(ต่อจากตอนแรก //www.oknation.net/blog/nn1234/2010/07/29/entry-1 )
ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์ ( Lady Chatterley’s Lover) งานเขียนของ เดวิด เฮอร์เบิร์ต ลอว์เรนซ์ นอกจากจะสะท้อนให้เห็นฉากชีวิตที่แท้จริงของเขาแล้ว ยังสะท้อนถึงความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด โดนเฉพาะความต้องการความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิง
เนื้อเรื่องโดยย่อ ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์ ( Lady Chatterley’s Lover)
คอนสตันซ์ รี้ด (หรือ “คอนนี”)เธอเกิดในตระกูลผู้ดี เซอร์ มัลคัม รี้ด บิดาของเธอเป็นช่างเขียนในราชสำนักและมีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนมารดาของเธอเป็นผู้ดีในตระกูลเฟเบียนที่พยายามผลักดันให้เธอกับพี่สาวใช้ชีวิตอยู่แต่ในสังคมชั้นสูง ส่วนคอนนี ได้แต่งงานกับ “คลิฟฟอร์ด แชตเตอร์เลย์” ซึ่งเป็น บารอนเน็ทคนสุดท้ายของตระกูล แซตเตอร์เลย์ และเป็นตระกูลที่สูงกว่าตระกูลของฝ่ายคอนนี ทั้งสองแต่งงานในช่วงระหว่างที่คลิฟฟอร์ดพักรบเป็นเวลา 1เดือน หลังจากแต่งงานคลิฟฟอร์ดก็ต้องกลับเข้าไปประจำการรบอีกครั้งในแฟลนเดอร์ส หกเดือนต่อมาเขาก็ถูกส่งกลับบ้านที่อังกฤษในลักษณะของคนพิการ ท่อนล่างตั้งแต่สะโพกลงไปหมดความรู้สึกและเคลื่อนไหวไม่ได้ ทำให้เขาไม่สามารถให้ความสุขทางกามารมณ์ได้ ในขณะนั้นคอนนีอายุได้เพียง 23 ปี และคลิฟฟอร์ดอายุ 29 ปี คลิฟฟอร์ดกับคอนนีได้เดินทางกลับไปอยู่ที่ แรกบี้ฮอลล์ อันเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ในหมู่บ้านเหมืองแร่เทเวอร์ซอล ต่อมา คลิฟฟอร์ดได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “เซอร์” ต่อจากบิดา ส่วนคอนนี ก็ได้เป็น “เลดี้” คนทั้งสองได้เริ่มต้นชีวิตการมีคฤหาสน์แห่งตระกูลแชตเตอร์เลย์ที่ต้องดูแลรักษา แต่ก็เต็มไปด้วยความเงียบเหงา
เมื่อคลิฟฟอร์ดไม่สามารถให้ความสุขแก่คอนนีในแบบที่สามีปฏิบัติต่อภรรยาได้ คอนนียังโหยหาความสุขแบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งต้องการ เธอมีความรู้สึกว่าคฤหาสน์ของตระกูลแชตเตอร์เลย์เป็นคฤหาสถ์แห่งความโศกเศร้ามากกว่าจะเป็นคฤหาสน์แห่งความสุขในชีวิตวิวาห์ของเธอ ต่อมาคลิฟฟอร์ดได้จ้างคนสวนใหม่ชื่อเมลเลอร์ เขาเคยเป็นทหารและมีเมียแล้ว แต่ได้แยกกันอยู่ เมลเลอร์เป็นชายที่ร่างกายบึกบึน แม้จะไม่ได้มีหน้าตาหล่อเหลาแต่ก็ถูกใจคอนนีมาก แต่เมลเลอร์ก็เป็นคนที่ชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร เป็นคนที่ดูแข็งกร้าว ไม่เกรงกลัวใคร และอยู่แต่ในสวน ทำงานตามที่เจ้านายสั่ง (แต่ในภาพยนตร์หน้าตาของเมลเลอร์จะหล่อเหลาทุกคน) ในระหว่างนั้น มิสซิสบอสตัน หญิงหม้ายวัยกลางคนได้มาเป็นนางพยาบาลช่วยดูแลคลิฟฟอร์ด ซึ่งพิการนั่งอยู่แต่บนรถเข็นนั้น จึงทำให้คอนนีมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น เธอจึงชอบที่จะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับกระท่อมในป่าของเมลเลอร์อยู่บ่อยๆ ทั้งสองไม่คุ้นเคยกันนัก เพราะอยู่ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้าง จนกระทั่งนานวันเข้า ทั้งสองก็เกิดความรู้สึกดีๆ ให้แก่กันจนกลายเป็นความรักและมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าทั้งสองจะพยายามหักห้ามใจตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถอดทนต่อเสียงเรียกร้องจากหัวใจไม่ได้เช่นกัน จึงได้มีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างลับๆเรื่อยมาโดยที่คลิฟฟอร์ดไม่รู้ ระหว่างที่คอนนีไปพักผ่อนตากอากาศ เธอก็ได้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองว่า “เธอได้ท้องกับเมลเลอร์”
แท้จริงคอนนีก็ยังคงต้องการมีบุตรกับคลิฟฟอร์ด แต่เมื่อเขาไม่สามารถทำตามความต้องการของเธอได้ คอนนีจึงตัดสินใจที่จะเก็บเด็กไว้ และบอกความจริงต่อคลิฟฟอร์ด เพื่อขอหย่าขาดซึ่งทำให้คลิฟฟอร์ดรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ส่วนเมลเลอร์ก็หนีออกจากคฤหาสถ์ไปอยู่บ้านนอก เขาได้ทำงานในฟาร์มแห่งหนึ่งเพื่อเก็บเงินและวางแผนจะขอหย่ากับภรรยาเก่า หลังจากนั้นเขาก็รับคอนนีมาอยู่ด้วย ........................................................................... นวนิยายเรื่องนำเสนอแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเพศไว้มากมาย เช่น การถกเถียงกันแลกเปลี่ยนความคิดของคนในหมู่เพื่อนฝูงของคลิฟฟอร์ดในทัศนคติที่มีต่อเรื่องทางเพศ นอกจากนี้ยังได้นำเสนอเรื่องราวของ คอนนี ในอดีตกับเพื่อนชายในสมัยที่ที่เธอไปเรียนหนังสือที่เมืองเดรสเดน เป็นความสัมพันธ์ทางเพศของคนวัยหนุ่มสาวที่หลงระเริงอยู่กับธรรมชาติและเสียงเพลง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตเธอ นอกจากความสัมพันธ์ที่ผ่านเลยไปแบบวัยรุ่น คงเหลือทิ้งเพียง “ความทรงจำเก่าๆ ”เท่านั้น หรือแกนหลักของเรื่อง ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ทางเพศที่บกพร่องของ คอนนี ซึ่งขาดการเติมเต็มจากคลิฟฟอร์ด แต่ก็ถูกชดเชยโดย เมลเลอร์ หรือความสัมพันธ์ทางเพศที่บกพร่องของคลิฟฟอร์ด เขาแต่งงานยังไม่ทันได้มีความสุขกับคู่รักเท่าใด ก็ต้องเดินทางกลับไปสู่สมรภูมิรบ เมื่อถูกส่งกลับบ้านด้วยสภาพคนพิการ ก็ไม่สามารถปฏิบัติต่อภรรยาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ต่อมาคลิฟฟอร์ดก็ไปมีความสัมพันธ์กับนางพยาบาลประจำตัว ความสัมพันธ์ระหว่างเมลเลอร์กับคอนนี ใช้เวลานานเพราะต่างก็เก็บงำความรู้สึกเอาไว้ เพราะความแตกต่างในเรื่องศักดิ์ศรีและฐานะที่ต่างกัน ต่างฝ่ายต่างมีประสบการณ์ในครอบครัวที่ไม่ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่ จึงมีความหวาดระแวง ยังไม่วางใจต่อกัน แล้วค่อยๆ เปิดประตูใจของแต่ละฝ่าย จนในที่สุดก็กลายเป็นความรักที่ต้องการจะครอบครองต่อกัน
ดี.เอช.ลอว์เรนซ์ ได้สะท้อนแนวคิดของตนเองผ่านตัวละครใน “ชู้รักเลดี้แชตเตอร์เลย์” เผยให้เห็นถึงแก่นแท้ของความเป็นมนุษย์และสะท้อนก้นบึ้งของหัวใจมนุษย์ปุถุชน ผ่านตัวละคร “คอนนี” เธอเป็นหญิงสาวในสังคมชั้นสูงแต่ล้มเหลวในชีวิตแต่งงานเพราะสามีไม่สามารถให้ความสุขทางกายอย่างที่เธอต้องการได้ เธอจึงมีความสัมพันธ์ลับๆกับชายอื่น(เมลลเลอร์) แสดงให้เห็นว่า มนุษย์มีความต้องการทางเพศตามธรรมชาติ แม้ว่ามันจะถูกครอบงำปกปิดอยู่ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีที่เข้มแข็ง อย่างเช่นสังคมชั้นสูงเพียงใดก็ตาม สักวันหนึ่ง มันก็จะถูกเปิดออกมาตามความต้องการของมัน ในขณะที่ขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น เป็น“ตัวกรอบ”ที่ทำให้สังคมเป็นอยู่ด้วยกันอย่างสวยงาม แต่ความรักก็สวยงามกว่า แม้ว่ามันจะเป็นแรงผลักดันให้หัวใจต้องแหวกกรอบนั้นออกมาก็ตาม ....................................................................
|