ตาแห้ง อย่าละเลยปัญหาสายตาเล็ก ๆ ที่เป็นมากกว่าแค่การระคายเคือง

ตาแห้ง คือ ภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ ทำให้ระคายเคืองตาและไม่สบายตา เกิดจากพฤติกรรม สภาพแวดล้อม และปัญหาสุขภาพ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีที่หลากหลาย
ดวงตาของเราเปรียบเสมือนหน้าต่างสู่โลกกว้าง ที่ช่วยซึมซับความงามและเชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากหน้าต่างบานนี้เริ่มขุ่นมัว แห้งผาก และสร้างความรู้สึกไม่สบายอยู่ตลอดเวลา? อาการตาแห้ง คือ ภาวะที่กำลังคุกคามสุขภาพดวงตาของคนยุคใหม่จำนวนมาก ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยที่สร้างความรำคาญ แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าดวงตากำลังต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วน หากละเลยอาจนำไปสู่ปัญหาเรื้อรังที่ส่งผลต่อการมองเห็นและคุณภาพชีวิตอย่างคาดไม่ถึง
บทความนี้ จะพาไปเจาะลึกทุกแง่มุมของอาการตาแห้งอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแห้งที่พบบ่อย สาเหตุตาแห้งที่ซ่อนอยู่ทั้งจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม ไปจนถึงปัญหาสุขภาพภายใน นอกจากนี้ ยังได้รวบรวมวิธีการป้องกันที่ทำได้จริง และแนวทางการรักษาตาแห้งที่ทันสมัย เพื่อให้สามารถจัดการกับโรคตาแห้งได้อย่างตรงจุด พร้อมมอบดวงตาที่ชุ่มชื้น สบายตา และมองเห็นได้อย่างคมชัดอีกครั้ง
ตาแห้ง คืออะไร? มีอาการอย่างไร?
อาการตาแห้ง (Dry Eyes) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อดวงตาไม่สามารถผลิตน้ำตาได้เพียงพอ หรือน้ำตาที่ผลิตออกมามีคุณภาพไม่ดีพอที่จะรักษาความชุ่มชื้นของผิวตา ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตาและไม่สบายตา หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้
อาการตาแห้งมักเกิดขึ้นกับดวงตาทั้งสองข้าง และอาจมีความรุนแรงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- ระคายเคืองตา / ตาแห้ง แสบตา / คันตา รู้สึกเหมือนมีเศษฝุ่น ทราย หรือสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตาตลอดเวลา
- ตาแห้ง ตาแดง ตาขาวมีสีแดงจากการอักเสบ
- ตามัว / ตาพร่ามัว การมองเห็นไม่คมชัด หรือชัดบ้างไม่ชัดบ้าง มักดีขึ้นเมื่อกะพริบตา
- น้ำตาไหลออกมามากผิดปกติ เนื่องจากดวงตารู้สึกระคายเคืองมาก ทำให้ต่อมน้ำตาพยายามผลิตน้ำตาออกมาเพื่อชะล้างสิ่งระคายเคือง แต่คุณภาพน้ำตาที่ออกมาอาจไม่ดีพอที่จะแก้ปัญหาความแห้ง
- ตาแห้งแสบตา แพ้แสง / แพ้ลม รู้สึกไม่สบายตาเมื่อเจอแสงจ้าหรือลมพัด
- รู้สึกฝืด ๆ หรือหนัก ๆ ที่ตา โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอนตอนเช้า
- มีขี้ตาเป็นเมือกเหนียว อาจพบเมือกใส ๆ หรือขี้ตาเหนียวๆ รอบดวงตา
- ลืมตายาก รู้สึกฝืด ๆ เมื่อพยายามลืมตา
- อาการตาล้า รู้สึกเมื่อยล้าที่ดวงตาได้ง่าย
- ปวดกระบอกตา หรือปวดศีรษะ อาจเกิดขึ้นร่วมด้วยในบางราย
สาเหตุของการเกิดตาแห้ง
อาการตาแห้งเป็นภาวะที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนจำนวนมาก ทำให้เกิดอาการแสบตา ตาแห้ง และหากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ปัญหาตาแห้งรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น การทำความเข้าใจสาเหตุตาแห้งจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถป้องกันและจัดการกับอาการตาแห้งบ่อยได้อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว ตาแห้งเกิดจาก
- อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging) โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงวัยกลางคนขึ้นไป การทำงานของต่อมน้ำตาจะเสื่อมลงตามธรรมชาติ ทำให้การผลิตน้ำตาลดลง
- การใช้สายตาเป็นเวลานาน (Prolonged Visual Tasks) เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต การอ่านหนังสือ หรือการดูโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการกะพริบตาถี่น้อยลงกว่าปกติมาก ซึ่งอาจจะทำให้ตาแห้งมากได้
- สภาพแวดล้อม (Environmental Factors) อย่างเช่นแสงแดดจ้า รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และความร้อนจากแสงแดดสามารถส่งผลกระทบต่อพื้นผิวของดวงตา และกระตุ้นให้เกิดอาการตาแห้งแสบตา แพ้แสงได้
- การใส่คอนแทคเลนส์ (Contact Lens Use) เป็นเวลานาน หรือการเลือกชนิดคอนแทคเลนส์ที่ไม่เหมาะสม สามารถขัดขวางการไหลเวียนของออกซิเจนสู่กระจกตา และดูดซับความชุ่มชื้นจากฟิล์มน้ำตา ทำให้ตาแห้ง
- ยาบางชนิด (Certain Medications) มีผลข้างเคียงที่ทำให้เป็นโรคตาแห้งได้ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำตา หรือลดการผลิตน้ำตา เช่น ยาแก้แพ้ (Antihistamines), ยาแก้คัดจมูก (Decongestants) เป็นต้น
- การผ่าตัดตา (Ocular Surgery) เช่น การผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ (LASIK) หรือการผ่าตัดต้อกระจก อาจไปกระทบต่อเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมน้ำตา ทำให้เกิดอาการตาแห้งชั่วคราว หรือในบางรายอาจเป็นแบบถาวรได้
- การอักเสบของต่อมไขมันที่เปลือกตา (Meibomian Gland Dysfunction - MGD) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของตาแห้งชนิดน้ำตาระเหยเร็ว
- การขาดสารอาหารบางชนิด (Nutritional Deficiencies) อย่างวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพของเยื่อบุผิวและต่อมน้ำตา อาจส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งได้
ตาแห้งจะสามารถป้องกันได้อย่างไร?

อาการตาแห้ง ไม่เพียงสร้างความไม่สบายตา แต่ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวันและการทำงานอีกด้วย โดยอาการตาแห้งสามารถป้องกันหรือลดความรุนแรงลงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลดวงตาอย่างถูกวิธี การป้องกันจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดเพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ชุ่มชื้นและแข็งแรง
- พักสายตาเป็นระยะ หากต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ควรใช้ "กฎ 20-20-20" คือ ทุก ๆ 20 นาที ให้พักสายตา 20 วินาที โดยการมองไปยังวัตถุที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต (ประมาณ 6 เมตร) วิธีนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อตาได้ผ่อนคลายและกระตุ้นการกะพริบตา
- ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ (Humidifier) หากอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา หรือในสภาพอากาศที่แห้ง ควรใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้อง เพื่อเพิ่มความชื้นในอากาศและลดการระเหยของน้ำตา
- หลีกเลี่ยงลมโดยตรง ไม่ควรให้ลมจากพัดลม เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องเป่าผมพัดเข้าสู่ดวงตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการนั่งใกล้ช่องลมระบายอากาศ
- ทำความสะอาดเปลือกตาอย่างสม่ำเสมอ หากมีภาวะเปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) หรือต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ (Meibomian Gland Dysfunction - MGD) ควรทำความสะอาดเปลือกตาด้วยวิธีประคบอุ่นและใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเปลือกตาโดยเฉพาะตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ การทำความสะอาดจะช่วยเปิดต่อมไขมันที่อุดตันและส่งเสริมการผลิตไขมันที่ดี
- อาการตาแห้ง น้ำตาเทียม (Artificial Tears) เป็นอีกตัวช่วยที่น่าสนใจ โดยสามารถใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาได้ ควรเลือกน้ำตาเทียมชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย (Preservative-free) หากต้องการใช้บ่อย ๆ หรือเป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองจากสารกันเสีย
- ไม่ใส่คอนแทคเลนส์เกินระยะเวลาที่กำหนด ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ค้างคืน หรือใส่เกินอายุการใช้งานที่ระบุไว้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะการรักษาสมดุลน้ำในร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้ร่างกายผลิตน้ำตาได้อย่างเพียงพอ
- รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งพบมากในปลาทะเลน้ำลึก (เช่น แซลมอน ทูน่า แมคเคอเรล) เมล็ดแฟลกซ์ หรือน้ำมันปลา มีส่วนช่วยในการทำงานของต่อมไขมันที่เปลือกตา และอาจช่วยลดการอักเสบได้
วิธีการรักษาตาแห้ง
นอกจากการป้องกันแล้ว อาการตาแห้ง รักษาอย่างไรให้ถูกต้องและเหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ภาวะอักเสบเรื้อรัง หรือแม้กระทั่งความเสียหายต่อกระจกตาได้ โชคดีที่ในปัจจุบันมีแนวทางการรักษาตาแห้งที่หลากหลาย ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของอาการตาแห้ง โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่หลัก ๆ ได้ดังนี้
- การใช้น้ำตาเทียม (Artificial Tears) เป็นวิธีรักษาและบรรเทาอาการตาแห้งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด น้ำตาเทียมจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและหล่อลื่นผิวดวงตา
- ยาหยอดตาชนิดอื่น ๆ (Other Eye Drops) เช่น ยาหยอดตาลดการอักเสบ, ยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของซีรั่ม (Autologous Serum Eye Drops)
- การอุดท่อน้ำตา (Punctal Occlusion) เป็นการใส่จุกซิลิโคนขนาดเล็ก หรือจุกคอลลาเจนที่ละลายได้ เข้าไปอุดท่อน้ำตาที่มุมหัวตา ซึ่งเป็นช่องทางที่น้ำตาระบายออกไป จุกอุดจะช่วยให้น้ำตา (และน้ำตาเทียม) คงอยู่ในดวงตาได้นานขึ้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
ตาแห้ง โรคของคนยุคใหม่ที่ต้องรีบจัดการ
อาการตาแห้ง คือ ภาวะที่ดวงตาผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือไม่สมบูรณ์ ทำให้ผิวตาขาดความชุ่มชื้น ก่อให้เกิดอาการไม่สบาย เช่น ตาแห้ง แสบตา ระคายเคืองตา ตาแดง ตามัว หรือน้ำตาไหลผิดปกติ สาเหตุหลักมาจากการผลิตน้ำตาที่ลดลงตามวัย การใช้สายตากับหน้าจออิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานาน สภาพแวดล้อมที่มีอากาศแห้ง ลมแรง หรือมลภาวะ การใส่คอนแทคเลนส์ ยาบางชนิด หรือโรคประจำตัว
การป้องกันทำได้โดยพักสายตาบ่อย ๆ กะพริบตาให้มากขึ้น ปรับสภาพแวดล้อมให้ชุ่มชื้น หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น และดูแลสุขอนามัยของเปลือกตา ส่วนวิธีแก้ตาแห้งมีตั้งแต่การใช้น้ำตาเทียม ยาหยอดตาลดการอักเสบ การอุดท่อน้ำตา ไปจนถึงการผ่าตัดในบางกรณี ทั้งนี้การปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุตาแห้งและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด