Group Blog
 
All blogs
 
พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี

พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง มีมากกว่าเมล็ดทรายในท้องมหาสมุทร วันนี้ขอนำเรื่องพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งที่ใครใครไม่อาจประมาณพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ได้ พระนามว่าอโนมทัสสีมาฝากครับ

พระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๗ ใน วรกัป เป็นพระโอรสของพระเจ้ายสวา และพระนางยโสธรา กษัตริย์แห่งจันทวดีนคร ประสูติที่สวนสุนันทะ ในเขตจันทวดีนคร เมื่อครองเพศฆราวาส ทรงประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลัง คือ ปราสาทชื่อ สิริ อุปสิร และวัฑฒะ มีพระชายาทรงพระนามว่า สิริมา และมีพระโอรสพระนามว่า อุปสาละ พระองค์เสด็จออกบรรพชาเมื่อพระชนมายุ ๑๐,๐๐๐ พรรษา ทรงวอเป็นพระพาหนะ ครั้นทรงบรรพชาแล้ว ทรงกระทำความเพียรอยู่ ๑๐ เดือน จึงบรรลุโลกุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ณ ภายใต้ต้น อัชชุนโพธิ (ต้นรกฟ้า) ในวันวิสาขบูรณมี ผู้ถวายข้าว มธุปายาส ก่อนตรัสรู้ ชื่อนาง อนุปมา ผู้ถวายหญ้าเป็นพุทธบัลลังก์ได้แก่ อาชีวก ชื่อ อโนมะ

พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา ที่ป่า สุทัสสนะ ในเขตเมืองสุภวดี ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นไม้ อสนพฤกษ์ (ต้นประดู่) ที่ประตูเมืองโอสธี พระนิสภเถระ และพระอโนมเถระเป็นอัครสาวก นางสุนทรีเถรี และนางสุมนาเถรี เป็นอัครสาวิกา พระวรุณเถระ เป็นพุทธุปัฏฐาก นันทิวัฑฒะ และสิริวัฑฒะ เป็นอัครอุปัฏฐาก นางอุปปลา และนางปทุมา เป็นอัครอุปัฏฐายิกา พระเจ้าธัมมกราช เป็นศาสนูปถัมภก

พระสรีระ ของพระองค์สูง ๕๘ ศอก พระองค์มีพระชนมายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี เสด็จดับขันธปรินิพพานที่ธัมมาราม ในศาสนาของพระองค์ มีจาตุรงคสันนิบาต ๓ ครั้ง คือ ครั้งแรกมีพระอรหันต์เข้าประชุม ๘๐๐,๐๐๐ รูป ที่โสไรย นคร ครั้งที่ ๒ มี ๗๐๐,๐๐๐ รูป ที่ราธวดีนคร ครั้งที่ ๓ มี ๖๐๐,๐๐๐ รูป ที่โสไรยนคร

ในสมัยพระอโนมทัสสีพุทธเจ้านั้น พระโคดมพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นยักษ์ผู้มีอำนาจมาก มียักษ์เป็นบริวารหลายโกฏิ ได้เคยเข้าไปเฝ้าพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ได้เนรมิตมณฑปสำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการงดงามยิ่ง ถวายพระพุทธองค์ และได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธองค์ว่า จักได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

พระพากุลเถระ ในสมัยพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าได้เป็นฤาษี ได้เคยเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ฟังพระธรรมเทศนา แล้วขอถึงพระรัตนตรัย ครั้งหนึ่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ทรงอาพาธด้วยโรคลมในพระอุทร ท่านก็ได้ประกอบเภสัชถวาย จนพระอาธาธสงบ

พระสารีบุตรเถระ ในชาติที่เป็นสรทดาบส ก็เคยเข้าไปเฝ้าพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า และได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระนิสภเถระ และพระอโนมเถระ อัครสาวกของพระองค์ด้วย เมื่อท่านได้ฟังธรรมแล้ว ก็นำความไปบอกแก่สหายของท่านชื่อสิริวัฑฒะ คือ พระมหาโมคคัลลานะ ในปัจจุบันชาตินี้

พระสารีบุตรเถระ ในชาติที่เป็นสรทดาบสที่ได้นำเอาดอกไม้ ๘ ดอกมาบูชา และเชยชมญาณของพระพุทธเจ้าอโนมทัสสี ขณะนั้นพระพุทธเจ้าอโนมทัสสีประทับนั่งท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงยิ้มแย้ม ภิกษุนามว่าวรุณ อุปัฏฐาก ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุให้พระศาสดาทรงยิ้มแย้มหนอ อันพระพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงยิ้มแย้ม เพราะไม่มีเหตุ

ทรงรับสั่ง(คัดมาเพียงส่วนน้อย) ดังนี้ครับ

จตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้า จักแวดล้อมผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ดนตรีหกหมื่น กลองที่ประดับสวยงาม จักบำรุงผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า หญิงล้วนแต่สาวๆ หกหมื่น ประดับประดาสวยงาม มีผ้าและเครื่องอาภรณ์อันวิจิตร สวมแก้วมณี และกุณฑล มีหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้ม ตะโพกผายไหล่ผึ่ง เอวเล็กเอวกลม จักห้อมล้อมผู้นี้เป็นนิจ นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้นี้จักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอดแสนกัลป์ จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชในแผ่นดินพันครั้ง จักเป็นจอมเทวดาเสวย ราชสมบัติในเทวโลกพันครั้ง จักเป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์นับ ไม่ถ้วน ครั้นถึงภพที่สุด ถึงความเป็นมนุษย์ จักคลอดจากครรภ์แห่งนาง พราหมณีชื่อสารี นระนี้จักปรากฏตามชื่อและโคตรของมารดา โดยชื่อว่า สารีบุตร จักมีปัญญาคมกล้า จักเป็นผู้ไม่มีกังวล ละทิ้งทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิแล้วออกบวช จักเที่ยวแสวงหาสันติบททั่วแผ่นดินนี้ สกุลโอกกากะสมภพ ในกัลป์อันประมาณมิได้ แต่กัลป์นี้ พระศาสดาทรง พระนามว่าโคดมโดยพระโคตร จักมีในโลก ผู้นี้จักเป็นโอรสทายาทใน ธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น อันธรรมนิรมิตแล้ว จักได้เป็นพระอัครสาวกมีนามว่าสารีบุตร จักได้เป็นพระอัครสาวกถึงที่สุดแห่งปัญญา

วันนี้ขอจบเรื่องพระพุทธเจ้า พระนามว่าอโนมทัสสี ไว้ก่อนนะครับ ขอบคุณภาพประกอบสมาชิกพันทิปครับ


Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 20:52:11 น. 0 comments
Counter : 991 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ebusiness
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







พระพุทธเจ้าทรงมอบสิ่งที่ดีที่สุดไว้ให้แก่มวลมนุษยชาติ สิ่งนั้นคือพระธรรมที่ใช้เป็นกรอบในการดำเนินชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่ความเจริญสูงสุดของชีวิต ในฐานะชาวพุทธ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาสิ่งที่ดีเหล่านี้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด อย่างน้อยก็ในช่วงชีวิตเราแต่ละคน
Friends' blogs
[Add ebusiness's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.