มีข้อผิดพลาดบ้างหรอกน่า มีข้อผิดพลาดบ้างหรอกน่า สมัยนั้น มีการแบ่งช่วงชั้นเรียนต่างจากตอนนี้ ด้วยชื่อย่อต่างกัน แม้ชื่อเต็มจะเหมือนกัน รุ่นเราเรียกตัวย่อว่า ม.ศ. 1 ถึง ม.ศ. 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ ม.ศ. 4 ถึง ม.ศ. 5 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รุ่นใหม่ประหยัดตัวย่อ เป็น ม. 1 ถึง ม.6 ช่วงชั้นมัธยมศึกษามี 6 ชั้น ม. 1 ถึง ม. 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ม. 4 ถึง ม. 6 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รุ่นใหม่อ่าน อาจบอกว่า ทำไมเรียนไม่เท่ากัน อ๊ะ ๆ ไม่ใช่ เพราะเราเรียนประถมศึกษา 7 ชั้น ป.1 ถึง ป.7 รุ่นใหม่เรียนแค่ 6 รวม ๆ แล้วเท่ากันแหละน่า ทำไมต้องทำให้ยุ่งยาก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วุ่นวายเปล่า ๆ นิ มันเป็นเรื่องการแก้ปัญหาง่าย ๆ ของผู้ใหญ่ในกระทรวง แต่ทำให้คนได้รู้ว่า จบมาจากรุ่นไหน เช่น ม. 8 รุ่นสุดท้าย ม.ศ.1 รุ่นแรก ม.1รุ่นแรก อะไรทำนองนี้ เรื่องที่ดูยุ่งยาก กลับเป็นการบอกกล่าวได้ง่ายขึ้นในกาลต่อมา เป็นเด็ก น้ำตาของครูกลั่นออกมา เพราะนักเรียนเกเร ไม่ตั้งใจเรียน หรือพูดจาประสาเด็ก ไม่เคารพครู เป็นครูก็น้อยใจเป็นนะ แล้วครูจะทำเช่นไร ประท้วงไม่เข้าสอน อบรมบอกกล่าวว่า นี่พวกเธอทำไม่ถูกต้องนะ วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม 2509 ได้บันทึกไว้ว่า เมื่อถึงคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซิสเตอร์ฟรันซิสไม่ยอมเข้าห้องสอน โดยเขียนที่กระดานดำ (ทำไมเรียกกระดานดำนะ ทั้งที่จริงเป็นกระดานไม้ทาสีเขียว ใช้ชอล์คสีขาวเขียน) ข้อความบนกระดานดำ “นักเรียน ม.ศ. 1ไปดูถูกครูสุจิตรา ให้เวลาคิด” เด็กที่ไหนจะคิดได้ว่า คำไหนคือคำดูถูก ไม่ได้จดไว้ซะด้วย และควรแก้ไขอย่างไร นี่คือปัญหาของบันทึกวัยเด็กที่ไม่ได้จดรายละเอียด แล้วมันผ่านมานานเกิน 2568 กับ 2509 กี่ปีกัน แค่ลบเลข จิตใจไหวหวั่นซะแล้ว เราแก่มากแล้วจริง ๆ ชั่วโมงขับร้อง ครูสุคันธาเข้ามา พูดว่า คนไม่เกี่ยวออกไป แต่เราและเพื่อน 11 คน ต้องอยู่ นั่นคือเราเป็นจำเลย จดไว้ว่า ต้อยกับวีณาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่า วีณาอยู่ในฐานะหัวหน้าห้องหรือเปล่า และครูร้องไห้จนปากสั่น พวกเราแย่ขนาดนั้นเชียวรึ ทำให้สงสารครู นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการอบรมว่า สิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ การใช้วาจาไม่เคารพครู หรือมีกิริยามารยาทไม่งาม เงินหาย เมื่อเหรัญญิกห้องเก็บเงินไม่ดี แล้วเงินห้องหายจะทำเช่นไร เรื่องเช่นนี้คงเป็นปกติ เพราะเมื่อเราเป็นครู เหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว จนครู ๆ ต้องมีวิธีแก้ไขการเก็บเงินห้อง วันที่ 31 ตุลาคม 2509 หลังพักกลางวัน เรียนวิชาภูมิศาสตร์ เสียงทิพย์ได้บอกครูสุคันธาว่า เงินที่เก็บค่าหนังสือชัยพฤกษ์หายไป 210 บาท ตายละวา อุทานในใจ ตกใจมาก เงินเยอะขนาดนี้ คิดว่าแค่ 100 ก็มากเกินไปแล้ว จะทำเช่นไรดีล่ะ ครูสุคันธาแก้ปัญหาด้วยการค้นตัวและกระเป๋าทุกคน คิดในใจว่า ขโมยที่ไหนจะเก็บไว้ให้มองเห็นนะ แล้วเป็นไปตามคาด หาไม่มีวันเจอ ทุกคนเลยกลายเป็นแพะ โดนเรียกเก็บเงิน ทั้งที่ไม่ใช่ขโมย ขโมยตัวจริงสบายไป แต่นิสัยไม่ดีและบาปในใจคงติดตัวไปตลอดชีวิต ต่างคนต่างตั้งข้อสงสัยกันไปว่า ใครคือขโมย ไม่รู้และคงไม่มีวันรู้ การกล่าวหาว่าใครเป็นขโมย ไม่ดี บางคนบอกเป็นการสะพายบาป ไม่เข้าใจเหมือนกัน เรื่องขโมยเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ เกิดขึ้นได้และยากนักที่จะจับได้ ซิสเตอร์ฟรันซิสใช้ไม่ตายขู่เด็กว่า ขโมยไม่สารภาพ ทุกคนจะไม่ได้ออกจากห้อง อดกลับบ้าน เป็นเด็กต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครสารภาพ ผู้ร้ายใจแข็ง เมื่อซ่อนอย่างดี ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น ไม่มีทางจับได้หรอก เพราะคิดเช่นนี้จึงย่ามใจ บ่มเพาะความเป็นขโมยชิ้นใหญ่ มักง่ายอยากได้ของคนอื่น แล้วนิทานเรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน สะกิดให้คิด สุดท้ายเลยบอกว่า ให้ช่วยกันเรี่ยไร อย่างต่ำคนละ 5 บาท แถมท้ายเรื่องจับขโมย เมื่อเรามาเป็นครูที่โรงเรียนชลบุรี “สุขบท” เงินของเราในกระเป๋าสตางค์ ในลิ้นชักโต๊ะครูหายไป ตอนบ่ายเรียกเด็กเข้ามาทีละคน แก๊งนั่งเล่นหน้าห้องพักครูเป็นประจำ ไม่มีใครมีพิรุธเลย แล้วจะจับได้อย่างไร จนอ่อนใจ คนสุดท้ายแล้ว เลยบ่นออกมาว่า เงินเป็นร้อยหายไป ครูจะกินอะไร เด็กเผลอบอก ไม่ถึงร้อยหรอก แค่แปดสิบเอง เลยจับขโมยได้ อบรมอีกหน่อย ให้รู้ว่า ไม่ใช่นิสัยที่ดี อย่าทำอีก |
บทความทั้งหมด
|