sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
15 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๒ ถนนสายอุดมการณ์



ตอนที่ ๒ ถนนสายอุดมการณ์

หลังจากเดินเท้าตัดสุมทุมพุ่มไม้มาตลอดคืนจนถึงรุ่งสาง พวกกลุ่มทหารยังคงเดินไปเรื่อยๆ จะหยุดพักบ้างก็ต่อเมื่อได้เวลาอาหารและพวกเขาจะใช้เวลาพักนั้นเพียงครู่เดียว ก่อนออกเดินทางต่อโดยแทบไม่หยุดพักอีกนอกจากสับเปลี่ยนกันแบกเปลสนาม

พวกเขาเดินผ่านป่ารกชัฏและหมู่บ้านน้อยใหญ่มาได้ครึ่งค่อนวันจนบ่ายคล้อย ในที่สุดกลุ่มทหารก็พาคนเจ็บที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเปลสนามโผล่มายืน ณ ที่ตั้งฐานทัพขนาดย่อมของกลุ่มคนไม่ปรากฏสัญชาติ ซึ่งโอบล้อมไปด้วยบ้านเรือนของชาวกะเหรี่ยงนับร้อยหลังคาเรือน

เมื่อถึงบริเวณทางเข้ามีทหารเฝ้าอยู่อย่างแข็งขัน ซาเยร์เดินนำกลุ่มทหารผ่านแนวไม้เข้าสู่ถนนลูกรังมุ่งตรงไปยังกระท่อมหลังใหญ่

“เกิดอะไรขึ้นหรือซาเยร์...นั่นผู้กองนี่” คำถามของใครคนหนึ่งดังขึ้นขณะผลุนผลันลงจากกระท่อมเมื่อเห็นว่าใครนอนอยู่ในเปลสนาม

“จาปอคืนนี้สั่งทหารให้ขยายเขตลาดตระเวนออกไปอีก ส่วนพวกแกรีบพาผู้กองขึ้นไปพักที่ห้อง” ซาเยร์ไม่ได้ตอบคำถามนอกจากออกคำสั่งที่เขาคิดว่ามีความสำคัญมากกว่า

“ซาเยร์ฉันถามแกไม่ได้ยินเรอะ...มันเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงคนถามบ่งบอกชัดว่ากำลังไม่พอใจ

“เราถูกซุ่มโจมตีตรงรอยต่อชายแดนฝั่งไทย ระหว่างเดินทางกลับฐาน”

“อะไรนะ! ถูกซุ่มโจมตี...มันเป็นพวกไหน...ทหารไทยหรือเปล่า”

“ไม่ใช่...ทหารไทยไม่เคยจู่โจมแบบกองโจร...คุณก็รู้นี่เตโชว่าทางการไทยไม่มีทางเข้าแทรกแซงนอกจากตรึงกำลังอยู่ฝั่งของตัวเองเท่านั้น” ซาเยร์ตอบไปตามสถานการณ์

“ถ้าอย่างนั้นพวกมันคงเป็นคนของนายพลลอซู เราเสียกำลังคนไปมากน้อยแค่ไหนทำไมผู้กองถึงถูกยิงได้...แล้วหมอล่ะ” เตโชถามอย่างร้อนใจเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่พบคนที่กำลังรอคอย

“เราเสียคนไปสาม ส่วนหมอถูกยิงอาการสาหัสเราพยายามพากลับมาแต่เขาทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกอย่างพวกนั้นรุกหนักมาก กว่าผู้กองจะพาพวกเราตีฝ่าออกมาได้ก็ร่อแร่อย่างที่เห็น”

“ให้ตายเถอะ...นายก็รู้ว่าหมอสำคัญกับเรามากแค่ไหน...ทำไมไม่ปกป้องหมอแล้วพากลับมาอย่างปลอดภัย...”

“เราพยายามแล้ว...” คนที่เพิ่งฝ่าดงกระสุนบอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงชัดว่าพวกเขาได้กระทำการทุกอย่างเต็มความสามารถแล้ว

“ถ้าไม่มีหมอแล้วใครจะรักษาทหารของเราที่กำลังนอนเจ็บอยู่ล่ะ”

“คงต้องขอไปที่หน่วยเหนือ” ซาเยร์ตอบแบบไม่ต้องหยุดคิด

“กว่าหน่วยเหนือจะส่งหมอมาฉันว่าไอ้ที่ร้องโอดโอยอยู่โน่นคงลงหลุมกันหมด ฉันบอกแล้วว่าอย่าพาหมอไป ถ้ามีใครเชื่อฉันบ้างเราคงไม่สูญเสียหมอ” เตโชชี้มือไปทางเรือนพยาบาลอย่างมีอารมณ์

“คนของเราที่ฐานทางโน้นก็ต้องการหมอเหมือนกัน” เมื่อถูกตำหนิซาเยร์จึงแสดงเหตุผลออกไปบ้าง
“แล้วผู้กองเป็นยังไงบ้าง” เมื่อไม่รู้จะกล่าวโทษอีกฝ่ายอย่างไร คนที่อารมณ์ยังขุ่นเคืองก็วกกลับมาถามถึงอาการของคนเจ็บที่หายลับเข้าไปในกระท่อม

“ปลอดภัยแล้ว เราพาไปให้หมอที่ฝั่งไทยช่วยรักษาก่อนพากลับมา” คำตอบของอีกฝ่ายทำเอาดวงตากร้าวดุของคนฟังเบิกขึ้นอีกเท่าตัว

“แกว่าอะไรนะ!...อย่าบอกนะซาเยร์ว่าพวกแกบุกไปจี้โรงพยาบาลที่ฝั่งไทย”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า...เราแค่เอ่อ...”

“แค่อะไร” พออีกฝ่ายอึกอักน้ำเสียงกร้าวดุจึงตวาดขึ้นอีกครั้ง

“เรา...เอ่อบุกไปบ้านหมอ”

“อะไรนะ!...ให้ตายเถอะ!....” และคำตอบที่โพล่งกลับมาก็ทำเอาคนฟังถึงกับอุทานเสียงดังลั่น

“ไม่มีใครตายหรอกน่า...”

“พวกแกบุกไปบ้านหมอแบบนั้นป่านนี้ไม่ใช่พวกทหารไทยแตกรังแล้วเรอะ แกก็รู้นี่ซาเยร์ว่าเราสู้สองทางไม่ไหวเกิดพวกนายพลลอซูรู้แล้วยืมมือทางการไทยเข้าแทรกแซงพวกเราไม่แย่เหรอ”

“เราไม่มีทางเลือกหรือคุณจะปล่อยให้ผู้กองตาย...” ซาเยร์ตอบกลับไปทันควัน

“พูดบ้าๆ ใครจะอยากให้ตาย...ผู้กองเป็นพี่ชายฉันนะ เอาเถอะไหนๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้วยังไงค่อยว่ากัน เดี๋ยวฉันจะเข้าไปดูอาการของผู้กอง ส่วนแกไปพักได้แล้ว”

เขาบอกเสียงห้วนก่อนจะหมุนตัวเดินกลับขึ้นกระท่อม ซาเยร์มองตามร่างสูงปราดเปรียวกระฉับกระเฉงสมวัยหนุ่มเดินหายเข้าไปในกระท่อมแล้วพ่นลมหายใจออกมา เตโชแม้ไม่ได้เป็นชายชาติทหารไม่เก่งและแกร่งเท่ากับพี่ชาย แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อยเพราะชายหนุ่มมีสามารถในการวางแผน โดยใช้ความรู้ทางด้านวิชาการที่เคยร่ำเรียนมาจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษคอยช่วยพวกเขาอีกทาง

เวลาเดือนเศษร่างสูงใหญ่สมชายฉกรรจ์เดินลัดแนวไม้เข้าสู่เขตเรือนพยาบาลซึ่งเป็นกระท่อมหลังใหญ่ปลูกสร้างอยู่กลางลานในที่โล่งกว้าง ด้านในมีแคร่ไม้ไผ่นับ 20 วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ บนแคร่มีคนเจ็บนอนอยู่เต็มทุกแคร่

“ผู้กองมีอะไรหรือเปล่าทำไมสีหน้าไม่ค่อยดีเลย...” คนที่กำลังสาละวนยู่กับการรักษาบาดแผลของทหารนายหนึ่งเอ่ยทักทายเมื่อเห็นสีหน้าของคนที่เพิ่งเดินเข้ามา

“ท่านนายพลเรียกตัวฉันกลับกองทัพ” ชายหนุ่มตอบพลางเดินไปยืนอยู่ข้างคนเจ็บก่อนจะวางมือลงบนหัวไหล่ผึ่งผายแล้วตบเบาๆ คล้ายให้กำลังใจ

“อะไรนะผู้กอง!”

“ทางกองทัพกำลังส่งฮอมาไม่น่าเกินสองชั่วโมงคงถึง นายจะไปกับฉันไหมซาเยร์”

“แล้วคนทางนี้ล่ะผู้กอง อีกอย่างเวลานี้ฝ่ายโน้นมันบุกขนาบเราทั้งซ้ายและขวาขืนทิ้งฐานไปตอนนี้มันก็เท่ากับปล่อยให้คนของเราเสี่ยงกับอันตราย” ซาเยร์ลุกขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหนักใจ

“ท่านนายพลแจ้งว่าที่มั่นตรงนี้ไม่ใช่จุดสำคัญนักบางทีอาจให้เราทิ้งฐานแล้วเคลื่อนย้ายคนเจ็บออกไปก่อน หรือไม่กองทัพอาจส่งคนมาแทนฉันชั่วคราว”

“คนพวกนั้นเสียสติไปแล้วหรือยังไง ถึงพูดออกมาได้ว่าฐานตรงนี้ไม่ใช่จุดสำคัญทั้งๆ ที่เราก็รู้ว่ามันมีความสำคัญต่อภูมิประเทศมากขนาดไหน ถ้าเราทิ้งฐานแล้วถูกพวกนั้นยึดเห็นทีช่องทางสัญจรเส้นสำคัญๆ คงถูกตัดขาดไม่มีเหลือ” คนพูดบอกอย่างมีอารมณ์

“ฉันส่งเอกสารอธิบายถึงความสำคัญของฐานที่มั่นให้ท่านนายพลทราบแล้ว รวมถึงผลการวิเคราะห์ของเตโช แต่ทางโน้นยืนยันว่ามีแผนที่ดีกว่าถ้านายจะไปกับฉันก็เตรียมตัวเถอะ” ชายหนุ่มตัดบทพร้อมกับหมุนร่างเดินกลับออกไป

“แล้วหมอล่ะผู้กอง...” คำถามที่ดังขึ้นหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าให้หยุดชะงัก

“คงกำลังเดินทางมาพร้อมกับฮอฉันแจ้งท่านนายพลไปแล้ว” เขาบอกแค่นั้นก่อนผลักบานประตูแล้วก้าวผ่านออกไป ทิ้งให้หมอจำเป็นมองตามร่างสูงใหญ่อย่างปลงไม่ตกว่าจะติดตามหัวหน้าหรืออยู่สู้กับผู้รุกรานที่รุกคืบเข้ามาทุกที

ซาเยร์ทรุดนั่งลงข้างทหารที่บาดเจ็บแล้วลงมือรักษาบาดแผลไปเงียบๆ ในขณะความคิดเริ่มแตกแขนง ชายหนุ่มมองเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานด้วยประกายตายุ่งยากใจ

“ซาเยร์ไปกับผู้กองเถอะพวกเราจะรักษาฐานไว้ให้มั่นไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้ามาเด็ดขาด” เสียงแหบพร่าของคนเจ็บดังขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของคนที่ยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้

“ฉันกลัวว่าถ้าผู้กองต้องไปจริงๆ คนของเราจะยิ่งเสียกำลังใจน่ะสิ”

“เมื่อกี้ผู้กองบอกนายไม่ใช่เหรอว่ากองทัพมีแผนที่ดีกว่า...เวลานี้พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่ากำลังพลของทางโน้นแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า อาวุธของพวกเขาก็ล้ำหน้ากว่ามาก ถ้าเราสู้แบบเดิมคงไม่มีทางชนะแน่”

ซาเยร์นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่เมื่อเห็นว่าคำพูดของคนเจ็บมีส่วนถูกอยู่มาก เขาจึงพ่นลมหายใจออกมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ


หลังเท้าแตะกับผืนดินชยินเดินตรงดิ่งเข้าไปในตัวตึกตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เมื่อก้าวเข้าไปด้านในจึงเดินลิ่วเข้าไปยังห้องประชุมทันที พอร่างสูงโผล่พ้นประตูเดินเข้าไปทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างผู้นำสูงสุดของกองทัพ บุคคลอื่นๆ จึงเริ่มขยับตัว ส่วนซาเยร์ขยับไปยืนชิดกับผนังห้องอีกด้านในฐานะผู้ติดตาม

“ตามระยะเวลาที่กำหนดแกควรมาถึงเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วไม่ใช่หรือ...ทำไมถึงเพิ่งมา...” คำถามแรกจากผู้นำสูงสุดของหน่วยเอ่ยคล้ายตำหนิกลายๆ

“คนของเราบาดเจ็บไม่น้อยในฐานะผู้บังคับบัญชา ผมจำเป็นต้องอยู่ดูอาการของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และมอบหมายงานให้กับคนที่ท่านส่งไป” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

“ผู้พันเกซาร์รายงานมาว่าฐานทัพนั่นมันไม่ได้มีความสำคัญอะไรความจริงน่าจะทิ้งฐานแล้วมุ่งหน้าไปรวมกับกองกำลังทางเหนือ”

“ผู้พันทราบได้ยังไงว่าฐานทัพนั่นไม่มีความสำคัญ” ผู้กองหนุ่มถามพร้อมกับหันไปทางผู้พันเกซาร์

“จากรายงานนี่ไง” ชายวัยกลางคนหยิบปึกเอกสารตรงหน้ายื่นให้ มือหนายื่นมือออกไปรับรายงานจากอีกฝ่าย แล้วเปิดอ่านอยู่ชั่วครู่ก่อนจะวางลงเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของรายงานแล้วเหยียดริมฝีปากเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ใช่

“ถ้านี่เป็นรายงานจากสายของผู้พัน ผมคิดว่าเจ้าสายคนนี้มันคงจะนั่งเทียนเขียนเป็นแน่ ท่านนายพลอ่านผลวิเคราะห์ของเตโชหรือยัง” ชายหนุ่มปรายตามองเจ้าของรายงานพร้อมกับหันไปตั้งคำถามผู้นำสูงสุด

“ผลวิเคราะห์อะไร?” คนถูกถามจ้องอีกฝ่ายสีหน้าฉงน

“ผลวิเคราะห์ถึงความสำคัญของฐานทัพเราที่พวกนั้นพยายามบุกเข้ายึดครอง ถ้าท่านนายพลถูกปิดหูปิดตาโดยรายงานพวกนี้ ท่านคงไม่ทราบว่าฐานที่มั่นตรงนั้นนอกจากจะเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติแล้ว มันยังเชื่อมเส้นทางสำคัญของเราและประเทศไทย อีกทั้งเป็นเส้นทางคาราวานสินค้าจากไทยไปสู่พม่า และเป็นเส้นทางขนสินค้าต้องห้ามจากพม่าสู่ไทย พื้นที่แม้ดูเหมือนเป็นแค่เพียงสนามรบระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กับกองทัพของรัฐบาล แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นตลาดการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญยิ่ง นับว่าเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของกองกำลังของเราเลยก็ว่าได้”

ชายหนุ่มอธิบายไปตามความชำนาญในพื้นที่และเอกสารที่ได้รับจากน้องชาย

“มันมีผลวิเคราะห์นั่นด้วยหรือ...เกซาร์ทำไมฉันไม่เคยรู้” คำถามที่มาพร้อมกับสายตาเคลือบแคลงสงสัยของผู้เป็นนายกำลังทำให้คนที่ต้องตอบเริ่มอึกอัก

“ผมไม่ทราบว่าผู้กองพูดถึงเรื่องอะไร อีกอย่างเส้นทางคาราวานสินค้าสายสำคัญใครๆ ก็รู้ว่ามันอยู่ทางตอนเหนือไม่ใช่ที่นั่น” ผู้พันเกซาร์บอกปัดดื้อๆ

“ถ้าผู้พันไม่ทราบว่าผมกำลังพูดถึงอะไรมันก็คงไม่จำเป็นที่จะอธิบาย แต่ถ้าท่านนายพลข้องใจอยากทราบว่ามันคืออะไร ผมมีรายงานจากผลวิเคราะห์ของเตโช”

ผู้กองหนุ่มหันไปทางคนติดตามที่ยืนสงบนิ่งอยู่ในที่ของตนพลางพยักหน้า ซาเยร์โค้งศีรษะรับคำสั่งของเจ้านายพร้อมกับดึงซองสีน้ำตาลเข้มออกมา ก่อนจะทำความเคารพวางเอกสารลงตรงหน้าเจ้านายแล้วถอยออกมา

เวลาผ่านไปราว 15 นาทีทุกคนในห้องประชุมเริ่มขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด เพราะความเงียบกำลังเข้าครอบงำ นายพลวัย 50 ปลายๆ ใช้เวลาอีกชั่วครู่กับข้อมูลที่อัดแน่นอยู่ในมือ เมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรใบหน้าเคร่งขรึมค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดก่อนจะปรับเป็นเรียบเฉย

“ถ้าข้อมูลของเตโชเป็นเรื่องจริงเห็นทีเราคงต้องส่งกำลังไปเสริมให้เร็วที่สุด...อย่าให้พวกนั้นยึดฐานที่มั่นได้เด็ดขาด”

“ผมควรกลับไป” ชยินเอ่ยขึ้นแทบจะทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

“แกได้รับบาดเจ็บไม่ใช่หรือชยิน...” คำถามที่สวนออกมาทันควันมีความห่วงใยปะปนอย่างเห็นได้ชัด แต่คนถูกถามกลับทำเฉย

“ตอนนี้หายดีแล้ว...”

“เวลาแค่เดือนกว่าๆ แผลมันคงหายไม่สนิท เท่าที่รู้อาการของแกมันหนักไม่ใช่เล่นนี่ เอาเถอะอย่างไรจะส่งคนที่ไว้ใจได้ไปแทน ตอนนี้พ่อมีงานสำคัญให้แกไปจัดการ ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” พอประเด็นสำคัญถูกหยิบยกบรรยากาศในห้องประชุมจึงกลับมาเงียบเชียบอีกครั้ง

“สายของเรารายงานว่าฝ่ายนายพลลอซูกำลังมีแผนการใหญ่ เจ้านั่นสั่งอาวุธจากอเมริกาและนัดส่งของผ่านนายหน้าที่เป็นคนไทยโดยจะลำเลียงขนอาวุธตรงชายแดนไทย - พม่าแต่ยังไม่รู้จุดชัดเจน ถ้าอาวุธพวกนั้นถึงมือพวกมันเหตุการณ์คงนองเลือดมากกว่านี้”

“รายงานจากสายนั่นมันน่าเชื่อถือได้แค่ไหน เพราะผมคิดว่าการลำเลียงอาวุธผ่านชายแดนไทยมันไม่สามารถทำได้ง่ายๆ” เพราะแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองของทางการไทยตั้งด่านตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายอย่างเคร่งครัดในทุกเส้นทางผู้กองหนุ่มจึงแสดงความคิดเห็นออกไป

“สายของเรารายงานว่านายหน้าคนนั้นมีอิทธิพลพอสมควร และที่สำคัญพวกนั้นยังคิดใช้ชื่อลูกสาวซึ่งอยู่ในพื้นที่เป็นใบเบิกทางในการเคลื่อนย้ายของ...น่าเสียดายที่ยังทันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไรสายคนนั้นก็ถูกเก็บเสียก่อน แต่ก็นับว่ายังเป็นโชคที่เจ้านั่นส่งรูปถ่ายของเธอมาก่อนจึงทำให้เรารู้ที่อยู่ของเป้าหมาย”

“มันหมายความว่ายังไง” ชยินมองคนพูดสีหน้าไม่เข้าใจ

“จากรายงานที่พอจับใจความได้ ทราบว่ามีหมอคนหนึ่งในพื้นที่เป็นลูกสาวของนายหน้าค้าอาวุธคนนั้น”

“แล้วมันเกี่ยวกันยังไง...” นายพลสูงวัยปรายตามองใบหน้าคนถามแล้วเหยียดยิ้มก่อนจะเอ่ยเพียงสั้นๆ ว่า

“เราจะใช้เธอเป็นตัวต่อรอง”

“ใช้ผู้หญิงเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองมันไม่ใช่วิสัยของทหารหาญ...และยิ่งเธอเป็นหมอของไทยผมยิ่งไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้เราต้องเสี่ยงกับการแทรกแซงของกองทัพฝ่ายไทย” ชยินมองหน้าผู้นำสูงสุดของหน่วยด้วยประกายตาเยือกเย็น

“ก่อนแกมาถึงพวกเราได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ในที่ประชุมเห็นด้วยกับแผนนี้ทุกประการ และทุกคนให้ความเห็นว่าคนที่ต้องไปพาตัวเธอมาต่อรองกับอาวุธพวกนั้นก็คือแก” คำพูดของนายพลสูงวัยแม้จะฟังดูเนิบๆ แต่ในกระแสเสียงกลับบ่งบอกถึงความเด็ดขาดเอาจริง

“แต่...” ผู้กองหนุ่มพูดได้แค่นั้นเพราะคำสั่งที่ตามมาติดๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โต้แย้งใดๆ

“แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธเพราะถ้าอาวุธถึงมือพวกนั้นเมื่อไรฝ่ายที่เสียเปรียบก็คงไม่พ้นเรา ชยินเราต้องพลิกผันเอาโอกาสที่มีมาเป็นข้อได้เปรียบ...และนี่คือบ้านพักของหมอคนนั้น หน้าที่ของแกคือต้องไปเอาตัวเธอมาให้ได้”

นายพลสูงวัยพูดพลางยื่นรูปถ่ายขนาดเหมาะมือไปให้ ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้าคมเข้มหันไปจ้องหน้าคนพูดด้วยประกายตาไม่เห็นด้วยอย่างโจ่งแจ้ง ก่อนจะเบนกลับมามองรูปถ่ายในมือ...แล้วพ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา

ดวงตาคมกล้าประดุจใบมีดโกนจ้องภาพบ้านพักหลังเล็กๆ ที่มีใบหน้าของใครคนหนึ่งพร่าเลือนอยู่ในนั้น แม้จะเห็นไม่ชัดเจนแต่เขากลับรับรู้ถึงสีหน้าที่แสดงถึงความเหนื่อยล้าแต่ทว่ามีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของหญิงสาวในเสื้อกาวน์...และใบหน้านั้นกำลังทำให้เขาหวนนึกถึงตัวเอง...เขาและเธอต่างเดินอยู่บนถนนทางสายอุดมการณ์มีหน้าที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง...เฮ้อ!...แล้วเขาจะทำอย่างไรดี




Create Date : 15 ธันวาคม 2554
Last Update : 15 ธันวาคม 2554 11:43:06 น. 7 comments
Counter : 564 Pageviews.

 
หลังจากเงียบหายไปนาน วันนี้อักษรานำตัวการที่ทำให้งานหยุดชะงักมาให้ยลโฉมกันค่ะ

น้องชื่อ เอมมี่ คลอดเมื่อวันที่ 3 พ.ย. 54 น้ำหนักแรกคลอดอยู่ที่ 2,590 ตอนนี้ปาเข้าไป 5 โล แล้วค่ะ สุขภาพแข็งแรงดี ตอนนี้อายุได้ 1 เดือนกับอีก 12 วันแล้วน้องเลี้ยงง่ายไม่ค่อยโยเย แต่กินเก่งมากช่วงนี้ต้องอาศัยจังหวะน้องหลับมาแอบปั่นนิยายให้แฟนๆ อ่าน จะพยายามอัพให้ได้ทุกวันถ้าวันไหนไม่ได้อัพหรือหายไปนานขอแจ้งไว้ก่อนนะคะว่าอุปสรรคคืออินเทอร์เน็ทที่บ้านเลเวลต่ำมากๆ ค่ะ



โดย: sansook วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:12:31:42 น.  

 
น้องน่ารักมากค่ะ ยินดีด้วยนะคะกับความรักอันยิ่งใหญ่นี้


โดย: pagai IP: 113.53.232.250 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:12:34:29 น.  

 
ดีใจจังคุณเอ๋กลับมาแล้ว ยินดีด้วยนะค้า น้องน่ารักม๊ากกกกค่ะ จมูกงี้โด้วเฟี๊ยวเลยนะคะ


โดย: Vergo IP: 202.122.130.31 วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:16:17:11 น.  

 
สวัสดีครับคุณเอ๋

หลานเอมมี่หน้าตา ผิวพรรณผ่องใส อารมณ์ดี แล้วยังเลี้ยงง่ายไม่โยเย คงเป็นเพราะได้คุณแม่ที่เอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี
ขอให้ทั้งแม่และลูกมีสุขภาพแข็งแรง และหลานเอมมี่ยอมให้เวลาคุณแม่เขียนหนังสือตามที่ต้องการครับ

ตอนนี้น้ำกับผม จากกันด้วยดีครับ นับเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ ก่อนจากไปก็อ้อยอิ่งกันอยู่นานครับ


โดย: Insignia_Museum วันที่: 15 ธันวาคม 2554 เวลา:20:40:13 น.  

 
กรี๊ด น้องน่ารักจังค่ะ พอเห็นblogคุณอักษราอัพปั๊บ กรี๊ดดีใจมากเลยคร๊า


โดย: Kwanita IP: 115.87.203.24 วันที่: 17 ธันวาคม 2554 เวลา:13:00:32 น.  

 
นางสาวไทยตัวน้อยของช้านนน ขออุ้มหน่อย


โดย: jee IP: 10.249.112.88, 182.255.9.34 วันที่: 20 ธันวาคม 2554 เวลา:10:28:03 น.  

 
มาอุ้มที่โคราชค่ะป้าจี๋


โดย: sansook วันที่: 27 ธันวาคม 2554 เวลา:22:03:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.