(ภาพประกอบโดยความใจดีของคุณ SevenDaffodils ครับ)อ่อนหยุ่นชนะแข็งกร้าว ความสงบสยบความเคลื่อนไหว สูงสุดคืนสู่สามัญ ที่สุดของกระบวนท่า คือไร้กระบวนท่า ประโยคทำนองนี้ ผมคุ้นมาตั้งแต่เด็กครับ เพราะผมเริ่มอ่านนิยายกำลังภายในมาตั้งแต่ ป. ๓ โน่นแต่ถามว่าเข้าใจความหมายมั้ย ไม่เข้าใจครับในทางหนึ่งก็เป็นเรื่องไร้สาระนะ เพราะมันดูเพ้อๆฝันๆ ทั้งวิชาตัวเบา ทั้งกำลังภายใน ลมปราณ พลังดัชนี จี้จุด ไปจนถึงกระบวนท่าที่ปลิดชีวิตได้ในฝ่ามือเดียวสิ่งที่น่าสังเกตคือ นิยายกำลังภายในส่วนมาก มักจะมีเคล็ดวิชาหลากหลายแต่ท้ายที่สุด สุดยอดวิชาในแต่ละเรื่องนั้น มักเป็นวิชาที่ย้อนกลับเข้าสู่จิตเสมออย่างในเคล็ดวิชาไทเก๊ก ซึ่งเตียซำฮง ท่านมีตัวตนจริงๆนะมีบทหนึ่งที่บอกว่า ทั้งหมดล้วนเป็นจิตหยั่งรู้ ย่อมไม่ใช่สิ่งภายนอก ถ้ามีขึ้น ย่อมมีลง ถ้ามีขึ้นหน้า ก็มีถอยหลัง ถ้ามีซ้ายก็มีขวา ถ้าจิตหยั่งรู้ อยากขึ้นบน ในขณะเดียวกัน มันก็ประกอบด้วยความคิดที่จะลงล่างสามัญลักษณะคือว่างกับนิ่ง ว่างกับนิ่ง เหมือนไร้พลัง เหมือนไร้การเคลื่อนไหว แท้จริงกลับเปี่ยมด้วยพลัง และเปี่ยมด้วยการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังด้วยคนทั่วไปไม่รู้จักความว่าง ทั้งที่ความว่างยิ่งใหญ่ ไร้ขอบเขต ไร้ข้อจำกัดใดๆ หมื่นแสนโลกธาตุหรือหมื่นแสนระบบสุริยะอันยิ่งใหญ่นั้นตั้งอยู่ที่ไหนเล่า ก็ตั้งอยู่ในความว่างนั่นเอง นี่คือความว่างทางกายภาพหรือทางฟิสิกส์ ซึ่งเป็นความว่างเพียงชนิดหนึ่งชนิดเดียวในบรรดาความว่างทั้งหลาย ในร่างกายของเรานี้ก็มีความว่างที่ยิ่งใหญ่ ความว่างหนึ่งคือความว่างภายในอณูและระหว่างอณูอันประกอบเข้าเป็นร่างกายนี้ อีกความว่างหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าคือความว่างแห่งจิต จิตไร้อานุภาพ อ่อนแอ หงอยเหงาเศร้าซึม ก็เพราะขาดไร้ซึ่งความว่าง เมื่อใดจิตถึงซึ่งภาวะความว่างอันยิ่งใหญ่หรือวิมุตตะมิติแล้ว เมื่อนั้นจิตก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ เตียซำฮงเป็นนักบวชในลัทธิเต๋า เป็นเจ้าสำนักบู๊ตึ้งแต่ก็เคยเป็นศิษย์วัดเส้าหลินมาก่อน มองได้สองมุมว่า หนึ่ง ท่านก็ได้อิทธิพลจากพุทธธรรมนั่นแหละสอง ไม่ใช่เพียงแต่ศาสนาพุทธที่สนใจเรื่องจิต เต๋าก็สนใจหลายๆศาสนาก็สนใจ แต่ความต่างอยู่ที่วิธีการ ขั้นตอนหรือกระบวนการไปสู่ความว่างของจิต เพราะพระพุทธเจ้าบอกวิธีไว้ชัดเจน เป็นขั้นตอน เป็นลำดับเหมือนเปิดของคว่ำให้หงาย งดงามทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายที่ต้องระวังคือ ว่าง มันมีหลายแบบว่างแบบซื่อบื้อก็แบบนึง หรือว่างแบบมีสติมีปัญญา ก็อีกแบบหลวงพ่อปราโมทย์ฯ ท่านเคยสอนว่า ว่างแบบพุทธน่ะคือว่างจากความเห็นผิด ว่างจากความมีตัวมีตน ว่างจากความปรุงแต่งของกิเลสไม่ใช่ว่างแบบไม่มีอะไรเลย มันมีนะ ก็มีความไม่มี ไม่เป็นอะไรนั่นแหละไม่ใช่อยู่ๆก็ไปทำจิตให้ว่างๆ ไม่คิดไม่นึกอะไร กลายเป็นคนเอ๋อๆแต่ต้องทำเหตุให้จิตมีสติ จดจำสภาวะได้บ่อยๆ จนเป็นสติอัตโนมัติขึ้นมาจิตถึงจะมีสมาธิแบบตั้งมั่น เห็นขันธ์แต่ละขันธ์ เห็นกายเห็นจิตแยกกันทำงานพอกายใจทำงานแยกกัน จะแสดงความจริงว่าไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่ใช่ตัวตนจิตเห็นความจริงนั้นบ่อยๆเข้า จะมีปัญญา มีปัญญาบ่อยๆเข้า มากเข้า ก็จะปล่อยวางและหลุดพ้นจากความเห็นผิด การยึดมั่นสำคัญผิดๆเอง เข้าสู่ความว่างของจิตทางเดินของนักเรียนวิชาพุทธ ว่าด้วยการรู้จักตัวเอง เดินแบบนี้นะครับไม่ต้องเชื่อ แต่ควรไปลองเรียน ด้วยการลงมือปฏิบัติเองนะ ตั้งใจรักษาศีล ๕ แล้วฝึกมีสติ คอยขยันรู้สึกตัวบ่อยๆ ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด คอยรู้สึกตัวจะรำไทเก๊กตอนเช้าทุกวันก็ไม่ผิดกติกา สุขสันต์วันที่จิตยังไม่ค่อยว่างนี่แหละครับ
ทั้งที่ความว่างยิ่งใหญ่ ไร้ขอบเขต ไร้ข้อจำกัดใดๆ
เป็นประโยคที่กินใจมากๆครับ ผมก็เป็นสาวกนิยายจีนกำลังภายในเช่นกันครับ อ่านแล้วมักทำให้มีจินตนาการดีๆ
สุขสันต์วัน up blog ครับ
😄😊😃