sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
28 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๑๑ แทรกซึมสู่เป้าหมาย





หลังจากพักแรมกันอยู่บนเชิงเขามาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน ในช่วงพลบค่ำของวันที่ 2 ทีมของภูริชจึงกระจายตัวไปประจำจุดของตนเพื่อซุ่มโจมตีเมื่อสายแจ้งการมาถึงของกลุ่มคนที่พวกเขาเฝ้ารอ

“ลูกพี่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องพึ่งผู้กองคนนั้นทั้งๆ ที่หากเราจะบุกชิงตัวคุณหมอทั้งสองมันก็ย่อมทำได้” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างคลางแคลงใจเมื่อความคิดเห็นไม่ลงรอยกับคำสั่งของผู้บังคับบัญชา

“ได้มันมาช่วยแบบนี้เป็นเรื่องดีออกอย่างน้อยก็ช่วยเบาแรงพวกเราไปเยอะเลยล่ะ” คนเป็นลูกพี่หรี่ตามองเส้นทางราบเตียนตรงหน้าแล้วกระตุกรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย

“มันจะช่วยเบาแรงพวกเราจริงๆ เร้อลูกพี่ ผมกลัวว่าจะสร้างปัญหาเสียมากกว่า” และเสียงสนับสนุนของอีกคนก็แทรกขึ้น

“ผู้กองเพิ่งลงพื้นที่จะเอาปัญญาที่ไหนไปสู้รบกับกะเหรี่ยงพวกนั้น ความจริงเบื้องบนน่าจะส่งเรื่องนี้ให้พวกเราจัดการกันเอง แค่พาหมอสองคนกลับไปส่งมันไม่เห็นจะเป็นเรื่องยากเย็นตรงไหน”

“เราอย่ามาเสียเวลาโต้เถียงเรื่องไม่เป็นเรื่องกันอยู่เลย ฉันรู้จักหมอนั่นดีถ้ามันไม่เก่งจริงมีหรือเบื้องบนจะวางใจส่งมาทำภารกิจนี้เพียงลำพัง พวกแกระวังตัวให้ดีเถอะอย่าเผลอทำพิรุธให้มันสงสัยเชียวไม่อย่างนั้นงานของพวกเราคงพังไม่เหลือชิ้นดี” คนเป็นลูกพี่พูดตัดบทเมื่อเห็นว่าคนของตนกังวลเกินกว่าเหตุ

“นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมห่วง...ผู้กองไม่ใช่พรรคพวกของเราถ้าเกิดมารู้เห็นงานของพวกเราเข้ามันคงไม่เป็นผลดี”

“เรื่องนั้นฉันวางหมากไว้แล้ว พวกแกอยู่เฉยๆ เถอะถ้างานนี้เป็นไปตามแผนที่วางไว้รับรองพวกเราสบายกันไปทั้งชาติเลยล่ะ ไหนจะได้ความดีความชอบจากเบื้องบน ไหนจะผลประโยชน์จากพวกกะเหรี่ยงเผลอๆ ได้เป็นลูกเขยท่านทูตโดยไม่รู้ตัวงานนี้เรามีแต่ได้กับได้พวกแกเลิกกังวลกันสักที ส่วนไอ้ภูริชเสร็จงานนี้เห็นทีจะมีแต่ธงชาติเท่านั้นที่ใช้คลุมหน้ามันกลับไป”

พอได้ยินคำพูดของหัวหน้าคนทั้งสองจึงได้แต่หันมองหน้ากัน แม้จะมีข้อสงสัยแต่เสียงพูดพึมพำและเสียงฝีเท้าที่ดังมาแต่ไกลก็ยุติข้อโต้แย้งไว้เพียงเท่านั้น

พอขบวนของมองเทร์มาถึงกลุ่มผู้รอคอยก็เริ่มขยับ ภูริชมองผู้คนที่กำลังเดินผ่านจุดที่เขาเฝ้ารออย่างใช้สมาธิ ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามอาภรณ์ของคนเหล่านั้นแล้ววางวิถีกระสุนไปยังฝ่ายที่ไม่ใช่พรรคพวก

สไนเปอร์หนุ่มไล่สายตานับจำนวนคนที่ต้องกำจัดด้วยใบหน้าเรียบเฉยเพราะคุ้นชินกับภารกิจที่มีชีวิตของเป้าหมายแขวนอยู่บนปลายปืน ดวงตาคมกล้าหลุบลงเพื่อเรียกสมาธิก่อนจะลืมขึ้นช้าๆ สายตาคมกริบจ้องเป้ามีชีวิตเหล่านั้นด้วยประกายตาเด็ดขาด ก่อนเหนี่ยวไกปืนไปยังชายคนแรกที่เดินรั้งท้ายขบวน...

ไม่มีเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวอย่างที่ควรเป็น ยามกระสุนพุ่งออกจากลำกล้องทุกอย่างยังคงเงียบงันเงียบจนหลายคนที่แอบซุ่มอยู่ในที่ของตนได้ยินเพียงลมหายใจของตัวเองเท่านั้น

ทุกคนจ้องเป้าหมายรายแรกที่ทรุดฮวบลงกับพื้นเป็นตาเดียว ขณะผู้ถูกลอบยิงเริ่มแตกกระเจิงหลายคนพุ่งตัวเข้าหาที่กำบังตามสัญชาตญาณพลางกวาดตามองไปรอบๆ อย่างระวังภัย

จาโปและคนอื่นๆ เหลือบมองไปยังทิศทางที่พวกเขารู้ดีว่ามีมัจจุราชหน้าเข้มแอบซ่อนอยู่ ทุกคนมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยความสังเวชใจ แต่ก่อนจะทันได้หายใจหายคอเสียงเป้าที่มีชีวิตนับหกคนก็เริ่มร่วงหล่นราวกับใบไม้ที่ปลิดปลิวยามต้องลมแรง

สายตาหลายคู่จ้องร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดอยู่ตามจุดต่างๆ ด้วยความทึ่งเพราะเห็นชัดว่ากระสุนทุกนัดที่ถูกส่งผ่านจากลำกล้องทะลุจุดตายโดยที่เหยื่อไม่มีแม้โอกาสที่จะดิ้นรนเอาชีวิตรอด

หลายคนหันไปมองหน้ากัน รวมถึงกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับการปรากฏตัวของร้อยเอกภูริชนายทหารที่พวกเขาปรามาสว่าไร้ฝีมือ และจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ณ เวลานี้ก็ทำให้ความคิดของบางคนเริ่มเปลี่ยนไป

กลุ่มของจาโปหันหน้าไปยังทิศที่ภูริชแฝงตัวอยู่แล้วขมวดคิ้วมุ่นคล้ายกำลังกังวล ขณะกลุ่มของร้อยโทฐิติจ้องร่างไร้วิญญาณที่เกลื่อนกลาดตรงหน้าอย่างสยดสยอง ส่วนคนของมองเทร์ที่หลบอยู่ในที่กำบังต่างมองทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดระแวง

แต่สิ่งที่คนทั้ง 2 กลุ่มมีความคิดเห็นตรงกันก็คือพวกเขาได้คำตอบแล้วว่าทำไมเบื้องบนถึงส่งผู้กองหน้าเข้มมาเป็นผู้นำทีม ซึ่งในความเป็นจริงหากจะให้พวกเขาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนบุกไปชิงตัวแพทย์หญิงทั้งสองคนกลับไปก็ย่อมกระทำได้

แต่พอตรึกตรองดู การที่จะบุกเข้าไปชิงตัวพวกเธอนั้นหาใช่เรื่องที่จะทำได้ดังใจคิด นั่นเพราะกองกำลังของทหารกะเหรี่ยงนับว่ามีมากจนอาจส่งผลทำให้คนที่อยู่ในการควบคุมของพวกนั้นได้รับอันตราย และพวกเขาก็ไม่อาจทำให้งานนี้เกิดความผิดพลาดได้

แม้สถานการณ์จะกลับเข้าสู่ความเงียบแต่ก็ยังไม่มีใครขยับตัวออกจากที่กำบัง จนกระทั่งมีเสียงผิวปากดังมาจากแนวป่าด้านหนึ่ง และมีการส่งสัญญาณกันเป็นทอดๆ

“มีคนของพวกมันรอดไหมมองเทร์”

เมื่อทุกคนออกมารวมตัวกันหลังจากส่งสัญญาณแสดงตัวตนว่าใครเป็นใคร จาโปจึงเอ่ยถามหัวหน้าทีมฝ่ายของตนเป็นคนแรกพลางกวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่ยังเหลือรอดสายตาไม่วางใจ

“เท่าที่เห็นตายเรียบไม่มีเหลือรอด...แล้วนี่ฝีมือใคร”

มองเทร์ตอบพร้อมถามกลับไป ขณะกวาดตามองร่างที่เกลื่อนกลาดอยู่ตามจุดต่างๆด้วยความทึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มเดินไปที่ร่างๆ หนึ่ง ทรุดลงนั่งใช้มือพลิกศีรษะที่เหวอะหวะ กวาดตามองไปรอบๆ เพื่อหาทิศทางของวิถีกระสุน และนึกชื่นชมคนยิงเพราะผลงานที่ปรากฏเห็นชัดว่ากระสุนทุกนัดพุ่งเข้าจุดตายของเป้าหมายแม่นราวจับวาง ที่สำคัญมันไม่อาจระบุได้ว่าวิถีกระสุนถูกส่งมาจากทิศทางใด


หลังจากหลักฐานชิ้นสำคัญถูกกลบจนไม่เหลือซาก ทั้งหมดจึงเดินทางไปยังจุดพักแรมซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศเหนือราว 1 กิโลเมตร

พอถึงจุดพักแรมภูริชจึงกางแผนที่แล้วเริ่มภารกิจต่อไปทันที ทั้งหมดทำความเข้าใจกับหน้าที่ของตน โดยจาโปรวมถึงมองเทร์เข้าแฝงตัวอยู่ในกองกำลังของชยิน ส่วนกลุ่มของฐิติแฝงตัวอยู่ในชุมชนชาวกะเหรี่ยงในฐานะชาวบ้านตามเดิม ที่เหลือราวสิบคนเป็นขบวนของภูริชในนามของมองเทร์

เมื่อทราบหน้าที่ ทั้งหมดจึงแยกย้ายไปประจำยังจุดที่ได้รับมอบหมาย แล้วออกเดินทางในเวลาราวสามทุ่มของคืนนั้น

ภูริชมองทางเดินราบเตียนคดเคี้ยวไม่มีที่สิ้นสุดผ่านแสงสลัวจากดวงจันทร์ ชายหนุ่มขยับเป้บนหลังให้เข้าที่ขณะมือกระชับอาวุธคู่ใจ ใบหน้าคมเข้มฉายประกายมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว และมีความอดทนอยู่เต็มเปี่ยมในทุกย่างก้าวที่เคลื่อนไปข้างหน้า

จวบจนล่วงเข้าชั่วโมงที่ 4 ก่อนถึงหมู่บ้านแห่งที่สองซึ่งมีแสงไฟวับวามเป็นจุดเล็กๆ ทั้งหมดจึงตกลงหยุดนอนพักเอาแรงเพราะคนของมองเทร์เริ่มไปต่อไม่ไหว

เมื่อจัดการก่อกองไฟ ร้อยเอกหน้าเข้มและลูกทีมของจาโปอีกสองคนอาสาเป็นยามผลัดแรกให้ พอคนอื่นๆ เอนกายลงพัก ชายหนุ่มจึงเดินไปทรุดนั่งตรงโคนต้นไม้ใหญ่ห่างจากกองไฟไปไม่กี่ก้าว ส่วนอีกสองคนเลือกนั่งเฝ้ากาน้ำห้อยต่องแต่งอยู่บนเปลวไฟ

ดวงตาคมกล้ามองเปลวไฟที่โชติช่วงเบื้องหน้าชั่วครู่ แล้วเอนกายพิงกับต้นไม้ใหญ่ทอดสายตาผ่านความมืดมิดไปยังพระจันทร์ดวงโตที่ส่องสว่างอร่ามเรืองอยู่บนท้องนภาที่มีหมู่เมฆาคลื่นไปตามกระแสลม ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อภาพใบหน้าของใครคนหนึ่งผุดออกมา

...นภัสชล...และชื่อของเธอก็ดังก้องอยู่ในโสตประสาท...ภูริชกะพริบตาไล่รอยยิ้มของหญิงสาวในชุดกาวน์ออกไปแต่ดูเหมือนจิตใต้สำนึกในเบื้องลึกของเขาจะลุ่มหลงอยู่ในความหวานละไมนั่นเสียแล้ว

เธอเป็นคนรักของเพื่อน...เขาบอกตัวเอง...แล้วหลุบเปลือกตาลงอย่างจำนนให้กับความจริง...ชายหนุ่มหลับตานิ่งอยู่ครู่ใหญ่แต่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ตัวเขาก็ไม่อาจตอบได้ว่ามันคืออะไรกลับยิ่งประทุ ดวงตาคมกล้าเปิดขึ้นอีกครั้งและจับจ้องอยู่บนฝืนฟ้าสีทะมึน...

...เธอกับเขาช่างเป็นความแตกต่างที่ยากบรรจบ...เธอเป็นเหมือนท้องฟ้าที่อยู่ไกลจนสุดเอื้อม ทั้งๆ ที่มีสรรพนามให้เรียกขานทั้งๆ ที่มองเห็นด้วยสายตาว่าสิ่งที่เห็นนั่นคือท้องฟ้า แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครเคยได้แตะต้อง...

เขารู้ว่าณภัสแปลว่าท้องฟ้าและชื่อนั้นก็บอกชัดว่าเธออยู่ไกลเกินเอื้อมขนาดไหน...เฮ้อ...แม่ก็ช่างตั้งชื่อของเขาว่าภูริชซึ่งแปลว่าแผ่นดินให้อยู่กันคนละฟาก...ถึงแม้ท้องฟ้ากับแผ่นดินจะทอดขนานคู่กันแต่มันก็ไม่อาจบรรจบกันได้

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาอีกหลายครั้งเมื่อนึกถึง...เจ้าของผู้หญิงที่เขามองอย่างไรก็ไกลเกินเอื้อม...กรัณย์...เจ้าเสือยิ้มยากที่เขาไม่อยากเชื่อว่าจะกลายเป็นเสือไวไฟ...เพราะเท่าที่เห็นดูท่าเจ้าทหารอากาศผู้ไม่เคยยินดียินร้ายกับความรักจะสละโสดก่อนใครเพื่อน

แต่มันจะแปลกอะไรเพราะหากเธอคือท้องฟ้า เจ้าบ้านั่นมันก็มีปัญญาเหยียบก้อนเมฆขึ้นไปไขว่คว้าหาเธอ...เฮ้อ...รู้แบบนี้เลือกเป็นนักบินก็ดีอย่างน้อยก็ยังมีโอกาสได้ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า...ผู้กองจอมเก๊กบอกตัวเองอย่างปลงไม่ตกให้กับรักแรกพบที่มาพร้อมกับความแตกต่างที่ยากลงตัว...

เวลายังคงเดินไปเรื่อยๆ จวบจนล่วงเข้าตี 4 ครึ่งเมื่อเห็นว่าลูกทีมพักพอแล้วผู้กองหน้าเข้มจึงส่งสัญญาณแล้วเริ่มออกเดินทางในเวลาราวตี 5

ทั้งหมดเดินทางกันแบบม้วนเดียวจะพักบ้างก็แค่เวลาอาหาร ถึงอากาศจะร้อนอบอ้าวแต่ทุกคนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าอยากหยุดพักแต่อย่างใด...โชคดีที่แต่ละคนค่อนข้างอึดส่วนคนนำทางก็ชำนาญทางเป็นอย่างดี จึงทำให้พวกเขามาถึงจุดหมายเอาเกือบค่ำของอีกวัน

เมื่อเดินเข้าใกล้เขตหมู่บ้าน ขณะขบวนของผู้กองหนุ่มกำลังจะผ่านทางแยกมุ่งไปยังทิศเหนืออยู่ๆ ก็มีเสียงผิวปากคล้ายเสียงนกดังขึ้นสามครั้ง พอคนของจาโปผิวปากกลับไปเพียงอึดใจเดียวร่างสูงใหญ่ในชุดพรางทหารก็โผล่ออกจากที่กำบัง

“จาโปแจ้งไว้ว่าเมื่อพวกคุณมาถึงให้พวกเรามารับแล้วค่อยเดินทางต่อ” ชายคนเดิมเอ่ยขึ้นเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเห็นอีกฝ่ายจ้องพวกตนด้วยสีหน้าไม่วางใจ

“รับไปไหน...ฉันนึกว่าพวกเราต้องรีบเข้าไปรายงานตัวที่หน่วยเสียอีก” ภูริชถามกลับไปทั้งยังไม่มีท่าทีจะยอมขยับไปไหน

“พวกคุณควรพักสักหน่อย ดูไอ้พวกนั้นสิมันเหนื่อยจนแทบไม่มีแรงเดินแล้ว”

ชายคนเดิมพยักพเยิดไปทางลูกทีมของชายหนุ่มพร้อมแนะนำเมื่อประเมินจากทีท่าของแต่ละคนแล้วเห็นชัดว่ากำลังอ่อนเพลีย

“ว่าไง...จะพักหรือเดินหน้าต่อ” ผู้กองหน้าเข้มกวาดตามองดูลูกทีม พอเห็นท่าทางอิดโรยของแต่ละคนเขาจึงเอ่ยถามถึงความสมัครใจ

“พักหน่อยก็ดีผู้กอง...” กีซายกมือสนับสนุนเป็นคนแรก ตามด้วยคนอื่นๆ ที่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อตกลงว่าจะหยุดพักเอาแรงก่อนเข้าค่าย ทั้งหมดจึงเดินตามกลุ่มชายหน้าเหี้ยมไปยังกระท่อมหลังหนึ่งปลูกอยู่ติดกับแม่น้ำห่างจากทางแยกไปทางทิศตะวันออกราวหนึ่งกิโลเมตร

“ตอนแรกจาโปบอกให้เตรียมคนให้คุณสักสิบคน...แต่ตอนนี้คนของเราบาดเจ็บถึงสองคนจึงทำให้คนที่เตรียมไว้มีไม่ครบตามจำนวน”

คนเป็นหัวหน้าทีมทราบชื่อภายหลังว่าเล่าซางบอกเมื่อเดินนำภูริชขึ้นไปบนกระท่อม ในขณะคนอื่นๆ บางคนเดินไปที่แม่น้ำ บางคนแยกไปพักผ่อนตามจุดต่างๆ ของบ้าน

“คนของนายไปโดนอะไรมา”

“คนหนึ่งเพิ่งเป็นไข้ป่า ส่วนอีกคนถูกยิงคนของเราผ่าเอากระสุนออกให้แล้ว แต่อาการก็ยังไม่น่าไว้วางใจ”

“อาการหนักมากแค่ไหน”

“คนที่เป็นไข้ป่าอาการยังทรงอยู่เราให้ยาเท่าที่มีไม่รู้จะพยุงได้นานแค่ไหน ส่วนอีกคนตอนนี้กำลังซมด้วยพิษไข้ยาเรามีไม่มากจึงรักษาตามมีตามเกิด” เล่าซางบอกพลางถอนเพราะนึกเวทนาคนเจ็บ

“ทำไมนายไม่พาเข้าไปรักษาในค่ายล่ะที่นั่นมีหมอไม่ใช่หรือ”

“ไอ้พวกนี้มันไม่ได้เป็นทหารของชยิน จะให้เข้าไปในฐานะชาวบ้านก็เสี่ยงเกินไป เพราะพวกมันแฝงตัวอยู่รอบนอก ขืนโผล่เข้าไปจะเป็นที่ผิดสังเกตเปล่าๆ”

“แต่ถ้าทิ้งไว้แบบนี้บางทีพวกเขาก็อาจไม่รอด”

ดวงตาคมกล้ากวาดมองร่างคนเจ็บที่นอนอยู่คนละมุมห้องประกายตาครุ่นคิด ก่อนพยักหน้ากับตัวเองเมื่อความคิดบางอย่างผุดออกมา พอมองเห็นโอกาสรอยยิ้มยินดีค่อยๆ ผุดออกจากมุมปากสีเข้มเพราะเห็นมีวิธีที่จะใช้แทรกซึมเข้าสู่เป้าหมาย

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนายให้คนเตรียมเปลสนาม แล้วแบ่งเป็นสองชุดจัดการเคลื่อนย้ายคนเจ็บ ฉันจะพาพวกเขาเข้าไปรักษาในค่ายเอง” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นว่าหากใช้วิธีนี้คงพอมีลุ้นที่จะได้พบตัวคนที่ถูกควบคุมอยู่ในค่าย เพราะหากเดินเข้าไปมือเปล่าคงยากที่จะได้พบตัวแพทย์หญิงทั้งสอง แต่ลองมีคนเจ็บช่วยนำทางแบบนี้อะไรๆ มันคงง่ายขึ้น






Create Date : 28 ธันวาคม 2554
Last Update : 28 ธันวาคม 2554 13:49:55 น. 0 comments
Counter : 468 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.