Group Blog
 
All blogs
 

รักสุดขอบนรก



มีผู้อ่านท่านหนึ่งทักมาทาง twitter ว่า หลังๆไม่ค่อยเห็นผมเขียนเรื่องรักเท่าไหร่
ผมตอบไปว่า คำถามที่ส่งมา ก็มีปัญหาเรื่องรักน้อยลงจนสังเกตได้นะ

ส่วนหนึ่ง เคยมีคนบอกว่า ผมตอบปัญหาความรักแล้วดุมาก คนเลยกลัว
แต่ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่า เป็นเพราะบล็อกเก่าๆ ก็มีสารพัดคำตอบให้อยู่แล้ว

วันก่อนผ่านไปเห็นป้ายโฆษณาละครเรื่อง "ฉันผู้ชายนะยะ" ของดร.เสรี
ละครเรื่องนี้ยี่สิบกว่าปีก่อนเปิดแสดงที่โรงแรมมณเฑียร เที่ยวนี้กลับมาใหม่
ย้ายเวที ดาราชุดใหม่ แต่บท พล็อตเรื่องก็ไม่น่าจะต่างจากเดิม

ปัญหาความรักก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีอะไรใหม่หรอกครับ เหล้าเก่าในขวดใหม่
จำพวก เรารักเขาแต่เขาไม่รักเรา เขารักเราแต่เราไม่รักเขา
เรารักกันแต่ดันไปรักคนอื่นด้วย หรือคนอื่นรักกันแต่ดันมารักเราด้วย เป็นต้น

แต่ไหนๆก็ทักมา เลยจัดให้ตามคำขอ เอาที่มีคนถามมาสดๆร้อนๆตอนปีใหม่เลยนะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

มีเรื่องรบกวนค่ะ

คือดิฉันรักกับคนที่มีครอบครัวแล้ว ตอนแรกไม่ทราบว่าเขามีครอบครัว คบหากันไม่นานก็เกิดแรงดึงดูดอย่างรุนแรงจนทำผิดศีลไป เพิ่งมารู้ทีหลัง เสียใจมากๆ แต่ก็เลิกไม่ได้

เคยเลิกกันไปพักนึงก็กลับมาคบกันอีก และยังคงทำผิดศีลอยู่เนืองๆ ทั้งที่ตัวเองก็ปฎิบัติภาวนาอยู่เสมอ แต่ขณะที่ทำผิดก็รู้ว่าขาดสติไปแล้ว บางครั้งจิตยังนึกสอนตัวเองว่าทำผิดอยู่ แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้เลย

อันนี้มันเป็นผลของกรรมเก่าหรือเปล่าคะ หรือผลจากกรรมปัจจุบัน ดิฉันมีวิบากกรรมเรื่องความรักมาตลอด ผิดหวังเรื่องรักมาตลอด คบมาหลายคนก้มีอันต้งจากพรากไปทุกราย ส่วนรายนี้ ทุกข์สาหัส แต่ยังเลิกไม่ได้ซักที ไม่ว่าจะเตือนตัวเองเท่าไหร่ก็ยังทำทั้งๆที่รู้ว่าผิด

จะหาทางออกจากบาปกรรมเหล่านี้ได้ยังไง ขอความกรุณาด้วยค่ะ

โดย: มะลิ


ผมพึ่งจะดู dvd หนังสมัยยุค 70's เรื่อง Ryan's Daughter จบไปเมื่อตอนเย็น
หนังเรื่องนี้ กำกับโดยเดวิด ลีน แสดงโดยโรเบิร์ต มิชชั่ม อันนี้ต้องสูงวัยหน่อยถึงจะรู้จัก

พล็อตเรื่องคล้ายๆของคุณมะลิ เพียงแต่กลับกันตรงที่ในเรื่อง ฝ่ายหญิงคือฝ่ายที่แต่งงานแล้ว
คนที่มีความรักแบบต้องห้ามแบบนี้ ผมเรียกว่า รักจำพวกสุดขอบนรก
เพราะมันสุขแบบเจ็บปวดเหมือนปีนอยู่บนต้นงิ้วตลอดเวลา

นรกแบบที่มีกระทะทองแดงวางใต้ต้นงิ้วจะมีจริงหรือเปล่า ผมไม่ทราบ
ทราบแต่ว่า คนเราตกนรกกันทางใจได้เห็นๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ผิดศีลข้อ3

ถ้าเรียกให้ถูก เราต้องเอาลบคำว่า "รัก" ออกจากความสัมพันธ์แบบนี้ทิ้งไป
เพราะผมว่า "รัก" มันมีนัยของ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา เป็นความดีงาม
ไม่ใช่คิดแต่เรื่องจะเอา จะเอา จะเอา ไม่สนใจว่าอะไรเป็นอะไร

น่าสังเกตว่า ธรรมดาของคนที่หลุดเข้าไปติดอยู่ในบ่วงของตัณหา ส่วนมากเราจะโทษกรรมเก่าเอาไว้ก่อน

แต่ในความเป็นจริง กรรมเก่า เป็นเพียงคนพาเราไปอยู่หน้าประตูนรก มากที่สุดก็เปิดประตูรอไว้เท่านั้นนะครับ

แต่กรรมใหม่ คือกรรมปัจจุบันต่างหาก ที่จะเป็นตัวตัดสินว่า เราจะก้าวลงนรกนั้นไป หรือตัดใจเด็ดเดี่ยวหันหลัง และก้าวห่างออกจากประตู หรือปากเหวนั้น ไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใด

เป็นความจริงที่ประตูบานนั้น มักจะมีแรงดึงดูดฝ่ายต่ำที่รุนแรง ให้เราเคลิบเคลิ้มและโอนอ่อนไปกับความเย้ายวนของรสกาม

เพราะถ้าตัณหาไม่แน่จริง พระพุทธเจ้าไม่เรียกว่าเป็นนายช่างผู้สร้างเรือนหรอกครับ และคนทั้งหลายคงจะพ้นจากบ่วงกรรม บรรลุมรรคผลนิพพานกันได้โดยง่ายแล้ว

และในความเป็นจริง มันแทบจะยากมากจนถึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่คนธรรมดา ที่ผิดศีลจนเคยชินและไม่เคยฝึกจิตใจให้มั่นคงแข็งแรงในศีล หรือในคุณงามความดี ความตั้งใจดีใดๆ จะสามารถต้านทานแรงดึงดูดของตัณหาได้

สังเกตไหมครับ ว่าคุณรู้ดี ว่าการเดินบนทางสายนี้ มันเจ็บปวดทรมาน ไม่ต่างอะไรกับตกนรกทั้งเป็น แต่น่าแปลกที่เมื่อถึงเวลา คุณกลับไม่มีแรงต้านทานตัณหาเลย

ความหวังเดียวของตัวคุณตอนนี้ อยู่ที่จิตสำนึกของตัวเอง อยู่ที่ผลจากการปฏิบัติภาวนาของคุณ ทำให้คุณยังมีสำนึกความละอายต่อบาปอยู่บ้าง และมีความปรารถนาจะพ้นจากบ่วงกรรมนี้

คำถามคือ คุณตั้งใจจริงหรือเปล่า ที่อยากจะพาตนให้พ้นจากหล่มของบาปอกุศลอันนี้?

ถ้าตั้งใจจริง ก็ต้องฝึกจิตใจตัวเองให้เข้มแข็ง สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน ให้กำลังใจตัวเองไว้ ว่าคุณจะผ่านวิกฤตนี้ไป ทีละวัน ทีละวัน ควบคู่ไปกับการปิดโอกาสที่เขาจะเข้าถึงตัวคุณ

ถ้าคุณต้องทำงานที่เกี่ยวข้องกับเขา ถึงเวลาที่ควรจะมองหางานใหม่โดยเร็ว ถ้าไม่เกี่ยวกัน คุณอาจจะจำเป็นต้องเปลี่ยนเบอร์มือถือ หรือบล็อกหมายเลขเขาไป

อย่าพบปะ อย่าพูดคุย ในทุกกรณี ต้องใจแข็งนะครับ
อย่าให้คำว่า "รัก" มันหลอกให้คุณไปไกลสุดขอบนรกแบบนี้

แล้วคอยดูกิเลสของตัวเองไว้ มันอยากโทร อยากคุย รู้ทันไว้ ทำแบบนี้ไปทีละวัน ทีละวัน จนครบสัปดาห์ ครบเดือน คุณจะรู้สึกว่ามันยากน้อยลงเรื่อยๆ

แผ่เมตตาให้ตัวเองไว้นะครับ ตอนสวดมนต์น่ะ นึกถึงความทุกข์ที่ผ่านมาไว้ แล้วแผ่เมตตาให้ตัวเอง ที่อ่อนแอต่อกิเลส จนตกนรกทั้งเป็น ย่ำแย่มา

ถ้ามีความตั้งใจดีๆอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่คุณสามารถทำควบคู่ไปได้ ก็ให้ตั้งใจทำไปนะครับ เช่น ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ก่อนนอน จะนั่งสมาธิหลังตื่นนอนวันละ 5 นาที จะสวดมนต์ตอนนั่งรถไปทำงาน เป็นต้น อะไรก็ได้ที่คุณไม่ได้ทำอยู่ประจำ และพอจะสามารถทำได้ไม่ลำบากเกินไป

การเริ่มตั้งใจทำความดีบางอย่าง และทำจริงอย่างที่ตั้งใจให้สำเร็จ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็จะช่วยให้จิตใจเพิ่มความหนักแน่น ในการมั่นคงในสัจจะของตัวเอง ที่จะทำความดี

กิเลส อาจจะคอยมาปั่นหัวคุณ ด้วยการกระซิบว่า เธอทำไม่ได้หรอกๆ ไม่เป็นไรหรอก อีกครั้งเดียวน่า แต่จำไว้นะครับ ว่าถ้าคุณไม่ใจอ่อน ก็ไม่มีอะไรบังคับคุณให้ล้มเหลวได้

ครูบาอาจารย์ผม ท่านเคยสอนว่า คนเราล้มเหลว เพราะเราอ่อนแอต่อกิเลสของตัวเองนี่แหละ

ต้องสู้นะครับ ต้องเข้มแข็ง เพราะไม่อย่างนั้น ก็ไม่มีใครช่วยคุณได้ คุณก็จะต้องวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ไปอีกนานเท่านาน ข้ามภพข้ามชาติไป ก็ยังจะเจอปัญหาเดิมๆ

ทานรักษา ศีลรักษา บุญรักษา ครับ




 

Create Date : 03 มกราคม 2553    
Last Update : 3 มกราคม 2553 23:54:26 น.
Counter : 1950 Pageviews.  

GPS นิพพาน จุดหมายการเดินทาง หรือ ภาระ



วันแรกของปีใหม่ทั้งที ผมเลยถือโอกาสเปิดกลุ่มย่อยใหม่ในชื่อ "ธนาคารความสุข part 3" เพื่อให้จำนวนบล็อกในกลุ่มเดิมมันโหลดไม่ยากเกินไป และเปลี่ยนชื่อหัวข้อกลุ่มเดิมให้สอดคล้องกัน เพื่อจะได้ไม่สับสนว่ามันต่างกันอย่างไร

เมื่อวานมีอีเมล์มาถามคำถาม ส่งท้ายปลายปี
ผมตอบไปตอบมา เอ๊ะ มันเอามาเป็นบล็อกได้หลายอันเลย

เลยถือโอกาสเลือกส่วนหนึ่งมาประเดิมกลุ่มย่อยอันใหม่เสียในบัดดล

ถ้าคนเราปฏิบัติธรรมโดยตั้งใจว่าจะไปนิพพานมันดูเกินจริงไปมั้ยค่ะ คือตัวเองตั้งใจว่าจากนี้ไปจะอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าจะปฏิบัติให้ได้เท่าที่ตัวเองสามารถทำได้ค่ะ

- pleza


ถ้าคิดอยากไปนิพพานแล้วไม่มีสติ
ลงมือปฏฺิบัติด้วยความอยากได้นิพพานตลอดเวลา
อันนี้ภาวนาไปอีกร้อยชาติก็ไม่ถึงครับ

แต่ถ้าเราดูจิตดูใจเป็น อยากไปนิพพานแล้วรู้ทันใจที่มีความอยากผุดขึ้นมา
แล้วค่อยลงมือภาวนาต่อ ก็ไม่เสียหาย พอรู้ทันแล้วให้วางใจใหม่ว่า
เรามีนิพพานเป็นจุดหมาย ไม่ใช่เป็นภาระ
คือเอาไว้เพื่อให้เรามีทิศทางในการภาวนา ให้รู้ว่ายังไม่หลงทาง

เหมือนเราจะออกเดินทาง ก็ต้องรู้ว่าปลายทางต้องการไปไหน
ไม่ใช่สักแต่ขับรถไป ไม่มีจุดหมาย เพราะบอกว่ามีจุดหมายไม่ได้ ไม่ใช่นะ
มันต้องรู้ก่อนว่าตั้งใจจะไปเชียงใหม่ ไต้หวัน มัณฑะเลย์ ชเวดากอง หรือหนองสาหร่าย

การรู้จุดหมาย จะช่วยให้เราตรวจสอบได้ว่า เรากำลังหลงทางหรือมาถูกทางแล้ว
เช่นจะไปเชียงใหม่ แต่ขับไปเจอเพชรบุรี หรือกาญจนบุรี
ก็ต้องรู้แล้วนะ ว่าไม่ใช่ละ ต้องกลับไปเริ่มใหม่

สมัยนี้เขามีเครื่องมือช่วยนำทางเรียก GPS ย่อมาจาก Global Positioning System
ขอแค่รู้จุดหมายที่จะไป คุณกดจึ๊กๆๆ เครื่องจะนำทางคุณได้ว่า ไปทางนี้ๆๆ
เลี้ยวซ้ายสองที เลี้ยวขวา ข้ามสะพานปุ๊บเลี้ยวซ้ายเลย อ้าวๆ เลยแล้วไอ้โง่

อันหลังนี่คงไม่มีเครื่องระบบไหนเขาทำนะครับ จิตพวกเรามักจะพูดเอง ฮา...

แต่ถ้าไม่รู้จุดหมาย มี GPS มันก็ช่วยไม่ได้นะ
ฉะนั้น ถ้าจะมีนิพพานเป็นจุดหมายก็ควรศึกษาเส้นทางไปนิพพานว่าไปยังไง

(ในใจคุณผู้อ่านพูดว่า) คุณแอสตั้นพูดยังกะมี GPS ของนิพพาน
จะบอกว่าไม่มีก็เหมือนๆจะมีนะ เพียงแต่คุณต้องเรียนหลักปฏฺิบัติให้แม่นเท่านั้นแหละ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านใจดี บอกวิธี ขั้นตอนให้หมดแล้ว

พูดโดยย่อ เราจะไปถึงนิพพานได้เมื่อเราทำลายความเป็น "เรา" หมดไปนั่นแหละ
พอรู้อย่างนี้ ก็ต้องรู้ว่า "เรา" อยู่ที่ไหน ถึงจะไปทำลายได้

คนส่วนมากยึดเอากายใจของตัวเอง เป็นตัว"เรา" ถูกไหมครับ
ฉะนั้น จะทำให้ตัวเรามันหายไป ไม่ใช่ไปฆ่าตัวตายนะ
อันนั้นแค่หนีกายเนื้ออันนี้ได้ ทว่าจิตก็ยังอยู่

แล้วไอ้ที่เรายึดเหนี่ยวแน่นว่าเป็น "ตัวเรา" จริงๆ ก็คือ "จิต" เสียด้วย
อันนี้ลองไปสังเกตดูนะครับ

สำหรับวิธีที่ทำลายความยึดมั่นว่ามี "ตัวเรา"
ซึ่งมีเฉพาะในศาสนาพุทธนี่แหละ ที่เขาเรียก วิปัสสนา

ถามว่า อะไรเป็นตัวการทำให้จิตหลงเข้าใจผิดๆ ว่ามี"ตัวเรา"ถาวรอยู่จริงๆ
คำตอบคือ "ความไม่รู้" ศัพท์เทคนิคเรียก "อวิชชา" ผมเรียกว่า ตัวพาโง่

ดังนั้น การจะทำให้จิตเขาหมดความยึดมั่นว่ามีตัว"เรา" หรือหายโง่
ก็ต้องทำให้จิตมัน "รู้" ขึ้นมา เรียกว่า รู้เพื่อแก้ความไม่รู้ของจิต
อันนี้แหละคือวัตถุประสงค์ของการเรียนวิปัสสนา

ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกจนปากเปียกปากแฉะว่า
วิปัสสนาเป็นการเรียนรู้ความจริง ว่าด้วยตัว"เรา" ก็เพราะเหตุนี้

ถามว่า จะเรียนรู้ความจริงได้จบหลักสูตร ต้องทำไงเหรอคุณแอสตั้น
ตอบว่า ก็ต้องเห็นความจริงของกายใจจนแจ่มแจ้งเสียก่อน

พูดถึงตรงนี้ บางคนก้มลงไปดูบอดี้ตัวเอง แล้วบอกว่า อ่ะ ดูกายแล้ว
ก็ไม่ใช่นะ จะเห็นความจริงแจ่มแจ้งได้ เราต้องมีเครื่องมือสองตัว
ตัวแรกเรียกว่า "สัมมาสติ" และตัวสองคือ "สัมมาสมาธิ"

จะมีเครื่องมือสองตัวนี้ได้ ก็ต้องทำเหตุเอา ไม่ใช่สั่งหรือบังคับให้เกิด
เพราะความจริงอย่างนึงที่เราจะต้องเรียนให้เห็นคือจิตเป็นอนัตตา
แปลว่า มันไม่อยู่ใต้อำนาจของเรา มันทำงานของมันได้เอง

ฉะนั้น เราไม่ได้ฝึกเพื่อบังคับ หรือสั่งให้จิตมีสัมมาสตินะครับ
วิปัสสนาไม่มีการสั่งจิตนะ เราอาศัยหลักการทำเหตุ
เช่นอยากให้จิตเกิดสัมมาสติ ก็ต้องทำเหตุที่เอื้อให้จิตมีสติ

แล้วจะมีสติต้องทำเหตุยังไง สติ แปลว่า "ความระลึกรู้ ระลึกได้"
ในอภิธรรมสอนว่า "การจดจำสภาวะได้ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ"
แปลไทยเป็นไทยว่า จิตจะเกิดสติได้ ต้องจดจำสภาวะได้

จะจำตัวไหนได้ ก็ต้องหมั่นคอยสังเกตสภาวะตัวนั้นไว้บ่อยๆ
บางสำนวนเรียกว่าคอยพิจารณา บางสำนวนเรียกว่า ให้คอยรู้กาย คอยรู้ใจ
ผมเรียกสั้นๆตามครูบาอาจารย์ว่า ให้คอยรู้สึกตัว นั่นแหละ

โดยเหตุนี้ วิธีง่ายๆที่จะไปนิพพานได้ก็คือ ฝึก"รู้สึกตัว" บ่อยๆเข้าไว้
รู้สึกถึงการมีอยู่ของกาย รู้สึกถึงการมีอยู่ของใจบ่อยๆ ให้จิตคุ้นเคยจะรู้สึกตัว

ที่เหลือจิตมันจะค่อยๆมีสติ จนพัฒนาเป็นสัมมาสติ
แล้วจะมีสัมมาสมาธิโดยอัตโนมัติ เห็นความจริงของกายใจขึ้นได้เอง
เมื่อรู้ความจริงของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรามากพอ ก็จะเกิดปัญญา ทีละน้อยๆ
วันหนึ่ง ปัญญาที่สะสมก็จะทำลายความไม่รู้และยึดมั่นในตัวตนลงไปได้

หน้าที่เรา มีแค่ รู้สึกตัว และทำเหตุที่เอื้อต่อการรู้สึกตัว เรียกว่า "ภาวนา"
อันนี้ตอบข้อสงสัยที่หลายท่านถามบ่อยๆ ว่าภาวนาแปลว่าท่องซ้ำๆหรือเปล่า

จะให้การภาวนาง่ายขึ้น ก็ต้องทำเหตุที่ช่วยทำลายอัตตา ความยึดมั่นในตัวตนลง
นั่นคือการทำทาน ถือศีล ซึ่งเจตนาจริงๆคือเพื่อ "ลดอัตตา" ทั้งนั้น

อย่างเราให้ทาน ก็เพื่อให้งกน้อยลง เห็นแก่ตัวน้อยลง นี่ก็ลดอัตตา
เรารักษาศีล ไม่ตามใจกิเลส คนเรามีกิเลส เพราะเรารักตัวเอง
กลัวตัวเองถูกทำร้าย อยากทำร้ายคนอื่นโกงคนอื่น เพื่อให้ตัวเองดี
ศีลจึงมีไว้เพื่อช่วยลดอัตตาด้วยเหตุนี้

ส่วนภาวนา ก็คือการเจริญสติ วิปัสสนาอย่างที่อธิบายมา
รวมถึงการทำสมถะ ก็ทำเพื่อให้จิตได้พักผ่อน มีเรี่ยวแรงเจริญสติต่อไป
ไม่ใช่ทำเพื่อเอาดี เอาวิเศษ เอาสวรรค์วิมานอะไรทั้งนั้น

ฉะนั้น อะไรที่ทำแล้ว ไม่เกี่ยวกับการลดทอนอัตตา แปลว่าเรามาผิดทาง
อะไรที่ทำแล้ว อัตตามันกลับใหญ่โตขึ้น แปลว่า เรามาผิดทาง
อะไรที่มันไม่ได้เอื้อต่อการเจริญสติ จนเห็นไตรลักษณ์ ความจริงของกายใจ
เช่นไปเพ่ง บังคับ กดข่ม ก็แปลว่า เรามาผิดทาง

เห็นประโยชน์ของการมีนิพพานเป็นจุดหมายแล้วใช่ไหมครับ
เราใช้ประโยชน์แค่เอาไว้เป็นเครื่องบอกทาง ตรวจสอบ
แต่ไม่สนใจว่าจะถึงเมื่อไหร่ มีหน้าที่สร้างเหตุอย่างเดียว

ย้ำว่า การเดินทางอย่างมีจุดหมาย ไม่ใช่เดินทางด้วยความอยากนำหน้านะ
พวกหลังนี่จะหาทาง "ทำ" หาทาง บังคับให้จิตดี จิตเก่ง จิตว่าง
ภาวนาไปก็จะถามตลอดเวลาว่า เมื่อไหร่จะถึงๆๆๆๆๆๆ เมื่อไหร่จะบรรลุ ๆๆๆๆ

ตอบให้ว่า ถ้ายังอยากอยู่แล้วไม่รู้ทัน ก็ไม่บรรลุแน่ๆ
เพราะที่อยากบรรลุ เบื้องหลังก็เพราะตัณหา อยากไปนิพพาน เพราะอยากให้ตัวเอง "มีความสุข"

มันยังมีตัวเราอยู่ เห็นไหมครับ

ถามว่าแล้วมันเกินจริงไหม ที่จะตั้งเป้าหมายไว้อย่างนั้น
ตอบว่า ไม่ได้เกินจริงหรอกครับ พวกเราที่มาสนใจเรื่องปฏฺิบัติ
ส่วนมากมีของเก่ากันมาทั้งนั้น จะมากจะน้อย ไม่มีใครรู้หรอก

แต่ถ้าตั้งเป้าหมายไว้ ชาตินี้จะไปไม่ถึงก็ไม่เสียหาย
อย่างผมเองเคยประเมินตัวเองแล้วมีมานะอัตตาว่า ท่าทางชาตินี้จะยากอยู่
ขอโสดาบันให้ปลอดภัยไว้ก่อน ก็ดีใจแล้ว

แต่ถึงวันนี้ ผมไม่รู้ ไม่สนใจว่าจะได้ไม่ได้ ผมมีหน้าที่ภาวนา ก็ภาวนาไปลูกเดียว

GPS นิพพาน มีไว้ ก็แค่เอาไว้กันหลงทาง สำนวนพระท่านเรียก โยนิโสมนสิการ
แต่บอกไม่ได้ว่า เมื่อไหร่จะถึง อีกไกลไหม ฯลฯ

ผมรู้แค่ว่า ถ้ายังเดินถูกทาง สักวันก็ถึงแหละครับ ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า
ไม่ชาติหน้า ก็อีกกี่ชาติไม่รู้ รู้แต่ว่า ถ้าไม่ทำก็โง่แล้ว

สวัสดีปีใหม่อีกที สุขสันต์วันที่ทุกท่านมีจุดหมายในชีวิตครับ




 

Create Date : 01 มกราคม 2553    
Last Update : 14 มกราคม 2553 8:46:49 น.
Counter : 1812 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.