ประวัติวัดใหญ่อินทาราม #ประวัติวัดใหญ่อินทาราม วัดใหญ่อินทาราม พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดเก่าแก่โบราณคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดชลบุรี เขาว่ากันว่า สร้างมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สังเกตุได้จากศิลปกรรมการสร้างโบสถ์ พระวิหาร ที่มีฐานแอ่นโค้งเหมือนเรือสำเภา โดยสมเด็จพระนครินทราธิราช เสด็จประพาสเมืองชลบุรี ทางขบวนพยุหยาตราทางชลมารค พอพระทัยทิวทัศน์ใกล้ชายทะเล จึงสร้างวัดเพื่อปฏิบัติธรรม และพระราชทานนามสอดคล้องกับพระนามของพระองค์ว่า วัดอินทาราม ชาวบ้านนิยมเรียก วัดใหญ่อินทาราม สถานที่ตั้ง 858 ถนนเจตน์จำนงค์ ตำบลบางปลาสร้อย อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี บ้านของเราเลขที่ 825 และตึกแถวใหม่เลขที่ 825/5 สิ่งที่มีค่าในวัด มีหลายอย่าง อาทิเช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ พระประธาน และหมู่พระพุทธรูปรวม 24 องค์ สระน้ำข้างพระอุโบสถ ทุกสิ่งมีการบูรณะในหลายสมัย จึงปรากฏว่าเป็นศิลปะสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 และ 4 หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พระยาวชิรปราการได้มาตั้งฐานที่มั่นเพื่อกอบกู้เอกราช ภายหลังได้เป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครองกรุงธนบุรี แต่เดิมนั้นถิ่นนี้เป็นเมืองบางปลาสร้อย เมื่อพระยาวชิรปราการมาถึงที่นี่ พระยาจันทบุรีไม่ได้ใส่ใจเข้าร่วม ขุนรามหมื่นซ่องเมืองระยอง ได้ปล้นค่ายแล้วหนีไป ขณะนั้น นายทองอยู่ นกเล็ก ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ เป็นมิจฉาชีพ โจรสลัดปล้นเรือสำเภา เมื่อพระยาวชิรปราการมาตั้งค่ายพักไพร่พลอยู่บริเวณหน้าวัดใหญ่อินทาราม ครั้งเมื่อยังมีต้นหว้าใหญ่อยู่ จนถึงสะพานป้อมค่าย นายทองอยู่ นกเล็กยอมสวามิภักดิ์ จึงได้เป็นพระยาอนุราชบุรีศรีมหาสมุทร ต้นหว้านี้มีความหมายมานับแต่นั้น เพราะมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ชาวบ้านกราบไหว้บูชา จนมาวันหนึ่ง ทางการจำต้องตัดต้นหว้าที่อยู่กลางถนน เป็นเรื่องเอิกเกริกมาก มีชาวบ้านมาประท้วง เมื่อไม่สำเร็จมามุงดูการตัดต้นหว้าใหญ่ พร้อมเสียดายศาลเล็ก ๆ นี้ นี่เองทำให้เกิดอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแทน ตรงทางเข้าวัด โดยเจ้าคุณพระครูไพโรจน์ภัทรธาดา เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ส่วนสระน้ำนี้ เคยมีเด็กมาแอบเล่นน้ำกันตามลำพัง แล้วพลาดท่าถึงแก่ชีวิต ทำให้วัดต้องปิดประตูกั้น ในวันลอยกระทงจึงจะเปิดให้ชาวบ้านมาลอยกระทง ทางวัดจะจำหน่ายกระทงที่ทำด้วยกาละมัง มีดอกบัวสวยงามตกแต่งธูปเทียน มีการวนเวียนเก็บขึ้นมาจำหน่ายใหม่ ทำให้วัดมีรายได้ เมื่อจำความ ได้เห็นวัดใหญ่จนชินตา ไม่รู้หรอกว่า มีประวัติความเป็นมาเช่นไร ตอนเด็กมาก ๆ จะมีศาลาเก้าห้องเป็นไม้ เสามีขนาดใหญ่ เด็กอย่างพวกเราโอบไม่รอบ จึงเป็นที่เล่นซ่อนหา ไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร แต่คงมีราคาสูงมาก ถ้ายังคงเก็บรักษาถึงตอนนี้ เสียดายที่ว่า พอโตขึ้นมาหน่อยเขารื้อศาลาไม้ที่วิ่งเล่นของเด็ก ๆ ไปเสียแล้ว ทำให้อดเล่นซ่อนหาบนศาลาไม้หลังเดิม วัดรื้อศาลาไม้ทิ้ง แล้วสร้างใหม่เป็นปูน โดยบอกว่าเลียนแบบศาลาเก้าห้องเดิม ดูอย่างไรไม่มีเค้ารางที่เคยเห็นตอนเป็นเด็กเลย ศาลาเดิมเป็นไม้ทั้งหมด สีน้ำตาลออกเข้มดำ ๆ ทรงเตี้ย ๆ ยาวพอควร เสียดายสมัยนั้นไม่มีกล้องบันทึกภาพ ใครจะไปคิดว่า แค่ศาลาไม้เก่า ๆ ควรถ่ายรูปเก็บไว้ คงหายากมากศาลาไม้แท้ ๆ สมัยอยุธยา ที่ตั้งเดิม น่าจะเป็นแนวรั้วกำแพงวัดตอนนี้ ที่มีรูปปั้นคนขี่ควายมาแทนที่ เพื่อให้ระลึกว่า ที่นี่เคยมีประเพณีวิ่งควาย ชาวบ้านขี่ควาย และเกวียนมาทำบุญวันออกพรรษากัน ด้านซ้ายทำอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทำให้ภาพเดิม ๆ ไม่มีเหลือ บนศาลามีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ น่าจะเป็นหลวงพ่อเฉยองค์เดียวกับที่อยู่บนศาลาใหม่ ศาลานี้ให้คนมาทำบุญวันพระ ทางวัดคงคิดว่ามันเล็กและคับแคบไป ที่จริงสร้างใหม่ก็สร้างไป ศาลาเดิมเก็บไว้ไม่น่าจะเป็นไร สมัยนั้น ความคิดในการอนุรักษ์ของเก่าไม่มี อะไรที่เก่าหน่อย รื้อทิ้งแล้วสร้างใหม่ ที่ไม่มีคุณค่าของเก่าให้ชื่นชม ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ คงมีคนคัดค้าน ให้บำรุงรักษาศาลาไม้หลังเดิม เราคนหนึ่งล่ะที่จะช่วยยกมือคัดค้าน สมัยที่สมเด็จพระเจ้าตากสินในขณะที่ดำรงตำแหน่งพระยาวชิรปราการ มาตั้งฐานที่มั่นที่นี่ เชื่อว่าศาลาเก้าห้องนี้คงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย สิ่งที่เคยมีอยู่แล้วขาดหายไป แสดงว่าโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าควรคงอยู่ ทั้งที่จริงมีค่าควรแก่การอนุรักษ์
|
บทความทั้งหมด
|
ในอดีต บ้านเมืองตรงนั้นนั้นเป็นอย่างไร
นึกถึงหน้าบันอุโบสถวัดนางนอง เคยไปดูตอนเค้าบูรณะ น้ำตาจะไหล
คืออยากให้แค่ทำความสะอาดก็พอแล้ว
ไม่ใช่แกะกระเบื้องลงมาแปะใหม่ ยังไงมันก็ไม่สวยเหมือนเดิม