sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
2 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๑๗ คู่วิวาท




ขณะสองพี่น้องกำลังงัดเหตุผลของตนขึ้นมาอ้าง เพื่อหวังให้คนที่มีความเห็นแตกต่างเบนความคิดมาอยู่ในทิศทางเดียวกับตน อีกฟากหนึ่งคนที่กำลังอยู่ในประเด็นกลับนั่งกระดิกเท้าร้องเพลงและเด็ดดอกเล็บมือนางทิ้งลงน้ำเล่นอย่างสบายอารมณ์

ณภัสชลนั่งซักผ้าอยู่ข้างโขดหินดวงตาคู่สวยเหลือบมองดอกไม้ดอกเล็กลอยผ่านหน้าไปและอีกหลายดอกลอยวนอยู่ตรงหน้าด้วยความรำคาญใจ ข้างๆ วริสากำลังเป่าฟองผงซักฟอกเล่นอย่างสนุกสนาน อีกฟากมีผู้หญิงในหมู่บ้านนั่งซักผ้าอยู่ตามโขดหิน และตรงกลางแม่น้ำมีหญิงสาววัยกระเตาะกำลังแหวกว่ายส่งเสียงหยอกล้อกันอย่างเริงร่า

“นายไม่คิดจะไปไหนบ้างเลยเหรอ” เมื่อทนไม่ไหวนภัสชลจึงเงยหน้าขึ้นมองศิลปินเดี่ยวที่กำลังแหกปากร้องเพลงอยู่ด้านบนแล้วโพล่งคำถามสกัดดาวรุ่งออกไป

“จะให้ผมไปไหนล่ะคุณหมอ” ภูริชหยุดร้องเพลงหันไปทางต้นเสียงค้างมือที่กำลังทิ้งดอกไม้ลงน้ำ ยิ้มกวนใจคนมองตามแบบฉบับแล้วถามอย่างอารมณ์ดี

“จะไปไหนก็ไปสิฉันรำคาญ”

“ตอนนี้ยังไม่อยากไปไหน...แล้วคุณหมอมารำคาญอะไรผม”

“ฉันรำคาญดอกไม้ที่นายทิ้งลงมา...รำคาญเสียงบ้าๆ ของนายด้วย”

พอได้คำตอบชายหนุ่มจึงยกช่อเล็บมือนางขึ้นพิศดู หันไปมองใบหน้าบูดบึ้งของคุณหมอขี้รำคาญแล้วพยักหน้าก่อนจะช่วยไขข้อข้องใจ

“การที่ผมโปรยดอกไม้ลงไปเพื่อทำให้คุณสบายใจว่าผมอยู่แถวๆ นี้จะได้ไม่กลัวอันตราย แถมยังร้องเพลงให้ฟังคุณกลับบอกว่ามันน่ารำคาญงั้นเหรอ”

คำตอบของชายหนุ่มทำเอาคนที่กำลังเป่าฟองผงซักฟอกเล่นต้องหันไปเลิกคิ้วกับเพื่อนแล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นประกายตาขุ่นเขียวของคนขี้โวยวายและประกายตาท้าทายของพ่อหนุ่มอารมณ์ศิลปิน

“แต่ดอกไม้นั่นมันกำลังรบกวนการซักผ้าของฉัน...นายไม่เห็นหรือไงว่ามันเกะกะเวลาฉันจะล้างผ้า” เธอบอกพร้อมกับชี้มือไปยังกลีบดอกไม้ที่ลอยวนไปวนมาอยู่ตรงหน้า

“คุณก็ขยับไปล้างตรงนั้นสิ...หรือจะเป็นตรงโน้นก็ได้...น้ำตรงนี้มันตื้นล้างผ้าแป๊บๆ เดี๋ยวก็ขุ่น” เขาแนะนำพร้อมกับโยนดอกไม้ในมือลงน้ำ แล้วร้องเพลงต่อโดยไม่สนใจกับดวงตาคมวาวเอาเรื่องของหญิงสาว

และท่าทางราวกับว่าปัญหาที่มีได้ถูกแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว ของคนที่นั่งอยู่ด้านบนก็ทำเอาคนที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างล่างอดขุ่นเคืองไม่ได้ เมื่อออกปากไล่แต่อีกฝ่ายยังไม่ขยับหนำซ้ำจำนวนดอกไม้ที่โปรยปรายเป็นระยะชักจะถี่กว่าเดิม หญิงสาวจึงยกกะละมังแล้วขยับไปนั่งซักอีกทาง โดยมีสายตาคมกล้าเหลือบมองเป็นระยะๆ พร้อมกับเสียงร้องเพลงที่ดังขึ้นทุกที

“คนบ้า...ร้องเพลงไม่เป็นภาษาแถมเสียงห่วยอย่างกับควายออกลูกยังมีหน้าแหกปากโชว์อีก” เมื่อออกปากไล่แล้วไม่ได้ผลนภัสชลจึงบ่นพึมพำกับตัวเอง

“คุณอยากขอเพลงไหม”

และเสียงดีเจก็ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นริมฝีปากของหญิงสาวขยับเหมือนกำลังพูดอะไร แต่พอเห็นเธอถลึงตาใส่ พ่อศิลปินใหญ่จึงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วทู่ซี้ร้องเพลงด้วยระดับเสียที่นภัสชะลอยากโยนหินใส่ปากคนร้องเต็มที

วริสาหันไปเลิกคิ้วกับชายหนุ่มแล้วลงมือซักผ้าที่เหลือต่อ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มออกทีละนิดๆ จนเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเพลงบทใหม่ซึ่งเธอไม่รู้ความหมายกำลังขับขานขึ้น พร้อมกับเสียงร้องที่เธอบอกได้คำเดียวว่ามันจะหลอนอยู่ในโสตประสาทไปอีกนานแสนนาน


ภูริชยังคงนั่งร้องเพลงอยู่บนโขดหินอย่างสบายอารมณ์ จวบจนหญิงสาวทั้งสองซักผ้าเสร็จเขาจึงลุกขึ้นโยนช่อดอกไม้ในมือลงน้ำแล้วยื่นมือออกไปรับกะละมังของนภัสชลที่เดินนำมาก่อนอย่างมีน้ำใจ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะหญิงสาวทำเป็นมองไม่เห็นและเลี่ยงเดินไปอีกทาง

พอเห็นคนตัวใหญ่ยืดตัวขึ้นยกมือข้างหนึ่งลูบผมแก้เก้อพลางส่งสายตาละห้อยมาที่เธอวริสาจึงอดยิ้มไม่ได้ ก่อนยื่นกะละมังของตัวเองไปให้เมื่ออีกฝ่ายแสดงน้ำใจ

“คุณหมอช่างเป็นคนปราดเปรื่องจริงๆ”

เมื่อความช่วยเหลือได้รับการยอมรับคนที่เพิ่งถูกหักหน้ามาหมาดๆ ก็เริ่มแกว่งปากหาเรื่อง

“ฉันไปปราดเปรื่องเรื่องอะไรงั้นเหรอ” วริสาหันไปถาม

“ก็คนฉลาดเขาต้องรู้จักแบ่งความลำบากมาให้คนอื่นน่ะสิ...”

คำตอบที่ลอยออกมาทำเอาณภัสชลแทบสะดุดเท้าตัวเอง...หน็อยแน่อีตากะเหรี่ยงไร้อารยธรรมกล้ามาว่าเธอโง่ซึ่งๆ หน้าเลยเหรอเนี่ย...หญิงสาวหันไปถลึงตาใส่คนปากร้าย...แล้วเข่นเขี้ยวในใจอย่างอาฆาต...ฮึถ้าอีตานี่ถูกลูกกระสุนเจาะลงบนร่างเธอสาบานว่าจะไม่เหลียวแลเด็ดขาด

แม้อยากจะเอากะละมังในมือลอยหวือใสหน้าอีกฝ่ายแต่เพราะทำอะไรไม่ได้เธอจึงสะบัดหน้ากลับและก้าวฉับๆ นำหน้าไปก่อน

“อ้าว...เพื่อนคุณหมอเป็นอะไรไป”

พอเห็นท่าทางปั้นปึงของณภัสชลชายหนุ่มจึงหันไปถามหญิงสาวที่เดินยิ้มอยู่ข้างๆ ด้วยประกายตาใสซื่อ

“คงเคืองที่นายไปว่าเขาน่ะสิ”

“ผมไปว่าอะไรเธอตอนไหน...อย่าใส่ร้ายกันสิหมอ”

วริสาจ้องดวงตาของคนพูดแล้วอมยิ้มเมื่อเห็นประกายใสซื่อผุดพรายออกมา...

“เธอว่าคนฉลาดต้องรู้จักแบ่งปันความลำบากให้คนอื่น...รู้ไหมคำพูดเมื่อกี้มันไปกระทบกับณภัสเพราะเขาไม่ยอมให้นายช่วยไง”

“โอ๊ย...ผมเปล่าว่าเพื่อนคุณหมอนะ...” ชายหนุ่มทำเป็นโวยวายพลางลอบมองหญิงสาวอีกคนที่เดินปั้นปึ่งอยู่เบื้องหน้า

“ไม่ว่าก็เหมือนว่านั่นแหละเพราะถ้านายบอกว่าคนฉลาดต้องทำแบบไหนหากอีกคนทำตรงกันข้ามก็เท่ากับนายพูดกระทบเขา”

ภูริชหันไปมองคนที่กำลังไขข้อข้องใจของตนแล้วร้องอ๋อออกมา

“อ้อ...มันเป็นแบบนี้เอง...แต่ให้ฟ้าผ่าตายเถอะหมอผมไม่ได้ตั้งใจว่าใครจริงๆ ไอ้ผมมันก็คนป่าคนดอยคิดอะไรก็พูดไปตามประสาซื่อ...อย่าถือสาเลย”

แม้รู้อยู่เต็มอกว่าคำพูดของตนจะต้องกระทบใจอีกคน แต่ภูริชก็ยังทำหน้าใสซื่อจนวริสาเชื่อสนิทใจ

“คราวหน้าจะพูดอะไรก็คิดๆ หน่อยสิเห็นไหมเพื่อนฉันเดินฉับๆ ไม่เหลียวหลังแล้ว” หญิงสาวเตือนพร้อมกับโบ้ยปากไปข้างหน้าแล้วหันไปยิ้มกับคนป่าหน้าซื่อ ในขณะตัวต้นเหตุมองตามร่างเพรียวบางไปอย่างขบขันแล้วภาวนาอยู่ในใจ...หวังว่าเธอคงจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น และอาฆาตจนทำให้เขาถูกเพื่อนรักกระหน่ำด้วยฝ่าเท้าเมื่อพาเธอไปส่งจนปลอดภัย...

ณภัสชลปาดเหงื่อที่เริ่มผุดซึมออกมาตามไรผม จนนึกอยากเอากะละมังไปวางในมือของคนปากเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะทิฐิจึงทำให้เธอยอมกัดฟันแบกกะละมังเดินข้ามเนินจนถึงทางเข้าค่าย

“อ้าวมองเทร์ทำไมนายไม่ช่วยคุณหมอถือกะละมัง”

พอเท้าก้าวเข้าเขตค่ายเสียงตำหนิของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“แล้วไอ้นี่เขาเรียกอะไรเรอะ” ภูริชชูของในมือให้อีกฝ่ายดูแล้วถามกลับเสียงขุ่น

“นายนี่แย่จริงๆ สุภาพสตรีมีสองคนแต่เลือกช่วยแค่หนึ่งจะไม่เป็นการเลือกปฏิบัติไปหน่อยหรือ...คุณหมอส่งกะละมังมาสิครับเดี๋ยวผมช่วยถือให้”

เตโชต่อว่าก่อนจะยื่นมือออกไปรับกะละมังจากนภัสชล พอเห็นอีกฝ่ายหยิบยื่นน้ำใจมาให้คนที่แบกทิฐิมาพักใหญ่จึงไม่ลังเลที่จะรับความช่วยเหลือ หญิงสาวกล่าวขอบคุณพร้อมกับยื่นสิ่งของในมือไปให้ ก่อนจะเหลือบไปมองตัวต้นเหตุของความเหนื่อยแล้วเผลอยิ้มออกมาชั่วแวบเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่ถูกตำหนิ

ภูริชหันไปทำหน้าเหวอกับวริสาแม้อยากจะแก้ต่างให้ตัวเอง แต่เพราะไม่อยากให้คุณหมอขี้รำคาญเสียหน้าเขาจึงทำเฉยเสีย

“นายมาก็ดีแล้วเตโช” ร้อยเอกหน้าเข้มเอ่ยขึ้นหลังวางกะละมังลงบนแคร่ข้างราวไม้ไผ่ใช้สำหรับตากผ้า

“มีอะไรงั้นหรือ”

เตโชวางกะละมังในมือลงข้างกันเงยหน้าขึ้นถาม ก่อนจะถอยออกไปยืนอีกด้านเพื่อเปิดทางให้หญิงสาวทั้งสอง

“ฉันว่าเราน่าจะหัดคุณหมอให้ยิงปืน”

“อะไรนะ!”

คำพูดของภูริชไม่ได้มีแค่เตโชเท่านั้นที่ตื่นตระหนก เพราะคนที่กำลังตากเสื้อผ้าอยู่ใกล้ๆ ต่างก็สะดุ้งไปกับความคิดแผลงๆ ของเขาไม่ต่างกัน

“พวกคุณยิงปืนเป็นไหมล่ะ” ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาวทั้งสองโดยสายตาจับนิ่งอยู่ที่นภัสชล ขณะคนถูถามได้แต่มองหน้ากัน

“อ้าว...ว่าไงเป็นหรือไม่เป็น” เขาถามซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความรำคาญอย่างเห็นได้ชัด

“จะเป็นหรือไม่เป็นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย” เมื่ออดไม่ได้นภัสชลจึงตอบสวนกลับไป

“ก็เกี่ยวน่ะสิถ้าไม่เกี่ยวผมจะถามให้เมื่อยปากทำไม”

และคำตอบที่สวนกลับมาก็ทำเอาริมฝีปากของหญิงสาวถึงกับอ้าค้างเพราะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะใช้ถ้อยคำชนิดที่เรียกได้ว่าขวานผ่าซาก

“เฮ้...มองเทร์ทำไมนายถึงพูดกับคุณหมอแบบนั้น” เตโชที่ถนัดเป็นคนไกล่เกลี่ยหันไปตำหนินายทหารผ่าซากน้ำเสียงจริงจัง

“ฉันก็พูดไปตามที่รู้สึก...อีกอย่างที่ถามก็เพราะหวังดีแต่นายดูหล่อนสิเห็นความหวังดีของฉันไหม”

“นายถามพวกเธอดีๆ ก็ได้...”

“อ้าวแล้วที่ฉันถามไปเมื่อกี้มันไม่ดีตรงไหน”

เตโชแทบหมดคำโต้เถียงเมื่อเห็นประกายตาใสซื่อของคนตรงหน้า...เฮ้อ...เจ้ามองเทร์มันดิบเถื่อนสมกับคำร่ำลือจริงๆ

“รีบตากผ้าเข้าสิแม่คุณเสร็จแล้วจะได้ไปหัดยิงปืนกัน”

พอเตโชไม่พูดอะไร คนเจ้าความคิดก็หันไปเร่งลูกศิษย์น้ำเสียงจริงจัง

“ฉันบอกแล้วเหรอว่าจะไปทำเรื่องบ้าๆ นั่นกับนาย” นภัสชลที่ตากผ้าใกล้เสร็จหันไปถาม

“ก็ตามใจถ้าคิดว่ามันไม่สำคัญ แต่ขอเตือนด้วยความหวังดีว่าอยู่ที่นี่ไม่มีใครเขาดูแลคุณได้ดีเท่ากับตัวเองหรอกนะ คุณลองมองไปรอบๆ สิ ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลและที่สำคัญมันไม่ใช่ประเทศของคุณ ทุกย่างก้าวมีอันตรายทั้งนั้น”

แม้ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงอยากให้พวกเธอไปฝึกยิงปืน แต่พอได้ยินเหตุผลคนที่ทำท่าดึงดันแต่แรกก็อดคล้อยตามไม่ได้

“ความจริงเราก็มีทหารคอยดูแลคุณหมออยู่แล้ว ถ้าเธอไม่อยากฝึกเราก็อย่าฝืนใจเลย” เตโชช่วยพูดเพราะเกรงว่าหญิงสาวทั้งสองอาจจะลำบากใจ

“ฉันจะลองหัดดูก็ได้...ไปกันนะนภัส” วริสาเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันไปชวนเพื่อนเมื่อวางผ้าชิ้นสุดท้ายลงบนราว

“แต่...จะดีเหรอลี...พวกเราไม่เคยจับปืนไม่รู้ว่าจะเผลอทำมันลั่นหรือเปล่า บอกตรงๆ ว่าเรากลัว” หญิงสาวบอกเพื่อนเสียงอ่อย

“คุณก็คิดว่ามันเป็นเข็มฉีดยาสิ...หรือไม่ก็เป็นมีดที่ใช้เฉือนเนื้อคนในยามที่ลงมือผ่าตัดเป็นไง”

และคำแนะนำที่ลอยมาก็ทำเอาแพทย์สาวทั้งสองแทบสำลักน้ำลายที่กำลังกลืนลงคอ...ให้ตายเถอะพ่อคุณไปเอาความคิดบ้าๆ นั่นมาจากไหน...คิดว่าปืนเป็นเข็มฉีดยาเนี่ยนะ...ช่างกล้าแนะนำ

“เอาล่ะตากผ้าเสร็จแล้วก็รีบตามมา...เตโชนายมีปืนพกขนาดกำลังดีที่พวกผู้หญิงเขามีปัญญาใช้หรือเปล่าล่ะ”

“ก็พอมีเดี๋ยวจะไปเอามาให้”

“เออ...นายช่วยสั่งคนไปจัดเป้าให้สักสองจุดตรงใต้ต้นไม้นั่นด้วยก็แล้วกัน...ว่าแต่พวกคุณอยากลองยิงคนเป็นๆ ดูไหมเล็งเป้านิ่งมันไม่ถึงใจหรอก ถ้าจะให้มันสมจริงต้องยิงเป้าดิ้นได้” ภูริชชี้มือไปยังต้นไม้ใหญ่ถัดออกไปราว 50 เมตรก่อนจะหันไปทางนภัสชลแล้วแนะนำ

“ถ้าเป้าที่ว่าเป็นนายฉันก็อยากลองดูเหมือนกัน”

และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำเอาคนนำเสนอถึงกับเบรกอาการห่ามดังเอี๊ยด...พอเห็นสีหน้าของคนพูดดูจริงจังนายทหารหน้าเข้มจึงยิ้มแหยๆ ในขณะเตโชหันไปยิ้มกว้างกับนภัสชลเพราะถูกใจกับคำตอบนั่นจนอยากปรบมือให้กับความรู้เท่าทันของเธอ


href="//www.bloggang.com/data/s/sansook/picture/1325485249.jpg" target=_blank>


Create Date : 02 มกราคม 2555
Last Update : 2 มกราคม 2555 19:19:05 น. 0 comments
Counter : 592 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.