Group Blog
 
All blogs
 

ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี

วันนี้ขออนุญาตนำท่องสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตีเป็นเทวโลกชั้นสูงสุด ด้วยสุขสมบัติมากกว่าทุกสวรรค์ชั้นฟ้า เพราะเมื่ออยากได้อะไรก็จะมีเทพบริวารคอยเนรมิตให้ โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเนรมิตเอาเอง คือมีบริวารที่รู้ใจคอยจัดการให้ทุกเรื่อง นำเสนอเป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์เรื่องสวรรค์ครับ

สวรรค์ชั้นที่ ๖ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งแดนสุขาวดี มีนามปรากฏว่า ปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ที่ได้ชื่อว่าปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ ก็เพราะว่าสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจัาพวกหนึ่ง ซึ่งเสวยกามคุณอารมณ์ที่เทวดาอื่นรู้ความต้องการของตนแล้วเนรมิตให้ เป็นที่อยู่อันประเสริฐด้วยสุขสมบัติยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าทั้งหมด โดยมีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราช ทรงเป็นอธิบดี ฉะนั้น สรวงสวรรค์ชั้นนี้จึงได้ ชื่อว่า ปรนิมมิตวสวัดตีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเหล่าเทวดาที่มีสมเด็จพระปรนิมมิตเทวาธิราชทรงเป็นอธิบดี

ปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์นี้ นอกจากจะมีทิพยสมบัติ เช่น ปราสาททองเป็นต้น สวยงามประณีตาวิจิตรบรรจงกว่าสวรรค์ชั้นอื่นแล้ว การเป็นอยู่ของผู้ที่อุบัติเกิดในสวรรค์ชั้นนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ

๑. ฝ่ายเทพยดา มีเทวาธิราซผู้ ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปรนิมมิตเทวราช ทรงเป็นพญาเจ้าปกครองเหล่าเทพยดาทั้งหลาย
๒. ฝ่ายมาร มีมาราธิราชผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่า ท่านท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นพญาเจ้าฟ้าปกครองหมู่มารทั้งหลาย

จึงเป็นอันว่า สวรรค์เมืองฟ้าปารนิมมิตวสวัตตีมีการปกครองแบ่งเป็น ๒ ภาค คือ ภาคเทพยดาพวก ๑ ภาคหมู่มารพวก ๑ มีเขตแดนกั้นระหว่างทั้งเทพยดาและมาร ต่างฝ่ายต่างก็เสวยสุข ณ ทิพยสถานวิมานแห่งตนด้วยความสุขอันประณีตยิ่งล้นกว่าสวรรค์ชั้นฟ้าอื่นๆ เพราะเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในมงคลจักรวาล
วสวัตตีมาราธิราช

พญาวสวัตตีมาราธิราช ซึ่งบัดนี้เป็นประธานาธิบดียิ่งใหญ่ในภาคหมู่มารแห่งปรนิมมิตวสวัตดีสวรรค์นี้ เป็นพระโพธิสัตว์ได้ทรงก่อสร้างพระบารมี เช่นทานศีล เป็นอาทิ มามากต่อมาก แต่กองพระบารมีกองหนึ่ง ซึ่งปรากฏยอดเยี่ยมกว่าพระบารมีทั้งหลายเรียกว่าปรมัตถบารมีควรที่จะยังพุทธสมบัติให้ สำเร็จก็คือพระบารมีที่สร้างแต่ครั้งอดีตกาลนับเป็นอสงไขย

สมัยที่สมเด็จพระพุทธกัสสปะทศพลญาณเจ้าบรมโลกุตมาจารย์ ทรงอุบัติขึ้นในโลก พญามาราธิราชผู้นี เกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า โพธิอำมาตย์ ดำรงตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช เป็นที่โปรดปรานไว้วางพระราชหฤทัยนักหนา กาลวันหนึ่ง พระเจ้ากิงกิสละมหาราช ผู้มีพระทัยเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาลนา ได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระกัสสปะสัพพัญญูเจ้า ทรงเข้านิโรธสมาบัติเสวยวิมุตติสุขอยู่คำรบ ๗ วัน ณ ภายใต้ต้นไทรใหญ่และใกล้ จะออกจากนิโรธอยู่แล้ว จึงทรงพระราชดำริว่า "พระมหากรุณาธิคุณเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ถ้าผู้ใดได้ถวายทาน จักบังเกิดผลานิสงล์ผลบุญูมหาศาลล้ำเลิศ บัดนี้เราจักถวายทานแด่พระองค์' แล้วจึงทรงให้มีพระราชกฤษฎีกาประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า"ถ้าบุคคลผู้ได้ ลอบไปถวายทานแด่สมเด็จพระพุทธเจ้าก่อนเราแล้ว เราจักให้ลงอาญาแก่ผู้นั้น" แล้วตรัสสั่งให้ตั้งกองรักษาการณ์ที่ใกล้ต้นไทรใหญ่ บริเวณพระวิหารไว้อย่างกวดขัน หากผู้ใดล่วงละเมิดพระราชกฤษฎีกาแล้ว ก็ให้จับตัวไปประหารชีวิตเสีย

ท่านโพธิอำมาตย์ แม้ได้ทราบพระราชกฤษฎีกา ก็ยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะถวายทานแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้อาลัยในซีวิต พอรุ่งเช้าจึงถือเครื่องไทยทานของตนกับภรรยา รวมเป็น ๒ ห่อ ตรงไปยังวิหาร พวกรักษาการณ์เห็นเช่นนั้น จึงถามด้วยความคารวะว่า "ข้าแต่ท่านเสนาบดี! เหตุใดท่านจึงฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาที่ทรงห้ามไว้" ท่านอำมาตย์ใหญ่ชั้นเสนาบดีได้ ฟังแล้วดำริว่ถ้าเราจะบอกแก่เจ้าพวกนี้ ด้วยถ้อยคำเป็นเท็จว่า พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าเข้าไปในวังก็จะได้อยู่ แต่ทว่าหาควรที่เราจะกล่าวคำมุสาวาทไม่ เมื่อเราตั้งใจจะถวายทานแด่องค์พระโลกนาถเจ้า แต่กล่าวคำมุสาวาทแล้วทานของเราก็จักมีผลไม่ยิ่งใหญ่ ควรที่เราจะบอกตามความเป็นจริงแม้จักตายก็ตามทีเถิด เราหาอาลัยชีวิตไม่" แล้วจึงบอกไปว่า "เราจะเข้าไปถวายทานแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า" พวกทหารจึงจับท่านเสนาบดีมัดมือไพล่หลัง นำไปถวายพระราชาเพื่อให้ทรงพิจารณาโทษ พระราชาทรงพระพิโรธเป็นอันมาก รับสั่งให้นำตัวไปตัดศีรษะประหารชีวิตเสียทันที

สมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูกัสสปะพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาแก่โพธิเสนาบดี จึงเนรมิตพระพุทธนิมิตให้สถิตอยู่แทนพระองค์ในพระวิหารใหญ่ ส่วนพระองค์เสด็จปาฏิหารย์ไปประดิษฐาน ณ สถานที่ประหารท่านเสนาบดี ไม่มีผู้ใดเห็น จะเห็นได้แต่เฉพาะเสนาบดีผู้เดียวแล้วมีพระพุทธฎีกาว่า ''ดูกรโพธิเสนาบดี ท่านจงมีศรัทธา อย่าได้อาลัยในชีวิต อันเครื่องไทยทานของท่านมีประการใด ท่านจงกระทำจิตให้เสื่อมใสในตถาคตเถิด " โพธิเสนาบดีได้สดับพระพุทธฎีกาแล้ว ก็บังเกิดความเลื่อมใสสุดหัวใจจึงนำห่อภัตตาหารของตนกับภรรยา อัญชลีน้อมเกล้าฯเข้าถวายแต่องค์พระกัสสปะสัพพัญญเจ้า โดยคารวะเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง แล้วจึงตั้งปณิธานว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง ชีวิตของข้าพระบาทก็ได้สละแล้วในครั้งนี้ ด้วยเดชะผลทานนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับพระองค์ในอนาคตกาลโน้นด้วยเถิด

สมเด็จพระกัสสปะพทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณายกพระหัตถ์ขึ้นลูบศีรษะท่านเสนาบดี แลัวยังทรงพยากรณ์ว่า "ท่านปรารถนาสิ่งใด ความปรารถนาของท่านจงพลันสำเร็จเถิด ดูกรท่านเสนาบดี ท่านจงตั้งมั่นไว้ในใจด้วยดีเถิดในอนาคตเบื้องหน้าโน้น ท่านจักได้อุบัติเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณพระองค์หนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารช้านานนักหนา มาในชาตินี้บังเกิดเป็นเจ้าแห่งหมู่มาร ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีด้วยอำนาจบุญนำกรรมแต่ง เพราะยังอยู่ในห้วงแห่งกิเลสเหตุยังเป็นปุถุชน จึงเกิดความเห็นสับสนวิปริต มีจิตคิดแข่งดีใคร่ ทดลองพระบารมีสมเด็จพระศรีศากมุนีสมณโคดมของเรา เฝ้าตามประจญ ด้วยประการต่างๆ แต่มิได้ ล่วงเกินทำบาปหนักประการใด สุดท้ายภายหลังมีความเศร้าเสียใจอย่างหนักถึงกับออกปากเอ่ยความปรารถนาพุทธภูมิซ้ำอีกครั้งหนึ่ง

ทุกวันนี้ พญาวสวัตตีมาราธิราช ก็มีจิตอ่อนน้อมยินดีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ในกาลอนาคตเบื้องหน้าอีกนานแสนนาน พญามารซึ่งสถิตเป็นสุขอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีขณะนี้ จักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระพุทธธรรมสามี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวในกัปนั้น (กัปที่เรากำลังอยู่นี้มีพระพุทธเจ้ามากที่สุดถึง ๕ พระองค์) มีไม้รังเป็นมหาโพธิ์สถานที่ตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จักเป็นพระบรมศาสดาสั่งสอนให้เวไนยนิกรบรรลุอมตธรรมเป็นอันมาก ซึ่งในปัจจุบันนี้ เป็นเจ้าแห่งหมู่มารสถิตอยู่ ณ โลกสวรรค์ชั้นปรนิมมิตสวัตตีภูมิ

อายุ ทวยเทพที่ลถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ปรนิมมิตวสวัตตีภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ เก้าร้อยยี่สิบเอ็ดโกฏิหกล้านปี ดัวยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลกเรา

ทางไปสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า"เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับฤาษีทั้งหลาย แต่กาลก่อนคือท่านอัฏฐกฤาษี ท่านวามกฤาษี ท่านวามเทว ฤาษี ท่านเวสสามิตฤาษี ท่านยมทัคคฤาษี ท่านอังคีรสฤาษี ท่านภารทวาชฤาษี ท่านวาเสฏฐฤาษี ท่านกัสสปฤาษี ท่านภคฤาษี" ดังนี้ แต่เขาให้ทานด้วยคิดว่า "เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตของเราจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส" เขาผู้นั้นให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

*ทานสูตร (อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคนในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

*ปุญญกิริยวัตถุสูตร (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๑๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

เรียบเรียงจากโลกทีปนี และภูมิวิลาสินี โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ภาพประกอบจากสมาชิกพันทิป

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านซีรี่ย์เรื่องสวรรค์ตอนจบครับ




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 18:31:26 น.
Counter : 1723 Pageviews.  

ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๕ นิมมานรดี

สุขในโลกนี้และโลกหน้าจะมีแก่คนที่ทำบุญไว้เท่านั้น ผู้มีความประสงค์จะอยู่ร่วมกับทวยเทพทั้งหลาย ควรกระทำกุศลกรรมให้มากไว้ เพราะผู้มีบุญอันทำไว้ดีแล้ว ย่อมพรั่งพร้อมด้วยโภคสมบัติและย่อมบันเทิงในสุขคติโลกสวรรค์
วันนี้ขออนุญาตนำท่องสวรรค์ชั้นที่ ๕ นิมมานรดีครับ

สวรรค์ชั้นที่ ๕ นิมมานรดี หรือนิมมานรตีภูมิ ที่ได้ชื่อเป็นนิมมานรตีภูมิ ก็เพราะว่า สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่งมีความยินดีเพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ที่เนรมิตขึ้นตามความพอใจของตนเองสวรรค์ชั้นนี้ มีเทวาธิราชผู้เป็นใหญ่ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนิมมิตเทวราช ทรงเป็นอธิบดีผู้ ยิ่งใหญ่ปกครอง ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่านิมมานรตีภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเทวดาผู้มีความยินดีด้วยกามคุณที่ตนเองเนรมิตขึ้น

สวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ มีปราสาทแก้ว ปราสาทเงิน และปราสาทองเป็นวิมานที่อยู่ ทั้งมีกำแพงแก้วกำแพงทองล้อมรอบ มีพื้นภูมิภาคเป็นทองราบเรียบเสมอกัน มีสระโบกขรณีแลสวนอุทยาน สำหรับเป็นที่สำราญของเหล่าเทพยดาเช่นเดียวกับสวรรค์ชั้นดุสิตทุกประการ แต่ทว่าทุกสิ่งในนิมมานรตีพิภพนี้ สวยสดงดงามประณีตกว่าดุสิตพิภพเท่านั้น

เทพเจ้าทั้งหลายผู้สถิตย์อยู่ ณ สวรรค์ชั้นนี้ ย่อมมีรูปทรงสวยงามน่าดูชมยิ่งกว่าชาวสวรรค์ชั้นต่ำ และมีรัศมีรุ่งเรืองยิ่งนัก หากเขามีความปรารถนาในกามคุณอารมณ์สิ่งใด เขาย่อมเนรมิตเอาได้ตามความพอใจชอบใจของตนทุกสิ่งทุกประการ เสวยทิพยสมบัติโดยมีท้าวนิมมิตเทวาธิราชเจ้าปกครองให้ ได้รับความสุขสำราญทุกถ้วนหน้าเหล่าชาวฟ้า สมกับกุศลกรรมที่ตนอุตส่าห์สร้างสมอบรมมาแต่ชาติปางก่อน เทพเจ้าผู้มาบังเกิดอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ โดยมากเมื่อเป็นมนุษย์ เขาเป็นคนมีสันดานบริสุทธิ์ ได้สร้างกุศลบุญที่มีผลใหญ่ เช่นเทพเจ้านามว่าสุภัททา ซึ่งมีประวัติดังต่อไปนี้

สุภัททาเทพเจ้า

สมัยที่พระอรหันต์ผู้ขีณาสพยังปรากฏอยู่ในโลกมากมายนั้น มีคหบดีผู้หนึ่ง เข้าถึงพระรัตนตรัยและมีความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาลนายิ่งนักนิมนต์ พระเรวตะเถรเจ้า องค์อรหันต์ให้มาฉันอาหารบิณฑบาตที่บ้านของตนเสมอเป็นนิตย์ คหบดีนั้นมีธิดาสองคน ธิดาคนพี่มีนามว่า ภัททา ส่วนธิดาคนน้องนามคล้ายกันว่า สุภัททา นางภัททากุลธิดาคนพี่นั้นมีปัญญาดี รู้หลักนักปราชญ์ ทั้งจิตใจก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เพราะท่านบิดาเป็นผู้อบรมต่อมาไม่ช้านางก็ไปสู่ตระกูลผัว แต่ไม่มีบุตร จึงบอกแก่สามีให้ไปรับเจ้าสุภัททาน้องสาวมาอยู่ร่วมกับนาง จักได้มีบุตรลืบสกุลต่อไป ครั้นสามีไปรับน้องสาวมาอยู่ด้วยกันแล้ว นางก็ให้โอวาทน้องสาวเสมอว่า "เจ้าสุภัททาน้องเอ๋ย! เจ้าจงยินดีในการจำแนกทาน จงประพฤติธรรม อย่าได้ประมาท ชีวิดของเราใช่ว่าจะยั่งยืน แม้เจ้าปรารถนาจักได้ทิพยสมบัติในภายภาคหน้า จงเชื่อพี่เถิด สมบัตินั้นจักอยู่ในมือน้องเจ้าเป็นแน่แท้" พี่สาวเฝ้าตักเตือนสุภัททาน้องรักอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์

สุภัททาสาวคนน้องนั้น เธอเป็นคนเชื่อถือโอวาทแห่งพี่ ทั้งที่ตนเป็นคนรู้น้อยไม่ ค่อยพูดจา แต่มากด้วยศรัทธาเลื่อมใสมีจิตใจสันดานบริสุทธิ์ ก็ประพฤติตามดุจคำพี่สอน วันหนึ่งจึงให้คนไปนิมนด์พระเรวตะเถระองค์อรหันต์ให้เข้ามาฉันภายในเคหสถานแห่งตน ฝ่ายพระคุณเจ้าเรวตะเถระผู้มีจิตกรุณาปรารถนาจะยังกุศลให้เกิดแก่สุภัททาสาวโดยยิ่ง จึงพาพระภิกษุ ๗ องค์ล้วนแต่ทรงคุณเป็นพระอรหันต์ขีณาสพไป เพื่อจะให้นางถวายอุทิศแด่สงฆ์ชื่อว่าเป็นสังฆทาน สุภัททาเธอดีใจนักหนาอาราธนาให้นั่งฝนอาสนะ แล้วอังคาสด้วยขาทนียโภชนีอาหารอันประณีตบรรจงด้วยน้ำมือตน ถวายพระเถระองค์อรหันต์ทั้งหลาย ด้วยดวงใจที่เลื่อมใสศรัทธา และต่อมาก็มีโอกาสได้บำเพ็ญมหากุศลขั้นอรหันตทานอีกมากหลาย ฝ่ายภัททาพี่สาวก็ประกอบกองการกุศลตามศรัทธา พอถึงอายุขัยทั้งสองนางก็ทำกาลกิริยาตายไปตามธรรมดาสังขาร
ภัททาอุบาสิกาซึ่งเป็นพี่สาว ไปอุบัติเกิดเป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์อมรินทราธิราชในไตรตรึงษ์สวรรค์ ฝ่ายสุภัททาอุบาสิกาซึ่งเป็นน้องนั้น มาบังเกิดในปราสาททองอันเป็นวิมาน ณ สรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี เป็นเทพนารีทรงรัศมีรุ่งเรืองงดงามนักหนา จึงมาพิจารณาดูสมบัติแห่งตนว่าได้ด้วยบุญกุศลอันใด ครั้นดูไปรู้แจ้งว่า เพราะได้ ถวายทักขิณาแด่พระอริยสงฆ์องค์อรหันต์ซึ่งมีพระเรวตะเถรเจ้าเป็นประธานตามโอวาทของภัททาพี่สาวจึงได้เสวยสมบัติเห็นปานนี้ ครั้นพิจารณาต่อไปก็ทราบว่าบัดนี้ ภัททาพี่นางไปบังเกิดในไพชยนต์ปราสาท เป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์ จึงลงมาจากสวรรค์ชั้นนิมมานรตีแล้วเข้าไปหา

ภัททาเทพกัญญาประหลาดใจนัก จึงถามว่า "ข้าแต่ท่านผู้เจริญ! ตัวท่านรุ่งเรืองโอภาสไปด้วยรัศมีประดุจพระสุริยันเมื่อตะวันเที่ยงมียศและอานุภาพยิ่งกว่าปวงเทพในไตรตรึงษ์ ข้านี้มิเคยเห็นท่านมาก่อน ท่านมาแต่ประชุมเทวโลกใด ทำไฉนข้าจะรู้จักนามของท่าน ขอท่านจงได้บอกแก่ข้าในกาลบัดนี้"

สุภัททาเทพนารี จึงมีสุนทรวาทีตอบว่า"ดูกรนางฟ้าทรงโฉมโสภา ข้านี้นามว่า สุภัททา เป็นน้องสาวของท่านในชาติก่อน ท่านได้คอยพร่ำสอนให้ข้าทำทานการกุศล ครั้นแตกกายทำลายตนก็ได้ใปอุบัติบังเกิด ณ สวรรค์ชั้นนิมมานรตี ข้านึกถึงคุณแห่งนางฟ้าพี่สาว จึงลงมา ณ ที่นี่"

แล้วนางฟ้าทั้งสองก็สนทนากันเรื่องบุญกุศลที่ตนทำมาซึ่งให้ผลแตกต่างกันในที่สุด ภัททานางฟ้าจึงว่า "ดูก่อนเทพนารีน้องรัก แต่ก่อนนี้พี่มิรู้เลยว่า การถวายทานแก่พระอริยสงฆ์องค์อรหันต์ จักมีอานิสงล์มากเห็นปานนี้ ทีนี้เรารู้แล้ว เราลงใปเกิดเป็นมนุษย์เมื่อใด ก็จักตัดเสียซึ่งมัจฉริยะ ไม่มีความประมาท จักอุทิศสังฆทานแก่พระอริยสงฆ์เนืองๆ " พอสนทนากันสมควรแก่กาลแล้ว เทพนารีสุภัททาก็อำลานางฟ้าพี่สาวซึ่งเป็นบาทบริจาริกาแห่งท้าวโกสีย์ กลับขึ้นไปสรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรตี เสวยสุขทิพยสมบัติอยู่ ณ ปราสาททองอันเป็นวิมานของตน

อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นนิมมานรตีนี้ มีอายุยืนนานนับได้ ๘, ๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ สองร้อยสามสิบโกฏิสี่ล้านปี ด้วยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลก

ทางไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

*ทานสูตร
ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตใจผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "เราหุ่งหากินได้ แต่สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลาย ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้จะไม่ให้ทานแก่สมณะ หรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร" แต่ให้ทานด้วยคิดว่า "เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน เช่นเดียวกับท่านฤาษี ทั้งหลายคือ ท่านอัฏฐกฤาษี ท่าวามกฤาษี ท่านวาม เทวฤาษี ท่านเวสสามิตรฤาษี ท่านยมทัคคฤาษี ท่านอังคีรสฤาษี ท่านภารทวาชฤาษี ท่านวาเสฏฐฤาษี ท่านกัสสปฤาษี ท่านภคุฤาษี" เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำ กาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

*ปุญญกิริยาวัตถุสูตร (อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิกาย ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)
ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อถึง แก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็น สหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี

*สังคีติสูตร (ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ข้อ ๓๔๖ หน้า ๒๗๑ บาลีฉบับสยามรัฐ)
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมถวายข้าว น้ำ ผ้าผ่อน ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่นั่ง ที่พัก ที่อาศัย และสิ่งเป็นอุปกรณ์แก่ประทีป ให้เป็นทานแก่สมณะหรือ พราหมณ์ เขาย่อมมุ่งหวังสิ่งที่ตนถวายไปโดยเขาได้ศึกษา มาว่า "พวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีสวรรค์ เป็นเทพที่มีอายุยืน วรรณะงาม มากไปด้วยความสุข" ดังนี้แล้ว เขาจึงจินตนาอธิษฐานอย่างนี้ว่า "โอหนอ! เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เราพึง เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกเทพเจ้าเหล่านิมมานรดีสวรรค์เถิด"

เขาตั้งจิตนั้นไว้ อธิษฐานจิตนั้นไว้ อบรมจิตใจนั้นไว้ จิตของเขานั้นน้อมไปในสิ่งที่ต่ำ มิได้อบรมเพื่อคุณเบื้องสูง อย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีนี้ ก็ข้อนี้แลเรากล่าวสำหรับบุคคลผู้มีศีล ไม่ใช่สำหรับบุคคลผู้ทุศีล ผู้มีอายุทั้งหลาย ความตั้งใจของบุคคล ผู้มีศีลย่อมสำเร็จลงได้ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ ดังนี้

สุภัททาได้ทำบุญเป็นสังฆทานจึงมีผลมากกว่า ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดีที่ละเอียดปราณีตกว่า

เรียบเรียงจากโลกทีปนี และภูมิวิลาสินี โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ภาพประกอบจากสมาชิกพันทิป




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:15:46 น.
Counter : 577 Pageviews.  

ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๔ ดุสิต

สวรรค์ชั้นที่ ๔ มีนามว่า ตุสิตาภูมิ หรือสวรรค์ชั้นดุสิตที่ได้ ชื่อว่า ตุสิตาภูมิก็ เพราะว่าสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าพวกหนึ่ง ซึ่งมีความยินดีและความแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์โดยมีสมเด็จพระสันตุสิดเทวราชทรงเป็นอธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ปกครอง ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า ตุสิตาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของเทพเจ้าผู้มีความยินดีแช่มชื่นอยู่เป็นนิตย์

สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นยามาขึ้นไปไกลแสนไกล มีวิมาน ๓ ชนิด คือ รัตนวิมาน = วิมานแก้ว ๑ กนกวิมาน = วิมานทอง ๑ รชตวิมาน = วิมานเงิน ๑ แต่ละวิมานเป็นปราลาทสวยสดงดงาม วิจิตรตระการเหลือที่จะพรรณนา และมีกำแพงแก้วล้อมรอบทุกวิมาน สวยงามยิ่งกว่าปราสาทวิมานของเหล่าเทพยดาในสวรรค์ชั้นยามามีสระโบกขรณีและสวนอุทยานอันเป็นทิพย์ สำหรับเป็นที่เที่ยวเล่นของเทพเจ้าชาวสวรรค์

เทพเจ้าผู้อยู่ในดุสิตสวรรค์นี้แต่ละองค์ย่อมมีรูปทรงสวยงามและสง่ากว่าเทพชั้นต่ำๆ ทั้งมีน้ำใจรู้บุญ รู้ธรรม ยินดีในการสดับตรับฟังธรรมยิ่งนัก ทุกวันธรรมสวนะ เขาเหล่านั้นมีการประชุมฟังธรรมกันเสมอมิได้ขาดเลย องค์จอมเทพสันตุลิตเทวราชผู้มีอิสริยยศยิ่งใหญ่อธิบดีในสวรรค์ชั้นนี้ ท้าวเธอก็เป็นผู้รู้ธรรมะของสมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้ามาก ทรงเป็นเทพเจ้าผู้พหูสูต มักอัญเชิญูให้ฐทพบุตรผู้เป็นโพธีสัตว์แสดงธรรมโปรดเสมอ พระองค์ทรงปกครองเทพเจ้าในสวรรค์ชันดุสิตนี้ให้ได้รับความสำราญ ชื่นชมยินดี เป็นสุขรื่นเริงทุกทิพาราตรี

มีเทพเจ้าสำคัญองค์ที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ดังต่อไปนี้ครับ

สิริมหามายาเทพเจ้า

สมเด็จพระนางสิริมหามายา องค์มเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะนั้น ครั้นประสูติพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมราซโอรสแล้วได้เจ็ดวันเท่านั้น ก็ดับขันธ์จากมนุษย์ ขึ้นมาบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต เสวยทิพย์สมบัติอยู่จนทุกวันนี้ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร แต่จะได้ยินดีในการที่จะเสพเบญจกามคุณกับนางฟ้าก็หามิได้ ด้วยเป็นวิสัยธรรมดาแห่งพระพุทธชนนี หากว่าจะบังเกิดเป็นเทพนารี ทรงมีพระสิริรูปซึ่งงดงามหาที่เปรียบมิได้แล้วไซร้เทพบุตรองค์ใดมีจิตคิดรักใคร่ก็จักเป็นโทษนักหนา เหตุนั้น พระพุทธมารดาในปัจฉิมภวิกชาติ จึงอุบัติเกิดเป็นเทพบุตรสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิตนี้

คราวที่สมเด็จพระผู้มีพระภาค ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ทรมานเดียรถีย์นิครนถ์ ณ ภายใต้ต้นคัณฑามพฤกษ์ลำเร็จแล้ว ทรงพระดำริว่าพระมารดาของคถาคตนี้ มีคุณูปการและรักใคร่ในตถาคตเป็นอันมาก ได้ตั้งความปรารถนาเป็นมารดาตถาคตมาแต่สมัยลมเด็จพระวิปัลสีลัมมาลัมพทธเจ้า จนตราบเท่าบัดนี้ได้แสนกัป ควรแล้วที่ตถาคตจักไปดาวดึงส์พิภพเทศนาพระอภิธรรมคัมภีร์สนองคุณ ทรงดำริฉะนี้ แล้ว คราวนั้นพระองค์จึงเสด็จไปไตรตรึงษเทวโลก ประทับเหนือบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ภายใต้ไม้ปาริชาตพฤกษ์ พระพุทธองค์จึงโปรดประทานพระสัทธรรมเทศนา คือ พระสัตตปกรณาภิธรรมทั้งเจ็ดพระคัมภีร์ พอได้ สดับธรรมของสมเด็จพระชินลีห์จบลง องค์สิริมหามายาเทพบุตรพุทธชนนีก็ได้ สำเร็จพระโสดาปัตติผลในพระพุทธศาสนา

บัดนี้ พระสิริมหามายาเทพบุตร ก็ยังเสวยทิพยสมบัติอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตอย่างสุขสำราญ ด้วยบุญญาธิการที่สร้างสมอบรมไว้แต่ปางบรรพ์ สวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ย่อมเป็นที่ประทับอยู่ของสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าที่ทรงรอคอยโอกาสจะมาตรัสในโลก เช่นองค์สมเด็จพระบรมครูศรีศากยมุนีโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ประทับอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นดุสิตในพระนามว่า พระเสตุเกตุเทพบุตร ผู้ทรงพระพุทธบารมี จนถึงกาลที่เทพทั้งหลาย ในหมื่นจักรวาลไปทูลอาราธนา พระองค์จึงจุติมาอุบัติในมนุษยโลก แล้วทรงกระทำความเพียร จนสำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ

พระศรีอาริยเมตไตรย

ในปัจจุบันนี้ สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์คือ พระศรีอาริยเมตไตรยเจ้า ซึ่งจักมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ ก็เสด็จสถิตอยู่ณ ดุสิตพิภพสวรรค์ ด้วยว่าสวรรค์เทวโลกชั้นนี้ เป็นที่สำราญ ผาสุกสมควรแก่พระบรมโพธิสัตว์ผู้ทรงสร้างพระบารมีมาจะเสด็จอาศัยอยู่ จนกว่าจะถึงกาลกำหนตตรัสรู้ ตามเยี่ยงอย่างหน่อพุทธางกูรทั้งหลาย แต่ปางก่อนสืบมา

พระบรมโพธิสัตว์ ผู้สร้างพระบารมีหมายพระโพธิญาณนั้น หาพอพระทัยที่จักไปอุบัติเกิดในเทวโลกที่สูงกว่านี้ หรือพรหมโลกไม่ เพราะหาก ไปอุบัติเกิดในโลกที่มีอายุยืนนับเป็นกัปแล้ว ก็จะเป็นการเนิ่นนานชักช้าเสวยเวลาสร้างพระบารมีไปเปล่า ๆ ฉะนั้น จึงย่อมจะพอพระทัยที่จักบังเกิดอยู่ ณ ดุสิตพิภพนี้ เพราะสะดวกแก่การที่จะทรงอธิษฐานให้จุติมาเกิดในโลก มนุษย์เพื่อสร้างพระบารมีในคราวที่ต้องพระประสงค์ ได้ทราบว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมื่อเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว มีน้ำพระทัยรำพึงถึงพระโพธิญาณใคร่สร้างพระบารมีย่อมเสด็จเข้าสู่ที่บรรทมในปราสาทพิมานแต่ลำพังพระองค์เดียว แล้วทรงหลับพระเนตรลง ทรงอธิษฐานว่า เราจักจุติ ในกาลบัดนี้ โดยนำพระทัยรักในพระโพธิญาณมิได้ อาลัยในสวรรค์สมบัติ พอทรงอธิษฐานขาดคำลง ก็ทรงจุติจากสวรรค์มาอุบัติเกิดในมนุษย์โลก เพื่อสร้างพระบารมีต่อไป การอธิษฐานให้จุตินี้ จะกระทำได้ แต่เฉพาะเทพยดาผู้มีบุญญาธิการเช่นพระบรมโพธิสัตว์นี เท่านั้น จะได้ทั่วไปแก่สามัญสัตว์ทั้งหลายนั้นหามิได้ ขณะนี้พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมให้ ปวงเทพเจ้าเหล่าชาวสวรรค์ชั้นดุสิตฟังอยู่เสมอมิได้ขาด โดยการอัญเชิญอาราธนาของปวงเทพเจ้าชาวสวรรค์ชั้นดุสิต ซึ่งมีองค์สมเด็จพระสันตุลิตเทวราชเจ้าทรงเป็นประธาน

ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตุลิตาภูมินี้ มีอายุยืนนานได้ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้ห้าสิบเจ็ดโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปีแห่งมนุษยโลก

ทานสูตร

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำ ให้ประเพณี"

แต่ให้ทานด้วยคิดว่า "เราหุงหากิน แต่สมณะหรือพราหมณ์ไม่ได้หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ ผู้ไม่หุงหากิน ย่อมเป็นการไม่สมควร"

เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย แห่งเทวดาทั้งหลายในสวรรค์ชั้นดุสิต

พรุ่งนี้จะไปท่องสวรรค์ชั้นต่อไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดี Nimmanarati ครับ

สวรรค์ชั้นนิมมานรดี (สวรรค์ชั้นที่ 5) เป็นดินแดนสุขาวดีที่เสวยเบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ สามารถเนรมิตขึ้นได้เองตามความพอใจ
เมื่อเทพองค์ใดจะจุติ ก็จะได้ยินถ้อยคำวิงวอนให้กลับมาเสวยสุขร่วมกันอีก

เรียบเรียงจาก 'โลกทีปนี' และ 'ภูมิวิลาสินี' โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ขอบคุณภาพประกอบจากสมาชิกพันทิป
วันนี้ขอเล่าเกี่ยวกับสวรรค์ชั้นดุสิตเท่านี้ก่อน ขอให้มีความสุขครับ




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:14:12 น.
Counter : 844 Pageviews.  

ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๓ ยามา

เราเกิดมาภพชาติหนึ่งก็เพื่อสั่งสมบุญสร้างบารมีเท่านั้น กระทู้ท่องสวรรค์ พรรณนาถึงสุขคติสวรรค์ นับเป็นหนึ่งในอนุปุพพิกถาคือกล่าวถึงความสุขความเจริญและผลที่น่าปรารถนาอันเป็นส่วนดีของกาม อันจะพึงได้พึงถึงด้วยกรรมดี คือ ทาน ศีล ให้รู้จักบำเพ็ญกรรมดีนั้นจนจิตอิ่มตัวเป็นลำดับแห่งศีล

วันนี้ขออนุญาตนำท่องสวรรค์ชั้นที่ ๓ ยามา ย่อและรวบรวมจาก โลกทีปนี และภูมิวิลาสินี โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ครับ

สวรรค์แดนสุขาวดีชั้นที่ ๓ ยามาภูมิ ที่ได้ชื่อเช่นนี้ ก็เพราะว่าภูมินี้เป็นที่อยู่ของทวยเทพจำพวกหนึ่ง ซึ่งปราศจากความลำบากและถึงซึ่งความสุขอันเป็นทิพย์ โดยมีท้าวสุยามเทวราชเป็นผู้ปกครอง ฉะนั้นสวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า ยามาภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ของหมู่เทวดา ซึ่งมีสมเด็จพระสุยามเทวราช ทรงเป็นเทวาธิบดี

สวรรค์ชั้นยามานี้ตั้งอยู่เหนือสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเบื้องบนไกลแลนไกล มีปราสาทเงินและปราสาททอง เป็นวิมานที่อยู่ของเหล่าเทพยดาในสวรรค์ชั้นยามาทั้งหลาย ปราลาทวิมานนั้นสวยงามวิจิตรตระการตากว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีกำแพงแก้วล้อมรอบวิมาน มีสวนอุทยานและสระโบกขรณีอันเป็นทิพย์ ในสวรรค์เมืองฟ้านี้ไม่เห็นพระอาทิตย์พระจันทร์เลย เพราะสูงกว่าพระอาทิตย์พระจันทร์มากมายนัก เทพยดาทั้งหลายย่อมแลเห็นแสงสว่างด้วยรัศมีแห่งแก้วและรัศมีที่ออกจากกายเหล่าเทพเจ้านั้นเอง การทีจะรู้จักวันและกันได้ ก็รู้จากดอกไม้ ทิพย์อันมีอยู่ในสรวงสวรรค์นั้นเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์บานก็แสดงว่าเป็นเวลารุ่งกลางวัน ถ้าเห็นดอกไม้ทิพย์นั้นหุบลง ก็แสดงว่าเป็นเวลาค่ำคืน

ฝูงเทพเจ้าทั้งหลาย บรรดาที่ได้ก่อสร้างกองการกุศลไว้ แลได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นยามานี้มีองคาพยพและหน้าตารุ่งเรืองงดงาม ได้รับความผาสุก มีความสำราญชื่นบานเทพฤทัย เสวยทิพย์สมบัติรื่นรมย์สมควรแก่อัตภาพ ส่วนท้าวสุยามเทวาธิราช ผู้ทรงเป็นจอมเทพเจ้าปกครองชาวสวรรค์ชั้นนี้ ก็ทรงมีน้ำพระทัยประกอบด้วยกุศลยุติธรรม ทำให้เหล่าเทพเจ้าได้ รับความชุ่มฉ่ำเย็นใจ ได้เสวยสุขสุดพรรณนา

การที่สัตว์ทั้งหลาย จักไปเกิดเป็นเทพเจ้าในสวรรค์ชั้นยามานี้ ต้อง มีกมลสันดานหนาแน่นไปด้วยกุศลสมภาร ไม่หวั่นไหวง่อนแง่นในกองการกุศลเช่น อุบาสกคนหนึ่งในพระนครราชคฤห์ดังต่อไปนี้

อุบาสกคนหนึ่ง อยู่ในเมืองราชคฤห์ เขาเป็นคนมีศรัทธาหนักแน่นในพระบวรพุทธศาสนา อุทิศถวายอาหารบิณฑบาตแก่ภิกษุสงฆ์วันละ ๔ รูปเป็นประจำ ทำเป็นสังฆทานอยู่เนืองนิตย์ คราวหนึ่งประตูบานอุบาสกนั้นปิดไว้ด้วยเกรงโจรผู้ร้ายจะเข้าไป อรุณรุ่งเช้า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายที่มาเพื่อรับสังฆทานเช่นเคย เห็นประตูปิดอยู่ก็มิเข้าไป พากันกลับโดยมิได้ภัตตาหารอุบาสกนั้นตระเตรียมโภชนาหารเพื่อถวายสังฆทานเมื่อไม่เห็นพระผู้เป็นเจัาเข้ามารับ จึงสอบถามคนในบ้านได้ความว่า ประตูหนทางที่พระผู้เป็นเจ้าจะเข้ามาปิดอยู่ พระผู้เป็นเจ้าจึงเข้ามาไม่ได้ เลยมิได้รับสังฆทาน

ได้ทราบเช่นนี้แล้ว อุบาสกผู้ฝักใฝ่ในทานก็ให้สังเวชสลดใจนัก เพราะตนมีสันดานสะอาดมากไปด้วยศรัทธา ครุ่นคิดอยู่แต่ว่าวันนี้ตนมิได้ ถวายสังฆทาน อีกประการหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าก็คงมิได้ ฉันภัตตาหาร เป็นการขาดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านเพราะเหตุการณ์เพียงนิดเดียว คิดเช่นนี้ แล้วจึงเที่ยวไปว่าจ้างได้คนคนหนึ่งมาเป็นผู้รักษาประตู แลัวสั่งว่า "ท่านจงนั่งรักษาทวารอยู่ที่นี่ ถ้าเห็นพระผู้เป็นเจ้ามาเมื่อใด จงนิมนต์ให้เข้าไปในบ้านเรา จงพยายามปฏิบัติให้ดี" แล้วให้ค่าจ้างแก่บุรุษนั้นเป็นประจำ ตั้งแต่วันนั้นมาเขาก็เจริญศรัทธาถวายสังฆทานได้ทุกวันโดยสะดวก ทำอยู่เนืองนิตย์ ครั้นชีวีตของเขาปิดฉากลง กุศลจึงส่งให้มาเกิดเป็นเทพเจ้าบนสวรรค์ชั้นยามานี้ได้เสวยทิพยสมบัติแสนจะเป็นสุขครับ

ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติ ณ สวรรค์ชั้นยามาภูมินี้มีอายุยืนนานถึง ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สิบลี่โกฏิสี่ล้านปี ด้วยการนับตามจำนวนปีแห่งมนุษยโลกเรานี้

ผู้ที่จะมาอุบัติบังเกิดเป็นเทพในสรวงสวรรค์ชั้นยามานี้ โดยมากเมื่อเป็นมนุษย์เขาเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ พยายามบำเพ็ญทานรักษาศีลเป็นนิตย์ มีจิตขวนขวายในธรรมที่พระลัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้าแสดง ไม่ใช่แกล้งทำความดี แต่ทำด้วยใจจริงหนักหนา คุเณหิ ปริตุฏฐา ตั้งหน้าขวนขวายแต่กุศลกรรมความดีฝ่ายเดียวไม่แลเหลียวในการทำบาปกรรมความชั่ว ครั้นตัวแตกกายทำลายขันธ์ จึงพลันมาอุบัติเกิดเป็นเทพในสรวงสวรรค์ชั้นยามานี้

ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ฯลฯ ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่าทานเป็นการดี แต่ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วฃยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสุยามเทพบุตร จอมเทพในชั้นยามานั้น ทำบุญกิริยาวัตถุด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ท้าวเธอจึงทางเจริญรุ่งเรืองก้าวล่วงเหล่าเทวดา ชั้นยามาสวรรค์ โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:08:53 น.
Counter : 414 Pageviews.  

ท่องสวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์

วันนี้จะพาไปท่องสวรรค์ต่อจากจาตุมหาราชิกาภูมิขึ้นไป สวรรค์ชั้นที่ ๒ ดาวดึงส์ หรือตาวติงสาภูมิ หรือที่เรียกกันว่า สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ที่ได้ชื่อเช่นนี้ก็เพราะว่าสวรรค์ชันนี้เป็นที่ประทับอยู่ของเทพผู้เป็นใหญ่ ซึ่งเป็นสหายกัน ๓๓ องค์โดยมี สมเด็จพระอมรินทราธิราชทรงเป็นประธานนั้นท่านจึงขนานนามว่าตาวติงสาภูมิ = ภูมิที่เป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์

สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ เดิมทีเดียวหาใช่เป็นที่ประทับอยู่ของเหล่าเทพยดา ซึ่งมีพระอินทร์เป็นจอมเทพไม่ ตามประวัติมีว่าท่านผู้ประดิษฐานวงศ์พระอินทร์องค์อธิบดีนั้น ครั้งท่านเกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า มฆมาณพเป็นคนมีบุญสุนทาน ชักชวนบุรุษซึ่งเป็นสหายของตน ๓๒ คน ประกอบกองการกุศลต่าง ๆ มีการสร้างศาลา และทำถนนหนทาง เป็นต้น อันเป็นสาธารณประโยชน์ และบำเพ็ญสัตตปทานวัตร หรือวัตตบท ๗ ประการ คือ ๑. เลี้ยงดูบิดามารดาโดยเคารพ ๒. ยำเกรงต่อผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูล ๓. กล่าวถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะ ๔. ไม่กล่าวเปสุญญวาทวาจาล่อเสียดผู้อื่น ๕.ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ๖. ตั้งอยู่ในความสัตย์ลุจริต ๗. ไม่ฟุ้งซ่านด้วยความโกรธ มาณพนั้นพยายามสร้างบุญกุศล และประพฤติธรรมอยู่อย่างนี้เป็นนิตย์พอตายแล้วก็ขึ้นไปเกิดที่เทวภูมิแห่งนี้ บรรดาเทพบุตรซึ่งได้ไปเกิดอยู่ก่อนมีมากมาย ครั้นเห็นพวกมาณพมาอุบัติเกิดขึ้นใหม่ก็ดีใจ ชวนกันนำน้ำ คันธบานอันเป็นทิพย์มาดื่มเลี้ยงต้อนรับ แล้วเชื้อเชิญมฆเทพผู้เป็นหัวหน้าให้เป็นอุปราชเสวยสมบัติกึ่งหนึ่ง ฝ่ายมฆเทพเจ้านั้นมิได้มีจิตยินดีด้วยอุปราชสมบัติ จึงให้สัญญาแก่เทพบริษัทผู้ เป็นบริวารแห่งตนมิให้ ดื่มซึ่งน้ำคันธบานที่เทพบุตรผู้อยู่ก่อนนำมาเลึ้ยง อันว่าน้ำคันธบานในเมืองสวรรค์นั้นมีรสหวานอร่อยยิ่งนัก แต่ทว่าพอดื่มเข้าไปแล้ว จะปรากฏมีอาการมึนเมาเหมือนสุรา เพราะฉะนั้นเมื่อเนวาสิกเทพบุตรพร้อมกับบริวารของตน แต่งน้ำคันธบานให้อาคันตุกเทพบุตร และตนก็ดื่มกินเองเสียจนมัวเมาหาสติมิได้ ท้าวสหัสนัยน์จึงใช้ให้บริวารจับเทพบุตรผู้อยู่ก่อนเหล่านั้นขว้างทิ้งลงจากสวรรค์ชั้นนี้ เพราะไม่ปรารถนาที่จะอยู่ร่วม แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ปกครองเทพบริษัทของตนและทวยเทพทั้งหลายที่มาอุบัติในสวรรค์ชั้นนี้ ได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระอมรินทราธิราช พระองค์มีพระสหายสามสิบสองพระองค์ ซึ่งได้ร่วมสร้างกุศลกันมาครั้งเป็นมนุษย์ช่วยปกครองสวรรค์ชั้นนี้ด้วย ฉะนั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงปรากฏนามสืบมา จนทุกวันนี้ว่า ดาวดึงส์ = สวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพสามสิบสามองค์

อสูรพิภพ

ฝ่ายเนวาสิกเทพบุตรผู้เป็นเจ้าถิ่นเดิมครั้นถูกพวกของสมเด็จพระอมรินทราธิราชจับขว้างทิ้งลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในครั้งนั้น พอตกมาถึงท่ามกลางสิเนรุบรรพตก็ค่อยได้สติสมปฤดี แล้วจึงถ้อยทีถ้อยกล่าวแก่กันว่า "พ่อเอ๋ย ชาวเราทั้งหลาย! แต่นี้ต่อไปพวกเราอย่าไดัดื่มกินซึ่งน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์ร้ายประดุจสุราเลย เพราะดื่มน้ำ คันธบานนี่เอง ชาวเราทั้งหลายจึงต้องได้ รับความอัปยศในครั้งนี้ จักขึ้นไปอยู่ในสถานที่เก่ากระไรได้" แต่เฝ้าเสียใจและให้โอวาทอนุสาสน์แก่กันดังนี้ แล้วก็พร้อมใจกันเลิกดื่มน้ำคันธบานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉะนั้น เทพบุตรเหล่านั้นจึงได้นามว่า อสูร ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่ดื่มน้ำคันธบานอันมีฤทธิ์แรงคล้ายสุรา

ด้วยเดชะแห่งกุศลกรรมที่เทพบุตรเหล่านั้นได้สร้างสมมาแต่ปางก่อน จึงบังเกิดเป็นเทพนครอันสวยสดงดงามตระการ กว้างใหญ่รุ่งเรืองคลัายกับดาวดึงล์พิภพทุกประการ เพียงแต่ว่าความวิจิตรพิสดารต่ำกว่าเล็กน้อยเท่านั้น นครนี้บังเกิดขึ้นที่เชิงสิเนรุบรรพต ปรากฏว่ามีน้ำล้อมรอบกำแพงเมืองเป็นปกติอยู่เสมอมิได้ขาด มีรุกขชาตินามว่า ไม้ปาตลี คือ ไม้แคฝอย ประดับงดงามประจำพระนครนี้ เพราะเหตุที่เทพบุตรเหล่านั้นเข้าอยู่อาศัยแสนสำราญฤทัย เทพนครนี้จึงได้นามว่า อสูรพิภพ = พิภพของอสูรเทพบุตร

ความเป็นอยู่ในอสูรพิภพนี้ ก็มีความเป็นอยู่เช่นเดียวกับทวยเทพทั้งหลาย คือ เสวยทิพยสมบัติอันเป็นสุข มีแต่ความสดชื่นรื่นเริงใจอยู่เป็นอันมาก มิต้องลำบากยากเข็ญ แต่ประการใด ด้วยอำนาจกุศลกรรมที่เหล่าอสูรทำไวัแต่ปางก่อน โดยมีการแบ่งเขตปกครองดังต่อไปนี้

๑. ทิศตะวันออก มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ท่านท้าวสัมพรอสูร หรือท่านท้าวเวปจิตตาสูรที่กล่าวถึงเมื่อตะกี้นี้ ทรงเป็นองค์อธิบดีปกครองเองแล้วทรงแต่งตั้งให้ ไพจิตตาสูรเป็นองค์อุปราช
๒. ทิศใต้ ท้าวอสัพพราสูรเป็นองค์อธิบดี มีทัาวสุลิอสูรเป็นองค์อุปราช
๓. ทิศตะวันตก ท้าวเวลาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวปริกาสูรเป็นองค์อุปราช
๔. ทิศเหนือ ท้าวพรหมทัตตาสูรเป็นองค์อธิบดี มีท้าวอสุรินทราหูเป็นองค์อุปราช

อสุรินทราหูโพธิสัตว์

เบื้องอสูรพิภพอันแสนสุข ขณะนี้มีเทพบุตรสำคัญองค์หนึ่ง เทพบุตรองค์ที่ว่านี้คือ ท้าวอสุรินทราหู ผู้มีกายใหญ่เหนืออสูรทั้งหลาย ในอสูรพิภพแดนสุขาวดี อสุรินทราหูองค์นี้ เป็นองค์อุปราชจอมอสูร ปกครองด้านทิศเหนือแห่งอสูรพิภพ มีพละกำลังกล้าแข็ง และมีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าบรรดาอสูรทั้งหลาย ทั้งมีสรีระสูงใหญู่นักหนา เพราะค่าที่มีกายสูงใหญ่นี่เอง จึงเป็นเหตุให้เข้าใจผิด แม้ตนเองจะมีจิตเลื่อมใส ใคร่จะได้ทอดทัศนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจัา ก็ไม่กล้ามาเฝ้าซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เป็นใจความว่า อสุรินทราหูนั้นได้สดับกิตติศัพท์กิตติคุณแห่งสมเด็จพระสัมมาลัมพุทธเจ้าจากเทพยดาทั้งหลาย และได้เห็นเทพยดาเหล่านั้นพากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เนืองๆ ก็มาดำริถึงตนเองว่า "เรานี้มีกายสูงใหญ่ จะไปสู่สำนักพระพุทธองค์เจ้าซึ่งมีพระองค์อันน้อยนิด และจะก้มตัวดูพระพุทธองค์นั้น ไม่สมควรเป็นการขาดคารวะ" ท้าวเธอดำริฉะนี้แล้ว ก็ไม่ได้ มาเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งที่ทรงมีความปรารถนาจะเฝ้านักหนา

อยู่มาวันหนึ่ง อสุรินทราหูได้ฟังเทพดาทั้งปวงพากันสรรเสริญพระเดชพระคุณ แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันหาที่สุดมิได้ ก็เกิดความเลื่อมใสเป็นกำลัง อดใจมิได้แล้วจึงเดินทางมาพลางดำริว่า "เราจักอุตสาห์ไปให้ได้เห็น พระพุทธองค์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ แม้แต่สักครั้งหนึ่งคราวเดียวก็ยังดีแต่ว่าเราจะก้มจะกราบอย่างไรหนอ คิดพลางเดินพลางมาสู่สำนักสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความกังวลใจ

กาลนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงทราบอัธยาศัยของจอมอสูร จึงรับสั่งใหัพระอานนท์ตบแต่งพระแท่นที่บรรทมแล้วพระองค์ก็ทรงเนรมิตพระวรกายให้ โตใหญ่สำเร็จสีหไสยาสน์ ฝ่ายอสุรินทราหูผู้มีกายอันสูงใหญ่ไดัสี่พันแปดร้อยโยชน์ ครั้นมาถึงสำนักพระพุทธองค์แล้ว ก็ต้องแหงนหน้าขึ้นแลดูสมเด็จพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธนฤมิตนั้น มีครุนาดุจทารกกุมารแหงนดูปริมณฑลแห่งพระจันทร์ก็ปานกัน สมเด็จพระบรมโลกนาถจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า ''ดูกรอสุรินทร์! ท่านมาแลดูตถาคตนี้ เห็นเป็นประการใดบ้าง?" ท้าวเธอจึงกราบทูลว่า "ขอเดชะ ทรงพระกรุณา กระหม่อมฉันนี้ไม่ทราบเลยว่า พระองค์จักทรงพระเดชพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐเห็นปานนี้นฤมิตพระวรกายให้ใหญ่ยิ่ง เพื่อให้กระหม่อมฉันได้เข้าเฝ้าโดยสะดวก จึงเพิกเฉยมิกล้ามาสู่สำนักของพระพุทธองค์เจ้าเป็นเวลานาน"

สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธฎีกาว่า "ดูกรอสุรินทร์! เมื่อตถาคตบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ทั้งปวงอยู่นั้น จักได้ก้มหน้าย่อท้อต่อความลำบากที่จะกระทำบำเพ็ญก็หามิได้ ตั้งใจบำเพ็ญมิได้หดห่อย่อท้อ แม้จักแสนยากเพียงไร ก็มิได้ก้มหน้าทอดอาลัยเลย เหตุฉะนี้บุคคลที่ปรารถนาจะแลดูตถาคตนี้ จะตัองก้มหน้าลงดูเหมือนอย่างท่านคิดก็หาไม่" มีพระพุทธฎีกาตรัสฉะนี้ แล้ว ก็โปรดประทานพระธรรมเทศนาแก่จอมอสูรซึ่งก็ทำให้จอมอสูรมีน้ำพระทัยเต็มตึ้นไปสัวยความเลื่อมใสจืงได้แปล่งคำนมัสการว่า "ตสฺส" ดังนี้

บุพพภาคนมการ

แท้จริง คำนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งชาวเราพากันสวดอยู่ทุกวันนี้ ผู้ที่กล่าวครั้งแรกมีดังต่อไปนี้
๑. นโม = สาตาคิริยักษ์ และเหมวตายักษ์
๒. ตสฺส = อสุรินทราหู อุปราชแห่งอสุรพิภพ
๓. ภควโต = ตปุสสะภัลลิกะมาณพ
๔. อรหโต = สมเด็จพระอมรินทราธิราช
๕. สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส = ท่านท้าวพกาพรหม

จึงรวมเป็น นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ซึ่งได้ ชื่อว่าบุพพภาคนมการ คือ คำกล่าวนมัสการนอบน้อมในเบื้องต้น ก่อนที่สาธุชนพุทธบริษัทจะประกอบศาสนกิจอย่างอื่นต่อไป และปรากฏยังยืนมาได้จนถึงปัจจุบันทุกวันนี้ อสุรินทราหูผู้นี้ ต่อไปภายหน้าอีกนานแสนนาน จักได้มาตรัสเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตทรงพระนามว่า พระพุทธนารทะ เพราะได้สร้างสมอบรมบารมีอันสูงส่งยอดเยี่ยมมาแต่อดีตกาล

สมบัติในดาวดึงส์

สมบัติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้มีมาก เพราะเหล่าเทพบุตรเทพธิดาซึ่งมีบุญญาธิการไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้มีเป็นจำนวนมาก ทั้งจอมเทพผู้เป็นประธานาธิบดี คือ สมเด็จพระอมรินทร์ ก็ทรงมีบุญูญูานุภาพเป็นอันมาก ทรงฝักใฝ่ในการกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ทรงมีความประมาทในบุญูกุศลแม้แต่น้อย เมื่อเหล่าเทพเจ้าทั้งหลายต่างองค์ต่างก็มีบุญญาธิการเช่นนี้ สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงเจริญรุ่งเรือง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่เทวดาแลมนุษย์ รู้กันว่าเป็นภูมิที่อยู่อันแสนสนุกสุขสำราญ โยคีฤๅษีสิทธิ์ผู้ได้ฌานก็ดี แม้แต่พระอริยเจ้าบางองค์ผู้ได้อภิญญาก็ดี ซึ่งมีฤทธาศักดานุภาพเหนือมนุษย์ธรรมดา ย่อมพากันมาชมมาดูสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นี้มิได้ขาด

นอกจากปราสาทไพชยนต์พิมาน อันเป็นที่ประทับอยู่ขององค์อมรินทร์จอมเทพแล้ว ในสวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์ ยังมีอุทยานอันเป็นทิพย์อยู่ มากมาย เมื่อนับแต่อุทยานใหญ่ ๆ ก็ได้ดังนี้
๑. ทิศตะวันออก มีอุทยานทิพย์ชื่อ นันทวัน ๒. ทิศตะวันตก มีอุทยานทิพย์ชื่อ จิตรลดาวัน ๓. ทิศเหนือ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ สักกวัน ๔. ทิศใต้ ...มีอุทยานทิพย์ชื่อ ผรุสกวัน

สวนขวัญอุทยานทิพย์เหล่านี้ เป็นสถานที่สวยสดงดงาม สนุกสนาน จะหาเปรียบปานในมนุษยโลกนี้มิได้ เพราะเป็นอุทยานทิพย์ในสรวงสวรรค์ เต็มไปด้วยสรรพรุกขชาติบุปผชาตินานาพรรณ นอกจากนั้นก็มีสระโบกขรณี ซึ่งมีน้ำใสดุจแผ่นแก้วดูรุ่งเรือง และมีปาสาณศิลาคือก้อนหินศิลา ล้วนแต่เป็นทิพย์มีรัศมีสวยสด ทั้งมีแท่นที่นั่งเล่น สีขาวสะอาดดุจใครแสร้งวาดไว้ให้พิจิตรสวยงาม ฝูงเทพบุตรเทพธิดาย่อมมาเล่นสนุกในสวนสวรรค์อุทยานทิพย์เหล่านี้เป็นเนืองนิตย์
พระจุฬามณีเจดีย์

เมืองฟ้าชั้นไตรตรึงษ์นี้ มีสถานที่สำคัญที่สุดอยู่แห่งหนึง สถานที่ที่ว่านี้ก็คือ พระจุฬามณีเจดีย์เจ้า เป็นเจดีย์มีทรงสัณฐานใหญู่ ตั้งอยู่ด้านทิศอาคเนย์คือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเทพนครไตรตรึงษ์ แลดูงดงามรุ่งเรืองนัก เพราะสร้างด้วยแก้วอินทนิล ตั้งแต่กลางถึงยอดเจดีย์ทำด้วยทองคำเนื้อแท้ แล้วประดับด้วยสัตตพิธรัตนะ คือ แก้ว ๗ ประการ ส่วนสูงทั้งหมดแปดหมื่นวา มีกำแพงทองคำาเนื้อแท้ ล้อมรอบกำแพง แต่ละด้านนั้นยาวหนึ่งแสนหกหมื่นวามีธงชนิดต่างๆ มีสีนานา แดงบ้าง เหลืองบ้าง เขียวบัาง ประดับประดา แลดูงามพรรณรายนักหนา ฝูงเทพยตาพากันถือเครื่องตีเครื่องเป่า สังคีตสรรพดริยางค์ทั้งหลาย มาบรรเลงถวายบูชาพระเจดีย์เจ้าทุกวันมิได้ขาด

พระจุฬามณีเจดีย์องค์นี้ เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระอมรินทราธิราชองค์ปัจจุบันนี้เอง พระองค์สร้างไว้เพื่อจะได้เป็นที่สักการบูชาของหมู่เทวดาในชั้นฟ้า ภายในพระเกศจุฬามณีเจดีย์ ซื่งสถิตประดิษ ฐานอยู่บน สวรรค์ชั้นไตรตรึงษ์นั้น บรรจุสิ่งสำคัญอันหาค่ามิไดัในพระพุทธศาสนาไว้ถึง ๒ อย่าง คือ

๑. พระเกศโมลี แห่งพระพุทธองค์ โดยมีประวัติความเป็นมา ว่า เมื่อครั้งจะเสด็จออกบรรพชา พระองค์ทรงตัดมวยพระ โมลี แล้วทรงอธิษฐานว่า "ถ้าจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษก สัมโพธิญาณแล้ว ขอให้มวยพระเกศโมลีจงลอยขึ้นไป บนนภากาศเถิด อย่าได้ตกลงมาสู่พื้นปฐพีเลย" คราที่นั้น สมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ จึงทรงนำผอบทองคำมารองรับพระเกศโมลีไว้ แล้วทรงนำขึ้นบนดาวดึงส์สวรรค์ สร้างพระเจดีย์นี้ สำหรับบรรจุพระโมลีนั้น

๒. พระบรมธาตุ เขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธองค์ โดยมีความเป็นมาว่า เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธ สรีระเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ท่านโทณพราหมณ์ ซึ่งได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเปิดรางทองคำ ออกนั้น โทณพราหมณ์เห็นเหล่ากษัตริย์ทั้งหลาย พิลาปร่ำไห้ถึงพระบรมครูก็พลันฉุกคิดได้ จึงแยกพระเขี้ยว แก้วนี้เสียต่างหากจากพระบรมสารีริกธาตุส่วนอื่น โดยซ่อนไว้ในผ้าโพกศีรษะแห่งตน แล้วสาละวนจัดแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเพื่อถวายกษัตริย์ เหล่านั้นต่อไป ฝ่ายสมเด็จพระอมรินทราธิราชผู้เลื่อมใส ในพระสัพพัญญูเจ้าอย่างลึกซึ้ง ได้เสด็จมาสังเกตุการณ์ อยู่ ด้วยพระทัยประสงค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุเหมือนกัน จึงอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาอันประเสริฐจากผ้าโพก ศีรษะของพราหมณ์เฒ่านั้น ลงสู่ผอบทองคำทิพย์อีกทอด หนึ่ง ด้วยกิริยาอันเลื่อมใสยิ่ง แล้วรีบเสด็จเอามา ประดิษฐานบรรจุไว้ ณ พระเกศจุฬามณีเจดีย์

ฉะนั้น จึงปรากฏว่า เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างมีความเคารพเลื่อมใสในองค์พระเจดีย์นี้ยิ่งนัก สำหรับสมเด็จพระอมรินทร์เองนั้น แทบไม่ต้องกล่าวก็ได้ว่าทรงมีพระศรัทธาเลื่อมใลเพียงใด ทุกวารวันพระองค์พร้อมด้วยเหล่าบริษัทมีพระหัตถ์ถือดอกไม้ธูปเทียนของทิพย์สคนธชาดิไปถวายพระเจดีย์ กระทำประทักษิณเวียนเทียนเสมอมิได้ขาด นอกจากนี้แล้ว เทพเจ้าที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นอื่น เช่นท้าวจาตุมหาราชในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ และเทวดาชั้นยามา ดุสิต เป็นต้น ต่างก็มานมัสการพระเกศจุฬามณีเจดีย์เจ้านี้เป็นนิตย์

ปาริชาต

นอกเมืองไตรตรึงษ์ออกไปทางทิศอีสาน คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีสวนอุทยานทิพย์แห่งหนึ่ง นามว่า ปุณฑริกวัน เป็นสวนกว้างใหญ่ยิ่งนักมีกำแพงล้อมรอบทั้ง ๔ ดัาน กลางสวนนั้นมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์มีชื่อว่า ปาริชาต กัลปพฤษ์ ใต้ต้นไม้ทิพย์นั้นมีแท่นศิลาแก้วอันหนึ่ง ชื่อว่าบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เป็นแท่นสีแดงดังดอกชบา และอ่อนดุจผ้าฟูกหรือดังหงอนราชหงส์ทอง เมื่อสมเด็จพระอมรินทราธิราชประทับนั่ง แท่นศิลาจะอ่อนยุบลงไป พอเสด็จลุกขึ้น แท่นศิลานี้ก็จะเต็มขึ้นมาตามเดิม เป็นแท่นศิลาที่ฟุบลงได้ แลฟูขึ้นไดัโดยธรรมชาติอย่างนี้

ดอกปาริชาตนั้น ต่อหนึ่งร้อยปีจึงบานครั้งหนึ่ง และเมื่อดอกไม้สวรรค์นี้จะบาน ฝูงเทพบุตรธิดาต่างยินดีนัก ย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝัาดอกไม้นั้นจนกว่าจะบาน ครั้นดอกไม้ นั้นบานแล้ว ย่อมมีแสงอันรุ่งเรืองงามนักหนา รัศมีแห่งดอกปาริชาตินั้นเรือง ๆ ไปไกลได้แปดแสนวา เมื่อลมรำเพยพัดไปทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทางทิศนั้นไกลสุดไกล เพราะไม่ใช่ดอกไม้ ดอกเดียว เป็นดอกไม้มากมายหลายดอก บานตลอดหมดทั้งต้นทุกกิ่งทุกกัาน ฝูงเทพยดาทั้ง หลายเมื่อต้องการดอกไม้ นั้น มิพักต้องขึ้นไปเก็บให้เหนื่อยยาก เพียงแต่เข้าไปภายใต้ต้น ดอกปาริชาตก็จะหล่นลงมาถึงมือเอง ประดุจจะรู้จิตใจของเขา ถ้าเขายังไม่ทันรับก่อนแล้ว ดอกไม้ก็หาตกถึงพื้นไม่ เพราะมีลมชนิดหนึ่งพัด ชูดอกไม้นั้นเข้าไว้บนอากาศ มิให้ตกถึงพื้นจนกว่าเทพยดาผู้ต้องประลงค์จะมารับ ฝูงเทพยดาทั้งหลายย่อมมาเล่นสนุกสนานที่ใกล้ต้นปาริชาตนั้นเนืองนิตย์

สุธรรมาเทวสภา

เทวสถานไม่ไกลจากต้นไม้ สวรรค์ปาริชาตเท่าใดมีศาลาใหญ่หลังหนึ่งตั้งอยู่งามตระหง่านประเสริฐนัก ปรากฏนามว่า ศาลาสุธรรมา มีมณฑลกว้างขวางใหญ่โต พื้นศาลาแล้วด้วยแก้วผลึก และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ มีกำแพงทองล้อมรอบศาลาสวรรค์นั้น และมีดอกไม้สวรรค์ชนิดหนึ่งนามว่าอสาพติ ดอกไม้ ชนิดนี้ นานนักหนากว่าจะบาน ถ้วนหนึ่งพันปีจึงจะบานลักครั้งหนึ่ง แต่ว่าเมื่อบานแล้วล่งกลิ่นหอมนักหนา เมื่อเวลาจะบานนั้น เทวดาทั้งหลายย่อมเปลี่ยนเวรกันอยู่เฝ้าเพราะเทวดาทั้งปวงเขามีจิตใจรักดอกไม้ ยิ่งนัก ภายในศาลาสุธรรมาเป็นที่ประชุมฟังธรรมของเหล่าเทพยดาทั้งหลาย จึงมีธรรมาสน์แก้วสวยงามใหญ่หลายวา เป็นธรรมาสน์ประจำตั้งอยู่ที่ศาลานั้น นอกจากนี้ก็มีราชอาสน์ทิพย์ที่ประทับนั่งของสมเด็จพระอมรินทราธิราชจอมเทพผู้เป็นใหญ่ แล้วก็มีที่นั่งของเทพเจ้าผู้เป็นพระสหายของพระองค์ ต่อจากนั้นก็เป็นอาสนะของเทพเจ้าทั้งหลายลดหลั่นกันไปตาม ฐานานุศักดิ์ เมื่อพูดถึงความรื่นรมย์ภายในศาลาลุธรรมานี้ มีความรื่นรมย์หาที่เปรียบมิได้ อบอวลหอมหวนด้วยดอกไม้ สวรรค์นานาพรรณอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่า ที่นี่เป็นที่รื่นรมย์ชวนชมกว่าแห่งอื่นในสรวงสวรรค์ ผู้ที่ได้ไปเห็นมา เมื่อพบเห็นที่ใดที่หนึ่งที่น่ารื่นรมย์ในมนุษยโลกนี้ มักจะพูดเปรียบเทียบว่า "รื่นรมย์เหมือนสุธรรมาเทวสภาในสรวงสวรรค์ดาวดึงส์แดนสุขาวดี"

เทวดาสดับธรรม

เมื่อถึงวันธรรมสวนะ คือ วันพระ เหล่าเทพยดาทั้งหลายต่างก็มาประชุมพร้อมเพรียงกันที่ศาลาสุธรรมมานี้ เพื่อที่จะสดับธรรมตามกาล การสดับธรรมตามกาลตามโอกาสนี้ถือกันว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุดสำหรับทวยเทพในสวรรค์ก็กิริยาที่เทพยดาทั้งหลายมานั่งประชุมพร้อมเพรียงกันที่อาสนะของตนตาม ฐานานุศักดิ์ ภายในศาลาลุธรรมาเพื่อสดับธรรมนี้ แลดูงดงามนักหนาเป็นทัศนียภาพที่จักหาสิ่งใดเปรียบปานมิได้ เมื่อเหล่าเทพนั่ง พร้อมเพรียงกันแล้ว ลำดับนั้นมีพระพรหมองค์หนึ่งนามว่า พระพรหมกุมาร พระองค์เป็นผู้ทรงธรรมและรู้ธรรมจึงเสด็จลงมาจากพรหมโลกอันไกลแสนไกล แต่ด้วยพรหมวิสัย พระองค์เสด็จมาชั่วเวลามาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ก็มาถึงเทวโลกสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้ ครั้นถึงแล้วจึงขึ้นสู่ธรรมาสน์แก้ว แล้วเทศนาแจกแจงธรรมะไพเราะจับจิตจับใจเหล่าเทวดา ด้วยเสียงแห่งพรหมซึ่งประกอบไปด้วย องค์ ๘ ประการ คือ ๑. เสียงแจ่มใส ๒. เสียงชัดเจน ๓. เสียงนุ่มนวล ๔. เสียงน่าฟัง ๕. เสียงกลมกล่อม ๖. เสียงไม่พร่าแตก ๗. เสียงลึก ๘. เสียงมีกังวาน เมื่อองค์พรหมกุมารแสดงธรรมอยู่ ด้วยเสียงแห่งพรหม ซึ่งประกอบไป ด้วยองค์ ๘ ประการนี้ เหล่าเทพเจ้าผู้สดับย่อมเกิดความซาบซึ้งตรึงใจในรสแห่งพระธรรมนักหนา พอควรแก่เวลาแล้ว องค์พระพรหมกุมารก็เสด็จกลับไปพรหมโลกแดนไกล

บางคราว เทพเจ้าทั้งหลายก็อัญเชิญเทพยดาผู้รู้ธรรมะในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์นั่นเอง เป็นองค์แสดงธรรม เพราะว่าผู้รู้ธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยตน ตายแล้วมาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงล์นี้ก็มีมาก เทพยดาทั้งหลายมีสมเด็จอมรินทราธิราชเป็นประธานย่อมทราบได้ดีว่า เทวดาใดเป็นผู้ทรงคุณวิเศษรู้ธรรม ก็พร้อมกันอัญูเชิญให้เทพยดานั้น ขึ้นธรรมาสน์แก้วแล้วให้ แสดงธรรมโปรดพวกตน เสร็จแล้วจึงอนุโมทนาสาธุการด้วยเสียงแห่งเทพยดาน่าชื่นใจ

บางคราวสมเด็จเจ้าจอมไตรตรึงษ์องค์อมรินทราธิราช ก็ขึ้นธรรมาสน์แสดงธรรมเอง วันไหนท้าวเธอทรงแสดงธรรมเอง วันนั้นเป็นวันพิเศษจริง ๆ และเทวดาทั้งหลายก็ตั้งอกตั้งใจนัก อยากจะให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ เพราะองค์พระอมรินทร์จอมเจ้า ถึงแม้ว่าพระองค์เองจะเป็นพระโสดาบันอริยบุคคล ทรงสนใจในพระธรรมมาก หากมีกมลสันดานกอบด้วยศรัทธาเป็นบุญญาธิการอันสูงเยี่ยม

สุพรรณบัฏ

ท่านท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ซึ่งเป็นจอมเทพอยู่ในจาตุมหาราชิกาภูมิ ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำ ใกล้ชิดกับมนุสสภูมิเป็นที่ลุด เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ ก็ย่อมจะทราบความเป็นไปของหมู่มนุษย์ได้มาก ประดุจมนุษย์เราอยู่ใกล้ชิดกับติรัจฉานภูมิ ก็ย่อมทราบความเป็นไปของติรัจฉานฉะนั้น ในฐานะที่ท่านท้าวมหาราชเป็นเทพเจ้าทรงชีพอยู่ได้ด้วยบุญ กุศล ก็ย่อมจะมีพระทัยฝักใฝ่ในบุญกุศลเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น เมือพระองค์ทรงทราบว่า ผู้ใดได้ลร้างบุญกุศลชนิดใดไว้บ้าง จะเป็นว่าทราบด้วยพระองค์เองก็ดีหรือเทวดาอื่นใดมีเทวดาผู้ตั้งอยู่ใน ฐานะแห่งบุตรของพระองค์ เป็นต้น ซึ่งท่องเที่ยวไปในหมู่มนุษย์ด้วยเทพวิสัย แล้วมากราบทูลให้ ทรงทราบก็ดีพระองค์ก็ทรงจดชื่อจารึกนามของท่านผู้ทำบุญูกุศลนั้นไว้ บนแผ่นทองเนื้อแท้ ด้วยดินสออันทำด้วยชาติหิงคุ โดยมีพระประสงค์จะนำไปถวายให้สมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้าจอมไตรตรึงษ์ ซึ่งมีพระอัธยาศัยใคร่จะรู้ ได้ทอดพระเนตร พอถึงวันที่พระอินทร์เทศนาท้าวจตุมหาราชก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วนำเอาสุพรรณบัฏแผ่นทองเนื้อแท้จารึกชื่อสัตบุรุษผู้ สร้างกองการกุศลนั้นไปมอบให้ แก่เทพบุตรผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าปัญจสิขเทพบุตร ฝ่ายปัญจสิขเทพบุตร พอรับสุพรรณบัฏแลัว ก็นำเอาไปให้แก่พระมาตลีเทพบุตรอีกทีหนึ่ง เพื่อจักได้ทูลเกล้าฯถวายสมเด็จพระอมรินทราธิราชเจ้า หลังจากที่พระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง

อายุ ทวยเทพที่สถิตเสวยทิพยสมบัติอยู่ ณ สรวงสวรรค์ชั้นตาวตึงสาภูมินี้มีอายุยืนนานได้ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ นับได้สามโกฏิหกล้านปี ด้วยการคำนวณปี แห่งมนุษยโลกเรา

ถ้าชาวห้องศาสนาอยากไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อ่านพระสูตรนี้ครับ

ดูกรสารีบุตร! ในการให้ทานนั้น บุคคลไม่มีความหวัง ให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยความคิดว่า "ตายไปแล้ว เราจักได้เสวยผลทานนี้"
แต่ให้ทานด้วยความคิดว่า "การให้ทาน เป็นการกระทำที่ดี" เขาผู้นั้น ให้ทานด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เมื่อทำกาลกิริยา ตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาทั้งหลาย ในชั้นดาวดึงส์สวรรค์
(ปุญญกิริยาวัตถุสูตร อังคุตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมี ประมาณยิ่ง กระทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีล มีประมาณยิ่ง แต่ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จ ด้วยภาวนาเลย เมื่อถึงแก่กาลกิริยาตายไปแล้ว เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้น ดาวดึงส์

ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวสักกะ จอมเทพในชั้นดาวดึงส์สวรรค์นั้น ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุ ที่สำเร็จด้วยทานเป็นอดิเรก ได้กระทำบุญกิริยาวัตถุที่ สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก พระองค์จึงทางเจริญก้าวล่วง เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์โดยฐานะ ๑๐ ประการคือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐัพพะทิพย์
(ทานสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)

ย่อและรวบรวมจาก 'โลกทีปนี' และ 'ภูมิวิลาสินี' โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) ขอขอบคุณภาพประกอบจากสมาชิกพันทิปครับ




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2551    
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 15:06:39 น.
Counter : 2845 Pageviews.  

1  2  

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.