    
Last Update : 17 ตุลาคม 2551 12:29:33 น.
Counter : 559 Pageviews.  

เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว (โบราณอุบาย)

สวัสดีทุกท่านครับ

ในสมัยก่อนหรือแม้แต่ในปัจจุบัน เชื่อว่าหลายคนคงเคยถูก ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ พ่อ แม่ สั่งสอนห้ามทำโน่นทำนี่ ด้วยเหตุผลที่อธิบายได้ยาก และบางครั้งดูราวไร้เหตุผล แต่เราลูกๆหลานๆ ก็มักยอมปฏิบัติตาม แม้ในใจอาจะคัดค้านหรือนึกสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็น่าแปลกที่ว่าสิ่งที่คนโบราณบอกต่อกันมาเพื่อดูแล ตักเตือน และสั่งสอนลูกๆหลานๆด้วยห่วงใย เหล่านี้ หลายสิ่งหลายอย่างก็ช่วยให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างไม่น่าเชื่อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เหตุผลก็คือ สิ่งที่ห้ามเหล่านี้ล้วนเป็น “โบราณอุบาย” อันหมายถึงวิธีอันแยบยลที่มีมาช้านาน ในการตักเตือนหรือขู่ให้กลัว กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายกับบุคคล ซึ่งมักขึ้นด้วยคำว่า “ห้าม” หรือ “อย่า” โดยมีเจตนาหรือจุดมุ่งหมายแฝงอยู่ในข้อห้ามนั้นๆ

กระทู้นี้เสนอตอนแรกครับ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันอันตราย ที่จะเกิดกับร่างกายของเรา ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมักได้ยินปู่ ย่า ตา ยาย เล่าถึงอยู่ มาฝากครับ

เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว

คนในสมัยก่อนมีความเชื่อในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนวิชา ไสยศาสตร์ คาถาอาคม โดยเมื่อถึงวันสำคัญตามความเชื่อของผู้ที่เรียน ก็จะมีการปล่อย “ของ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง คาถาอาคม ผี หรือเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกไปเพื่อทดลองวิชา และเมื่อของ ผี หรือเวทมนตร์ดังกล่าวไปถูกหรือกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง หากใครทัก ของนั้นจะเข้าตัวคนที่ร้องทัก ซงอาจเป็นตะปู หรือ หนังควายเข้าท้อง ทำให้เจ็บป่วยหรือตายได้

ฟังแล้วน่ากลัวมาก ดังนั้นในตอนกลางคืน หากมีใครมาเรียกหรือมีเสียงอะไรที่แปลกๆคนสมัยก่อนจะเงียบไม่ขานรับนอกจากจะแน่ใจว่าเป็นเสียงคนที่คุ้นเคยจึงจะขานรับ คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัดระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคนมาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว นั่นเอง

ห้ามตัดเล็บกลางคืน วิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข

การดำรงชีวิตประจำวันของคนในสมัยก่อนจะยังไม่มีค่อยใส่ใจในด้านการดูแล รักษา สุขภาพ อนามัยของตัวเองอย่างเช่นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ในสมัยนั้นจะไม่มีของเล่นเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเด็กๆ จึงมักจะเล่นปั้นดินเหนียว เป็นลูกกระสุน ปั้นวัว ปั้นควาย ปั้นตุ๊กตา หรือวิ่งตีวงล้อที่ทำจากไม้ไผ่ นำมาโค้งเป็นวงกลม รองเท้าก็ไม่ใส่ เล็บมือเล็บเท้าจึงดำมีแต่ขี้ดินขี้โคลนแทรกอยู่ พอกลางคืนก็จะนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้จะต้องไปโรงเรียน และครูก็จะมาตรวจความสะอาด จึงต้องรีบตัดเล็บ แต่กรรไกรตัดเล็บก็แสนจะหายาก บางคนจึงต้องใช้วิธีการใช้ปากกัดเล็บทีละเล็กละน้อยจนสั้น แต่ก็จะดูไม่เรียบสวยเท่ากับใช้มีดตัด ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช้มีดเหลาดินสอก็มักจะใช้มีดเจียนหมากของ ย่า ยายตัดเล็บ

ดังนั้น การใช้มีดเจียนหมาก หรือมีดเล็ก ๆ ตัดเล็บของคนในอดีต จะทำให้ตัดเล็บได้ไม่สะดวกและไม่ปลอดภัยเท่ากรรไกรตัดเล็บในปัจจุบัน คนโบราณจึงห้ามตัดเล็บเวลากลางคืน โดยอ้างเป็นอุบายว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุข เพราะการตัดเล็บกลางคืนจะทำให้มีดบาดนิ้วได้ เนื่องจากในสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแต่ตะเกียงน้ำมันวับๆแวมๆ ซึ่งให้แสงสว่างไม่เพียงพอ ถ้าตัดเล็บกลางคืนก็จะบังคับมีดได้ยาก อีกทั้งไฟที่สว่างแบบวูบวาบทำให้เกิดแสงและเงา อาจจะตัดเอาเนื้อแทนที่จะตัดเล็บก็ได้ จึงห้ามตัดเล็บกลางคืน

อุบายที่อ้างว่าวิญญาณบรรพบุรุษจะอยู่ไม่เป็นสุขนั้น เนื่องจากคนไทยมีความกตัญญูเคารพรักและผูกพันกับบรรพบุรุษ มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ จึงไม่ต้องการให้วิญญาณบรรพบุรุษต้องเป็นทุกข์ เพราะการกระทำของตน ข้อห้ามข้อนี้ตรงกับข้อห้ามของชาวภาคใต้ โดยใช้อุบายว่า “ห้ามตัดเล็บกลางคืนอายุจะสั้น” จุดมุ่งหมายสำคัญ เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกมีดหรือของมีคมที่ใช้เจียนเล็บบาดนิ้ว

เนื้อเรื่อง พรนิภา บัวพิมพ์ ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต

สำหรับในตอนต่อไป จะเป็นโบราณอุบายที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เรื่อง ห้ามตากผ้าข้ามคืน กระสือจะเช็ดปาก และ ห้ามนอนทับตะวัน เจตภูติจะออกจากร่าง โปรดติดตามนะครับ




 

Create Date : 26 กันยายน 2551    
Last Update : 26 กันยายน 2551 15:06:00 น.
Counter : 1612 Pageviews.  

บารมี 10 ในชีวิตประจำวัน

สวัสดีทุกท่านครับ

พระสารีบุตรทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีเท่าไร พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการแล
ธรรม ๑๐ ประการคืออะไรบ้าง?
ดูก่อนสารีบุตร ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา เป็นธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า

บารมีคือคุณธรรมทั้งหลาย มีทาน ศีล เป็นต้น ขอนำบารมี 10 ในชีวิตประจำวันมาฝากครับ

บารมี 10 เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่จะดับกิเลส เป็นสมุจเฉท (การตัดขาด)เพราะการเจริญกุศลนั้นต้องเจริญทุกประการ เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้น ดับกิเลสได้หมดสิ้น เป็นสมุจเฉทเป็นลำดับขั้น จึงต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า กุศลใดเป็นบารมี และกุศลใดไม่ใช่บารมี บารมีเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท จึงควรได้ศึกษาและเห็นความสำคัญของบารมีทั้ง 10 เพื่อที่จะได้อบรมได้ยิ่งขึ้น

บารมี 10 คือ ทานบารมี 1 ศีลบารมี 1 เนกขัมมบารมี 1 ปัญญาบารมี 1 วิริยบารมี 1 ขันติบารมี 1 สัจจบารมี 1 อธิษฐานบารมี 1 เมตตาบารมี 1 อุเบกขาบารมี 1

การกล่าวถึงบารมีทั้ง 10 ก็เพื่อให้พิจารณาสำรวจตัวเองว่า ยังยิ่งหย่อนบารมีใด จะได้อบรมบารมีนั้นให้ยิ่งขึ้น จนสามารถเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เพราะเหตุว่า ถ้ามุ่งจะให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน โดยที่ไม่คำนึงถึงการอบรมเจริญบารมี ก็จะเห็นได้ว่า วันหนึ่งๆนั้นพ่ายแพ้ต่ออกุศลกรรม เพราะอกุศลกรรมมีปัจจัยเกิดขึ้นมากกว่ากุศลกรรม


บารมีทั้ง 10 นั้น ไม่ทราบว่าแต่ละท่านจะอบรมสะสมไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ในชาติที่สามารถจะสะสมอบรมได้ ก็ควรจะสะสมอบรมแต่ละบารมีไปตามกำลังความสามารถ บารมีทั้ง 10 มีโลภะเป็นปฏิปักษ์ เพราะฉะนั้นต้องไม่ลืมเลยว่า การอบรมเจริญบารมีนั้น ไม่ใช่ด้วยความต้องการผลของกุศล แต่ต้องเป็นเพราะเห็นโทษของอกุศลแต่ละประเภท

ไม่ใช่ต้องการเจริญบารมีเพื่อผลคือ สังสารวัฏฏ์ แต่บำเพ็ญบารมีเพื่อขัดเกลากิเลสจนกว่าจะดับกิเลส จึงจะดับสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะการดับสังสารวัฏฏ์จะเป็นไปด้วยการดับกิเลสทั้งหมด ตราบใดยังมีกิเลสอยู่ ก็ไม่สิ้นสังสารวัฏฏ์ ฉะนั้น การอบรมเจริญบารมีจึงไม่ใช่ด้วยความหวังผลของกุศลในสังสารวัฏฏ์

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นโทษของความตระหนี่จึงให้ทาน ผู้ที่เห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีลจึงรักษาศีล เห็นว่าการไม่สำรวมกายวาจาและการประพฤติทุจริตทางกายวาจา ย่อมนำโทษมาให้ แม้แต่เพียงคำพูดซึ่งไม่สำรวมระวัง ก็อาจจะไม่รู้เลยว่า นำโทษมาให้แล้วกับผู้พูดและกับบุคคลอื่นด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของความเป็นผู้ทุศีลจึงรักษาศีล และสำรวมกายวาจายิ่งขึ้น


ผู้ที่เห็นโทษในกามและการครองเรือน ก็มีอัธยาศัยในเนกขัมมะ ผู้ที่เห็นโทษในความไม่รู้และความสงสัย จึงมีอัธยาศัยในการศึกษาให้รู้ให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นการอบรมเจริญปัญญา ผู้ที่เห็นโทษในความเกียจคร้านจึงมีความเพียร ผู้เห็นโทษในความไม่อดทนจึงมีความอดทน ผู้ที่เห็นโทษในการพูดและการกระทำที่ไม่จริงจึงมีอัธยาศัยในสัจจะ ผู้ที่เห็นโทษในการไม่ตั้งใจมั่นจึงมีอัธยาศัยในการตั้งใจมั่น ผู้ที่เห็นโทษในพยาบาทจึงมีอัธยาศัยในเมตตา ผู้ที่เห็นโทษในโลกธรรมจึงมีอัธยาศัยในการวางเฉย ทั้งหมดนี้เป็นบารมี 10 ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมอบรมไป

เนื้อเรื่องโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ภาพประกอบอินเตอร์เน็ต ขอบคุณนักสร้างบารมีทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ




 

Create Date : 23 กันยายน 2551    
Last Update : 23 กันยายน 2551 15:32:51 น.
Counter : 603 Pageviews.  

เหตุเมื่อหลบฝน



วันหนึ่งขณะ ที่ข้าพเจ้ากำลังเดินอยู่บนถนนสายหนึ่งนอกชานพระนคร เวลานั้น เป็นเวลาบ่ายฝนได้ตกมาอย่างหนักโดยไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อนเลย ผู้คน ซึ่งกำลังเดินอยู่บนท้องถนน ต่างก็วิ่งหาที่กำบังเพื่อหลบฝนมิให้เปียก ข้าพเจ้าผู้หนึ่งที่ต้องวิ่งเข้าไปใต้กันสาดตึกแถวร้านค้าใกล้ที่สุด ในย่านนั้น ฝนตกอย่างจะเทลงมา กันสาดตึกแถวนั้นไม่สามารถ จะกันละอองฝน ซึ่งกระเซ็นมาถูกต้องเครื่องแต่งกายได้ ข้าพเจ้า จึงเดินเลาะใต้กันสาด เพื่อไปหาที่พอจะกันละอองฝนได้ดีกว่า และมีหลายคนคิดเหมือนข้าพเจ้า จึงเดินลัดเลาะมาพอได้มุมตึกแถว เป็นทางที่จะเข้าไปในตลาดเล็กๆ ซึ่งพอเป็นที่กำบังทั้งลมและฝน และละอองฝนได้ดี ข้าพเจ้าคงหยุดเพียงหัวมุมตึกเท่านั้น ทางที่จะเข้า เกือบถึงตลาดนั้นเป็นที่เฉอะแฉะเลอะเทอะ จึงไม่ค่อยมีใครจะเข้า ไปหลบ นอกจากบรรดาแม่ค้าและแม่ครัวที่มาจ่ายตลาดเท่านั้น บุคคลที่หลบฝนต่างยืนนิ่ง มองดูน้ำฝนที่ตกมาจากที่ชายคาเป็นระยะ ถี่บ้างห่างบ้าง สุดแต่ลมจะพัดกรรโชกมาเป็นคราวๆ


พวกเราที่มาหลบฝนนี้คงมีความปรารถนาอย่างเดียวกัน คือคิดว่าเมื่อไหร่ฝนจะหายสักทีจะได้กลับบ้าน คอยแล้วคอยอีก ฝนก็ไม่เบาบางลง ซ้ำตกหนักหนาเม็ดมากขึ้นกว่าเดิมอีก นอกจาก ฝนตกแล้วฟ้ายังคะนองกระหึ่ม แลบแปลบปลาบเป็นสาย สว่าง แฉลบลงมาจากท้องฟ้า พวกผู้หญิงเอากระเป๋าถือปิดหน้าบังแสงเข้าตา บ้างก็เอามืออุดหูกลัวเสียงฟ้าร้อง ซึ่งดังเหมือนจะผ่าลงมาใกล้ๆ หลังจากแสงฟ้าแลบสว่างจ้าเป็นระยะๆ เสียงฟ้าลั่นแทบจะทำให้ แผ่นดินถล่มทลายก็ตามมาทุกครั้ง


กลุ่มผู้คนที่หลบฝน นอกจากข้าพเจ้ายังมีชายจีนสองคนซึ่ง ปากอยู่ไม่สุขชอบถ่มน้ำลายออกไปนอกชายคา เหมือนจะโกรธ ฝนมาสักร้อยปี บางครั้งข้าพเจ้าต้องถอยหลบกลัวฝอยน้ำลาย จะกระเซ็นมาถูกตัว และมีสุภาพบุรุษไทยอายุกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ข้างๆข้าพเจ้า และห่างไปเล็กน้อยก็มีสุภาพสตรีวัยรุ่นแต่งตัวเป็น นักศึกษาอยู่สองคนยืนคุยกระซิบกระซาบกัน รู้สึกว่าไม่ค่อย จะเอาใจใส่เรื่องฟ้าฝนเท่าใดนัก ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีสามคนเป็น สาวใหญ่แต่งกายแบบเดินแถวย่านพาหุรัด หญิงทั้งสามนี้รู้สึก มีความกระวนกระวายมาก ต่างหันหน้ามาระบายอารมณ์สาปแช่งฝน ว่า ไม่รู้จะตกไปทำไม ตกไม่รู้จักหยุด ที่บ้านนอกท้องนาไม่รู้จักตก ดันมาตกในกรุงเทพฯ จะไปไหนก็ไม่ได้กลุ้มใจจริงๆ นอกจากนั้นยังมี หญิงแม่ค้าหาบห่อหมกขายแกง วางหาบแล้วก็นั่งพิงผนังตึกข้างร้าน เหม่อมองอย่างอ่อนอกอ่อนใจ หมดอาลัยใยดีต่อโลกภายนอก คงคิดว่าจะขาดทุนหรือกำไรเท่านั้น เมื่อห่อหมกยังอยู่เต็มหาบ ฝนก็ ยังไม่หยุด ข้าพเจ้าเข้าใจว่าแกเป็นคนบ้าจี้ เพราะทุกครั้งที่เสียง ฟ้าร้องแกตกใจ ทำท่ายกมือปัดป้องเหมือนหลบหมัดหลบมวย แล้วอุทานออกมาเป็นคำแปลกๆ ซึ่งบางคำคนธรรมดาไม่เคยได้ยิน ทำให้เกิดขันและขำไปตามกัน พอแก้เหงาในยามหลบฝนได้บ้าง




ขณะนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เสียงดังเป็นห้วงๆ และ มีเสียงไม้เรียวกระทบเนื้อหนังดังคู่กันไปด้วย ข้าพเจ้าหันหลัง เข้าไปดูในร้านที่ยืนอยู่ ก็มองเห็นชายอายุประมาณสามสิบกำลัง หิ้วแขนเด็กชาย ลากถูลู่ถูกัง อีกมือหนึ่งใช้ไม้เรียวฟาดลงไป ตามร่างกายของเด็กอย่างไม่เลือก ปากด่าว่าสั่งสอนอย่างอารมณ์ ของผู้โกรธจัด เมื่อไม้เรียวฟาดถูกกลางหลังเด็ก เด็กก็ร้องดังขึ้น ทุกครั้ง เด็กคนนั้นคะเนอายุไม่เกิน ๗ ขวบ ซึ่งทำให้พวกที่หลบฝน อยู่ต่างมองดู นึกตำหนิในใจว่า ทำโทษเด็กคนนั้นหนักเกินไป ต่างก็สงสารเด็กน้อยซึ่งถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ เพราะผู้ใหญ่เป็น ทาสของอารมณ์โกรธ แต่เราไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นญาติหรือผู้คุ้นเคยกับชายผู้นั้นมาก่อน เราเพียงแต่เป็นผู้หลบฝน เมื่อฝนหายแล้วต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง นึกสงสารและ ติเตียนผู้ใหญ่อยู่ในใจ และคิดว่าไม่มีทางใดที่จะให้ชายผู้นี้ยุติ การเฆี่ยนเด็กได้บ้าง


แต่ทันใดนั้นข้าพเจ้าเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้าไปในร้าน ใช้มือแตะแขนชายผู้นั้น ซึ่งก้มหน้าก้มตาใช้ไม้เรียวหวดลงไป ตามร่างของเด็ก มิได้เอาใจใส่ต่ออย่างอื่น มุ่งแต่จะให้คลายอารมณ์ ด้วยการเฆี่ยนตีเท่านั้น เมื่อมีผู้มาแตะแขนก็เงยหน้าขึ้นมอง พอเห็น เป็นพระภิกษุ ชายผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นคลายความโกรธ และรู้สึกได้สติ ขึ้นบ้าง วางไม้เรียวแล้วปล่อยแขนเด็ก ยกมือแสดงความเคารพ แล้วนิมนต์ให้นั่งเก้าอี้ทันที ข้าพเจ้านึกชมในใจว่า ชายนี้แม้จะอยู่ใน อารมณ์โกรธ แต่ก็ยังมีจิตใจเป็นกุศล รู้จักเคารพพระสงฆ์ผู้ทรงศีล

ข้าพเจ้าได้ยินพระองค์นั้นกล่าวว่า
"อาตมาขอบิณฑบาตเอา หยุดเฆี่ยนหนูคนนี้ไว้ก่อนเถิดโยม แกเป็นบุตรของโยมใช่ไหม?"

ชายผู้นั้นตอบว่า
"บุตรของผมเองครับหลวงพ่อ แต่มันซนดื้อด้านสิ้นดี ผมเฆี่ยนตีสั่งสอนเท่าใดก็ไม่จดจำ ทำให้เกิดโมโหต้องเฆี่ยนกัน เสมอไป"
เด็กน้อยครั้นเห็นพระมาช่วยให้พ้นจากการถูกเฆี่ยน ก็หยุด ร้องไห้ นั่งกับพื้นฟังพ่อกับพระพูดกันทั้งน้ำตายังไม่ทันแห้ง ชายผู้นั้นพูดว่า
"ผมห้ามมันไม่ให้วิ่งเล่นน้ำฝนเวลาฝนตก ห้ามแล้วห้ามอีก มันก็ไม่ฟังเสียง เผลอหน่อยเดียวก็ออกไปวิ่งเล่นอีกแล้ว ร้องเรียก เท่าไรมันก็ไม่กลับมา มันกวนโมโหเหลือเกินหลวงพ่อ อยากจะตี ให้มันเนื้อแตกดีกว่าจะให้มันไปถูกรถชน"




พระภิกษุรูปนั้นยิ้มอย่างอารมณ์เย็นแล้วพูดว่า
"จริงของโยม คนเราเมื่อมีอารมณ์โกรธขึ้นมาแล้ว ก็ลืมอะไร หมดสิ้น มุ่งแต่จะทำสิ่งที่ให้สมกับความโกรธ ไม่นึกถึงเหตุผล จะผิดหรือถูกอย่างไร ความโกรธทำให้คนดีกลายเป็นคนบ้าไป ระยะหนึ่ง ทำให้เกิดเหตุร้ายแรง และทำให้เกิดฆาตกรรมขึ้นบ่อยๆ เพราะเหตุไม่มีสติเหนี่ยวรั้งอารมณ์ไว้ กว่าจะรู้สึกตัวว่าได้ทำอะไร ลงไปมันก็สายเกินไปที่จะแก้ไข นี่แหละโยม ขอให้ยับยั้งความโกรธ ไว้ก่อน อาตมาเห็นว่าลูกชายของโยมคนนี้แกยังมีอายุน้อย ความนึก คิดก็น้อยตามอายุไปด้วย การพูดจาสั่งสอนอย่างธรรมดาแกก็ไม่ค่อย จะเข้าใจอยู่แล้ว เพราะแกยังเล็กมาก จะพูดจาอะไรจะให้แกรู้ อย่างผู้ใหญ่นั้นไม่ได้ ยิ่งสอนพลางตีพลางให้แกเจ็บให้แกกลัวนั้น ไม่ได้ผล เด็กจะเจ็บตัวเปล่าๆ ไหนแกจะคอยระวังไม้เรียวจะสั่งอะไร แกไม่คิดจำทั้งสิ้น แกจะคอยระวังไม้เรียวอย่างเดียว จะให้แกรับปาก อะไรไม่ให้แกทำอะไร แกก็รับปากทุกอย่าง ขออย่างเดียวขอให้หยุด เฆี่ยนไว้ก่อนเท่านั้น การที่โยมเฆี่ยนลูกก็เพื่อสั่งสอนเพราะรัก โยมคงไม่อยากจะเฆี่ยนดับโมโห ขอโยมจงพิจารณาดูที่อาตมาพูดมานี้ เป็นความจริงไหม?"

ชายผู้นั้นตอบว่า
"จริงครับหลวงพ่อ ถูกอย่างที่หลวงพ่อพูด ยิ่งตีมัน เวลาถูก เฆี่ยน มันรับปากทุกอย่างขอไปที แต่แล้วมันก็ลืม ผมหมดปัญญา สั่งสอนมันแล้ว เจ็บใจนักเลี้ยงลูกไม่อยู่ในโอวาทเหมือนลูกคนอื่นเขา จึง ต้องเฆี่ยนด้วยโมโห"

พูดแล้วแกก็แสดงความน้อยอกน้อยใจ พระองค์นั้นท่านยิ้ม อย่างเห็นใจแล้วปลอบว่า
"อย่าท้อเลยโยม อาตมาดูท่าทางแกไม่น่าจะดื้อเลย ท่าทาง ก็ฉลาด ขอให้อาตมาซักถามแกสักหน่อย บางทีแกจะดีขึ้น โยมคง ไม่ขัดข้องนะ"

ชายผู้นั้นรีบตอบว่า
"นิมนต์ครับหลวงพ่อ บางทีมันอาจจะเชื่อหลวงพ่อดีกว่าผม"
ทันใดนั้นพระก็จูงมือเด็กน้อยผู้นี้ลุกขึ้น ซึ่งแกกำลังนั่ง ฟังพ่อกับพระสนทนากันเพลินอยู่ ท่านแสดงความเอ็นดูด้วยกิริยา ยิ้มแย้ม ทำให้เด็กหายหวาดกลัว เพราะท่านเป็นที่พึ่งให้พ่อหยุด เฆี่ยนได้ และท่านใจดีมิได้แสดงกิริยาเกรี้ยวกราดดุกรรโชกเหมือน พ่อของตัว แล้วหันมาดูพ่อเหมือนจะแสดงให้รู้ว่าพ่อตีหนูไม่ได้ แล้วละ พระท่านช่วยหนูแล้ว คงนึกตามภาษาเด็กๆ แล้วตรงเข้าไป หาพระ เพื่อขอความคุ้มครองและประจบ



ท่านเอามือเชยคางเด็กน้อยขึ้นมาแล้วดูด้วยความเมตตา พลางบอกให้พ่อเอาผ้าห่มมาเช็ดตัวเด็กให้แห้งและห่อให้ ชายผู้นั้น บัดนี้คงได้สติ ความโกรธที่มีอยู่ได้หายไปหมดสิ้นแล้ว เด็กน้อยก็ ลืมการถูกเฆี่ยนตี เพราะตามธรรมดาของเด็กนั้นลืมง่ายหายเร็ว

พระท่านก็เริ่มถามว่า
"หนูถูกเฆี่ยน เพราะหนูไม่เชื่อฟังพ่อห้ามไม่ให้วิ่งเล่นน้ำฝน ที่ถนนใช่ไหม?"

ท่านถามขึ้นเมื่อเห็นเด็กคุ้นกับท่าน โดยไม่มีความกลัวเหลืออยู่ เด็กนั้นตอบว่า
"ใช่ครับ มันสนุกดี อ้ายตี๋ลูกเจ๊กอ้วนโกก็เล่น เตี่ยมันไม่ เห็นตี อ้ายเปียหลังบ้านก็เล่นไม่เห็นแม่มันเฆี่ยน มีพ่อเฆี่ยนหนูคนเดียว"

เด็กพูดด้วยความน้อยใจขึ้นมา พระยิ้มแล้วลูบหลังเอ็นดู แล้วพูดว่า
"หนูเคยเห็นคนถูกรถชนไหม?"

เด็กน้อยทวนคำ
"ถูกรถชนหรือครับ"

แล้วทำท่านึกแล้วอุทานออกมาว่า
"เคยครับ เคยเห็นคนวิ่งข้ามถนนตรงโน้น"

พลางชี้มือออกไปข้างนอก
"รถยนต์แล่นมาก็พอดีชนลงไปนอนกลางถนน แล้วคน ก็หยุดรถลงมาดู คนนั้นนอนอยู่กลางถนน เลือดออกเต็มหน้า ตามตัวร้องโอยๆ แล้วตำรวจกับคนขับรถก็อุ้มขึ้นคันรถนั้นไป เขาว่าคงพาไปโรงพยาบาล หนูกับอ้ายตี๋กับอ้ายเปียยังวิ่งไปดู"

พระยิ้มด้วยความพอใจแล้วถามว่า
"หนูกลัวไหมรถยนต์ชน กลัวมากไหม"

เด็กตอบทันทีว่า
"หนูกลัวครับ กลัวมากครับ"
แล้วแสดงกิริยาหวาดกลัวขึ้นมาทันที



พระท่านพูดต่อไปว่า
"นี่แนะหนู พ่อเขารักหนูมาก กลัวหนูวิ่งเล่นน้ำฝน แล้วรถมาชนหนูเหมือนคนนั้น พ่อก็ไม่รู้ แม่ก็ไม่เห็น เขาอุ้มหนูไป โรงพยาบาล หนูไม่ได้พบแม่ ต้องร้องไห้หาพ่อแม่ ต้องไปนอน คนเดียว หนูไม่คิดถึงพ่อแม่หรือ?"

ทันใดเมื่อพระพูดขาดคำหนูน้อยก็ร้องขึ้นว่า
"หนูไม่ไปหนูไม่ไป หนูจะอยู่กับพ่อ หนูจะอยู่แม่ที่บ้าน หนูกลัวครับ"

เด็กน้อยพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวอย่างจริงใจ พระท่าน พูดต่อไปว่า
"หนูไม่ต้องตกใจ พ่อเป็นคนรักหนูมาก พ่อจึงไม่อยากให้ หนูถูกรถชน พ่อจึงห้ามไม่ให้วิ่งเล่นน้ำฝนตามถนน กลัวหนูจะถูก อุ้ม
ไปนอนโรงพยาบาลคนเดียว ไม่เห็นพ่อ ไม่เห็นแม่ หนูไม่เชื่อ พ่อจึงเฆี่ยนหนู"

พระท่านพูดแล้วทิ้งระยะช้าๆ เพื่อให้เด็กเข้าใจดีขึ้น เมื่อท่านพูดขาดคำเด็กก็ร้องขึ้นว่า
"หนูไม่วิ่งเล่นน้ำฝนอีกแล้ว หนูกลัว"

พลางเด็กน้อยเหลียวมาทางพ่อ ซึ่งบัดนี้แกลืมการถูกเฆี่ยน แล้วจิตใจก็มีอยู่อย่างเดียว คือไม่ยอมจากพ่อจากแม่
บัดนี้ใบหน้าแห่งความโกรธเคืองเกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อ เมื่อก่อนนั้นได้หายไปสิ้นแล้ว คงเหลือแต่ความสงสารเมตตา กรุณา และความรัก ซึ่งเป็นธาตุอันแท้จริงของผู้เป็นพ่อ น้ำตาไหลซึม ออกมาจากเบ้าตาของผู้เป็นพ่อ เขาอ้ามือรับเมื่อเด็กน้อยโผ เข้าหาแล้วกอดคอพ่อไว้แน่น เป็นการสารภาพผิดในตัว ความรู้สึก ของมันแล้ว เป็นภาพสะเทือนใจแก่ผู้พบเห็นเป็นยิ่งนัก ข้าพเจ้าเอง ก็พลอยสะอื้นในทรวงอกด้วยความปิติยินดีที่ได้เห็นภาพเช่นนี้

เมื่อเห็นเรื่องลงเอยอย่างสดชื่นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงหันไปดู ทางบรรดาเพื่อนที่ร่วมหลบฝน ซึ่งได้พากันกลับเมื่อใดข้าพเจ้าไม่ได้ สังเกต ปรากฏว่าฝนหยุดแล้ว เหลือแต่ข้าพเจ้ายังเพลินต่อเหตุการณ์ ที่ได้เห็นในวันนั้น ก่อนกลับข้าพเจ้าไม่ลืมเหลือบดูหมายเลขบ้าน และคิดมาตลอดทาง ครุ่นคิดถึงคำพูดของพระ ของเด็กและผู้เป็นพ่อ



ต่อจากนั้นประมาณ ๗-๘ เดือน ข้าพเจ้าได้ผ่านไปทางเก่า ที่เกิดเหตุเมื่อวันฝนตกหนักนั้นอีก ข้าพเจ้าถือโอกาสไปซื้อของ บางอย่างไม่จำเป็นในร้านนั้น ต้องการเพียงเป็นสื่อสนทนา เพราะ ข้าพเจ้าจำพ่อของเด็กคนนั้นได้ แกกำลังอยู่ในร้าน เมื่อชำระเงิน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าถือโอกาสถามถึงบุตรชายของแกและ ท้าวความถึงวันฝนตกเมื่อ ๗-๘ เดือนมาแล้ว และพระองค์หนึ่งได้ ขอบิณฑบาตเอาการเฆี่ยนตีเด็ก เมื่อเจ้าของร้านได้ทราบเช่นนั้น ตาแกลุกวาว ยิ้มออกมาด้วยความยินดีและพอใจ แสดงกิริยา ต้อนรับข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเองทันที เชิญข้าพเจ้านั่งเหมือน คุ้นเคยกันมาแรมปีก็ไม่ปาน เหมือนว่าข้าพเจ้าถามไปถูกใจแก ซึ่ง อยากจะเล่าให้ใครๆฟังอยู่แล้ว เมื่อมีคนมาถามขึ้นเช่นนั้น ก็เป็นที่ถูกใจ

แกเล่าให้ฟังว่า...........
"ตั้งแต่วันนั้น ผมไม่เคยเฆี่ยนลูกผมอีกเลย ผมเชื่อหลวง พ่อ ท่านว่า คนเราส่วนมากเฆี่ยนตีลูกเพื่อดับโมโห ไม่ใช่เฆี่ยนตี เพื่อสั่งสอน เป็นความจริงส่วนมากครับคุณ"

แกยิ้มอย่างเป็นสุขและพอใจแล้วพูดว่า
"บัดนี้ลูกผมเป็นคนว่านอนสอนง่ายไม่เหมือนก่อน จะพูด อะไรก็เข้าใจง่าย เพราะผมใช้คำพูดง่ายๆ ซ้ำๆ สำหรับเด็กอายุ ๗-๘ ขวบพอจะเข้าใจได้ เด็กมีอายุน้อยความคิดก็น้อย สิ่งใดที่ผู้ใหญ่ เข้าใจเด็กย่อมไม่เข้าใจเป็นส่วนมาก นี่แหละครับคุณ หลวงพ่อ ท่านอบรมลูกผมวันนั้น ผมจึงได้สติ ต่อมาผมไม่ยอมเป็นทาสของ อารมณ์โกรธต่อไป"

แล้วข้าพเจ้าก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มเด็กออกมาจากข้างใน เด็กนั้นอายุประมาณ ๖-๗ เดือน หน้าตาน่าเอ็นดู ชายผู้นั้นก็ แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักว่าเป็นภรรยา และเล่าต่อไปว่า เมื่อวันฝนตก หนักนั้นภรรยาของแกได้คลอดบุตร ได้เพียง ๓-๔ วัน พลางบอก

ภรรยาว่า
"คุณผู้นี้แกมายืนหลบฝนที่นี่ และเห็นหลวงพ่อท่านมา อบรมสั่งสอนลูกเราวันนั้นด้วย"


ภรรยาแกหันมาทำความเคารพข้าพเจ้า แล้วพูดว่า
"ลูกดิฉันนับแต่วันนั้นมาแกดีขึ้น ผิดกันคนละคน ซน น้อยลง รู้อะไรๆมากขึ้น วันอาทิตย์หยุดเรียนดิฉันก็ให้พ่อเขาพาไป หาหลวงพ่อที่วัด........ ท่านใจดีรักเด็ก และเด็กก็ติดท่าน"

ทั้งสองสามีภรรยาได้กล่าวถึงบุตรและพระด้วยความยินดี คิดว่าคงจะได้ระบายความรู้สึกของตนให้ผู้อื่นทราบและมีความภูมิใจ

เมื่อข้าพเจ้าลากลับ ทั้งคู่สั่งว่า หากข้าพเจ้าผ่านมาทางนี้ ขอให้แวะเยี่ยมบ้านแกด้วย คงจะเห็นข้าพเจ้าสนใจจึงทำให้เกิดความ สนิทสนมขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้าต้องขออภัยหากจะมีบางท่าน คิดว่าข้าพเจ้าเอาเรื่องข้างถนนมาใส่ใจ แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเรื่องนี้ แม้จะไม่เป็นประโยชน์ทั่วไป ก็คงมีประโยชน์สำหรับบางท่านบ้าง ไม่มากก็น้อย จึงได้เก็บมาเล่าสู่กันฟัง




 

Create Date : 17 กันยายน 2551    
Last Update : 17 กันยายน 2551 9:57:13 น.
Counter : 1139 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.