ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
29 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 

สัญญาจ้าวราชันย์ ราชาในภาพวาด (42)

รัตติกาลค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในห้วงความคิดของเขามีเพียงความว่างเปล่า เขางงงันกับสภาพของตนเอง ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าคือเพดานหินที่ไม่คุ้นตา เขาคิดจะหันไปหาแสงไฟจากตะเกียงที่วางอยู่ข้างๆ แต่พอพยายามจะขยับพลิกตัว ก็รู้สึกปวดที่ท้องจนทำให้ต้องหยุดการเคลื่อนไหวแต่เพียงแค่นั้น

“นอนนิ่งๆ ไม่อย่างนั้นแผลที่ท้องจะเปิดขึ้นมาอีก”

รัตติกาลยกมือขึ้นแตะที่ท้องของตน ตอนนี้มันถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าอย่างแน่นหนา แต่เพียงแค่สัมผัสถูกเบาๆ เขาก็รู้สึกเสียวแปลบขึ้นมาทันที บาดแผลของเขาท่าทางจะสาหัสอยู่ไม่น้อย

'เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงได้รับบาดเจ็บ' รัตติกาลยังคงนึกอะไรไม่ออก

“ทุกคนออกไปก่อน”

เสียงที่คุ้นหูนั้นดังขึ้นอีกครั้ง รัตติกาลจึงถูกดึงให้กลับมาสู่ปัจจุบัน ใบหน้าของเจิดจรัสโผล่มาให้เห็น ถึงแม้จะเคยพบเห็นแค่เพียงครั้งเดียว แต่ใบหน้าโดยเฉพาะแววตาแบบนั้นก็ยากที่จะลืมเลือนไปได้ เขาถามออกไปด้วยเสียงที่แหบพร่า

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

สายตาของเจิดจรัสที่จ้องมองดูรัตติกาลนั้นเย็นชา แววตาของเขาเปลี่ยนไป มันดูโศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่น้ำเสียงของเขากลับยังคงฟังดูนุ่มนวลเช่นเดิม

“ฉันต้องหาก ที่เป็นฝ่ายต้องถามคำถามนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เจิดจรัสเดินเข้ามานั่งลงที่ข้างเตียง รัตติกาลพยายามที่จะนึก แต่ก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย เจิดจรัสมองดูเขาเหมือนกับพยายามจะค้นหาอะไรบางอย่าง

“เธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วร่วมทางมากับอรุณรุ่งได้อย่างไร”

รัตติกาลจึงบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของเขาอย่างคร่าวๆ แต่ก็ปกปิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้เคลื่อนไหวในยามราตรี และมายาเอาไว้บางส่วน พร้อมกับบอกเป้าหมายในการเดินทางเพื่อติดตามหามารดาที่หายตัวไปด้วย

“...ลองเล่าเรื่องหลังจากที่เธอถูกปล่อยตัวให้ฟังได้ไหม”

รัตติกาลจึงเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่ที่ได้พบเจอกับสนธยา และติดตามเขาเข้าไปในปราสาท จนกระทั่งไปถึงห้องๆ นั้น เขาเล่าถึงเรื่องภาพวาดของชายลึกลับที่สวมใส่เสื้อคลุมสีแดง และคำพูดของอรุณรุ่งที่เขาฟังไม่เข้าใจ

“...พอท่านอรุณรุ่งดึงผ้าผืนนั้นออก ผมก็เห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ข้างใต้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ อาจจะเป็นรูปปั้น หรือก้อนหินอะไรบางอย่าง...แล้วหลังจากนั้น ผมก็นึกอะไรไม่ออกเลย”

“เธอไม่รู้ว่าตัวเองถูกทำร้ายได้อย่างไร”

“...ครับ...ผมจำไม่ได้เลย”

เจิดจรัสคิดทบทวนเรื่องที่รัตติกาลเล่าออกมา ก่อนจะเริ่มตั้งคำถาม

“สนธยาเชื่อว่าอรุณรุ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย...แต่ทำไมเขาถึงต้องพาเธอไปกับเขาด้วย”

รัตติกาลกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย เขาต้องหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ และคำตอบนั้นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น

“...ท่านสนธยาอาจคิดว่าผมน่าจะมีประโยชน์อยู่บ้างครับ”

รัตติกาลได้รับการสั่งสอนวิชาดาบจากสนธยามาตลอดการเดินทาง ฝีมือดาบของเขานั้นนับว่ามีความก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก สนธยาจึงอาจต้องการคนที่สามารถเชื่อใจได้เอาไว้ช่วยอีกแรง

แต่เมื่อตอบออกไปเช่นนั้นแล้ว รัตติกาลเองกลับเกิดความสงสัยขึ้นมา 'แล้วทำไมท่านต้องยึดดาบไปด้วย' เขาไม่แน่ใจในคำกล่าวอ้างของสนธยาในตอนนั้นแล้ว เพราะเมื่อเข้ามาในปราสาทพร้อมกับสนธยา ก็แทบจะไม่มีใครสนใจในตัวเขาเลย 'นอกจากผู้หญิงสองคนนั้น'

“ดูเหมือนเธอจะไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองเลยนะ”

รัตติกาลจึงพึ่งรู้สึกตัวว่า กำลังถูกเจิดจรัสจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด

“ตอนออกจากที่คุมขัง ทหารที่เฝ้าอยู่บอกว่าได้คืนดาบให้กับเธอไปแล้ว ในตอนที่เกิดเรื่องดาบเล่มนั้นอยู่ที่ไหน”

“...อยู่กับท่านสนธยาครับ”

ดูเหมือนว่าเจิดจรัสเองก็รู้สึกสงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน

“เป็นไปได้ไหมว่าอันตรายที่สนธยาพูดถึง...อาจจะหมายถึงเธอก็เป็นได้ เขาจึงยึดดาบเอาไว้ตั้งแต่แรก”

รัตติกาลงงงันกับคำพูดของเจิดจรัส ว่าพยายามจะสื่อความหมายอย่างไรกันแน่ เจิดจรัสยังคงจับตาดูทุกการตอบสนองของเขาอย่างละเอียด

เมื่อไม่มีคำตอบ และดูเหมือนว่ารัตติกาลจะเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาจนหมดแล้ว เจิดจรัสจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบงัน ที่หน้าประตูห้องมีหน่วยพิเศษสองคนยืนเฝ้าอยู่ ทั้งคู่ต่างรีบยกมือขึ้นทำความเคารพทันที แต่เขาก็ยังก้าวเท้าเดินต่อไป พร้อมกับออกคำสั่งเพียงสั้นๆ เท่านั้น

“คนที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า และห้ามเด็กคนนั้นออกไปจากห้องเด็ดขาด...ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย”

#####

เจิดจรัสรีบก้าวเดินไปยังจุดหมายต่อไปของเขา ทุกย่างก้าวนั้นหนักอึ้ง เขาอยากจะหยุดนั่งลงเพื่อพักสักครู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เขาต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วก่อน

มาลาตีนั่งหน้าซีดอยู่อยู่ภายในห้องเล็กๆ นี้เพียงผู้เดียว เธอกำลังเล่าให้เจิดจรัสฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาออกมาจากห้องของอรุณรุ่ง

“เธอตัดสินใจออกจากห้องไปเองใช่ไหม...ไม่ได้เป็นเพราะมีนัดหมายกับใครไว้ก่อน”

มาลาตีคิดใคร่ครวญดูอีกครั้งก่อนจะตอบคำถามนี้

“...ค่ะ...เหมือนกับท่านจะนึกอะไรได้บางอย่าง ท่านอ้างถึงเรื่องนั้น แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นแค่เพียงข้ออ้างเพื่อไปทำอย่างอื่นหรือเปล่า”

“แล้วพวกเธอก็ปล่อยให้อรุณรุ่งออกไปจากห้อง...ทั้งๆ ที่ฉันได้สั่งเอาไว้แล้วแท้ๆ”

มาลาตีก้มหน้าลงไม่กล้าสบสายตากับเจิดจรัส เขาเองก็รู้ตัวว่าไม่สมควรตำหนิพวกเธอในเรื่องนี้ ทั้งสามคนนั้นเติบโตมาด้วยกัน รักกันดุจเป็นพี่น้อง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความดื้อรั้นของอรุณรุ่งเอง 'แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเพียงแต่' เขาตัดใจไม่คิดถึงเรื่องนี้ต่อไป

“ตอนที่ได้พบสนธยา กับเด็กที่ชื่อรัตติกาลนั่น มีอะไรผิดปกติบ้างไหม”

มาลาตีคิดทบทวนดูอีกครั้ง

“ท่านอาจารย์ดูรีบร้อนมาก...และการพาคนแปลกหน้ามาเพื่อเข้าพบกับท่านอรุณรุ่งโดยไม่ได้มีคำสั่ง...เรื่องนี้ดูจะแปลกๆ อยู่สักหน่อยค่ะ”

“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ที่เธอควรจะเล่าให้ฉันฟัง”

หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งมาลาตีก็ส่ายหน้า เจิดจรัสจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพ้นประตู เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของมาลาตีก็ดังตามหลังเขามา

เจิดจรัสเลี้ยวไปยังห้องเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน ภายในนั้นมาลากำลังรอเขาอยู่ คราบน้ำตาบนใบหน้างามยังคงแปดเปื้อนเป็นทาง เขาไม่ใส่ใจกับสภาพของเธอ และถามด้วยคำถามเดียวกันกับมาลาตีทันที

“...ฉันคิดว่าท่านคงสงสัยเรื่องอะไรบางอย่าง และคำตอบก็อยู่ในห้องนั้น ส่วนเรื่องที่ว่านึกหาวิธีที่จะดึงดาบออกมาได้ แล้วต้องรีบไปในทันทีนั้น คงเป็นแค่เพียงข้ออ้างเท่านั้น”

ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะคิดตรงกันในข้อนี้

“ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้ ทำไมถึงไม่...ช่างมันเถอะ”

'ทำไมถึงไม่ห้ามเธอเอาไว้' เจิดจรัสกล้ำกลืนคำพูดนั้นเอาไว้ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปโทษว่าทั้งสองคนนี้อีก แม้จะรู้อย่างนั้น แต่เขาก็ยังอดไม่ได้เช่นกัน น้ำตาค่อยๆ รินไหลลงมาเปื้อนใบหน้าของมาลา แต่ไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาจากปากของเธอ

“...ตอนที่ได้พบสนธยา กับรัตติกาล มีอะไรผิดปกติบ้างไหม”

มาลายกมือขึ้นมาป้ายเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว

“...ท่านอาจารย์ดูลุกลี้ลุกลนผิดปกติ ส่วนเด็กคนนั้น...ท่านอรุณรุ่งดูเหมือนจะไว้ใจมากทีเดียว เพราะพอรู้ว่าเขามาถึงก็ให้เข้าพบได้ โดยไม่ได้ถามอะไรเลย”

แต่ตลอดบ่ายที่นั่งคุยกันอยู่นั้น อรุณรุ่งแทบจะไม่ได้เอ่ยถึงเด็กคนนี้ให้เจิดจรัสฟังเลย 'อาจเป็นเพราะเด็กนั่นมีความเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารในระหว่างเดินทางก็เป็นได้' เธอไม่อยากจะเอ่ยถึงมันอีก จึงพยายามหลีกเลี่ยงก็เป็นไปได้

“แล้วตอนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูมีอะไรผิดปกติหรือไม่”

“ไม่ค่ะ”

มาลาตอบอย่างมั่นใจ

“นอกจากทั้งสามคนนั้นแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก ตอนที่เกิดเหตุนั้นก็รวดเร็วมาก พอได้ยินเสียงร้องของท่านอรุณรุ่งฉันก็รีบเข้าไปทันที แต่ทุกอย่างก็...ฉันยังบอกไม่ได้เลยว่าทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร...หรือเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

ถึงแม้มาลาจะตอบอย่างมั่นใจ แต่เจิดจรัสรู้ดีว่าเธอได้มองข้ามเรื่องหนึ่งไป เพราะถึงแม้เธอจะรู้ว่าในข่างเวลานั้นมีคนเข้าไปภายในห้องเพียงสามคน 'หากมีคนที่สี่เข้าไปรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้วล่ะ' เธอย่อมไม่อาจจะมั่นใจในข้อนี้ได้เลย แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง คนที่สี่ผู้นี้จะหายตัวไปไหนได้

เจิดจรัสเดินออกจากห้องของมาลา ตอนนี้เป้าหมายของเขาเหลืออีกเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

#####

สนธยากำลังนอนอยู่บนเตียง สายตาที่เอาแต่เหม่อมองดูเพดานห้องของเขานั้นช่างแสนหดหู่ เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับเมื่อก่อนหน้านี้ เจิดจรัสสั่งให้คนที่ดูแลเขาอยู่ออกไปจากห้องก่อน เพื่อจะได้คุยกันตามลำพัง

“บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง”

เป็นคำถามที่แสดงถึงความห่วงใย แต่น้ำเสียงที่ใช้นั้นกลับฟังดูเยียบเย็นจนน่าขนลุก

“...ไม่เป็นอะไรแล้วครับ”

น้ำเสียงของสนธยานั้นแหบเครือ เจิดจรัสมองดูผ้าพันแผลที่บริเวณหน้าอก ท้อง กับแขนขวาของเขา ผ้าเหมือนจะพึ่งถูกเปลี่ยนใหม่ แต่พวกมันก็ถูกย้อมด้วยสีแดงจางๆ แล้ว นอกจากนี้ทั้งใบหน้า และริมฝีปากของเขาก็ดูขาวซีดจนน่ากลัว

“ช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้ฟังอีกทีได้ไหม”

สายตาของสนธยาจึงมองมายังเจิดจรัส ภายในนั้นมีทั้งความหวาดหวั่น ความเศร้าโศก และความกลัว ผสมปนเปกันอยู่จนไม่อาจแยกได้ เขาเริ่มเล่าเรื่องที่ไม่อยากจดจำนั้นออกมาอีกครั้ง และมันยังคงเหมือนกับที่เจิดจรัสได้ฟังไปก่อนหน้านี้

“...ท่านอรุณรุ่งไว้ใจเด็กคนนั้น รัตติการมีใบหน้าเหมือนกับชายนิรนามที่ยืนอยู่ในภาพแวดสีแดง ท่านจึงเชื่อว่าเขาเป็น...สายเลือดสุริยันที่หายไป และเขาอาจจะสามารถถอนจักรพรรดิแห่งฟากฟ้าออกมาจากแท่นหินได้”

มือขวาของเจิดจรัสกำแน่นอย่างลืมตัว ความรู้สึกที่เคยได้สัมผัสกับด้ามของดาบเล่มนั้นยังคงเผาผลาญเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้จะไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บใดๆ ในภายหลัง แต่ในห้วงเวลานั้น ตอนที่เขาพยายามจะดึงมันออกมา เขาคิดว่ามือของเขากำลังถูกเปลวเพลิงเผาไหม้อยู่จริงๆ และอรุณรุ่งเองก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เช่นกัน

หากไม่มีคำยืนยันจากปากของบุคคลเก่าๆ จำนวนมากมายที่เคยได้เห็นประกายแสงดึงดาบเล่มนั้นออกมา ในตอนที่ขึ้นเป็นราชามายืนยันแล้ว เจิดจรัสก็แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจักรพรรดิแห่งฟากฟ้า จะสามารถถูกถอนออกมาจากแท่นของมันได้จริง 'ทำไมท่านประกายแสงถึงไม่ยอมถอนมันออกมาอีกเลย แม้แต่เมื่อได้รับรู้ถึงการคุกคามจากผู้เคลื่อนไหวในยามราตรีแล้วก็ตาม มีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หรือเปล่า'

“ท่านอรุณรุ่งเอื้อมมือไปดึงผ้าที่คลุมไว้ออก ในตอนนั้นสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมองดูแท่นหิน กับจักรพรรดิแห่งฟากฟ้าที่ตั้งอยู่ตรงนั้น แล้วทันใดนั้นเอง...ก็มีดาบแทงเข้าใส่เธอกับผมพร้อมๆ กัน...”

เสียงของสนธยาขาดหายไปครู่หนึ่ง

“...เป็นดาบที่รวดเร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น...ผมพยายามจะเอื้อมมือไปชักดาบของตัวเอง นั่นเป็นตอนที่แขนขวาของผมถูกฟัน และถูกแทงเข้าที่หน้าอกอีกครั้ง”

“เป็นฝีมือของใคร”

เจิดจรัสถามคำถามเดิมซ้ำอีก น้ำเสียงของเขายิ่งเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม

“...ผมไม่รู้...มันรวดเร็วมาก...เร็วเกินกว่าจะเป็นฝีมือของ...มนุษย์”

“ไม่ใช่การลงมือของเด็กที่ชื่อรัตติกาลหรอกหรือ”

“ไม่...ผมไม่...ผมไม่รู้”

“ท่านอาจารย์เองก็รู้สึกสงสัยในตัวเด็กคนนั้นใช่ไหม ถึงได้ปลดอาวุธเขา และนำตัวไปด้วยไม่ยอมให้อยู่ห่าง จะได้ไม่สามารถแอบไปทำอะไรได้”

“ครับ...ความเป็นมาของเขาชวนสงสัย และฝีมือดาบของเขาก็ก้าวหน้ารวดเร็วอย่างน่ากลัว ผมพยายามจะไม่สอนอะไรให้เขา แต่เขาก็ยัง...”

“เขารวดเร็วพอที่จะเป็นคนลงมือได้ไหม ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นเขาไม่น่าจะมีอาวุธใดๆ อยู่กับตัวเลย”

“...ผมไม่แน่ใจ”

“ใครเป็นคนดึงดาบเล่มนั้นออกมา”

“ผมไม่รู้...”

ดาบที่ถูกใช้ก่อเหตุนั้นมีอยู่ด้วยกันสามเล่ม สองเล่มคือดาบที่อยู่กับสนธยา ส่วนอีกเล่มหนึ่งนั้นคือจักรพรรดิแห่งฟากฟ้าที่เคยปักอยู่ในแท่นหิน แต่ตอนนี้มันได้ถูกดึงออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ใบหน้าของสนธยายิ่งขาวซีดลงกว่าเดิม ดูเหมือนอาการของเขาจะทรุดหนักลง เขายกมือซ้ายขึ้นกุมบาดแผลที่ต้นแขนขวา แขนขวาที่ในตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว มันถูกฟันขาดอยู่ภายในห้องนั้น และหากตำแหน่งแผลที่หน้าอกไม่เบี่ยงเบนไปเล็กน้อย หัวใจของเขาก็คงจะถูกแทงทะลุไปแล้ว

เจิดจรัสเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะกำชับหน่วยพิเศษให้เฝ้าดูสนธยาอย่างเข้มงวดเช่นกัน เขามีเรื่องให้ต้องขบคิดไปตลอดทาง ภายในห้องจะมีบุคคลที่สี่อยู่หรือไม่ ใครเป็นคนถอนจักรพรรดิแห่งฟากฟ้าออกมา รัตติกาลจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ได้จริงๆ หรือ เด็กคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมนักมายากลหรือไม่ เรื่องที่สนธยาบอกเล่าออกมานั้นจะเป็นความจริงทั้งหมดอย่างนั้นหรือ และใครกันแน่ที่เป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้

เจิดจรัสมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตู ห้องที่เขาเคยมีความสุขทุกครั้งที่ได้ก้าวเข้าไป แต่ในวันนี้ความรู้สึกกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เขามายืนอยู่ที่ตรงกลางห้อง จ้องมองไปที่มุมหนึ่ง บนเตียงมีร่างของหญิงสาวนอนนิ่งอยู่ สองมือของเธอถูกวางประสานกันไว้ที่หน้าอก กุมอยู่ที่ด้ามของดาบเก่าๆ เล่มหนึ่งที่วางอยู่บนตัวเธอ

อรุณรุ่งยังคงงดงามเหมือนเช่นเคย และเธอจะยังงดงามอยู่ภายในใจของเจิดจรัสไปตลอดกาล เขาเริ่มทำสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ทุกคนเคยคิดว่าแม่ทัพน้ำแข็งไม่อาจทำได้ น้ำแข็งได้ละลายลงแล้ว มันล้นอยู่ภายในอกจนไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองของเขา

'คนที่ทำเรื่องทั้งหมดนี้ต้องได้รับการตอบแทนอย่างสาสม'




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2553
1 comments
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2553 6:20:15 น.
Counter : 628 Pageviews.

 

สวัสดีตอนเช้าครับ

 

โดย: MaFiaVza 29 พฤศจิกายน 2553 6:43:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.