Group Blog
 
All blogs
 

โปสเตอร์ ๕ ใบ กับความเข้าใจเรื่องภาษา


(ภาพจาก fwd mail ไม่ทราบที่มาและผู้ถ่ายครับ)

อันนี้ก็เคยลงในวารสารธรรมใกล้ตัวไปแล้ว
แต่เอามาลงไว้ในบล็อกเผื่อใครยังไม่ได้อ่านครับ

*****************************************

ผมเป็นคนไม่ชอบเล่นน้ำ แต่ชอบนั่งเรือครับ
สมัยก่อนตอนเรียนอยู่ท่าพระจันทร์ ก็นั่งเรือด่วนไปเรียนบ่อยๆ
ช่วงที่เลยโรงแรมโอเรียนเต็ลมา ฝั่งพระนคร จะเห็นอาคารเก่าๆ
แต่ดูสวยคลาสสิกสีขาวๆ อยู่อันหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำ
มาทราบในภายหลังว่า นั่นคือสถานทูตโปรตุเกส

เคยนึกขำๆ เล่นๆ กับตัวเองว่า
ถ้าวันหนึ่งรวยแบบมหาศาล ผมจะมาซื้อที่นี่ไว้เป็นบ้าน
ด้วยความที่ชอบทำเลและภูมิสถาปัตย์เป็นอย่างยิ่ง
อันนั้นก็ฝันกลางน้ำไปแหละครับ

ถึงจะยังไม่มีแนวโน้มว่าฝันกลางน้ำของผม จะได้ยกพลขึ้นบกในชาตินี้
แต่อย่างน้อย ผมก็ได้ไปเหยียบสถานทูตโปรตุเกสแล้วล่ะน่า
เหตุเพราะต้องบินไปประชุมที่ลิสบอน เลยต้องไปเสนอหน้าขอวีซ่าเข้าเมืองเขา

ระหว่างที่นั่งรอเจ้าหน้าที่เขาเรียกไปคุย
ผมก็มองโน่นมองนี่ตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น
แล้วก็เห็นโปสเตอร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของเขาติดเรียงกันเป็นชุด ๕ ใบ

แต่ละใบเป็นภาพอะไรบ้าง จำไม่ได้ตามฟอร์มปลาทองขั้นเทพครับ
จำได้แต่ว่า แต่ละใบมีคำจำกัดความภาพเป็นตัวใหญ่ๆ ต่างกันไป
ใบแรกพูดเรื่อง “ความรัก” ใบที่สอง “ความสงบ”
ตามมาด้วย “ความสร้างสรรค์” “ความฝัน” และ “ความกลมกลืน”

เขาไม่ได้เขียนเป็นภาษาไทยหรอกนะ แต่เขียนไว้เป็นคำใน ๕ ภาษา
เรียงจากบนลงล่างได้ดังนี้ อังกฤษ เยอรมัน โปรตุกีส ฝรั่งเศส สแปนิช
ลูกน้องที่ไปด้วยถามว่า ผมรู้ได้ไง ตอบไปว่าอาศัยความรู้ติดก้นหม้อนิดๆ หน่อยๆ

การเห็นโปสเตอร์ห้าใบมาติดเรียงกัน ทำให้ผมได้ความรู้ใหม่อย่างหนึ่งว่า
บางที คำที่มีความหมายเดียวกัน อาจจะเขียนต่างกันโดยสิ้นเชิงในแต่ละภาษา

อย่าง “ความฝัน” อังกฤษเรียกว่า Dream เยอรมันเรียก Traum
โปรตุเกสเรียก Sonho ฝรั่งเศสเรียก Rêve สแปนิชเรียก Ensueno
ถ้าผมเข้าใจอันไหนผิด แล้วใครทราบ ช่วยบอกด้วยนะครับ

แต่ในขณะเดียวกัน บางคำ ถึงจะต่างภาษาก็เขียนเหมือนกันมากอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่น “ความรัก” ทั้งอังกฤษ โปรตุเกส ฝรั่งเศส สแปนิช
เขียน Romance เหมือนกันหมดแม้จะออกเสียงต่างกัน
ในขณะที่เยอรมันเขียน Romantik เปลี่ยนท้ายนิดเดียว

หรืออย่างบางคำเขียนคล้ายๆกัน ออกเสียงก็คล้ายกัน เช่น “ความกลมกลืน”
อังกฤษเขียน Harmony เยอรมันกับฝรั่งเศสเขียน Harmonie เหมือนกัน
โปรตุเกสเขียน Harmonia สแปนิชเขียน Armonia

ถามว่า เรื่องนี้มันสอนอะไรผมบ้าง ตอบว่า ก็หลายเรื่องอยู่นะ
แต่ที่สำคัญที่สุดคือความจริงว่า การพูดหรือบอกเล่าเดียวกัน
ภาษาที่ใช้อาจจะเหมือนหรือต่างจนดูราวกับเป็นคนละเรื่อง

อย่างเราจะอธิบาย “ความสงบ” ให้คนอังกฤษ ก็ต้องบอกว่า Tranquility
จะบอกคนเยอรมันต้องพูดว่า Ruhe พูดกับคนโปรตุเกสก็ว่า Tranquilidade
คนฝรั่งเศสต้องพูด Tranquilité ทั้งที่พูดเรื่องเดียวกันนี่แหละนะ

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่หลายท่าน ตั้งข้อสงสัยว่า
ทำไมครูบาอาจารย์บางท่านก็สอนคล้ายกัน บางท่านก็สอนต่างกับท่านอื่น
ที่เห็นสอนไม่ตรงกับครูบาอาจารย์ของตัวเอง แล้วไปปรามาสว่าท่านสอนผิด ก็มี

จะไปดูในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ทรงบอกรูปแบบตายตัวของการภาวนาไว้เสียด้วย
ว่าจะถ้าจะเดิน ต้องเดินท่าไหน ยืนท่าไหน เอามือไว้ตรงไหน ต้องหายใจสั้นหรือยาว

ท่านบอกแต่ “หลัก” ของการภาวนา ว่ากายเป็นอย่างไร ให้รู้ตามความเป็นจริง
จิตใจเป็นอย่างไร ก็ให้รู้ตามความเป็นจริง จะรู้ลม รู้มือ รู้เท้า รู้ท้อง รู้จิต รู้อะไรก็ได้

เหตุผลเพราะท่านทรงรู้ว่า จริตของแต่ละคน มันแตกต่างกันครับ
บางคนเหมาะจะทำสมถะแล้วขึ้นวิปัสสนา
บางคนเหมาะจะเรียนวิปัสสนาแล้วตามเก็บสมถะไประหว่างทาง
บางคนเหมาะจะเริ่มจากดูกาย บางคนต้องเริ่มจากดูเวทนา
บางคนเหมาะกับดูจิตท่านถึงมีกรรมฐานไว้ให้หลากหลาย ด้วยเหตุนี้

ฉะนั้น ครูบาอาจารย์เวลาสอน ท่านก็มี “ภาษา” หรือลีลาการสอนต่างกัน
ลองจินตนาการว่า สำนักหนึ่ง อาจจะเหมือนคนอังกฤษ อีกสำนักอาจจะเหมือนเยอรมัน
สำนักนี้เหมือนโปรตุเกส สำนักนั้นเป็นฝรั่งเศส สำนักโน้นเป็นสแปนิช

แต่ละสำนักก็สอนด้วย “ภาษา” ของตัวเอง
อย่างถ้าพูดเรื่อง “ฝัน” จะเรียกว่า Dream จะเรียกว่า Rêve
เรียก Sonho หรือ Ensueno หรือ Traum มันก็พูดเรื่องเดียวกันนั่นแหละ

ใครจะถนัดเรียนกับสำนักไหน เพราะชอบที่มันคล่องปาก
ชอบว่ามันง่าย หรือมันท้าทายดี ก็เรียนไปนะครับ

แต่ถ้าเรียนกับสำนักหนึ่งแล้ว ไม่ชอบใจ
ก็อย่าไปปรามาสครูบาอาจารย์ ว่าท่านสอนผิด

ถ้ามีคนพูดได้แต่อังกฤษ พอไปฟังคนฝรั่งเศสพูด แล้วว่าเขาพูดผิด
ผมก็ว่าฉลาดน้อยอยู่นะ

เพราะตราบใดที่ท่านสอน แล้วมีคนเห็นความจริงของกายใจ
เดินปัญญาแจ้งในทุกข์ในไตรลักษณ์ได้
ก็ไม่มีเหตุที่จะไปปรามาสว่าท่านสอนผิด
ในเมื่อพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ทรงมีกรรมฐานตายตัวที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

สติปัฏฐานเอง ก็มีกรรมฐานให้เลือกตามความถนัดตั้งสี่อย่าง

ภาษาอังกฤษอาจจะเป็นภาษาที่มีคนพูด คนใช้ คนเรียนมากที่สุด
แต่ก็ใช่จะเป็นภาษาเดียวที่บอกและนำทางให้คนถึงจุดหมายได้เสียเมื่อไหร่

ใครจะพูดภาษาอะไร พูดได้กี่ภาษาก็ไม่ว่ากันหรอกครับ
ขอให้พูด "ภาษาคน" รู้เรื่อง ก็พอแล้ว

สุขสันต์วันที่เรายังมีภาษาพูดกันก็แล้วกันครับ





 

Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2553 14:04:02 น.
Counter : 1388 Pageviews.  

เราจะช่วยหลวงพ่อปราโมทย์ยังไงดี



(ขอบคุณคุณแป๋ว SevenDaffodils ใจดีผู้เอื้อเฟื้อภาพประกอบครับ)

หลายท่าน อ่านเรื่องนี้จากธรรมะใกล้ตัวไปแล้ว แต่ขอเอามาลงในบล็อกอีกทาง
เผื่อใครที่ไม่ได้เปิดอ่าน เพราะชอบอ่านแต่บท บก. ของพี่ตุลย์

ผมได้รับข้อความจากหลายๆท่าน ทั้งอีเมล์ โทรศัพท์ ข้อความหลังไมค์และในบล็อก
บางท่านอยากรู้เรื่องเบื้องหน้า เบื้องหลัง บางท่านสับสน บางท่านกังวลเป็นห่วง

ก่อนอื่นผมถือโอกาสขออภัย ที่ไม่ได้โทรกลับบางท่านที่โทรเข้ามือถือผมตอนทำงาน
ส่วนหนึ่งเพราะผมลืม อีกส่วนเพราะผมจะเหนื่อยมากถ้าต้องอธิบายให้ฟังทีละคน

พูดให้ถูกกว่านั้น ผมเห็นว่า ไปอ่านเอาจากในประกาศของสวนสันติธรรม
จะชัดเจนและแม่นยำกว่าฟังจากปากผม เพราะผมเองก็ต้องถามคนอื่นเหมือนกัน

หรือถ้าจะถามผม ผมคงตอบไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชายทางธรรม คือคุณดังตฤณ
อันนี้หลายท่านคงได้อ่านจาก บท บก.ธรรมะใกล้ตัวแล้ว
หาอ่านได้จาก //www.dungtrin.com/ นะครับ ลิงค์ทางขวามือก็มีอยู่

บอกได้แค่ว่า ผมมาภาวนา มาเรียนกับหลวงพ่อฯ หลายปี ท่านสอนแต่สิ่งดีๆ
ท่านไม่เคยขออะไรนอกจากให้ลูกศิษย์ตั้งใจภาวนา ไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด

ท่านสอนโยมมาหลายปี ผมสังเกตว่า ท่านไม่เคยอยากให้มีคนมาห้อมล้อม
ท่านปรารถเสมอว่า วันไหนไม่ต้องเจอโยม หลวงพ่อมีความสุข

แต่ที่ท่านยังทนเหนื่อยสอนจนเสียงแห้งทุกวัน เพราะท่านเมตตาพวกเรา
และท่านถือว่ามีหน้าที่ทำงานรับใช้พระพุทธเจ้า ในการเผยแผ่ธรรมะ

ผมเจอท่านครั้งแรก สมัยที่ท่านเพิ่งบวชใหม่ๆ ที่สวนโพธิ์ฯ ที่เมืองกาญจน์
ตอนนั้นยังไม่มีกระทั่งศาลาจะรับญาติโยมเป็นกิจลักษณะ ต้นไม้ก็หร๋อมแหร๋ม

เรียนกับท่านตั้งแต่ยังดื้อ โง่ รั้น ขี้เกียจ ครบลักษณะลูกศิษย์ชั้นเลิศ
แต่ไปหาท่านกี่ที ท่านก็ยิ้ม เมตตา สะกิด บอกเตือน สั่งสอน ทุกครั้ง

ผมใช้เวลา 4 ปี นะครับ หลังจากเจอท่าน ถึงจะเริ่มเข้าใจว่าท่านสอนอะไร
ฉะนั้น ใครที่เพิ่งเริ่มฟังซีดี อ่านหนังสือท่านแล้วไม่เข้าใจ
จนเริ่มคิดว่าโง่เกินกว่าจะเรียน เชื่อเถอะว่าคุณไม่โง่กว่าผมหรอก

หลายๆคนจะเข้าใจว่า ผมเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดคนสนิทกับท่าน
อยากบอกว่า ถ้าวัดกันโดยระยะห่างทางกาย ผมยังห่างไกลคำว่าสนิทมากนัก
เพราะผมเป็นศิษย์ธรรมดา ไม่ได้เป็นกรรมการวัด ไม่ได้มีตำแหน่งอะไร

ทุกวันนี้ ผมไปวัด ผมก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรเหนือศิษย์คนไหน
ยังต้องหาที่นั่งเหมือนคนอื่น ต่อคิวทานข้าวเหมือนคนอื่น
ถ้าท่านไม่เรียก ก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนท่าน
นานๆที ถ้าโชคดีบางทีท่านก็เมตตาเรียกไปคุยด้วยสองสามคำ

แต่ในทางจิตใจ ท่านก็ไม่ต่างอะไรจากพ่อผม
เพราะท่านสอนให้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า
มันเหมือนเปิดของคว่ำให้หงายได้อย่างไร

คราวนี้มาถึงประเด็นว่า เราจะช่วยหลวงพ่อได้ยังไง
ผมตอบได้ว่าเรื่องที่มีคนโจมตีท่านน่ะ ท่านไม่กระไรหรอกครับ จริงๆนะ
ท่านสอนเสมอ เรื่องโลกธรรม เรื่องสรรเสริญ นินทา จำได้ไหม

ท่านห่วงแต่พวกเราที่ตั้งไข่กันได้แล้ว เริ่มจับหลักภาวนาเป็นแล้ว
จะเสียอกเสียใจ ตีอกชกหัว ไม่เป็นอันภาวนา เรื่องเดียวเท่านั้น

ที่เหลือนี่ ใครจะย้ายสำนักเรียน จะเปลี่ยนอาจารย์ยังไง ท่านก็ไม่ว่าหรอก
ศิษย์บางคนแบบพวกผมเสียอีก ที่แอบคิดว่า ถ้าเหลือคนมาเรียนน้อยๆ เราจะได้สบาย
ไม่ต้องแย่งยกมือกะคนใหม่ๆ อิอิอิ

ฉะนั้น ถ้าอยากช่วยหลวงพ่อจริงๆ อยู่นิ่งๆครับ
ใครจะทำกรรมอย่างไร ปรามาส ละเมิด ครูบาอาจารย์อย่างไร
ให้เขาได้รับกรรมของเขาตามวาระของเขาเอง เราอย่าไปผสมโรง
อย่าตื่นตูม อย่าตอบโต้ ไม่ว่าจะกาย วาจา ส่วนทางใจ เอาไว้ดูกันเองนะ

ส่วนของตัวหลวงพ่อ ทางวัดเขาดูแลกันได้ครับ
เรามีหน้าที่ภาวนา เป็นงานหลักของชีวิต เราก็ทำไปให้ดีที่สุด

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านจะสร้างวัด ท่านจะทำอะไร
ไม่เคยได้ยินว่า ท่านเรียกร้องเรี่ยไรใครที่ไหนเลย
สิ่งเดียวที่ท่านเคยขอจากผม เหมือนที่ขอจากลูกศิษย์หลายๆคน คือ

"ภาวนาไปเรื่อยๆ อย่าหยุดนะ"

ฉะนั้น เรามาไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน ทำทาน ถือศีล 5 แล้วภาวนากันนะครับ
ท่านจะได้มีกำลังใจว่า อย่างน้อยความเหน็ดเหนื่อยของท่านตลอดเวลาที่ผ่านมา
ก็ไม่ได้สูญเปล่าหรอก

รู้กาย รู้ใจ ลงปัจจุบันตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่น และเป็นกลางนะครับ







 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2553 12:27:43 น.
Counter : 2039 Pageviews.  

สงสัยเอย สงสัยจัง



(ขอบคุณภาพประกอบฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)

"เวลามีใครทำอะไรเราแล้วมีคนบอกว่าให้อภัยและแผ่เมตตาให้คนนั้น
การแผ่เมตตานี่ช่วยได้จริงๆหรือคะ คือเพื่อให้เราสบายใจขึ้น
หรือเพื่อให้เค้าร้ายน้อยลง หรือ ฯลฯ ขอบคุณค่ะ "


แผ่เมตตา เป็นอุบายอย่างหนึ่งที่ช่วยแก้โทสะครับ
ถามว่าช่วยได้ไหม ตอบว่า ถ้าทำถูกวิธีก็ช่วยได้ครับ

เพราะคนที่แนะนำ คือพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ได้ผล ท่านคงไม่บอกนะ

วิธีแผ่เมตตา ที่ถูก คือแผ่ให้ตัวเองก่อนครับ
ส่วนมากเราตกม้าตายกันตรงนี้แหละ
คือโกรธใครขึ้นมา แล้วพยายามจะเป็นคนดี ด้วยการแผ่เมตตาให้เขา
แล้วก็พบว่า ไม่เห็นได้ผลเลย

ก็จะแผ่ไปได้ยังไง ก็โกรธเขาอยู่น่ะ จะเอาเมตตาที่ไหนไปแผ่
ไม่บีบคอมันตายก็บุญโขแล้ว

ฉะนั้น วิธีที่ถูก คือหัดมีสติ รู้สึกตัวว่าโกรธให้เป็นก่อนครับ

โกรธปี๊ด รู้ว่าจิตโกรธ แล้วไม่ต้องห้ามนะ แค่รู้
พอรู้ มีสติแล้ว มันจะอึ้งๆแป๊บนึง เราแผ่เมตตาให้ตัวเองก่อนตอนนั้นแหละ

เห็นใจตัวเองกำลังโดนโทสะแผดเผาเร่าร้อน เหมือนหนอนโดนขี้เถ้า
ให้แผ่เมตตาลงไป ว่าใจเรามันน่าสงสารเนาะ มันเป็นทาสกิเลสมาหลายสิบปี
โกรธทีไร ก็ทุกข์ทุกที แล้วก็ยังมีเหตุต้องโกรธอยู่นั่นแหละ
คนอื่นเวลาเขาโกรธเรา เขาก็คงทุกข์แบบนี้เหมือนกัน

เราห้ามความโกรธ ห้ามกิเลสเราเองไม่ได้ฉันใด
คนอื่นเขาก็เป็นมนุษย์ มีกิเลสเหมือนกับเรา ไม่ใช่พระอรหันต์
จะให้เขามาดีกับเราตลอดเวลา ก็ประหลาดไปหน่อยนา

พอใจเราได้รับแรงเมตตา มันเย็นลง แล้วค่อยไปแผ่ให้คนอื่นนะ
ถามว่า แผ่แล้วใครได้ประโยชน์ หลักๆก็ตัวเรานี่แหละได้ก่อนเพื่อน
เพราะไม่ทุกข์เหมือนเคยแล้ว

ต่อมา คนที่เราแผ่ให้ เขาจะได้ไม่ได้ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของเขานะครับ
ถ้าจิตเขาปิด เขายังมีโทสะครอบไว้ ก็เรียกว่าเป็นจิตของสัตว์นรก
พวกนี้แผ่ส่วนกุศลให้ ก็รับไม่ได้ อันนั้นก็กรรมของเขานะ

แต่ถ้าเขาไม่ได้ปิด เขาอาจจะรับได้ หรือรู้สึกได้ว่า เราเมตตาเขานะ
ไอ้ที่มีปัญหากัน มันก็ไม่ร้ายแรงเหมือนที่เคย

อันนั้น ก็ต้องถือว่าได้ทั้งสองคนครับ :)

เครียดเรื่องที่บ้านมาก มีคนแนะนำให้หยกอ่านหนังสือของคุณ aston + คุณดังตฤณ + ฟัง cd ไปฟังเทศน์กับหลวงพ่อปราโมทย์ สงบใจลงเยอะ ตอนนี้พยายามเริ่มดูจิต ฝึกรู้ตัวตลอดเวลา เพราะไม่อยากเครียดแล้วค่ะ

อยากถามว่า การที่โกธรพ่อตัวเอง แล้วปล่อยจิตมันโกธรไป จะเป็นลูกอกตัญญูป่าวคะ



ทุกครั้งที่เราโกรธใคร เราก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละครับ อย่าว่าแต่พ่อเราแม่เราเลย
กระทั่งจะโกรธ พี่น้อง ป้า เพื่อน แฟน คนแปลกหน้า เราก็ทุกข์ทั้งนั้น
เพียงแต่ระดับของความรู้สึกผิดที่ตามมา อาจจะมากน้อยต่างกันเท่านั้นเอง

ผมพูดแบบนี้ได้ เพราะผมเคยเป็นคนขี้โมโห ขี้หงุดหงิดมากครับ
ผมสังเกตว่า คนที่ฝึกวิปัสสนา คอยรู้สึกตัว รู้ทันความรู้สึกตัวเองบ่อยๆ
จะเป็นคนโกรธสั้นลงๆ จนถึงไม่โกรธเลยในบางเวลา

ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีเหนือมนุษย์อะไร แต่เพราะจิตผมมันฉลาดมากขึ้น
มันเริ่มเห็นบ่อยๆว่า เราไม่เคยได้ประโยชน์อะไรจากการโกรธเลย
นอกจากความรู้สึกผิด และทุกขเวทนาทางกาย

ทุกวันนี้ ผมยังโกรธนะครับ เพราะยังไม่ใช่พระอนาคามี ^^
แต่เห็นได้ชัดว่า ระดับความโกรธมันน้อยลง
และไม่รุนแรง ไม่โกรธนานเหมือนเมื่อก่อน
ข้อดีก็คือ ผมก็มีความสุขมากขึ้น เพราะเหตุนี้เอง

"ถ้าอยากชนะใจตัวเองให้ได้ ต่อสู้ก่ะสิ่งล่อใจ มีวิธีฝึกเบื้องต้นให้ได้ผลอย่างไรบ้างคะ เพราะมันยากเหลือเกิน"

อยากชนะความอยาก เป็นเป้าหมายที่ดีครับ แต่วิธีเดียวที่ได้ผลจริงๆคือ
ฝึกรู้ทันความรู้สึกของตัวเองไปนี่แหละครับ โดยเฉพาะความรู้สึก "อยาก"

ปกติคนเราจะทำอะไร มักจะมีความอยากเป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังเสมอ
เช่นอยากพูด อยากกิน อยากนอน อยากฟัง อยากอาบน้ำ อยากดู อยากได้ยิน
อยากเดิน อยากหนี อยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
กระทั่ง คุณอยากได้คำแนะนำ อยากเอาชนะความอยาก
ก็ยังต้องอาศัยความอยากเป็นตัวผลักให้ลงมือเขียนอีเมล์มาหาผม เป็นต้น ^^

คอยรู้สึกเวลาที่อยากนี่แหละครับ อยากทำอะไร ก็รู้สึกๆๆๆ รู้ทันว่าใจมันอยาก
ถ้าเห็นว่าเราก็อยากด้วย ก็รู้ทันว่ามีเราอยู่ แล้วจะค่อยๆมีสติเพิ่มขึ้นเอง ตามชั่วโมงบิน
อย่าใจร้อนนะครับ คนหัดดูจิตแล้วใจร้อน ก็เพราะเป็นทาสของความอยากดีนี่แหละ

อย่างหนึ่งที่ต้องมีไว้ คือศีลครับ ถือศีลห้าไว้ให้มั่นๆ
เวลาอยากทำอะไรแล้วให้รู้สึก แค่รู้สึก ไม่ได้ห้ามอยากนะครับ
แต่อยากแล้วตามรู้ทันจิตใจที่อยาก พอได้สติ รู้สึกตัวว่าอยากแล้ว
ถามตัวเองว่า มันสมควรหรือไม่สมควร ทำแล้วมีประโยชน์ มีคุณค่ากับชีวิต หรือเป็นการทำตามกิเลสล้วนๆแต่หาประโยชน์ไม่ได้เลย

อย่างถ้าอยากไปดื่มเหล้าให้หายกลุ้ม อยากทำอะไรที่ชีวิตจะต่ำลง
เราจะรู้สึกด้อยค่า หรือผิดศีล อันนั้นรู้สึกตัว แล้วก็อย่าทำเด็ดขาด
แต่ถ้าอยากไหว้พระ อยากสวดมนต์ อยากศึกษาธรรมะ
อันนี้รู้ทันแล้วก็ทำ เพราะสมควรทำ

สุขสันต์วันที่เราหิว เราอิ่ม เราง่วงครับ




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 20 กุมภาพันธ์ 2553 0:05:54 น.
Counter : 1348 Pageviews.  

500 Days of Summer : วันวาเลนไทน์ ไม่ได้มีหนเดียว



This is not a love story, it's a story about love.
คำบรรยายในตอนต้นของหนัง เขาบอกไว้อย่างนั้น

จำได้ไหมครับ ในบล็อกที่เขียนถึงหนังเรื่อง Time Traveller's Wife
ผมบอกว่าเป็นหนัง 1 ใน 2 เรื่องที่ผมดูแล้วชอบที่สุดของปีก่อน
ผมกั๊กไว้ ไม่ได้บอกว่าอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องอะไร เพราะจะรอให้แผ่นออกขาย
กลัวคุณจะผิดศีลไปหาแผ่นผี หรือโหลดบิทมาดู

ถึงวันวาเลนไทน์ เลยถือโอกาสเฉลยว่า อีก 1 ใน 2 ที่ว่า คือเรื่องนี้แหละครับ

ผมไปอ่านเจอในนิตยสารสักเล่ม จำชื่อไม่ได้อีกตามฟอร์ม
คอลัมน์นิสต์เขาบอกว่า เป็นครั้งแรกที่มีหนังโรแมนติกคอเมดี้เพื่อผู้ชาย

อ่านแล้วก็พยักหน้าหงึกๆตามเขา ว่าจริงของเขา
ปกติหนังโรแมนติกคอเมดี้ มักจะทำเพื่อเอาใจผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
เพราะมักจะเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ตามหารักแท้หรือชายในฝัน

แต่ความเห็นส่วนตัว ผมว่าเขาไม่ได้สร้างเพื่อผู้ชายทั่วไปหรอก
เขาสร้างเพื่อผู้ชายที่กำลังอกหัก หรือเคยอกหักมาแล้วมากกว่า
ไม่ก็เพื่อใครก็ตามที่คิดว่า คนเราจะมีความสุขได้ต่อเมื่อมี "ใครคนนั้น" เท่านั้น

หนังเล่าเรื่องของทอม สถาปัตย์บัณฑิตหนุ่มที่ไม่เคยเชื่อในความสามารถของตัวเอง
เลยเลือกจะ "ปลอดภัย" อยู่กับงานคิดข้อความให้บริษัทการ์ดอวยพร

ทอมพบรักกับสาวที่ชื่อ "ซัมเมอร์" ผู้หญิงที่เขาคิดว่าเป็นทุกอย่างในชีวิต
แต่เธอไม่เชื่อในเรื่องรักแท้ และไม่ต้องการความสัมพันธ์ที่ผูกมัดและจริงจังยั่งยืน

ในวันที่ 290 ซัมเมอร์ออกไปจากชีวิตของทอม ทอมรับความจริงไม่ได้
แล้วชีวิตเขาก็เริ่มดิ่งเหวนับจากนั้น จนถึงวันที่ 500 ที่เขาก้าวข้ามซัมเมอร์ได้

ผมบอกไม่ถูกว่า อะไรทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ มากกว่ากัน
ระหว่างวิธีเล่าเรื่องที่แสนจะน่ารัก คำพูดบางอย่างดีๆในหนัง หรือนางเอก
หรือประสบการณ์ร่วมกับทอม

ผู้ชายหลายคนรวมถึงตัวผมเอง เคยมีช่วงชีวิตที่เป็นแบบทอมกันเยอะนะ
คือเจอผู้หญิงที่คิดว่า จะรักไปจนลมหายใจสุดท้าย แล้วจู่ๆก็มาขอเลิกซะงั้น

แล้วเราก็ดันไปเสียเวลาหมกมุ่นครุ่นคิดวนเวียนว่า
เราไม่ดีตรงไหน ทำไมต้องเป็นเรา เราทำอะไรผิด ฯลฯ
เพียงเพื่อจะมาค้นพบในอีกหลายปีต่อมาว่า สิ่งเดียวที่ทำผิดก็คือ
เราไม่ยอมรับความจริงในขณะนั้น ว่ามันจบแล้ว แล้วก็มัวแต่คร่ำครวญนั่นแหละ

ความสมหวัง ความผิดหวัง ความสุข ความทุกข์ในชีวิตคนเรา
มันเป็นเหมือนฤดูกาล ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปนะครับ ไม่มีอะไรถาวรหรอก

ถ้าถามว่า ช่วงเวลาไหนคือช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตเรา ไม่รู้ว่าคนรุ่นนี้จะตอบกันยังไง
แต่คนรุ่นผมมักจะบอกว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุด คือช่วงเรียนมัธยมหรือมหาวิทยาลัย

แต่ไม่ว่าจะช่วงไหน สังเกตไหมว่า ถ้ามันไม่ใช่เวลาที่ผ่านไปแล้ว
ก็ต้องหมดไปในไม่ช้า เท่ากับว่าเราก็อยู่กับมันได้แค่ชั่วคราวนะครับ

ไม่มีใครได้เรียนมัธยม มหาวิทยาลัยไปตลอดชีวิตหรอกถูกไหม
จะฉลาดน้อยเรียนซ้ำชั้น ซิ่วมาราธอนขนาดไหน เขาก็มีโควต้าจำกัดอยู่

คนที่มีความสุข จึงไม่ใช่คนที่มีแต่ช่วงเวลาดีๆในชีวิต
แต่เป็นคนที่มีสติ ยอมรับความจริงในปัจจุบันได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

จะ Summer, Autumn, Spring, Rainy หรือ Winter
ไม่ว่าเราจะชอบเราจะเกลียดอันไหน มันก็จะผ่านมาแล้วผ่านไป

แล้วจะบอกอีกอย่างให้ว่า ถ้าวันหนึ่งในอีกหลายปีข้างหน้า
ลองมองย้อนกลับมา อาจจะมานั่งสมเพชตัวเอง ว่าตอนนั้นเราไปอะไรนักหนาก็ไม่รู้

แบบเดียวกับที่เราเคยรู้สึกว่า มีสถานที่บางแห่ง มันดูใหญ่โตตอนเราเป็นเด็ก
แต่พอโตขึ้น เรากลับไปยืนดูอีกที แล้วรู้สึกว่า ทำไมมันดูเล็กจัง

ปัญหาทั้งหลาย ความผิดหวัง เสียใจทั้งหลายที่เคยเจอตอนนี้
มันก็เหมือนๆกันแหละ

ถ้ามีสำนวนนักเลงเขาพูดว่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว
ก็ควรมีสำนวนนักรักที่พูดว่า วันวาเลนไทน์ก็ไม่ได้มีหนเดียว เช่นกัน

สุขสันต์วันตรุษจีน ซินเจียยู่อี่ ซินหนีไคว้เล่อ
และเอ้อเหอวาเลนไทน์นะครับ

ปิดท้าย เอาหนังตัวอย่างมาให้ดูด้วย เผื่อใครอยากไปหาหนังมาดูเต็มๆ
เรื่องนี้เต็มสิบ ผมให้สิบเต็มครับ







 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2553    
Last Update : 14 กุมภาพันธ์ 2553 2:07:27 น.
Counter : 2374 Pageviews.  

เข็มทิศชำรุด



(เอื้อภาพภาพประกอบโดย SevenDaffodils ครับ)

เมื่อวันก่อน มีสุภาพสตรีท่านนึงถือเข็มทิศอยู่ในมือแล้วเดินมาถามผมว่า
"ไอ้เข็มทิศนี่มันใช้ยังไงอ่ะ"

ผมบอกเธอว่า เราต้องวาง หรือถือเข็มทิศให้อยู่ในแนวระนาบ
คือไม่เอียงซ้าย เอียงขวา หน้าหลัง แล้วปล่อยให้เข็มมันทำงาน
ถ้าเข็มทิศไม่เอียง ปลายเข็มมันจะหมุนไปหยุดในตำแหน่งทิศเหนือ-ใต้เสมอ

เราก็เพียงแต่หมุนตัวเรือนให้จุดบอกตำแหน่งบนตัวเรือน ตรงกับแนวของเข็ม
คราวนี้ก็รู้ได้ละ ว่าถ้าจะไปทางไหน จะเป็นทิศไหน

ถามว่าเชื่อเข็มทิศได้ไหม ตอบว่าเชื่อได้ ถ้าเข็มทิศไม่ชำรุด
ถามว่า เข็มทิศมีชำรุดด้วยเหรอ ตอบว่า อ้าว.. ก็เหมือนตาชั่งน่ะ
ใช้ไปนานๆ มันมีการตก กระทบ กระแทก มันก็เพี้ยนได้เป็นธรรมดา

เอาของชิ้นเดิมไปชั่งมาหลายปี ก็บอกว่า 70 โล
อยู่มาวันหนึ่ง เอาชิ้นเดิมมาชั่ง บอกว่า 17 โล ซะงั้น
เขาถึงต้องมีตุ้มน้ำหนัก ไว้คอยตรวจเช็คไงครับ ว่าตาชั่งเพี้ยนไหม

ถามว่า แล้วจะรู้ได้ไง ว่าเข็มทิศอันนั้น มันเพี้ยนหรือเปล่า
โอ.. อันนี้ตอบยากนะครับ เพราะเข็มทิศบางอันดูข้างนอกก็สวยเฉียบเนี๊ยบนิ้ง
แต่เอาเข้าจริงก็ชี้กงจักรว่าดอกบัว ชี้ซัวเถาบอกจ๊กก๊ก ชี้นรกบอกสวรรค์

ถ้าจะให้ดี คงต้องไปเทียบกับเข็มทิศ อันอื่นๆดูกระมังครับ
หรือไม่ก็ต้องกางแผนที่ แล้วเช็คดู ว่าเข็มทิศเพี้ยนจริงหรือยังเที่ยงตรงอยู่

ถ้าเป็นตาชั่ง ยังอาศัยตุ้มน้ำหนัก วางเช็คดูได้ แต่เข็มทิศนี่ลำบากครับ
ยิ่งถ้าสภาพภายนอกดูดี สวยหรู แล้วเพี้ยนแค่ 2-3 องศา ยิ่งดูยาก

ฟังเผินๆ 2-3 องศา มันนิดเดียว แต่สำหรับการเดินทางไกลแล้ว
2 องศา มีความหมายมากนะครับ แล้วสังสารวัฏมันน่ากลัวนะ

เพราะตอนแรกๆ อาจจะเหมือนยังอยู่ในเส้นทาง ไปทิศทางเดียวกัน
จนกระทั่งไปไกลขึ้นๆ นั่นแหละ ถึงจะรู้ตัวว่า ไปไกลจนกู่ไม่กลับแล้ว

คนเราทุกคน มีเข็มทิศอยู่ในใจครับ ถ้าเป็นปกติส่วนมากก็บอกทิศถูก
แต่บางทีต้องระวัง ถ้าโดนกิเลสมากระทบแรงๆ หรือไม่แรงมาก
แต่กระทบต่อเนื่องยาวนานสะสม มันก็เพี้ยนไปได้

อยากตรวจดูเข็มทิศตัวเอง ว่าชำรุด หรือยังดีอยู่
ก็ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ ความแยบคายในการพิจารณาตัวเอง

ถ้ารู้สึกว่า เรามีสติเห็นกิเลสยุบยั่บไปทั้งวัน แต่ศีลยังบริบูรณ์
อันนั้นไม่น่าห่วงครับ ยังถือว่าเข็มทิศทำงานดี สติก็ยังดี ถึงเห็นได้อย่างนั้น

แต่ถ้าเมื่อไหร่ รู้สึกว่าฉันถูกอยู่คนเดียว ฉันเก่งเกินใคร จนเกิดอัตตาใหญ่โต
อันนั้นน่ากลัวครับ น่ากลัวมากๆ ว่าเข็มทิศจะชำรุด

คนเราถ้ารู้สึกตัว รู้ว่าเข็มทิศชำรุดแล้ว ก็ยังไม่น่าห่วงนะ ของมันพอซ่อมได้
เหมือนคนตาบอด รู้ตัวว่าตาบอด อันนี้ไม่น่าห่วง เพราะเขาก็มีวิธีใช้ชีวิตได้
แต่ถ้าตาบอดแล้วยังเข้าใจว่าตาดี อันนี้น่ากลัว

หรืออีกที เข็มทิศชำรุด แล้วยังแถว่าเข็มทิศคนอื่นๆนั่นแหละชำรุด
มันน่ากลัวตรงทีมีคนเข็มทิศไม่แข็งแรง เชื่อ และเดินตามเข็มทิศที่ชำรุด
เท่ากับเข็มทิศตัวเองชำรุด แล้วไม่พอ ยังพาคนอื่นลงเหวไปด้วย

คนยิ่งปฏิบัติธรรมมาก ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็วางใจกิเลสไม่ได้นะ
ผมเคยเขียนในบล็อกเรื่อง เบวูฟส์ จำได้ไหมครับ ว่าพญามารท่านไม่ธรรมดา

กระทั่งตามความเชื่อของคริสต์ ลูซิเฟอร์ ที่เป็นซาตาน พญามารฝรั่ง
ก็มีเครดิตเป็นเทวดาชั้นบิ๊กบึ้มมาก่อน ฉะนั้น อย่าคิดว่าท่านกิ๊กก๊อกเป็นอันขาด

ท่านเป็นพญา ท่านย่อมรู้จุดอ่อนของแต่ละคน ว่าคืออะไร
แล้วท่านจะจัดของมาล่อให้ตรงจุดอ่อนเรา ลาภ ยศ สรรเสริญ กาม

พอพญามารถือหาง เห็นช้างก็เท่าหนู เห็นหมูเท่ามด เห็นน้ำกรดเป็นน้ำหวาน
เห็นนาธานเป็นเคน ธีรเดช ซะงั้น

ถามว่า แล้วเข็มทิศคุณแอสตั้น ยังเชื่อได้ไหม ตอบว่า.. ดีแล้วที่ถาม
เพราะผมจะได้หยุดเขียน แล้วเอาเวลาไปรู้กายรู้ใจตัวเอง ตรวจเข็มทิศตัวเอง

สุขสันต์วันฝนตกๆหยุดๆครับ



ปล. ช่วงนี้ ขออนุญาตให้ออกความเห็นได้เฉพาะสมาชิกนะครับ ผมกลัวลอร์ด โวลเดอมอร์ท




 

Create Date : 30 มกราคม 2553    
Last Update : 31 มกราคม 2553 0:11:01 น.
Counter : 2028 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.