.. ขอบคุณภาพจาก มติชน ผู้จัดการ และ อื่นๆในอินเตอร์เน็ต ..

.......................................

จับตา เล่ห์ร้าย USA !!! จาก มติโหวตในสภาคองเกรส ถึง เงินสนับสนุนพันล้านเพื่อพัฒนาประชาธิปไตยในไทยขององค์กรข้ามชาติ USAID  !!!!..

ในอนาคตข้างหน้านี้..

ประเทศไทยของเรานอกจากเราจะเจอมรสุมพายุอาฆาตพยาบาท..

ของ ทักษิณ ชินวัตร และ แก๊งค์ขบวนการล้มเจ้าสายพันธุ์ต่างๆแล้ว..

เราคนไทยทุกคนก็ยังต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนอยู่กับเกมช่วงชิงทรัพยากรธรรมชาติของนักล่าอาณานิคมโลกยุคใหม่จากประเทศมหาอำนาจต่างๆมากมายหลายประเทศ ..

บ่อน้ำมันในอ่าวไทย การได้มาซึ่งสัมปทานของแหล่งพลังงานทั้งทางบกทางทะเล เขตปกครองพิเศษ เขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยเป็นฐานเศรษฐกิจของโลกในอนาคต..

เราจึงเป็นผืนแผ่นดินสำคัญที่เหมาะต่อการจับจองเป็นเจ้าของเป็นเจ้าสัมปทาน..

ของกลุ่มนายทุนข้ามชาติมากมายหลายสัญชาติ ทั้งฝรั่ง เจ๊ก ไทย แขก ..

นัวเนียแก่งแย่งกันอิรุงตุงนังมั่วไปหมด !!! ..

..............................................

อเมริกา ..

ดูเหมือนจะมีท่าทีของการรุกคืบ..

เพื่อเข้ามามีบทบาทชี้นำประเทศไทยค่อนข้างจะชัดเจนกว่าใครเพื่อน..

อเมริกามีท่าทีต่อการเดินหน้าเพื่อสร้างประชาคมอาเซียนในเชิงที่ไม่จริงใจนัก รัฐบาลอเมริกาสนับสนุนการมีประชาคมอาเซียน แต่ว่าก็มองว่ารัฐบาลทหารพม่ายังเป็นอุปสรรค ..

การมาเยือนประเทศไทยของ นางฮิลลารี่ คลินตัน เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมานั้น เธอมาพร้อมกับยาเบื่อหนูขนานเอก เรื่องข้อสงสัยที่มีต่อพม่าในเรื่องของการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ !!..

ซึ่งถือว่าเป็นสูตรสำเร็จเดิมๆของนายทุนข้ามชาติจากประเทศมหาอำนาจ ที่จะอาศัยเรื่องข้อสงสัยในเรื่องการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ หรือ พัฒนาอาวุธร้ายแรงขึ้นมา ..

เพื่อเป็นข้ออ้างในการรุกคืบแทรกแซงการเมืองภายในประเทศโลกที่สาม ที่ดันมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำมัน และ ก๊าซธรรมชาติ..

ในกรณีเรื่องของพม่ามีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์นี้ รัฐบาลอเมริกาดันส่งนางฮิลลารี่ คลินตันมาพูดเรื่องนี้ที่ประเทศไทย มันดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลนัก และ มันต้องไม่ดีต่อสถานภาพความสัมพันธ์ระหว่างไทย กับ พม่า อย่างแน่นอน..

มันเหมือนว่าเราเปิดบ้านต้อนรับศัตรูของเพื่อนบ้านเรา ให้มานั่งด่าเพื่อนบ้านเราที่มีรั้วบ้านติดกันตรงสนามหญ้าหน้าบ้านเราเอง..ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้านที่ไหน ? ..ก็ไม่มีใครพึงพอใจเราแน่ๆ !!..

กลับไปอ่านบทความย้อนหลังในเรื่องนี้ได้ที่นี่ครับ ..

พม่าผูกโบว์นิวเคลียร์ ของฝากจากฮิลลารี่ คลินตัน ที่ทำเอาคนไทยสะดุ้ง!(๑)..

//www.oknation.net/blog/vincentoldbook3/2009/07/26/entry-2

พม่าผูกโบว์นิวเคลียร์ ของฝากจากฮิลลารี่ คลินตัน ที่ทำเอาคนไทยสะดุ้ง!(จบ)..

//www.oknation.net/blog/vincentoldbook3/2009/07/26/entry-3

................................................

เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน..

รัฐบาลอเมริกามีมติของสภาล่างในสภาคองเกรสออกมาเป็นเอกฉันท์ ..

ที่จะให้การสนับสนุนแผนปรองดองสมานฉันท์ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..

โดยเนื้อหาสาระของการสนับสนุนนั้น เบื้องต้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่รัฐบาลอเมริกาอยากเห็นประเทศไทยสงบสุข และ พัฒนาไปต่อในหนทางประชาธิปไตย ซึ่งเป็นฉากหน้าปกติของรัฐบาลอเมริกาที่มักจะแสดงท่าทีเช่นนี้มาโดยตลอดต่อสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศไทย ..

ซึ่งผมถือว่า นี่เป็นด้านสว่างของรัฐบาลอเมริกาที่เราคนไทยทั่วไปมองเห็นได้..จับต้องได้ !!!..

ทว่า ในอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านมืดของรัฐบาลอเมริกา รัฐบาลอเมริกาก็ไม่เคยยอมรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของไทยเลยแม้แต่นิดเดียว เนื่องเพราะนิยามความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ของอเมริกา ก็คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และ เพื่อประชาชน ..

นิยามความหมายของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา เป็นนิยามอมตะ ที่ดัดจริตพูดขึ้นมาโดย อับราฮัม ลินคอร์น และ ที่ผ่านมานั้น มันก็ไม่เคยมีอยู่จริงในสังคมอเมริกา ไม่ว่าจะในอดีต หรือ ในปัจจุบันในสังคมอเมริกานั้นมีแต่เรื่องหลอกลวง ต้มตุ๋นและมอมเมาความเชื่อของประชาชนของตนเอง ..โดยรัฐบาลอเมริกา !!! ..

สังคมอเมริกา เป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมากที่สุด มีปัญหาอาชญากรรม, มีการเหยียดสีผิว และ มีการกีดกั้นในเรื่องของสังคมชนชั้น มีการแตกต่างทางฐานะและสิทธิในการครองชีพ มีชนชั้นที่แบ่งเป็นพลเมืองชั้น ๑,ชั้น ๒ ,ชั้น ๓ ตามลำดับเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และ ฐานะทางการเงิน..

ดังนั้นอเมริกาไม่ใช่ต้นแบบประชาธิปไตยของไทยอย่างแน่นอน พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยภายในบ้านเมืองตัวเองด้วยซ้ำไป ..

ยิ่งพวกเขามากล่าวอ้างว่าพวกเขาก้าวหน้า และ พัฒนาความเป็นเป็นมนุษย์สายพันธุ์เสรีนิยมออกไปมากเพียงใด ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาโรคจิต ปัญหายาเสพติด ก็ผุดขึ้นเป็นเงาตามตัวมากขึ้นเพียงนั้น  ..

เมื่อประเทศไทยไม่เหมาะสมต่อคำว่าระบอบประชาธิปไตยในสไตล์อเมริกันชน ก็ทำให้คนไทยหลายๆคนหลายภาคส่วน โดยเฉพาะนักวิชาการทางด้านการเมืองสายพันธุ์ผู้ดีอังกฤษทั้งหลาย ฟันธงความเหมาะสมของระบอบการปกครองของไทยว่า หากไม่ใช่อเมริกาที่เหมาะสมต่อการลอกเลียนแบบ ก็น่าจะเป็นอังกฤษที่ประเทศไทยควรลอกเลียนแบบการปกครองเขามา ..

ทว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ โดยเฉพาะต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ในอังกฤษ ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยจะไปลอกเลียนแบบการปกครองของเขามาได้เลยแม้แต่น้อย อังกฤษก็เหมือนภาพจำลองของอเมริกานั่นแหละ เหมือนเป็นพี่เป็นน้องทางความคิดของกันและกัน..

ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้คนไทยหลายต่อหลายคน โดยเฉพาะนักวิชาการอิสระมักง่ายทั้งหลาย ทะเล่อทะล่าไปไกลถึงขนาดที่ว่า หากประเทศไทยไม่เหมาะสมต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยไปทางใดทางหนึ่งระหว่างการลอกเลียนแบบอเมริกา หรือ อังกฤษ มาใช้..

พวกเขาเหล่านั้นก็ทึกทึกสูตรสำเร็จเอาง่ายๆว่า หากเป็นเช่นนั้นประเทศไทยก็เหมาะสมต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบของ อเมริกา ผสม อังกฤษ ..

วนเวียนแนวคิดขี้ข้าต่างชาติ แบบไม่ลืมหูลืมตา..

พากันเข้าป่าเข้ารกเข้าพงกันไปโน่นเลย !!!..

............................................... 

ท่าที..

ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา..

ต่อการแทรกแซงกิจการทางด้านการเมืองภายในประเทศไทย..

ยังคงถูกดำเนินการสานต่อเดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีการสนับสนุนเม็ดเงินผ่านมาทางการทำงานของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ ยูเสด (USAID) ..

ซึ่ง USAID ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกา สูงถึง ๓๐ ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ ประมาณ ๙๖๐ ล้านบาท เพื่อให้นำมาใช้จ่ายในกิจกรรมที่รัฐบาลอเมริกาเรียกว่า เพื่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยผ่านนายหน้าบริษัทในประเทศไทยอีกที ..

ทำไม..จึงเพื่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยภายในประเทศไทย ? และ เหตุใด..ประชาธิปไตยของไทยมันผิดพลาดตรงไหน ? รัฐอเมริกาจึงอยากจะเข้ามาแทรกแซงนัก ? ..

โดยเฉพาะเงินสนับสนุนที่ให้มานี้ ก็ไม่ได้ให้ผ่านไปที่รัฐบาลไทย หรือ สถาบันการศึกษาใหญ่ๆในระบบของประเทศไทยโดยตรง  ??? !!..

ทว่า รัฐบาลอเมริกา กลับทิ้งเงินก้อนมหาศาลนี้ ไปที่กลุ่ม NGO แขนงต่างๆที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย หรือ พูดง่ายๆว่าที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดอยู่เต็มประเทศไทย ..

กลุ่มประชาสังคม กลุ่มการเมืองภาคประชาชน กลุ่มสิทธิมนุษยชน เหล่านี้ รัฐบาลอเมริกา และ USAID ระบุมาชัดเจนด้วยว่า ต้องเป็นองค์กร หรือ กลุ่มประชาสังคมที่ไม่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลไทย..

ซึ่งนอกจากจะหมายถึงกลุ่ม NGO ที่ทำงานอยู่ทั่วประเทศไทยแล้ว ยังรวมถึงกลุ่มการเมืองภาคประชาสังคม ที่มีบทบาทสำคัญต่อกรณีการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องที่มีความไม่ชอบมาพากลมากๆ ในท่าทีของรัฐบาลอเมริกาต่อเงินสนับสนุนจำนวนมหาศาลในครั้งนี้..

อ่านรายละเอียดประเด็นข่าวนี้ได้ตามนี้ครับ ..

"ยูเสด"อัดเงินหนุน ปชต.30ล.เหรียญ จ้างบริษัทมะกัน ศึกษาปัญหาทุจริตและองค์กรอิสระแบบไทยๆ

//www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278317371&grpid=00&catid=

อันที่จริง..

การกลับเข้ามาภายในประเทศไทยอีกครั้งของ USAID ..

โดยการกล่าวอ้างเรื่องของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยภายในประเทศไทย..

ไม่ใช่เพิ่งมีกระแสข่าวขึ้นมา ทว่า มันมีกระแสข่าวนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ช่วงประมาณเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ก่อนการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคม  และ ภายหลังการมาเยือนของ นางฮิลลารี่ คลินตัน ในเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๕๒ ..

ดังนั้น เราจะพบว่า แผนการแทรกแซงกิจการการเมืองของไทยโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้น มีมาโดยตลอด เพื่อเข้ามาเปลี่ยนแปลง กำหนดแนวคิดและกำหนดยุทธศาสตร์ในเรื่องทิศทางทางการเมืองการปกครองของไทย..

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่ผ่านมา มักจะไปมองดูคลื่นใต้น้ำทักษิณ และ มองดูท่อน้ำเลี้ยงทักษิณ เราคนไทยหลายๆคนก็มักจะเชื่อเสมอว่า กลุ่มนักวิชาการ กลุ่ม NGO หรือ กลุ่มก้อนประชาสังคมในภาคส่วนต่างๆของประเทศ ที่ออกมาสนับสนุนแนวทางการพัฒนาประเทศของทักษิณนั้นว่า เป็นพวกขี้ข้าทาสเงินทักษิณมาโดยตลอด ..

ต่อจากนี้ไปเราควรจะเพิ่มมุมมองหันมาพิจารณากลุ่มประชาสังคม กลุ่มนักวิชาการอิสระ กลุ่มองค์กรอิสระขี้ข้าทาสเงินอเมริกากันบ้างว่า ..พวกเขาที่เป็นขี้ข้าแนวคิดต่างชาติ ขี้ข้าน้ำเงินต่างชาตินั้น ..

จะมีลูกเล่นใดๆในการนำออกมาใช้เดินหน้า เพื่อเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครองของไทย !!..

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนไทยจะมานิ่งนอนใจไม่ได้ เพราะว่ามันหมายถึงอนาคตของประเทศไทยโดยเฉพาะ หากวันนี้อเมริกาแทรกแซงเปลี่ยนแปลงแนวคิดของประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศไทยได้ อีกไม่ช้าไม่นานประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ก็จะเข้ามาแทรกแซงสู้อเมริกาเหมือนกัน ..

ผ่านการสนับสนุนเม็ดเงินในโครงการต่างๆ การลงทุนต่างๆ ..

หรือ แม้แต่เรื่องของเม็ดเงินลับๆที่จะส่งมาสนับสนุนพรรคการเมืองต่างๆ ..

ที่มีแนวคิดแนวทางเดียวกันกับ ..รัฐบาลจีน !!! ..

............................................

สุดท้ายนี้ ..

ก็อยากจะฝากเตือนคนไทยทุกคนโดยเฉพาะรัฐบาลมาร์ค ..

จะมาปล่อยให้คนต่างชาติมากำหนดทิศทางการปกครองของประเทศไทยของเราไม่ได้เด็ดขาด..

หากพวกเขาเพียงแค่เข้ามาสังเกตการณ์นั่นก็ไม่น่าจะเป็นห่วงอันใด เพราะเราก็คงจะสามารถสกัดกั้นหรือ ตีกรอบขอบเขตการทำงานของพวกเขาได้ ..

ทว่า หากรัฐบาลไทย ปล่อยให้องค์กรข้ามชาติ เข้ามามีบทบาทถึงขนาดที่ว่า อุดหนุนเม็ดเงินให้กับกลุ่ม NGO กลุ่มประชาสังคม กลุ่มองค์อิสระ นอกอำนาจรัฐเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โอกาสที่สังคมไทยจะเกิดความขัดแย้งทางแนวคิดออกไปเรื่อยๆก็มีสูงมากขึ้นต่อไปเรื่อยๆไม่มีวันสิ้นสุด..

การเมืองการปกครองของไทย นิยามระบอบประชาธิปไตยที่เหมาะสมต่อทิศทางไปของประเทศไทยนั้น เราคนไทยทุกคนควรจะเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมผลักดันไป เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โครงสร้างสังคม และ องค์ประกอบต่างๆของสังคมไทย ..

เรามีสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่เราจะต้องประคับประคอง และ ปกป้องรักษาไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย เอกลักษณ์ของความเป็น ราชอาณาจักรไทย ..

หากเราขับเคลื่อนประเทศผ่านไปโดยการทอดทิ้ง เอกลักษณ์ใดเอกลักษณ์หนึ่งใน ๓ สถาบันหลักนี้ไป โอกาสของการเป็น ราชอาณาจักรที่ล่มสลาย กลายเป็นเพียงสาธารณรัฐเล็กๆ ที่มีคนต่างชาติมาร่วมอาศัยอยู่มากมายหลายเผ่าพันธุ์ในอนาคตนั้น ..ก็มีอยู่สูง !!!..

ดังนั้น การแทรกแซงทางด้านแนวคิดของมหาอำนาจต่างชาติ เขาไม่ได้ยกทัพจับปืนมากดหัวให้เราเชื่อและทำตาม แต่เขาจะใช้วิธีแทรกแซงด้วยการสร้างกลุ่มแนวคิดหลายๆแนวคิดให้มามีบทบาท และ อิทธิพลในการสร้างภาวะขัดแย้งขึ้นในสังคมไทย ..

เราจึงได้พบเห็น NGO ที่หากินอยู่กับชาวไร่ชาวนาแต่ไม่เอาด้วยกับเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง มิหนำซ้ำกลับหน้ามืดตามัวไปสนับสนุนการนำทุนเข้าหมู่บ้านของทักษิณ ..

เราจึงได้เห็น คณาจารย์ นักวิชาการ ปัญญาชน ทั้งสายการเมือง และ สายเศรษฐกิจ ทยอยเขียนผลงาน ทั้งงานวิจัย และ บทความ สื่อผ่านแนวคิดอันบิดเบือน แนวคิดอันเป็นทาสมหาอำนาจอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ..

กลุ่มนักสังคมนิยมประชาธิปไตย กลุ่มนักเสรีนิยมประชาธิปไตย กลายมาเป็นกลุ่มก้อนที่ทำงานสนับสนุนกันอย่างขะมักเขม้น เพื่อโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย ..

โดยไม่คิด หรือ คำนึงดูว่า หากประเทศไทยไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์กลางที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจไปแล้ว ..สภาพประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ? ..

พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ได้หรือไม่ ? ในสภาพของบ้านเมืองที่มีแต่ความขัดแย้งแก่งแย่งอำนาจกันของกลุ่มก้อนพลังทางการเมืองต่างๆ หากเรารักษาเอกลักษณ์ของราชอาณาจักรไทย ในเรื่อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ไม่ได้ เราก็อยู่ไม่ได้ มันมีแค่นี้เอง..

เราเปิดบ้าน เปิดสมอง เปิดแนวคิด ให้ต่างชาติเข้ามามีอิทธิพลไม่ได้ เพราะเราจะกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง ชั้นสามในทันที ..ไม่มีใครหวังดีต่อใคร ในเกมผลประโยชน์ ..นี่คือข้อเท็จจริงเดียว ที่คนไทยควรจะจดจำใส่ใจไว้ !!!..

เราคบกับอเมริกา เราก็คบกับเขาแค่เรื่องผลประโยชน์ในทางธุรกิจก็พอแล้ว อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้ามามีบทบาทกำหนดกรอบทิศทางความหมายของคำว่าประชาธิปไตยในรูปแบบการปกครองของไทยได้อย่างเด็ดขาด ..

เรามีหลักธรรมาภิบาล ที่พวกฝรั่งมังค่ามันไม่รู้จัก เรามีเรื่องคุณธรรม ศีลธรรม ที่พวกฝรั่งมันไม่ได้พร่ำสอนลูกหลานของพวกมันมาตั้งแต่เด็ก ทว่า เรามีสิ่งเหล่านี้เป็นจารีต เป็นประเพณีปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน ในการที่จะรักษาไว้ซึ่งดุลยภาพที่ดีของสังคมไทย ..

จริงอยู่ที่ว่า เราไม่สามารถปฏิเสธทุนนิยมได้ เราไม่สามารถปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงได้ ทว่า การเปลี่ยนแปลงก็ใช่จะหมายความว่า ..การทิ้งความเป็นไทยไปจนหมด !!!..

ไม่ใช่ทอดทิ้งแนวคิดหนึ่ง เพื่อไปหาอีกแนวคิดหนึ่ง โดยไม่เหลือเยื่อใยของแนวคิดเก่า ไม่ใช่การเปลี่ยนสังคมใหม่ ด้วยการทำลายซากสังคมเก่าทิ้งไป เราต้องเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนผ่านที่จะนำซึ่งผลประโยชน์ของส่วนรวม..

ซึ่งคำว่า ส่วนรวม ..ก็หมายถึง สังคมไทยทั้งสังคม คนไทยทุกคน ทุกระดับ ทุกชนชั้น !!..

ไม่ใช่ ..ปล่อยให้พวกต่างชาติมหาอำนาจมาไซโค มาทำให้คนไทยมีแนวคิดไปคนละทาง ..

แบบนี้ชาติหน้าบ่ายๆก็ไม่เจอ คำว่า ประชาธิปไตย  !!!..

....................................................

ปล. ชวนอ่านบทความเก่าๆ เพื่อเก็บเกี่ยวพฤติกรรมสันดานของอเมริกาเพิ่มเติม นับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ที่ เอ็นทรี่นี้ครับ ..

สงครามของพวกสุนัขรับใช้ ... ( ๑ )

//www.oknation.net/blog/vincentoldbook/2008/07/01/entry-1

สงครามของพวกสุนัขรับใช้... ( ๒ )

//www.oknation.net/blog/vincentoldbook/2008/07/04/entry-1

.........................................

 วินเซนต์

ริมโขง  หนองคาย

๗  กรกฎาคม  ๒๕๕๓

..........................................