|
สงสัยจัง: ไม่ต้องดี แต่อย่าชั่ว เป็นยังไง
(ภาพประกอบจากฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)
ผมเคย post เรื่องนี้ไว้ใน facebook แล้ว แต่เผื่อว่าหลายท่านอาจจะไม่ได้ใช้ หรืออาจจะไม่ทันเห็น เลยเอามาแปะไว้ในบล็อกอีกทีนะครับ
เริ่มมีหลายท่านเขียนคำถามผ่าน inbox ใน facebook อยู่เรื่อยๆ ผมยินดีตอบให้ ในส่วนที่ผมตอบได้นะครับ อะไรไม่รู้จะบอกว่าไม่รู้ :) แต่ขออนุญาตเอามาแบ่งให้คนอื่นได้อ่านด้วยก็แล้วกันนะครับ
ฉะนั้น ใครอยาก share ต่อ ไม่ต้องขอหรอกนะ ถือว่าผมอนุญาตอัตโนมัติ
"พี่เอ้ดดี้คะ ไม่ต้องดีก็ได้แต่อย่าชั่ว หมายความว่าไง เพื่อนๆบอกว่า อย่าชั่วก็หมายความว่าต้องดีอะสิ ถ้าไม่ต้องดี ..แต่อย่าชั่วนี่ ช่องว่างระหว่างนี้คืออะไร เป็นแบบไหนอะคะ"
อันนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับคำถามโดยตรง แต่จะเล่าให้ฟังว่า คนส่วนมากมักจะมองอะไรสุดโต่งสองด้านโดยธรรมชาติ
เช่นถ้าบอกว่า "ฉันไม่เห็นด้วยกับเสื้อเหลือง" จะมีคนพูดทันทีว่า ไอ้นี่เสื้อแดงชัวร์ หรือถ้าบอกว่า "ฉันไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง" จะมีคนสรุปว่า ไอ้นี่เสื้อเหลืองนี่หว่า แต่ลืมไปว่า โลกนี้มันมีตั้งหลายสี ไม่ได้มีเฉพาะสีแดงกับเหลือง ขาวกับดำนะ
คนเราถึงเป็นศัตรูกันง่าย เพราะความสุดโต่งนี่แหละ ใครพูดอะไรผิดหู ก็ต้องถือว่าไม่ใช่พวกเรา ใครเห็นต่างคิดต่าง แปลว่าต้องเป็นศัตรู เป็นต้น
ที่ถามมา ต้องอธิบายก่อนว่า เป็นสำนวนหลวงพ่อปราโมทย์ฯ เวลาท่านสอนวิปัสสนา
ท่านต้องการจะบอกคนที่ภาวนา โดยเฉพาะพวกที่ถนัดการดูจิต ว่า.. อย่าไปยึดว่าถ้าดูจิต แล้วจิตจะต้องดีตลอดเวลา ไม่ฟุ้ง ไม่มีกิเลส ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลงเลย
ครูบาอาจารย์วิปัสสนาชั้นเลิศ ท่านจะสอนหลักคล้ายๆกันว่า จะเรียนวิปัสสนาให้ได้ผล ..ต้อง
1 . รู้กายรู้ใจ (ตัวเอง) 2. ตามความเป็นจริง (บางสำนวนว่า "รู้ลงปัจจุบัน") 3. ด้วยจิตตั้งมั่น และเป็นกลาง
ฉะนั้น ถ้าไปยึดหลักว่า ดูจิตแล้วจิตจะต้องดี ต้องสงบ ไม่ฟุ้งเลย ไม่มีกิเลสเลย นั้น มันจะผิดจากหลักการภาวนาที่ว่า "รู้ตามความเป็นจริง" "ด้วยใจที่เป็นกลาง"
เพราะการที่จิตมีกิเลส อาจจะไม่ดี แต่มันก็เป็นความจริงว่า ไม่มีจิตของสัตว์โลกไหนที่ไม่มีกิเลส นอกจากจิตของพระอรหันต์ การมีกิเลส จึงเป็นปกติของจิตคนธรรมดาๆ
ถ้าอยากจะภาวนาเอาแต่ดี เอาแต่สงบ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรู้ตามความจริง ก็ไม่เกิดปัญญาในทางวิปัสสนา ไม่เห็นทุกข์ เห็นโทษของการยึดมั่นในกายใจ เพราะเราจะเข้าใจผิดว่า เราสามารถบังคับกายใจ ให้ดี ให้วิเศษได้
อันนั้นคือเหตุที่ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า "ไม่ต้องดีก็ได้" แต่ที่บอกว่า อย่าชั่ว อันนั้นท่านหมายถึงว่า การไม่ปฏิเสธว่าจิตยังมีกิเลส ไม่ได้แปลว่าจะไหลตามกิเลสไปละเมิดคนอื่นได้นะ
ครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกเสมอว่า ยังไง เราก็ต้องมีศีลนะ
คนมีศีลบริบูรณ์ ก็ไม่มีทางเป็นคนชั่ว เพราะจะไม่อ่อนแอต่อกิเลส ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนกระทั่งตัวเอง
เราดูตัวเอง ยอมรับว่าจิตมีกิเลส จิตที่ยังมีกิเลส จะพูดว่ามันดี ก็พูดไม่ได้ถูกไหมครับ แต่ในเมื่อเรามีสติ รู้ทันกิเลส รู้ทันความคิดชั่วๆ เราก็ไม่ทำชั่ว จะว่าเราเป็นคนชั่ว ก็ว่าไม่ได้อีกนะครับ ถูกไหม
แต่ถ้าดูไประยะหนึ่ง จะค่อยๆเห็นว่า จิตไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มีจริง ฉะนั้น ถ้าจิตจะคิดไม่ดี คิดร้าย จะโลภ จะโกรธ จะหลง ก็เรื่องของจิตมันนะ เราแค่รู้ทัน ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ขาดสติไหลไปทำตามกิเลส
สติจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ควรสร้างเหตุให้สติเจริญ คนเรามีสติ ก็มีศีล ขาดสติ ศีลก็ขาดง่าย
หวังว่าคงจะตอบคำถามนะครับ ^^
Create Date : 29 มกราคม 2553 |
Last Update : 30 มกราคม 2553 0:12:16 น. |
|
6 comments
|
Counter : 1430 Pageviews. |
|
|
|
โดย: azamiya วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:22:45:13 น. |
|
|
|
โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 203.144.144.164 วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:0:15:35 น. |
|
|
|
โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 203.144.144.164 วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:0:19:29 น. |
|
|
|
โดย: ละอองลม (wind_drizzle ) วันที่: 30 มกราคม 2553 เวลา:10:38:33 น. |
|
|
|
โดย: color-of-the-wind IP: 118.174.56.209 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:19:36:08 น. |
|
|
|
โดย: Bee DDT IP: 203.155.158.2, 61.19.249.105 วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:17:33:46 น. |
|
|
|
| |
|
|
รู้แล้วก็หยิบเครื่องมือคือศีลออกมาใช้คู่กันไป
อย่างนั้นใช่มั้ยคะพี่เอ๊ด
แล้วเราก็จะได้คำตอบว่าดูจิตแล้วยังไงต่อ
อย่างที่เราเคยสงสัยอย่างนั้นใช่มั้ยคะ??