หัวใจและร่างกาย หัวใจและร่างกาย ก่อนเริ่มต้นวิ่ง เราต้องต่อสู้กับหัวใจตัวเอง กว่าจะก้าวข้ามความขี้เกียจ และเหตุผลสารพัดที่ฉุดรั้งให้การลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปวิ่งก่อนมาทำงานตอนเช้าต้องทอดยาวออกไปนานหลายเดือน ไม่สนุก ไม่มีเวลา ไม่อยากตื่นเช้า และอีกสารพัดข้ออ้างฉุดรั้งให้การเริ่มต้นไม่ง่าย แต่เมื่อก้าวผ่านไปได้เราจะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว อุปสรรคสำคัญคือ "ใจ"เราล้วนๆ จากวันแรก วันที่ 2 3 4 ครบหนึ่งอาทิตย์เข้าสู่อาทิตย์ที่ 2 3 4 จนครบเดือน 2 3 4 เดือน เมื่อหัวใจเปิดรับการ"วิ่ง"ให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรยามเช้าได้แล้ว วันไหนไม่ได้"วิ่ง"รู้สึกคล้ายกับพ่ายแพ้อะไรบางอย่าง เมื่อวิ่งมานานพอ เราจะเริ่มต้นต่อสู้กับร่างกายและหัวใจอีกครั้ง ความรู้สึกอยากวิ่งให้ไกลขึ้น เร็วขึ้น สำหรับฉันบางครั้งความต้องการทำให้ไม่คิดถึงข้อจำกัดของตนเองจนอาจเรียกได้ว่าเป็นการฝืนสังขารโดยไม่จำเป็น 2-3 เดือนก่อน ตื่นเช้าและเตรียมตัวไปวิ่งเหมือนเคย ระหว่างวิ่งลงบันได อารามรีบร้อนพลัดตกบันไดไม่กี่ขั้นทำให้ขาพลิกรู้สึกเจ็บน่าดู แต่เมื่อลุกขึ้นได้ แผนการวิ่งยังเหมือนเดิม รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้าซ้ายตลอดเวลาที่วิ่ง แต่ไม่ยอมหยุด บางจังหวะเจ็บมากก็เปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินเร็ว คิดว่าทนไหว คิดว่าแค่นี้ไม่เป็นอะไรเดี๋ยวก็หาย ตกบ่ายเริ่มเห็นผลของความดันทุรัง เพราะข้อเท้าบวมเป่ง เปลี่ยนจากสีแดงในตอนเช้าเป็นเริ่มม่วงช้ำเป็นหย่อมๆ เลิกงานตอนเย็นจึงรีบบึ่งไปโรงพยาบาล เพราะกลัวว่าจะไม่ได้วิ่งไปอีกหลายวัน เพิ่งรู้สึกว่าอานุภาพของการเสพติดอะไรบางอย่างช่างรุนแรงนัก "ไปโดนอะไรมาครับ"คุณหมอถามหลังจากเห็นข้อเท้าบวมแดงปนม่วงที่บวมเป่ง "เมื่อเช้าตกบันไดคะ"ฉันตอบ "ตั้งแต่เช้าทำไมเพิ่งมา คุณนี่มีความอดทนจริงๆ"ไม่รู้คุณหมอชมหรือตำหนิ แต่หลังสอบถามสาเหตุอาการบาดเจ็บสักพักก็ส่งตัวไปเอ็กซเรย์ เพราะไม่แน่ใจว่ากระดูกแตกหรือร้าวไหม "กระดูกไม่หัก ไม่ร้าว แต่กล้ามเนื้อคงฉีกขาด ถึงมีเลือดออกบริเวณนี้"คุณหมอชี้ให้ดูรอยช้ำแดงที่ข้อเท้า และพูดต่อว่า "แต่ต้องใส่เฝือกอ่อน และพยายามอย่าเดินมากนะครับ คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์"คุณหมออธิบายในขณะที่ฉันนั่งฟังตาปริบๆ ในใจก็คิดว่าเอาไงดีล่ะพรุ่งนี้มีสัมมนาสำคัญที่ต่างจังหวัดด้วย "พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดน่ะคะ ไปได้ไม๊คะ" "ไม่ไปไม่ได้เหรอครับ ไม่อยากให้เดินมาก ถ้าไปสัมมนานั่งในห้องไม่ต้องเดินได้ไหม"คุณหมอบอก ค่ำนั้นเลยกลับบ้านพร้อมเฝือกอ่อนดามขาอันเป้ง วันรุ่งขึ้นแผนการไปต่างจังหวัดยังเหมือนเดิม และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใส่เฝือกอ่อนกระเตงไปด้วยอย่างนี้ ฉันจึงตัดสินใจถอดออกแล้วพันผ้าไว้ คิดแค่ว่าจะพยายามไม่เดินหรือลงน้ำหนักที่ขาข้างที่เจ็บและกินยาอย่างเคร่งครัดทุกมื้อน่าจะดีขึ้น 3 วันผ่านไปอาการบวมที่ข้อเท้าลดลงมาก ยังบวมและเจ็บทุกครั้งที่เดิน แต่ไม่ได้กลับไปใส่เฝือกอ่อนอีกเลย ยอมหักห้ามใจหยุดวิ่ง 1 อาทิตย์เต็มๆ เพราะขายังไม่ยอมหายบวม อาทิตย์ที่ 2 เริ่มกลับไปวิ่งอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกเจ็บอยู่ แต่ความรู้สึกอยากวิ่งมีมากกว่า ![]() 1 เดือน 2 เดือนผ่านไป อาการเจ็บแปลบที่ข้อเท้ายังไม่หายขาด อาการบาดเจ็บที่น่าจะหายขาดได้ภายใน 2 อาทิตย์กลายเป็นเรื้อรังจนทุกวันนี้ ยังรู้สึกมีความสุขกับการวิ่งเหมือนเดิม แต่ความมั่นใจในการวิ่งนานขึ้นเร็วขึ้นลดลง การต่อสู้กับหัวใจ และร่างกายไม่ว่าเราจะคิดว่าเราแน่และแข็งแรงแค่ไหนล้วนแล้วแต่มีข้อจำกัด อย่าฝืนเมื่อรู้สึกว่าไม่ไหว อย่าปล่อยให้ถึงจุดที่ต้องทน ไม่ว่ากับอะไร ไม่ดีทั้งนั้น การรักษาบาดแผลเรื้อรังเป็นเรื่องยาก(มาก) "ไม่อยากอยู่อย่างนี้จนเกษียณ มีอะไรที่อยากทำอีกตั้งเยอะ"เสียงบ่นประโยคเดิมๆ ของคนใกล้ตัวเปรยให้ได้ยินครั้งที่ร้อย "อยากทำอะไรก็ไปทำซิ แล้วจะทำอะไรล่ะ" "ยังไม่รู้ แต่แค่รู้สึกว่าอยู่ไปอย่างนี้ อีกสิบปีก็เหมือนเดิม"เจ้าของเสียงบ่นต่อ "เหมือนเดิมไม่ดีเหรอ ถ้าคิดว่าไม่ดี ก็ไปทำอย่างที่อยากทำเถอะ"ฉันตอบโดยไม่ลังเล แม้ในใจจะรู้ดีว่าเกิดขึ้นกับตัวเองคงไม่ง่ายอย่างนั้น อะไรฉุดรั้งคนเราไม่ให้ก้าวเดิน แม้จะรู้ความต้องการในใจตนเอง ความกลัว ความลังเล ความกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงและเหตุผลอีกสารพัดที่ประเดประดังเข้ามาทำให้ทุกครั้งของการเริ่มต้นยากเสมอ ในคอลัมน์ "ชั้น5ประชาชาติ" โดย เชอรี่ประชาชาติ Cheryd@gmail.com เสียงบ่นเดิมๆ ทำไมไม่ให้หัวใจพาไป ทำอย่างเท้าที่พร้อมจะวิ่งทั้งๆที่ยังมีความเจ็บปวดที่หอมหวาน
โดย: Alex IP: 10.11.1.195, 10.11.1.195, 58.137.199.116 วันที่: 14 กันยายน 2553 เวลา:14:59:11 น.
กำลังพยายามก้าวผ่านไปเหมือนกัน
ใจเรานิมานยากจิงๆ เริ่มต้นจากตื่นเช้าได้และ ออกกะลังกายเบาๆได้และ ที่เหลือคงทำได้อีกไม่นาน อิอิ โดย: สตอเบอรรี่ด็อก
![]() |
บทความทั้งหมด
|