โรคเริมมีอาการแบบไหน การดูแลรักษาและป้องกันทำได้อย่างไรบ้าง?

โรคเริมมีอาการแบบไหน การดูแลรักษาและป้องกันทำได้อย่างไรบ้าง? 

 

โรคเริม

เริมภาษาอังกฤษชื่อว่า Herpes simplex ซึ่งเริมคือ โรคติดต่อทางผิวหนังและเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง เริมสามารถพบได้กับทุกเพศทุกวัยส่วนใหญ่จะพบในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โรคเริมมีสาเหตุจากการได้รับเชื้อที่มีชื่อว่า Herpe Simplex Virus (HSV) โดยจะมี 2 ชนิดคือ HSV-1 และ HSV-2 เข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดเป็นแผล เริมมีอาการคัน มีตุ่มน้ำใสและแผลพุพองที่บริเวณปาก หรืออวัยวะเพศ บางรายอาจจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น เริมสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้ยารักษาเริม เมื่อหายแล้วเริมสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ จึงต้องดูแลความสะอาดของร่างกายให้ดี


อาการของโรคเริมเป็นอย่างไร

ในปัจจุบันเริมเป็นโรคที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น โดยเริ่มต้นจากการสัมผัสกับผู้ที่มีเชื้อเริมหรืออาจจะติดต่อทางการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งส่งผลทำให้เป็นเริมที่ปาก เป็นเริมที่อวัยวะเพศชาย หรือเริมที่อวัยวะเพศหญิง อาจจะรุนแรงถึงขั้นแผลเริมเป็นหนองได้หากไม่รีบรักษา สามารถเช็คอาการของโรคเริมว่ามีอาการดังต่อไป

  • เริมมีอาการเริ่มต้น คือพบตุ่มน้ำมีลักษณะใส เป็นแผลพุพองเล็กๆ ที่บริเวณริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า เริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งอาจจะลุกลามไปเป็นเริมที่ขา หรือเริมที่แขนตามมาได้

  • เมื่อเป็นเริมจะเกิดการระคายเคือง ทำให้มีอาการเริมต่างๆ เช่น คัน เจ็บหรือแสบที่บริเวณอวัยวะเพศ และทวารหนัก

  • หากเป็นเริม เวลามีเพศสัมพันธ์จะรู้สึกเจ็บแสบที่อวัยวะเพศ 

  • เริมจะรู้สึกเหมือนมีหนามแหลมทิ่มตำ รู้สึกแสบคันหรือแสบร้อน

  • ผู้ป่วยเริมบางรายอาจจะมีไข้ ปวดหัว รู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ หรืออาจจะมีอาการส่งผลทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต 

  • ซึ่งบางครั้งเวลาเป็นเริมจะมีอาการปวดแสบ หรือปัสสาวะขัด 

  • บางรายอาจจะเป็นเริมที่อวัยวะเพศหญิง ซึ่งจะมีอาการอาการตกขาว มีกลิ่นเหม็นคาว 

  • เริมอาจส่งผลให้อวัยวะเพศบวมแดงทั้งในเพศหญิงและเพศชาย


ชนิดของโรคเริมมีอะไรบ้าง?

เป็นเริมที่ปาก

เริมเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน โดยเริมเกิดจากการสัมผัสหรือการมีเพศสัมพันธ์ เริมที่ขึ้นบนบริเวณร่างกายสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
 

HSV-1 (Herpes simplex virus type I)

เริมชนิดนี้ทำให้เกิดแผลเริมที่มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำพองเกิดเป็นโรคเริมที่ปาก ใบหน้า โพรงจมูก หรืออวัยวะร่างกายที่อยู่เหนือสะดือ อาการเริมที่ปากมักเกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส HSV-1 เช่น จูบ หอมแก้ม สัมผัสใกล้ชิดบริเวณผิวหนังหรือปากของผู้ที่เป็นเริม ใช้สิ่งของร่วมกันกับผู้ป่วยเริม การดื่มน้ำหลอดเดียวกันหรือแก้วเดียวกันกับผู้ป่วยเริม การออรัลเซ็กส์ (Oral sex) ให้กับคนที่เป็นโรคเริม ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่กระจายโดยผ่านน้ำลาย ปาก หรือผิวหนังไปยังอวัยวะเพศได้ ทำให้เป็นเกิดตุ่มใส เริมในปาก แผลพุพอง ผื่น บวมแดง และอาการแสบร้อน
 

HSV-2 (Herpes simplex virus type II)

การเกิดเริมชนิดนี้ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัส HSV-2 โดยไม่สวมถุงยางอนามัย มีการสอดอวัยวะเพศชายและเพศหญิง มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก(ชาย-ชาย) การสัมผัสหรือถูไถกันระหว่างอวัยวะเพศหญิงและหญิง การทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) การใช้เซ็กส์ทอย (Sex toy) ร่วมกับผู้ที่เป็นเริม การสัมผัสแบบแนบชิดสนิทเนื้อถึงแม้จะไม่มีการหลั่ง การคลอดบุตรโดยที่แม่ติดเชื้อเริม คุณแม่ที่เป็นเริมให้นมลูกก็ทำให้เด็กสามารถติดเชื้อได้ สัมผัสกับแผลที่เป็นเริมหรือตุ่มน้ำพองโดยตรง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลทำให้เกิดโรคเริม ที่อวัยวะเพศ อาจมีอาการคัน ระคายเคือง มีแผลพุพอง รู้สึกเจ็บหรือปวดที่อวัยวะเพศชายหรือหญิงได้ 


ผลกระทบของโรคเริมมีวิธีป้องกันได้ง่ายๆ

การเกิดเริมมีตุ่มพุพองจะส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันแน่นอน แล้วควรดูแลตัวเองทำอย่างไรดีเพื่อไม่ให้เกิดเริม หัวข้อนี้มีคำตอบ 

  • ลดโอกาสเสี่ยงต่อการจะเกิดโรคเริมโดยการไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด เป็นต้น

  • ละเว้นการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน และควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การทำออรัลเซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การสัมผัสสารคัดหลั่งหรือสัมผัสแผลจากผู้ป่วยเริมโดยตรง เป็นต้น

  • ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย เพื่อลดการเกิดเริม โดยหมั่นทำความสะอาดร่างกาย ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ 

  • การออกกำลังกายเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกัน เพราะหากที่ภูมิคุ้มกันต่ำก็สามารถทำให้เกิดอาการเริม

  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเริม


ควรทำอย่างไรหากพบว่าเราติดเชื้อเริม

รักษาเริม

หากสงสัยว่าตัวเองอาจจะติดเชื้อเริม ไม่ต้องตกใจเพราะเริมสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก มาดูวิธีดูแลตัวเองหลังจากที่เป็นเริม และวิธีรักษาเริมที่ปากและส่วนอื่นๆ ให้หายเร็วที่สุด 

  • หากสงสัยว่าอาจจะเป็นเริม ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจก่อนรับยาแก้เริม หากปล่อยไว้นานอาจจะลุกลามไปเป็นเริมงูสวัด

  • การรักษาเริมเบื้องต้น หากรู้สึกปวดหรือแสบร้อน ให้รีบประคบน้ำแข็งทันที

  • ช่วงที่เป็นเริมไม่ควรเจอแสงแดด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เครียด และควรพักผ่อนให้เพียงพอ

  • ห้ามเอาผ้า พลาสเตอร์ปิดแผล มาปิดปากที่เป็นเริมเด็ดขาด เพราะแผลเริมควรปล่อยให้แห้งและควรอยู่ในที่อากาศที่ถ่ายเทได้ดีจะทำให้แผลเริมหายเร็วขึ้น

  • หากรู้ตัวว่ากำลังเป็นเริมต้องไม่แพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น เช่น การจูบ หอม หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น งดการมีเพศสัมพันธ์ 

  • ดูแลรักษาความสะอาดของใช้และร่างกายของตัวเอง โดยใช้คัตตอนบัต (cotton bud) ทายาทาแก้เริมและหมั่นล้างมือทุกครั้งเมื่อสัมผัสกับตุ่มน้ำ

  • วิธีรักษาเริมให้หายดีคือ ห้ามแกะสะเก็ดแผลเริมเด็ดขาด 

  • สามารถรักษาเริมด้วยตัวเองได้โดยใช้ยาให้ถูกกับประเภทที่เกิดเริม เช่นหากเป็นแผลที่ปากควรใช้ยารักษาเริมที่ปาก หากเกิดเริมที่อวัยวะเพศควรใช้ยาทาเริมที่อวัยวะเพศหญิงหรือชาย

  • หากเกิดเริมขณะที่ตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนเพื่อวางแผนการคลอด โดยแพทย์อาจจะสั่งจ่ายาต้านไวรัส(ยาเริม) 


สรุปเรื่องเริมรู้ก่อนป้องกันก่อน

เริม เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอาการเป็นตุ่มน้ำใส เกิดขึ้นได้หลายจุดในร่างกาย เช่น ริมฝีปาก หน้า แขน ขา หรือแม้แต่อวัยวะเพศ ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งในปัจจุบันเริมยังไม่มีการรักษาให้หายขาดแต่สามารถรักษาให้หายได้ โดยโรคเริมมีวิธีรักษาทั้งแบบการกินยาหรือใช้ยาทาเริม การป้องกันการเกิดเริมควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ลดการสัมผัสทางน้ำลาย และหมั่นดูแลตัวเองออกกำลังกาย รักษาความสะอาดของร่างกาย 





Create Date : 20 พฤษภาคม 2567
Last Update : 20 พฤษภาคม 2567 1:45:41 น.
Counter : 295 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Iamnotamorningperson.BlogGang.com

BlogGang Popular Award#20



สมาชิกหมายเลข 7660567
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด