ทำไมนายกเทศมนตรีเมืองไหนก็ได้ในประเทศไทย ไม่คิดแบบนายคนนี้บ้าง (เพนาโลซ่า ภาคข้อคิด) บางคำพูดของเพนาโลซ่า ชายผู้เปลี่ยนโฉมหน้าเมืองโบโกต้า พื้นที่สาธารณะ(รวมถึงถนน)เป็นพื้นที่สำหรับการสันทนาการ ประกอบการค้า เล่นสนุก และแสดงความรักระหว่างกัน เป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถตีราคาออกมาเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจหรือคำนวณเป็นตัวเลขได้ เพราะมันคือจิตวิญญาณร่วมกันของเมือง เป็นทรัพย์สมบัติสำหรับทุกคนในเมือง ระบบขนส่งในพื้นที่เมืองนั้น ไม่ใช่เรื่องของความเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ทางด้านเทคนิค ไม่ใช่เรื่องของระบบกลไกหรือวิศวกรรม แต่สิ่งที่สำคัญก็คือในกระบวนการตัดสินใจนั้น ต้องคำนึงถึงว่าใครควรจะเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากโครงการขนส่งนั้นๆ(ซื่งแน่นอนก็คือประชากรส่วนใหญ่ในเมืองที่อาจจะไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตนเองเลย) ในประเทศของผมนั้น(หมายถึงโคลัมเบียนะครับ ไม่ใช่ประเทศไรก็ไม่รู้ที่ทะเลาะกันเองอยู่ทุกวันนี้) เราเพิ่งจะได้เรียนรู้ว่า ทางเท้านั้นมีความสำคัญกับการเชื่อมต่อกับสวนสาธารณะ ไม่ใช่พื้นที่แค่สำหรับเดินอยู่ข้างถนน พื้นที่สาธารณะสำหรับคนเดินเท้านั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมาวัดเป็นตัวเงินหรืองบประมาณ (แบบว่าควรสร้างไม่ควรสร้าง สร้างแล้วจะมีคนใช้หรือเปล่า คุ้มกับงบประมาณที่เสียไปมั๊ย อย่างนักการเมืองน้ำเน่าบางคนชอบกล่าวอ้างเมื่อพูดถึงการพัฒนาทางเท้าในประเทศไทย) เช่นเดียวกับความรู้สึกในการดำรงชีวิตที่คุณไม่สามารถวัดเป็นมูลค่าได้ มิตรภาพ ความงาม ความรัก ความศรัทธา มีมูลค่าเท่าไร? สวนสาธารณะ และพื้นที่สาธารณะอื่นๆสำหรับคนเดินเท้า เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของเมืองที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ ในโลกของการสำนึกในสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน คุณภาพชีวิตของประชากร ในช่วงสองสามปีข้างหน้าต่อไปนี้ เมืองใหญ่ๆในกลุ่มประเทศโลกที่สาม(ประเทศยากจน บ้านเราก็อยู่ในกลุ่มนี้ครับอย่าเพ่อลำพองว่าเรากำลังพัฒนาไป)จะต้องคิดให้ต่างออกไป เมืองทุกเมืองต้องมีพื้นที่สำหรับเด็กๆและเยาวชนมากกว่ารถยนต์ กระดูกสันหลังของเมืองคือถนนสำหรับคนเดินเท้า ทางเท้าและสวนสาธารณะ โดยการสนับสนุนด้วยระบบขนส่งมวลชนที่เหมาะสมกับพื้นที่เมือง สำหรับประชาชนที่เป็นผู้มีอันจะกินนั้น มีความสะดวกมากมายที่จะเดินทางไปพักผ่อนในบ้านริมชายหาด รีสอร์ทริมทะเลสาบ หรือบ้านพักบนภูเขา ในช่วงวันหยุดพักผ่อน หรือเดินตีกอล์ฟในสนามอันหรูหราในพื้นที่เมือง สวนสาธารณะในเมืองเป็นพื้นที่เดียวที่คนหลากหลายฐานะ ในเมืองจะได้มาพบเจอกัน สำหรับคนจนแล้ว ทางเลือกเดียวที่จะพักผ่อนก็คือการเฝ้าติดตามละครน้ำเน่าจากโทรทัศน์ในช่วงที่มีเวลาว่างเท่านั้น(เพราะไม่มีพื้นที่พักผ่อนเช่นสวนสาธารณะในเมือง) ด้วยเหตุผลดังเช่นนี้ ทำไมเราไม่สร้างพื้นที่สาธารณะคุณภาพสูงสำหรับทุกคนที่เดินเท้า (ซึ่งก็คือทุกคนทุกฐานะในเมืองนั่นเอง) เพื่อคนทุกคนในเมืองจะได้มีสิทธิในการพักผ่อนในพื้นที่เมืองอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ทำไมรัฐบาลกลางจึงส่งเสริมแต่การสร้างถนน ทำไมไม่ส่งเสริมให้เกิดการสร้างสวนสาธารณะ ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากสวนสาธารณะมากกว่าถนนเป็นไหนๆ (เพราะไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่มีรถยนต์แต่ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปใช้สวนสาธารณะ) เรากล้ามั๊ย?ที่จะสร้างระบบขนส่งสำหรับประชาชนที่มีฐานะยากจนเข้าถึงได้โดยง่าย(เช่นระบบขนส่งมวลชนแบบพอเพียงของผม...อันนี้ผมเพิ่มให้ครับ) หรือจะคิดแต่จะแก้ปัญหารถติด การจราจรไม่สะดวก ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับคนที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงเท่านั้น พระเจ้าสร้างเราให้เป็นสัตว์ที่เดินด้วยเท้า เช่นเดียวกับปลาที่ว่ายน้ำด้วยครีบ นกที่บินด้วยปีก กวางที่อยู่รอดด้วยการวิ่งอย่างรวดเร็ว พวกเราต้องการการเดิน ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดเยี่ยงสัตว์ แต่เพื่อความสุขในชีวิตต่างหาก เมืองสมัยใหม่นั้นเราต้องการสังคมที่เคารพความเสมอภาคของมนุษย์ ด้วยความต้องการนี้ คุณภาพชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่ารายได้(หมายถึงว่าถ้าเราอยู่ในเมืองที่มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี แม้ว่าจะมีรายได้น้อยก็ไม่เป็นไร) ดังนั้นการอยู่อาศัยในเมืองจึงควรที่จะมีอิสรภาพจากเครื่องยนต์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เราคงไม่สามารถกลับไปมีความเป็นอยู่ดังเช่นในอดีต(สมัยที่มีคนอยู่ในเมืองจำนวนน้อย)ได้อีกแล้ว แต่ผมเชื่อว่าการที่ทำให้เมืองมีการเดินเท้าได้สะดวก ด้วยถนนสำหรับคนและสวนสาธารณะ จะทำให้เราสร้างการอยู่อาศัยที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าสังคมของรถยนต์ ผมจินตนาการ เมืองในเขตร้อนนั้นควรจะมีถนนสำหรับคนเดินเท้าอย่างพลุกพล่าน ภายใต้ร่มเงาของพรรณไม้เขตร้อน นี่ต่างหากคือแก่นแท้ของชีวิตในเมืองของเรา เราไม่ได้สร้างเมืองเพื่อการธุรกิจหรือรถยนต์ แต่เราสร้างเมืองเพื่อเด็ก เยาวชน และประชาชนในเมือง แทนที่จะสร้างทางด่วนหรือถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ เราเลือกที่จะควบคุมการเข้าถึงของรถยนต์ เราส่งเสริมให้เกิดทางเดินเท้าที่มีคุณภาพ มีถนนสำหรับคนเดิน สวนสาธารณะ ทางจักรยาน ห้องสมุด เรากำจัดป้ายโฆษณามากกว่าหนึ่งพันป้าย และเปลี่ยนเป็นต้นไม้ ความพยายามที่ดำเนินการทั้งหมดนี้ก็เพื่อเพียงจุดหมายเดียวเท่านั้น คือ....ความสุข เราสร้างสัญลักษณ์แห่งความเคารพนับถือในความเสมอภาคและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพียงแค่ทางเท้าและทางจักรยานเท่านั้น มอเตอร์ไซด์ รถยนต์ที่จอดบนทางเท้าคือสัญลักษณ์ของความไม่มีคุณภาพและไม่เคารพในสิทธิ์ของผู้อื่น สี่สิบปีที่ผ่านมา นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพยายามที่จะสร้างวัฒนธรรมการเคารพในธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแต่ไม่เคยอธิบายให้กระจ่างเลยว่าสิ่งแวดล้อมสร้างความสุขให้กับเด็กๆได้อย่างไร แปดสิบปีที่ผ่านมาเราสร้างเมืองสำหรับรถยนต์มากกว่าเมืองสำหรับผู้คน ถ้าหากเด็กๆมีพื้นที่สาธารณะพอๆกับที่รถยนต์มี ทุกเมืองในประเทศนี้ก็จะกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ฟังแล้วแต่ละข้อความนี่ช่างตรงใจผมจริงๆ อยากให้โคลนนิ่งอีตาคนนี้มาไว้ในเมืองไทยสักยี่สิบสามสิบคนจริงๆ ว่าแต่ว่า คนที่มีความคิดดีๆเช่นนี้ ถ้าลงสนามเลือกตั้งบ้านเราจะมีโอกาสได้เป็นนายกเทศมนตรีกะเค้าหรือเปล่า คิดแล้วก็เศร้าใจ แต่ไม่สิ้นหวังครับ วันข้างหน้าผมจะหาเรื่องของนายคนนี้มาเล่าให้ฟังอีกนะครับ |
บทความทั้งหมด
|