สอนให้กล้า เก่ง และแกร่ง #สอนให้กล้า เก่ง และแกร่ง #เลี้ยงลูกเช่นไรได้เช่นนั้น เด็กประดุจผ้าขาว ที่แต่งแต้มสีใด ได้สีเช่นนั้นนั่นเอง คงจะเคยได้ยินนิทานเรื่องนกแขกเต้าฝาแฝดสองตัวพลัดหลงกัน ตัวหนึ่งไปอยู่กับฤๅษีชีไพรที่คอยฟูมฟักและอบรมสั่งสอนให้มีคุณธรรม อีกตัวไปอยู่กับโจรป่าห้าร้อยที่เห็นถึงการปล้นฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ เมื่อนกแขกเต้าฝาแฝดสองตัวเติบโตขึ้น ได้มีโอกาสมาเจอกันและเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้แก่กันและกันฟัง จึงได้รู้ว่าถึงจะเป็นแฝดแท้ สายเลือดและกรรมพันธุ์เดียวกัน แต่ได้รับการอบรมบ่มเพาะต่างกัน อุปนิสัยย่อมแตกต่างกันตามไปด้วย คนเราจะเก่งอย่างเดียวคงไม่พอ ยิ่งในสังคมที่มีการแก่งแย่งชิงดีกันสูง ทำตัวเป็นพ่อพระบางครั้งเหมือนคนอ่อนปวกเปียก ปล่อยให้เขาย่ำยีทั้งกายและใจอยู่ร่ำไป ครั้นจะต่อสู้ให้รู้ดำรู้แดงจะเหมือนคนบ้านป่าเมืองเถื่อน เมื่อเป็นเด็กจำได้ว่า เป็นคนอ่อนแอมาก ๆ เมื่อโดนเพื่อนแกล้งจะเอาแต่ร้องไห้ ไม่กล้าสู้คน ผิดกับพี่ชายชกได้เป็นชก และความอ่อนแอนี้เองจะคอยถอยหนีไม่กล้าเผชิญหน้า ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในบางครั้ง เมื่อได้เรียนจิตวิทยา รู้ว่าภาวะซึมเศร้าหรือถอยหนีไม่ดี ต้องรู้วิธีเผชิญ หน้า หลายครั้งที่ลองทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองควรจะทำ แล้วได้ผลดีเกินคาด กลายเป็นผู้กำชัยชนะในยกสุดท้ายได้ หลานของเราเมื่อหกล้ม จะไม่ร้องไห้ พร้อมพูดเองว่า ไม่เจ็บ ๆ สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้จะช่วยให้แกร่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเมื่อโตขึ้น ความพอดีอยู่ตรงไหน ระหว่างการเป็นคนดี คนเก่ง ที่ไม่สู้คนยอมแพ้อยู่ร่ำไป กับแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู ช่วงของการอบรมบ่มเพาะ ถ้าได้เรียนวิชาสังคมวิทยาหรือจิตวิทยาคงจะได้ยินคำภาษาอังกฤษที่ว่า socialization หรือสังคมประกิตจนคุ้นหู และคงจะไม่ซาบซึ้งตรึงใจถ้าไม่ถึงวัยที่ได้เลี้ยงดูลูกหลานด้วยตัวเอง เมื่อเห็นเด็กทำขัดตาขัดใจ จึงเข้าใจว่า นี่คือหน้าที่ที่ต้องบอกกล่าวและให้ทำให้เป็นในสิ่งที่ต้องการ ส่วนพี่ไทยคงคุ้นกับคำว่า มันห่าม ต้องบ่มเพาะให้สุก ยิ่งเมื่อเข้าวัยรุ่น มันจะยิ่งห่ามมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ารอให้โตรู้เรื่องแล้วค่อยอบรมสั่งสอนคงไม่ทันการณ์ จึงมีหนังสือดังเล่มหนึ่ง ที่ชื่อ รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว สะกิดให้คิดว่า จะสอนให้รู้คงต้องทำแต่วัยเยาว์ เด็กเล็กเหมือนผลไม้ที่ยังดิบไม่สุกหรือห่าม ๆ มันคงไม่หวานอร่อย ถ้าปล่อยให้สุกคาต้นจะหวานหอมยิ่งนัก แต่ถ้ารีบเด็ดคงแทบกินไม่ได้ เช่นเดียวกับเด็กที่ต้องคอยอบรมบ่มเพาะให้รู้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร ซึ่งต่างคนต่างวิธี ตอนเป็นเด็กจำได้ว่า เคยกระทืบเท้าขึ้นบันไดเสียงดังมาก หลังจากที่โดนแม่ดุ บันได้ไม้แบบห้องแถวคงแทบพังลงมาทีเดียวเชียว คนเป็นแม่ควรทำเช่นไร ปล่อยไปพร้อมอมยิ้มอย่างเอ็นดู คิดในใจว่า ดูดู๋มันทำ ไว้โต กว่านี้ค่อยบอกกล่าว ไม่ควรทำ หรือเฆี่ยนตีให้หนำใจที่บังอาจก้าวร้าว เล็กหรือไม่เล็กไม่รู้ล่ะ กล้านักนะ อวดดีเช่นนี้ต้องเฆี่ยนตีสั่งสอนมันซะหน่อย แม่เรียกเราให้เดินลงมา พร้อมพูดอบรม เราแอบค่อนในใจว่า โดนเทศนากัณฑ์ใหญ่ แล้วแม่สั่งให้เราเดินขึ้นลงบันไดหลายรอบด้วยเสียงเบากริบ คงต้องย่องแทนการขึ้นลงธรรมดา หลังจากกระทืบเท้าด้วยความแค้น แต่นั้นมาจะรู้ว่า ห้ามกระแทกแดกดันทำพยศใส่แม่เด็ดขาด ไม่อบรมสั่งสอนในวัยเด็ก ให้รู้ผิดชอบชั่วดี คงสายไปแล้วเมื่อเติบใหญ่ จะไม่รู้สิ่งที่ควรและไม่ควร โรงเรียนที่ไม่ตีเด็กด้วยไม้เรียว แต่ก่อนมักใช้วิธีลงโทษ ด้วยไม้เรียว บางบ้านอาจใช้ไม้ก้านมะยม สายเข็มขัด หรือด้ามไม้กวาด โหดสุด ๆ เราได้ดี ไม่เคยผ่านไม้เรียวหรือการลงโทษทางกาย ไม่รู้ว่าเพราะแม่ชีฝรั่งเรียนรู้วิธีการเลี้ยงเด็กให้ดีตามหลักจิตวิทยาหรือไม่ ไม่ลงโทษ แต่งดให้รางวัลเพราะทำผิด แค่รู้แล้วหลาบจำ ไม่จำเป็นต้องเฆี่ยนตีดุจแส้ฟาดวัวควาย เพราะเด็กจะด้านไม้ และใช้ความแข็งแรงกว่าทำร้ายเด็กและสตรีที่อ่อนแอ วนเวียนในสังคม มิรู้จบสิ้น ก่อเกิดอาชญากรฆ่าข่มขืนเด็กให้เป็นข่าวหน้าหนึ่งต่อไป การเติบโตในบ้านที่แม่รู้จักวิธีอบรมบ่มเพาะ ครูที่เข้าใจในธรรมชาติวัยซน และเลือกใช้คำพูดให้รู้ผิดชอบชั่วดี ทำให้เราเป็นเรา ที่กล้า เก่ง และแกร่ง ได้ในระดับหนึ่ง อาจไม่ได้ยืนอยู่แถวหน้าในสังคมชั้นสูง แต่มีโอกาสสั่งสอนลูกศิษย์ ให้เข้าใจคำว่า กล้า เก่ง และแกร่ง แต่น่ารัก แถมท้ายตามไปด้วย #พรรณีเกษกมล |
บทความทั้งหมด
|