|
พระเครื่อง พระธาตุ พระแท้
(ขอบคุณภาพประกอบโดยฝีมือและความเมตตาของคุณ SevenDaffodils ครับ)
ในบรรดาสิ่งที่ชาวพุทธเรียกกันว่าวัตถุมงคล พระเครื่องน่าจะเป็นของยอดนิยมอันดับหนึ่ง เพราะหาง่ายที่สุด พกง่าย ห้อยคอได้สบายจัง
รองลงมาก็น่าจะเป็นพระพุทธรูป แต่คงไม่มีใครเอาพระพุทธรูปมาห้อยคอนะ ^^ หนักแย่เลย
ช่วงนี้มีข่าวฮือฮากันในหมู่คนบางกลุ่มว่า มีวัดแห่งหนึ่ง เปิดให้ประชาชนทั่วไปมาขอรับพระบรมสารีริกธาตุได้
สองสามวันก่อน มีบางคนมาปรึกษาผมว่า.. ถ้าเราเกิดนึกสงสัยว่า พระบรมสารีริกธาตุที่ว่า มันของจริงหรือปลอม เราจะบาปไหม ^^
ผมเคยสนทนากับพระอาจารย์อนิล ธัมมสากิโย (ศากยะ) ด้วยคำถามว่า ถ้ามีคนสงสัยว่า พระพุทธเจ้ามีจริงรึเปล่า คนนั้นบาปไหม ท่านแสดงทรรศนะไว้น่าฟัง ท่านบอกว่าต้องเข้าใจคำว่า "บาป" ก่อน
บาป แปลว่า สิ่งที่คนดีหลีกเลี่ยง คนดีไม่ทำ ทำแล้วใจเศร้าหมอง ท่านบอกอีกว่า พุทธเป็นศาสนาของการ "รู้" ไม่ใช่การ "เชื่อ"
ธรรมดาคนเรา "เชื่อ" อะไรในวันนี้ พรุ่งนี้มีข้อมูลใหม่ก็อาจ "ไม่เชื่อ" ได้ การอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ จึงเป็นศรัทธาที่คลอนแคลน
แต่ถ้า "รู้" อะไรขึ้นมาแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่ต้องเชื่ออีกต่อไป พ้นจากเชื่อละ
เหมือนมีคนพูดกันว่าผมหล่อสูสีกะเคน ธีรเดช (กล้าสมมติเนาะ) - - บางคนอาจจะเชื่อ บางคนไม่เชื่อ บางคนอ้วกเลย
ครั้นพอเห็นรูปที่ผมแอบโฟโต้ชอปไว้ บางคนยังเชื่ออยู่ บางคนไม่เชื่อแล้ว บ้างที่เคยไม่เชื่อ อาจกลับมาเชื่อ
บ้างที่ไม่เคยอ้วก ก็เริ่มควานหากระโถนกันให้ควั่ก
แต่พอเจอตัวจริง มันรู้ชัดละ ว่าคุณแอสตันหน้าตาเยิน พอกะตุ๊กตาที่โดนห้อยอยู่ตรงท้ายใต้รถแท็กซี่ ก็เป็นอันได้ข้อสรุปเพราะรู้แล้ว ไม่ต้องเชื่อหรือไม่เชื่ออีกต่อไป ^^
ฉะนั้น การตั้งคำถามไม่ใช่บาป ถ้าตั้งคำถามแล้วลงมือพิสูจน์ อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงไหม ก็ลองศึกษาคำสอนท่านแล้วทำดู
พระพุทธเจ้าก็ท้าทายคนทั่วไปอยู่แล้วว่า เอหิปัสสิโก
พึงบอกกับผู้อื่นว่า ท่านจงมาทดลองดูเถิด
ถ้าทำแล้วได้ผล ทุกข์มันหล่นหายให้เห็น มันสั้นลง เล็กลง เห็นกิเลสบ่อยขึ้น แต่หลงไปในกิเลสนั้นน้อยลง มีสติ มีสมาธิขึ้น ความรู้สึกว่ามีอัตตา ตัวตน มันก็บางลง เห็นแต่ของไม่เที่ยง ไม่ทน
ก็น่าจะรู้และตอบตัวเองได้ว่า ในเมื่อพระธรรมเป็นของจริง พระพุทธเจ้าล่ะจริงด้วยไหม
มาถึงเรื่องพระเครื่อง พระธาตุก็เหมือนกัน ผมตอบไปว่า พระเครื่องแท้ไม่แท้ ต้องไปถามเซียนพระนะ เราดูไม่เป็นหรอก
บอกได้แต่ว่า ถ้าจะห้อยคอเพื่อเตือนสติ เตือนใจให้มีศีล เตือนตนว่าอย่าประมาทในกิเลสหรือกุศลแม้จะเล็กน้อย จะเป็นพระแท้กรุไหน วัดอะไรก็ไม่สำคัญ
เพราะความเป็นพระแท้ คือความเป็นพุทธะของใจเรา ถ้าเราตั้งใจรักษาศีล มีสติ ภาวนา ใจเราตื่น เราก็เป็นพระอยู่แล้วโดยตัวเอง
ส่วนพระธาตุ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแท้ไม่แท้ เพราะดูไม่เป็น แต่ผมก็รับมาบูชา เพราะผมเห็นแล้ว ผมนึกถึงพระพุทธเจ้า มีปีติ ใจผมสงบ เป็นสุข
มันไม่ได้สำคัญว่า พระธาตุท่านเสด็จมาจริงไหม มันสำคัญว่าเรารู้จักท่าทีที่มีประโยชน์ต่อพระธาตุนี้หรือเปล่า
ก็เหมือนพระพุทธรูปที่มีคนพูดว่า ไปไหว้ทองเหลืองไหว้ปูนทำไม ก็ถูกของเขานะ แต่เราไม่ได้เห็นแค่ทองเหลืองหรือปูนไง
แต่จะเห็นอะไร คุณต้องไปถามใจคุณเองละ
สุขสันต์วันที่ยังมีโอกาส "ตื่นรู้" กันทุกคนครับ
Create Date : 16 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 16 ตุลาคม 2553 11:42:29 น. |
Counter : 1795 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เสมอ ตลอดไป ชั่วกาลนาน
(ขอบคุณคุณแป๋ว SevenDaffodils สำหรับภาพประกอบงามๆครับ)
เคยสังเกตไหมครับว่า ในเพลงรักทั้งหลายที่เราชอบๆกัน เวลานึกจะบอกรัก ร้อยละ 90 จะบอกว่า รักเสมอ รักตลอดไป ชั่วฟ้าดินสลาย
แล้วเคยสังเกตไหมครับ ว่าเวลาเราเขียนอวยพร วันเกิด ปีใหม่ โดยเฉพาะแต่งงาน โดยมากเราจะอวยพรแล้วลงท้ายด้วยคำว่า "เสมอ" "ตลอดไป" "ชั่วกาลนาน"
ไม่ได้บอกว่ามันผิดหรอกนะ โดยธรรมเนียม เขาทำกันอย่างนี้ อยู่ๆถ้าจะเขียนอวยพรเขาว่า ..
"ขอให้รักกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง เถียงกันบ้าง สลับๆกัน แล้ววันนึงก็ตายจากกันไปนะ"
เจ้าของงานเขาคงสรรเสริญบุพการีเรากันเท่านั้นเอง
เพียงแต่มันเป็นข้อสังเกตว่า มนุษย์เราชอบยึดติดในความสุข ชื่อว่าเป็นสิ่งดี เป็นความสุข เราก็อยากให้มันคงอยู่"เสมอ" อยู่ "ตลอดไป" และอยู่ "ชั่วกาลนาน"
ทั้งๆที่ในความจริง มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก คู่ที่รักกันมาก อยู่กันแฮปปี้มาหลายสิบปี ก็ยากนะ ที่จะรักกันเท่ากันทุกวัน
วันไหน คนข้างเรามันทำตัวน่ารัก เราก็รักมากหน่อย วันไหนไม่น่ารัก เราก็รักมันน้อยหน่อย มันก็สมควรแก่เหตุนะ ฉะนั้น สิ่งที่เป็น "เสมอ" ในโลกนี่ หายากครับ
ส่วน "ตลอดไป" นี่ยังไงก็ไม่มีทาง วันนึงคนที่รักเราที่สุดก็ต้องจากเรานะ หรืออีกที เราเองนั่นแหละ ที่ต้องเป็นฝ่ายที่จากเขาไป เพราะทุกคนมีอายุขัย
ความรัก ความผูกพัน ความสัมพันธ์ ก็มีวันหมดอายุของมันนะ
ที่น่าตกใจก็คือ ถ้าคนไม่อยู่แล้ว ความสัมพันธ์หมดอายุลง แต่ความรัก ความผูกพัน ดันไม่หมดด้วย ไอ้ความรัก ความผูกพัน มันจะกลายร่างเป็นหนามแหลมทิ่มแทงเราทันที
ฉะนั้น.. บางคนอยากมีความรักมาก แต่ลืมนึกไปว่า ความรักมันไม่ได้ให้แต่สุขเรานะ มันเอาทุกข์มาด้วย
ดังนั้น เป็นเรื่องจำเป็น ฉลาด และสมควร ที่เราจะให้ความสำคัญ กับการเจริญสติ หัดมีสติ ในทุกโอกาส เวลา และสถานที่
พระพุทธเจ้าบอกว่า ความสุขที่ไม่มีอายุ ไม่มีการมาการไป ไม่มีจุดเริ่ม ไม่มีสิ้นสุด เป็นสุขที่เที่ยง สม่ำเสมอ ถาวร มีอยู่นะ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือโลก ที่เรียก "นิพพาน"
ทุกคนเข้าถึงนิพพานได้ ถ้าเริ่มออกเดินเสียแต่วันนี้ ด้วยการเจริญสติ ไปตามทางที่ท่านบอกไว้ ทางที่มีชื่อเรียกว่า
"วิปัสสนา"
สุขสันต์วันที่โลกเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาครับ
Create Date : 09 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 10:37:47 น. |
Counter : 1701 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ร.ป.ท.ม.
(ขอบคุณภาพประกอบจากฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)
นึกสงสัยไหมครับ ว่าชื่อบทความผมวันนี้ย่อมาจากอะไร?
มนุษย์มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติครับ ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของดารา คนดังทั้งหลาย ยิ่งน่าสนใจ ว่าไหมครับ แต่ถ้าเป็นเจ้าสีนวลในรูปมันท้อง คงไม่มีใครสนใจถาม ว่ามันท้องกะใคร
สามสี่วันมานี้ สื่อสารมวลชนทั้งหลาย พุ่งความสนใจไปที่เรื่องของดาราคู่หนึ่ง ที่ผมไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใคร เอาเป็นว่าถ้าทั้งคู่ไม่ใช่ดารา และหนึ่งในนั้นไม่ใช่ซุปเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของค่ายบันเทิงแห่งหนึ่ง เรื่องก็คงไม่โด่งดังเป็นหัวข้อสนทนาประจำสภากาแฟและแฮร์สปาหน้าปากซอยขนาดนี้
ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เนท ตู้เย็น เตาแก๊ส ต่างก็เต็มไปด้วยข่าว ตกลงท้องกับใคร จะตรวจ DNA ไหม ใครพูดเท็จใครพูดจริง
ในสังคมข่าวสารอย่างยุคนี้ ผู้คนดูจะให้ความสนใจกับเรื่องที่ว่า อะไรจริงไม่จริง จนบางทีลืมนึกไปว่า..ต่อให้จริง รู้แล้วจะได้อะไร?
พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเรื่องจริงทุกอย่างจะไม่มีคุณประโยชน์เลยนะครับ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเรียน ค้นคว้า สังเกต ความจริงภายในตัวเรา 3 อย่าง มีชื่อเรียกเก๋ไก๋ว่า ไตรลักษณ์ ประกอบด้วย อนิจจัง ความไม่เที่ยง เดี๋ยวมี เดี๋ยวหาย ทุกขัง ความไม่ทน เพราะทนอยู่ไม่ได้ มีสิ่งบีบคั้น อนัตตา ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนแท้ๆ
ท่านว่า รู้ 3 อย่างนี้แล้ว จะเกิดปัญญาพาตนให้พ้นทุกข์ได้ ทุกข์มันของคู่กับโลก คู่กับเราทุกเงาหัว ไม่ว่าจะชั่วจะดี มีชาติตระกูลอย่างไร ก็หนีไม่พ้นทุกข์นะครับ
เพราะพระพุทธเจ้า ท่านบอกอยู่แล้ว ว่าขันธ์ทั้ง5 คือกาย กับใจเรานั่นแหละ ตัวทุกข์ จะหนีไปไหน ถ้ายังมีกาย มีใจ ก็อย่าหมายว่าจะหนีพ้น
มีแต่สติและปัญญาเท่านั้น ที่จะช่วยเป็นเกราะป้องกัน คุ้มครองจิตใจเราให้พ้นภัยแห่งทุกข์ไปได้เป็นครั้งคราว หรือถ้ารู้ เห็น แจ้ง เข้าใจในไตรลักษณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างไกลจากทุกข์ไปมากเท่านั้น
ไม่ว่าโลกนี้ใครจะท้อง จะทิ้ง จะทึ้ง จะทิ่มแทงกันอย่างไร ก็ช่างเขาเถิดนะครับ เราย้อนมาดู มารู้สึกตัว เรียนรู้จักตัวเรา ให้เห็นความจริง เห็นไตรลักษณ์ในตัวเองไว้
ถ้านึกอยากรู้เรื่องที่เขาขุดคุ้ยกันอีกเมื่อไหร่ ให้รู้ทันใจที่อยากรู้ แล้วนึกถึงชื่อบทความนี้ไว้นะครับ ร ป ท ม รู้ ไป ทำ ไม
สุขสันต์วันที่มีสติรู้ทันใจที่อยากนะครับ
Create Date : 04 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 4 ตุลาคม 2553 20:04:25 น. |
Counter : 1238 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
คุยกันวันอาทิตย์ 1
(ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)
มีคำถามค้างอยู่จากหลายท่าน บางอันก็หลายเดือนแล้ว ขอรวบมาตอบทุกวันอาทิตย์ก็แล้วกันนะครับ
ถาม 1. "ผมเป็นเกย์ครับ ผมรู้ตัวมาได้สักระยะหนึ่งครับ ผมไม่สามารถจะมีอะไรกับผุ้หญิงได้ครับ และผมไม่อยากแต่งงานเพื่อบังหน้า หรือเพื่อคุณพ่อคุณแม่ครับ
แต่เนื่องด้วยผมลูกคนเดียวครับ คุณพ่อคุณแม่ก็คาดหวังมาก และถามไถ่ผมทุกวันเมื่อไรจะแต่งงาน...ผมรู้คำตอบตัวเอง แต่ผมไม่กล้าที่จะบอกคุณพ่อคุณแม่โดยตรงครับ ตอนนี้ผมเรียนต่ออยู่ครับ และใกล้จะจบ พอมามีปัญหาตรงนี้ทำให้ผมไม่อยากกลับไปทำงานที่บ้าน อยากไปทำงานที่อื่นเพราะเหตุผลที่เขาต้องถามน่ะครับ นี้คือประเด็นหลักเลยครับ แต่ใจผมก็ยังอยากดูแลท่านน่ะครับ เพราะนี้คือคิดว่าทางออกหนึ่งของผมกับการแก้ปัญหา ไม่รู้ว่าจะถูกต้องหรือเปล่า คุณ aston27 คิดว่าผมต้องทำอย่างไรครับ"
ตอบ 1. ผมดีใจที่คุณตั้งใจว่า จะไม่แต่งงานเพื่อบังหน้าครับ เพราะมันแก้ปัญหาระยะสั้น แต่บั่นทอนในระยะยาว
อีกอย่าง มันจะเป็นบาปกรรมกับผู้หญิงที่เราแต่งงานด้วยมาก แถมยังผิดศีลข้อโกหก อีกต่างหาก
ที่คุณทำ มันเหมือนหนีปัญหาไปเรื่อยๆน่ะครับ ถ้าสบายใจก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณเองก็ไม่มีความสุข ผมว่า เราเผชิญหน้ากับความจริงดีกว่า
ความจริงอาจจะทำให้เรา หรือใครบางคนเจ็บปวดบ้าง แต่ก็เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่การโกหกหรือต้องปิดบัง มันเจ็บปวดนาน และทำใจยากกว่านะ
พ่อแม่ส่วนมาก อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่จะยอมรับสิ่งที่คุณเป็น แต่บางคนก็เข้าใจ โดยเฉพาะสมัยนี้ และหลายคนก็ใจกว้างที่จะให้ลูกมีความสุข ตราบเท่าที่ลูกเป็นคนดีนะ
ถาม 2. "คุณเอ๊ดคิดว่า ทุกปัญหา มีทางออก จริงไหมคะ....มีซักปัญหามั้ยที่ไม่มีทางออก และถ้าปัญหานั้นกระทบต่อความสุขอันดับ1ของเรา จะทำยังไงดีคะ
วันนี้รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในบ้านที่มีความขัดแย้งที่ฝังลึกมานานมาก ทัศนคติไม่ตรงกันอย่างรุนแรง แต่วันอื่นที่ผ่านมาก็เป็นไปแบบ ทุกคนกดๆมันเอาไว้หมด ช่วงที่สุขก็มีมากกว่านะคะ
แต่วันนี้มันระเบิดลง เสียใจจังเลยค่ะ เป็นความเสียใจที่เห็นคนที่เรารักทุกฝ่ายเจ็บปวด ตอนนี้พยายามตั้งสติอยู่ เผื่อว่าสติจะทำให้คิดหาทางออกได้ ...แต่ไม่แน่ใจ แล้วก็กลัวมากด้วย ว่ามันจะไม่มีทางออกนั้น"
ตอบ 2. ผมเชื่อว่าทุกปัญหามีทางออกครับ แต่ไม่ใช่ทุกทางออกจะเป็นสิ่งที่เรายอมรับได้ต่างหาก
บ่อยครั้งที่เราเห็นทางออกแล้ว แต่ไม่กล้าเดินไปทางนั้น เพราะมันมีขวากหนามบางอย่างขวางอยู่
ส่วนมากเราพยายามมองหาทางออกที่มันได้อย่างใจทุกคน หรือไม่มีใครเจ็บปวดเลย หรือไม่มีใครต้องเสียสละเลย ซึ่งมันยากนะ
กระทั่งไอ้ที่เขาพูดกันว่า Win-Win น่ะ ส่วนมากมันก็พบกันครึ่งทาง เท่านั้นแหละ
ทางออกที่ดี ไม่ใช่ทางที่ทุกคน "ได้" 100% นะ แต่เป็นเลือกทางที่ทุกคน "เสีย" น้อยที่สุด ต่างหาก
ส่วนเรื่องบ้านคุณ ถ้าความเป็นครอบครัวมันยังอยู่ ก็ไม่เป็นไรหรอก ระเบิดลงแล้ว สายสัมพันธ์ยังอยู่ก็ใช้ได้ บางทีอาจจะดีตรงที่ เราได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งเก็บไว้ในใจจริงๆ
บางทีครอบครัวคุณอาจจะต้องการคนประสาน และถ้าคุณมีสติ มีเมตตา อุเบกขา ใช้ปัญญาอีกหน่อย คุณอาจจะเป็นศูนย์กลางให้ทุกคนกลับมาทำความเข้าใจกันใหม่ได้นะ
แค่ต้องใช้เวลาหน่อยน่ะ
ถาม 3. "หนูเรียนโทอยู่ค่ะปี 3 แล้ว งานก็ยังไม่ก้าวหน้านัก แต่มีรุ่นน้องที่เข้ามาที่หลังอาจารย์ที่ปรึกษาเดียวกันทำงานได้ก้าวหน้าไปมากแล้ว ก็ดีใจกับน้องเค้านะค่ะ ไม่อยากเครียดนะค่ะ ก็พยายามคิดว่างานไม่เหมือนกัน
แต่มีบาง part ที่เหมือนกันเค้าก็ทำได้สำเร็จก่อน บางทีเลยแอบเครียด เจอเหตุการณ์แบบนี้เกือบทุกวันเลยท้อมากเลยค่ะ ไม่รู้จะคิดยังไงดี จะได้ไม่เครียด งานตัวเองจะได้ก้าวหน้าด้วย เพราะบางทีมีผลทำให้อยากหยุดทำงานไปเลยนะค่ะ พอจะมีคำแนะนำไหมคะ "
ตอบ 3. การแข่งขันที่มีประโยชน์ และให้คุณกับเรา คือการแข่งกับตัวเองครับ แข่งเพื่อเอาชนะข้อด้อย และนิสัยที่ไม่ดีทั้งหลายของเรา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะใคร หรือแข่งกับใคร
ลองวางใจใหม่ แล้วมีใจยินดีกับความสำเร็จ ก้าวหน้าของคนอื่นบ่อยๆ อิจฉา รู้ว่าอิจฉา มีสติรู้ทันไป ก็ไม่เป็นไร แล้วเริ่มเอาใหม่ เอาความสำเร็จ ก้าวหน้าของคนอื่น มาเป็นแบบอย่างที่ดีให้เรามีแรงกระตุ้นตัวเอง
เพื่อชนะตัวเอง ไม่ใช่ชนะคนอื่น เพราะเราจะสำเร็จ ไม่สำเร็จ มันอยู่ที่เราเอง ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย
อย่าลืมหัดรู้ทันใจตัวเองนะ เครียด รู้ว่าเครียด แล้วยิ้มที่รู้ทันใจตัวเองไว้ แล้วไปเดินเล่นสัก 5 นาที เดินไป รู้สึกตัวไป ใจมันคิดอีกก็รู้ทันอีก
ท้อ ก็รู้ทันใจที่ท้อ มันท้อเองนะ สั่งก็ไม่ได้ว่า เลิกท้อได้แล้ว ได้แต่ทำเหตุ คือมีสติ รู้ทัน แล้วให้กำลังใจตัวเองไว้บ่อยๆ
ตนเป็นที่พึ่งเแห่งตนนะครับ ^^
ถาม 4. "ผมอยู่เชียงใหม่ วันนี้ไปวัดอุโมงค์มา
เดินรอบบริเวณแล้วถามตัวเองว่า มาทำไมแล้วได้อะไรกลับไปบ้าง บางคนมาเที่ยวถ่ายรูป มากับแฟนหรือคลายร้อนพักผ่อนก็ว่ากันไป
แต่ผมมาค้นหาจิตและสัจธรรม เหมือนอย่างที่คุณastonว่า อยู่ไหนก็สามารถค้นหาจิตได้ เพียงแต่เรารู้สภาวะจิต ไม่กดข่มหรือปรุงแต่งมัน ปล่อยให้มันเป็นไปแต่ไม่ไหลตาม วางสถานะเป็นกลาง
และจากการเดินดูโดยรอบ ผมก็ได้รู้ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง พระพุทธรูปปูนปั้น สถูปเจดีย์ ปลาที่ลอยตาย หรือต้นไม้แห้งเฉา ทุกสิ่งอย่างสารพันล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป
อันนี้ผมเอามาใช้ควบคุมตัวเองได้ด้วยนะคับจากที่เคยเป็นคนโมโหง่ายฉุนเฉียว ใจร้อนก็เย็นลง ด้วยคิดว่าทุกอย่างที่มากระทบอารมณ์เดี๋ยวก็หายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า มีสติขึ้นเยอะ
แต่จะถามว่าเวลาจะคุยกะใครเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยมีคนอยากจะคุยด้วยเลยอ่าคับ....เขาว่าผมเพี้ยนบอกให้ไปบวชซะ ผมบอกว่าผมบวชแล้วแต่ไม่ใช่ทางกาย แต่ผมบวชจิต แล้วคุณล่ะ...ทีนี้ว่าผมบ้าไปเลยอ่ะคับ "
ตอบ 4. สมัยพุทธกาล เคยมีอาจารย์ชื่อสัญชัยปริพาชก เป็นอาจารย์ของ อุปติสสะ และโกลิตะ ซึ่งภายหลังมาบวชกับพระพุทธเจ้า และได้ชื่อใหม่ว่า พระโมคคัลลานะ กับพระสารีบุตร
ตอนที่อุปติสสะ ได้โสดาบัน แล้วกลับไปชวนโกลิตะมาเรียนกับพระพุทธเจ้า ก็ชวนอ. สัญชัยมาด้วย อ.สัญชัยไม่ยอมมา
พอชวนมากๆ อ.สัญชัย ถามกลับว่า "พวกเธอว่า โลกนี้มีคนโง่ หรือคนฉลาดมากกว่ากัน" ทั้งคู่ตอบว่า คนโง่มีมากกว่า อ.สัญชัยเลยบอกว่า
"ถ้างั้นปล่อยให้คนฉลาดไปหาพระพุทธเจ้า ส่วนพวกคนโง่จะได้มาหาเรา เราพอใจจะมีบริวารมากกว่าพระพุทธเจ้า"
เรื่องธรรมะอะไรนี่ มันไม่ใช่ของแบกะดิน ชนิดที่ต้องไปง้อให้ทุกคนมาเรียนขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของคนมีปัญญาที่รู้ว่า ชีวิตเป็นของไร้สาระ ที่ควรจะหาสาระจากมันให้ได้
ผมเองพูดกับคนรอบข้างเรื่องธรรมะน้อยมากนะ แต่จะเลือกพูดกับบางคนที่เขามาถามเท่านั้น ไม่ถาม ผมก็ทำตัวปกติ ไม่พูดอะไร ไม่พยายามแสดงว่า ผมรู้ธรรมะนะ เพราะผมรู้ว่า ไม่ใช่ทุกคน จะชอบฟัง ไม่ใช่ทุกคนจะสนใจ
ฉะนั้น ที่คุณเจอ ก็ปกติแล้วนะ :) เอาไว้เป็นบทเรียนว่า เราสนใจของเราไปพัฒนาจิตใจเราเองน่ะดีแล้ว ถึงเวลาธรรมะจะจัดสรรเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตรมาให้เราเอง
แต่ระวังกิเลสของคนดี อย่างอติมานะ ความถือดี ว่าเรามีดีกว่าคนอื่น คนอื่น ไม่ดีเหมือนเรา อันนี้ก็ต้องคอยรู้ทันนะครับ
ไว้เจอกันใหม่ อาทิตย์หน้า สุขสันต์วันหยุดนะครับ ^^
Create Date : 03 ตุลาคม 2553 | | |
Last Update : 6 ตุลาคม 2553 8:19:31 น. |
Counter : 1280 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|