sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
3 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๒๐ ทางเลือกเพื่อทางรอด



ภูริชเดินเข้าหมู่บ้านด้วยท่าทางที่ยังกรุ่นไปด้วยความขัดแย้ง เมื่อเดินพ้นหมู่บ้านเข้าสู่ค่ายชายหนุ่มจึงหยุดอยู่ตรงกลางลานกวาดมองไปรอบๆ ก่อนหยุดสายตาที่กระท่อมหลังใหญ่

เขาควรแจ้งข่าวนี้ให้ชยินทราบหรือปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของมัน เมื่อคำถามยุติลงตรงหัวข้อสุดท้ายเสียงพ่นลมหายใจก็ดังตามมาติดๆ

“เฮ้อ! เอาไงดีวะเรา” ชายหนุ่มถอนใจแล้วถามตัวเองอีกครั้งเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป

ชยินมองร่างสูงใหญ่ยืนกระสับกระส่ายอยู่กลางลานผ่านหน้าต่างห้องนอนสายตานิ่งแน่ว ก่อนวกกลับไปถามทหารสองนายด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

“พวกนายบอกว่าเห็นมองเทร์หายไปกับผู้หญิงใช่ไหม”

“ใช่ครับผู้กองพวกเราสองคนเห็นไอ้...เอ่อมองเทร์หายไปกับสาวชาวบ้านตรงต้นไม้ใหญ่ห่างจากค่ายไปทางธารน้ำด้านทิศตะวันตก” ทหารหนึ่งในสองรีบรายงาน

“แล้วพอรู้ไหมว่าผู้หญิงที่มาหามันเป็นใคร”

“ตอนนี้ยังไม่ทราบเท่าที่ถามจากทหารยามชุดก่อนเห็นบอกว่าไม่ค่อยคุ้นหน้าสักเท่าไร คงเป็นสาวชาวบ้านแถวๆ นี้นั่นแหละผู้กอง”

“มันหายไปทำอะไร” คำถามที่สวนกลับมาทำเอาคนถูกถามถึงกับหันมองหน้ากันแล้วอ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะตอบผู้เป็นนายว่าอย่างไร

“เอ่อ...”

“ฉันถามว่ามันหายไปทำอะไร” ชยินถามซ้ำอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่เข้มขึ้น

“เอ่อ...พวกเราคิดว่ามองเทร์คงหายไปทำเรื่องอย่างว่าเลยไม่ได้ตามไปดู” และคำตอบอ้ำอึ้งที่ได้รับก็ทำให้คนถามจ้องอีกฝ่ายสายตาเอาเรื่อง

“ฉันสั่งให้ตามมันไปและกลับมารายงานว่ามันไปทำอะไรที่ไหนกับใครแต่พวกนายกลับคิดเองเออเองแล้วกลับมารายงานฉันงั้นเรอะ” น้ำเสียงที่คะคอกกลับมาทำเอาทหารทั้งสองถึงกับสะดุ้งจนลนลานก่อนจะละล่ำละลักออกไปว่า

“โธ่...ผู้กองจากสภาพที่เห็นมันคงคิดเป็นอื่นไม่ได้ผู้หญิงกับผู้ชายหายไปในที่ลับตาคนมันคงไม่พ้นเรื่องอย่างว่านั่นแหละ”

“แน่ใจหรือว่ามองเทร์มันไปทำอะไรอย่างนั้นจริงๆ พวกนายลองมองไปที่ลานนั่นสิดูจากสภาพฉันมองยังไงก็ไม่น่าใช่” ชยินชี้มือออกไปยังจุดที่ภูริชยืนอยู่แล้วจ้องนายทหารทั้งสองตาเขม็ง

“ไม่น่าเชื่อว่ามองเทร์มันจะยังไม่หมดแรง” พอเยี่ยมหน้าออกไปมองทหารหนึ่งในสองจึงเปรยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของเป้าสายตาไม่มีท่าทางอ่อนแรงอย่างที่ควรเป็น

“นั่นสินอกจากไม่หมดแรงแล้วดูท่าทางจะงุ่นง่านมากกว่าเก่าอีกเอ็งว่าไหม” ทหารอีกนายชะเง้อมองตามเพื่อนแล้วออกความเห็นบ้าง

“พวกนายเห็นแค่นั้นเองรึ” พอได้รับคำตอบคนเป็นนายจึงแค่นเสียงถาม

“ผมคิดว่ามันคงกำลังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรกลับไปนอนหรือกลับลงไปที่หมู่บ้าน” ชยินแทบยกขาขึ้นถีบคนพูดเพราะชักเหลืออดกับความไม่เท่าทัน

ขณะบนกระท่อมกำลังมีมวลอารมณ์หงุดหงิดของคนเป็นนายแผ่กระจายไปยังลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องจนจะเกิดการลงไม้ลงมืออยู่รำไร ส่วนกลางลานคนที่กำลังถูกหยิบยกเป็นประเด็นกลับหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้

ภูริชยังคงเดินวนไปเวียนมาราวหนูติดจั่น ก่อนจะหยุดเดินหันไปมองกระท่อมหลังใหญ่แล้วเบนสายตาไปยังหน้าที่ของตนซึ่งซุกตัวเงียบอยู่ในกระท่อมอีกหลัง

เขายืนจ้องกระท่อมที่แพทย์หญิงทั้งสองคนพักอยู่ครู่ใหญ่ พอตัดสินใจได้จึงมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้นทันที พอชายหนุ่มเริ่มออกเดินเสียงของนายทหารหนึ่งในสองก็โพล่งขึ้นทันที

“ผู้กองนั่นไงคำตอบ”

“อะไรคือคำตอบ” ชยินละสายตาจากภูริชหันไปถาม

“คำตอบว่ามองเทร์คิดจะทำอะไรอย่างไรล่ะผู้กอง นั่นเห็นไหมมันเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด”

“อ้อ...แกคงคิดว่ามองเทร์มันกำลังจะไปหาคุณหมอใช่ไหมลอเซอ” คำถามของทหารอีกนายหยุดสายตาคมกริบของชยินที่จ้องนิ่งมาที่พวกตนให้เบือนออกไปยังนอกหน้าต่างแทบจะทันที

“ข้าไม่ได้คิดแต่เอ็งเห็นนั่นไหมว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” เมื่อเห็นว่าคู่ปรับกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนชยินจึงไม่รอฟังคำสันนิษฐานจากใครอีก

“พวกนายตามฉันมาถ้ามองเทร์มันคิดล้ำเส้นคืนนี้คงต้องมีการสั่งสอนกันบ้าง” คำสั่งที่มาพร้อมกับร่างของผู้เป็นนายพรวดพราดออกจากห้องไปหยุดอาการคึกคะนองของนายทหารทั้งสองทันที

“งานนี้แกว่ามองเทร์มันจะม่องเท่งไหมวะ” จาฟานึกสนุกกับความขัดแย้งของทั้งคู่หันไปกระซิบกับเพื่อน

“ถ้ามันแตะคุณหมอคนสวยนั่นจริง ข้าว่าผู้กองคงไม่เอาไว้ทำพันธุ์แล้วล่ะ” คนถูกถามพยักหน้าเห็นด้วยเมื่อเห็นว่าสถานการณ์กำลังส่อไปในทางตึงเครียด ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามหลังผู้เป็นนาย


“นั่นแกจะไปไหนเรอะมองเทร์”

ภูริชชะงักเท้าที่กำลังเดินเข้าเขตกระท่อมซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง เมื่อได้ยินเสียงก้องกังวานของใครคนหนึ่งตะเบ็งถามมาแต่ไกล และเสียงนั่นก็ทำให้ทหารยามลุกพรวดขึ้นทำความเคารพหัวหน้าหน่วยก่อนจะปรายตามองแขกที่พวกเขาไม่ปรารถนาให้มาเพ่นพ่านในเขตหวงห้ามสีหน้าอ่อนใจ แล้วเงยจ้องผู้เป็นนายเพื่อรอรับคำสั่ง

“นายมองไม่ออกหรือว่าฉันกำลังจะไปไหน” แม้จะสะดุ้งกับน้ำเสียงเอาเรื่องของอีกฝ่ายแต่พอตั้งสติได้คนที่ไม่เคยคิดกลัวก็ตอบสวนกลับไปด้วยระดับเสียงที่เรียกได้ว่าหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

“แกควรกลับที่พักไปซะ”

“ฉันมีธุระจะพูดกับหมอ”

“เวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่แกจะเดินเข้าไปคุยกับใครๆ ได้ตามอำเภอใจ มองเทร์แกควรรู้จักขอบเขตของตัวเองกลับไปซะ” ชยินปรายตามองท่าทางกวนอารมณ์ของคู่ปรับแล้วออกคำสั่ง

“ฉันต้องการพบหมอเดี๋ยวนี้ และคนอย่างมองเทร์เมื่อต้องการอะไรมันต้องได้” คำตอบที่มาพร้อมกับน้ำเสียงเอาจริงของภูริชก็ทำให้บรรยากาศที่กำลังตึงเครียดยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกที

“ฉันไม่อนุญาต”

“นายคิดว่าฉันกำลังของั้นเหรอ”

“มองเทร์ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอยู่ที่นี่แกควรทำตัวยังไง” แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะฟังเอาเรื่องแต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่หาได้สะทกสะท้าน

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันมีธุระกับหมอ อ้อถ้านายจะให้มาใหม่พรุ่งนี้ฉันก็ขอบอกไว้เลยว่าธุระของฉันมันรอไม่ได้อีกแม้เพียงเสี้ยววินาทีเดียว”

“มันรอไม่ได้เพราะไอ้ธุระที่ว่ามันคงเป็นเรื่องชั่วๆ ที่แกเพิ่งไปมั่วมาใช่ไหม” คำพูดของชยินที่โพล่งสวนกลับมาทำเอาคนถูกปรามาสถึงกับจ้องตาอีกฝ่ายเขม็ง

“อย่าบอกนะชยินว่านายให้ไอ้สองตัวนั่นตามฉัน” ภูริชถามพลางชี้มือไปทางผู้ต้องสงสัย พอเห็นปลายนิ้วชี้มาที่ตนนายทหารทั้งสองถึงกับหลบสายตาคมกล้านั่นแล้วหันไปจ้องหน้าคนออกคำสั่งราวกำลังขอหลุมหลบภัย

“ที่นี่ฉันมีสิทธิ์ทำอะไรได้ทั้งนั้น”

“แต่การให้คนสะกดรอยตามฉันมันเป็นเรื่องไม่สมควรทำแบบนี้เท่ากับไม่ไว้ใจกัน”

“อย่างแกมันน่าไว้วางใจนักนี่เอาล่ะมองเทร์อย่ามาบิดเบือนความผิดดีกว่า วันนี้แกควรรู้ว่าได้ทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ที่นี่มีกฎห้ามไม่ให้ทหารเข้าไปมั่วกับผู้หญิงในหมู่บ้านหากใครฝ่าฝืนคนผู้นั้นจะต้องได้รับโทษทัณฑ์และมันไม่มีข้อยกเว้นแม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นแก จาฟาลอเซอจับตัวมองเทร์แล้วลากไปมัดไว้ที่หน้าค่ายเดี๋ยวฉันจะตามไปฟาดมันด้วยหวายให้เข็ดหลาบจะได้ไม่มีใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง” พอได้โอกาสชยินจึงไม่รีรอที่จะคว้ามันมาจัดการสั่งสอนคนอวดดี

“กฎบ้ากฎบออะไรฉันไม่รู้เรื่อง เฮ้ย...ขอเตือนว่าอย่าขยับไม่อย่างนั้นพวกแกได้เห็นดีแน่” พอเห็นสีหน้าเอาเรื่องของคนออกคำสั่ง นายทหารหน้าเข้มจึงโวยวายพร้อมกับตะเบ็งเสียงปรามนายทหารทั้งสองด้วยระดับเสียงที่คนถูกปรามถึงกับไม่กล้าขยับนอกจากปรายตาไปทางเจ้าของคำสั่ง

“ถ้าแกสองคนไม่ลากมันไปฉันจะสั่งให้คนมาลากพวกแกไปรับโทษพร้อมๆ กับไอ้หมอนั่น” และคำสั่งนั้นก็มีอำนาจมากพอที่จะทำให้คนทั้งสองทำตามในทันที

“ชยินนายจะบ้าเรอะ...” ภูริชตะคอกเสียงพร้อมกับสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล

“มันเป็นกฎในเมื่อแกละเมิดก็ต้องยอมรับสิ่งที่จะตามมา”

“ฉันเพิ่งมาที่นี่จะไปรู้กฎบ้าๆ นั่นได้ยังไงไหนช่วยบอกหน่อยซิว่านายติดมันไว้ตรงไหน”

“แกจะใช้คำว่าไม่รู้มาลบล้างความผิดไม่ได้หรอกเพราะกฎยังไงมันก็คือกฎ”

“ทำไมจะไม่ได้...ในเมื่อฉันไม่รู้ว่ามีกฎแบบนั้นบัญญัติอยู่มันก็ย่อมเป็นเหตุให้ได้รับการยกเว้น” ภูริชเถียงไปข้างๆ คูๆ แต่ดูเหมือนชยินจะไม่ให้ความสนใจกับคำพูดของเขานัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีโอกาสต่อกรชายหนุ่มจึงแค่นยิ้มแล้วออกคำสั่งอีกครั้งด้วยระดับเสียงที่ดังราวฟ้าผ่าจนคนรับคำสั่งรีบทำตามอย่างรวดเร็ว

“นั่นพี่จะทำอะไร” ขณะกำลังจนตรอกและเริ่มสิ้นหวังอยู่ๆ ก็มีเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“มันไม่เกี่ยวกับนาย” ชยินหันไปทางต้นเสียงแล้วบอกเสียงเข้มเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นน้องชาย

“แต่ฉันก็ควรรู้ไม่ใช่หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น” เตโชจ้องหน้าพี่ชายแล้วอ้างสิทธิ์ของตัวเอง

“นายเพิ่งกลับจากเหมืองมาเหนื่อยๆ ควรไปพักได้แล้ว” ชยินออกปากไล่เพราะเกรงว่าโอกาสงามๆ จะถูกน้องชายมาสกัดเหมือนกับทุกครั้ง

“เดี๋ยวค่อยพักก็ได้ ว่าแต่นายไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะ” เมื่อเห็นว่าพี่ชายไม่ปริปากเตโชจึงหันไปถามตัวต้นเหตุ

“ก็ไอ้สองตัวนี่น่ะสิมันตามฉันลงไปที่หมู่บ้านโน่น ตามไม่ตามเปล่ามันยังเอามาเล่าให้พี่นายฟังว่าฉันไปฟัดสาวชาวบ้านมา พี่นายก็ดันเชื่อแถมบอกอีกแน่ะว่ามันมีกฎว่าห้ามไม่ให้ทหารไปยุ่งกับผู้หญิง ยังไม่หมดเท่านั้นพวกมันกำลังจับฉันไปโบยที่หน้าค่าย...เตโชฉันเพิ่งมาจะไปรู้เรื่องกฎบ้าบอนั่นได้ยังไง” เมื่อเห็นทางรอดส่องสว่างมารำไรภูริชจึงเล่าฉอดๆ ม้วนเดียวจบ

“แล้วนายไปทำเรื่องมาหรือเปล่าล่ะ”

“ทำ...เอ๊ย...เปล่านะฉันแค่รู้จักกับแม่ของหล่อนก็เท่านั้น”

“ฉันหวังว่าแกจะไม่โง่ขนาดเชื่อไอ้กะล่อนนั่นหรอกนะ” ชยินแค่นเสียงประชดน้องชายก่อนปรายตาไปทางคนเล่าแล้วเบะปากดูแคลน

“ฉันพูดเรื่องจริง”

“ถ้าแกพูดจริงก็แสดงว่าคนของฉันพูดโกหกงั้นสิ...” นายทหารที่อยู่ๆ ก็ถูกโยงเข้าไปหาหวายถึงกับส่ายหน้าเป็นพัลวันก่อนละล่ำละลักแก้ต่างให้ตัวเอง

“มันเป็นความจริงนะครับคุณเตโช พวกเราตามมองเทร์ไปจนถึงต้นไม้ใหญ่ห่างจากค่ายไปทางธารน้ำด้านทิศตะวันตก แล้วเห็นกับตาว่ามองเทร์หายเข้าไปในแนวไม้กับสาวชาวบ้าน”

“พวกนายเห็นฉันหายเข้าไปในแนวไม้แล้วได้ตามต่อไหม” ภูริชหันไปถามทหารทั้งสองนายน้ำเสียงจริงจังแต่ภายในกลับลุ้นระทึกเพราะเกรงว่าคำตอบที่ได้รับจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

“เอ่อ...”

“เห็นไหมเตโช...พวกเขาไม่ได้เห็นกับตาสักหน่อยว่าฉันไปทำอะไรกับใคร แค่คิดเองเออเองแล้วเอามารายงานแต่ที่น่าแปลกใจก็คือพี่นายดันเชื่อสนิท...” ชยินได้แต่กัดกรามระงับอารมณ์เพราะชักใกล้หมดความอดทนกับท่าทางของคู่ปรับ

“แล้วนายไปทำอะไรมาล่ะ” เตโชตั้งคำถามบ้าง

“หล่อนชื่อเยนูร์เป็นลูกสาวของแม่เฒ่าอุโปบ้านอยู่อีกฟากของลำธาร แม่เฒ่าอุโปเคยเป็นสหายของแม่ฉันเวลานี้กำลังป่วยพอนางได้ข่าวว่าฉันมานี่เลยให้ลูกสาวมาตาม...พวกแกก็เหลือเกินคิดเองเออเองจนเกิดเรื่องต่อไปถ้าจะสะกดรอยตามใครตามให้มันเห็นจนคาตาก่อนได้ไหมแล้วค่อยกลับมารายงาน” นายทหารหน้าเข้มเริ่มปั้นเรื่องก่อนจะภาวนาขอให้เตโชเชื่อและชยินไม่คิดส่งคนไปพิสูจน์ความจริง ก่อนโยนความผิดทั้งปวงให้กับทหารผู้น่าสงสารทั้งสอง

“คนพวกนั้นคิดว่านายเป็นหมอหรือยังไงถึงได้มาตามให้ไปรักษา” ชยินถามน้ำเสียงเยาะเพราะไม่คิดเชื่อ

“เขารู้ว่าฉันรักษาให้ไม่ได้แต่ฉันก็มีทางออกให้กับพวกเขา ตอนนี้คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าธุระของฉันกับหมอคืออะไร” สไนเปอร์หนุ่มที่ผันตัวไปทำฟาร์มเลี้ยงแกะชั่วคราวแอบลอบถอนใจเมื่อสามารถปั้นเรื่องไปเรื่อยๆ จนไม่สะดุดกึก แต่ที่กำลังลุ้นระทึกก็คืออย่าให้พวกนั้นเกิดอยากพิสูจน์ความจริงเป็นใช้ได้

“หมอของเรามีทำไมต้องไปวุ่นวายกับพวกเธอ” ชยินพูดดักเส้นทางเพราะไม่คิดยอมถอยให้ง่ายๆ

“ใช่เรามีหมอแต่คนป่วยเป็นผู้หญิงนายคงไม่คิดส่งหมอทหารไปรักษาคนแก่หรอกนะ...”

“แกจะเรื่องมากทำไมนักหนาหมอไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็รักษาให้ได้ทั้งนั้น”

“นั่นสิมองเทร์ข้อนี้ฉันเห็นด้วยกับชยิน” เตโชยกมือสนับสนุนพี่ชายเป็นครั้งแรก เพราะมองว่าหากพาหมอออกจากค่ายไปในยามวิกาลอาจเป็นอันตรายต่อพวกเธอ

“แม่เฒ่าอายุมากแล้วขืนพาหมอทหารไปได้ชักตาตั้งเพราะตกใจ อีกอย่างฉันไม่ได้ต้องการพาหมอออกไปเสี่ยงที่มาก็แค่จะถามหมอว่ายาที่อยู่ในนี้มันรักษาอาการของนางได้ไหมก็เท่านั้น” ภูริชอธิบายพร้อมกับตบมือลงบนกระเป๋าตรงหน้าอก

“ถ้ามีใบสั่งยาแกไปถามหมอของเราก็ได้” ชยินแย้งขึ้น

“เวลานี้จะถามกับใครมันคงไม่สำคัญแล้วล่ะเพราะฉันมายืนอยู่หน้าบ้านหมอแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเวลาห้านาทีฉันจะรีบถามแล้วรีบกลับออกมาเห็นแก่คนป่วยเถอะชยิน” เมื่อเห็นท่าทางแข็งกร้าวของผู้นำหน้าดุภูริชจึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงก่อนเบนสายตาละห้อยไปทางเตโช

“เวลานี้มันดึกแล้วเอาไว้เช้าค่อยถามหมอของเรา ถ้าแกร้อนใจนักเดี๋ยวฉันจะส่งคนไปตามหมอมาให้ หรือหากแกต้องการหมอไปรักษาแม่เฒ่านั่นฉันก็พร้อมอนุญาต” ผู้กองหน้าดุพยายามหาทางออกเพราะไม่เชื่อใจและไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าไปวุ่นวายกับหญิงสาวทั้งสอง

“ฉันขอยืนยันว่าต้องการถามหมอที่อยู่ในนั้น เอาล่ะถ้านายไม่ไว้ใจจะให้เตโชเข้าไปพร้อมฉันก็ได้”

“เอาตามนั้นก็ได้ชยิน คิดว่าเห็นแก่แม่เฒ่าแกก็แล้วกัน” เตโชช่วยไกล่เกลี่ยเพราะเห็นว่าหากปล่อยให้ทั้งสองเถียงกันไม่เลิกเห็นทีคืนนี้คงไม่ต้องทำอะไรกันและที่แน่ๆ เขากำลังนึกห่วงคนป่วยที่อีกฝ่ายนำขึ้นมาอ้างอย่างสนิทใจ

“ฉันไม่อนุญาต...แกส่งใบสั่งยานั่นมาฉันจะให้คนเอาไปถามหมอเอง” แม้คนเป็นน้องจะโอนอ่อนผ่อนตามแต่คนพี่กลับไม่มีท่าทีอ่อนลง นอกจากมองตัวปัญหาสีหน้าเคลือบแคลงก่อนแบมือขอสิ่งที่ไม่มีตัวตน พอเห็นปัญหาใหม่ยื่นมาตรงหน้าภูริชก็ได้แต่อ่อนใจกับความรั้นของอีกฝ่าย

“เตโชฉันไม่ได้มีเจตนาส่อไปในทางที่เป็นภัยกับหมอนายก็รู้ ส่วนเหตุผลว่าทำไมต้องถามพวกหล่อนก็เพราะฉันไว้ใจในความรู้และความสามารถของเขาเอาล่ะฉันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วถ้าพี่นายจะสั่งให้คนลงโทษก็ตามสบายแต่ต้องหลังจากฉันกลับออกมา” ชายหนุ่มหันไปทางเตโชแล้วเอ่ยเสียงเรียบหากจริงจังก่อนสะบัดตัวแรงๆ พอหลุดจากการเกาะกุมจึงเดินดุ่มๆ ตรงไปยังกระท่อม

พอเห็นร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้ามาแพทย์หญิงทั้งสองก็ได้แต่หันมองหน้ากันก่อนจะถอยออกจากฝากระท่อม

“เขากำลังเดินมาทางนี้เราจะทำยังไงดี” นภัสชลหันไปถามเพื่อนสีหน้ากังวล เพราะไม่เข้าใจภาษาที่พวกเขาใช้จึงทำให้ไม่มีใครคิดว่าความขัดแย้งที่ดังโฉ่งเฉ่งอยู่ด้านนอกจะมีพวกเธอเข้าไปเกี่ยวข้อง

“นายมองเทร์เขาคิดจะทำอะไร” วริสาพูดขึ้นบ้าง

“นั่นสินายคนนี้ก็แปลกคนหาเรื่องใส่ตัวได้ทุกวี่ทุกวัน หวังว่านายนั่นจะไม่ลากพวกเราไปซ้อมยิงปืนหรอกนะ”

“เธอก็คิดไปได้นภัสมืดออกอย่างนี้ใครจะบ้าพาไปยิงเป้ากัน”

“ไม่แน่หรอกนายนั่นเหมือนใครซะที่ไหน” นภัสชลพูดก่อนย่องไปที่ฝากระท่อม ขณะกำลังจะแนบสายตาลงไปยังช่องเล็กๆ ภูริชก็ผลักบานประตูแล้วก้าวเข้ามาอย่างถือสิทธิ์

“นั่นพวกคุณกำลังทำอะไร” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นสองสาวยืนหน้าตื่นอยู่ตรงมุมหนึ่งของกระท่อม

“ฉันควรถามนายมากกว่าว่ากำลังทำอะไร” เพราะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้งจึงทำให้นภัสชลกล้าถามย้อนกลับไป

“ผมเหรอ” ภูริชชี้มือเข้าหาตัว

“ก็นายนั่นแหละมาทำอะไรที่นี่”

“ผมมีธุระน่ะสิถามได้”

“คุณมีธุระกับพวกเราเหรอ” วริสาถามแล้วหันไปทางเพื่อนสีหน้าสงสัย

“พวกคุณเลิกทำหน้าเป็นหมาขี้สงสัยได้แล้ว และเลิกตั้งคำถามด้วยผมไม่มีเวลาอธิบายอะไรมากนักหรอกนะ เอาเป็นว่าถ้าอยากกลับบ้านอย่างปลอดภัยพวกคุณแค่ฟังและปฏิบัติตามที่ผมบอกก็พอเข้าใจไหม” พอเห็นสีหน้าของสองสาวนายทหารปากหาเรื่องก็เริ่มปิดช่องทางตั้งคำถามของพวกเธอ

“นายว่าพวกฉันเป็นหมาเรอะ” แม้จะงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่ายแต่พอถูกเขานำเธอและเพื่อนไปพัวพันกับตัวเฝ้าบ้านนภัสชลก็อดนิ่งเฉยไม่ได้

“ผมเปล่านะเมื่อกี้แค่บอกว่าพวกคุณทำหน้าเหมือนหมาขี้สงสัยก็เท่านั้นไม่ได้ว่าเป็นหมาสักหน่อย อย่าเดือดน่าเจ้”

“ฉันไม่ได้เดือดแต่นายใช้คำพูดไม่เหมาะสม นายหัดพูดจาดีๆ เหมือนกับคนอื่นเขาบ้างจะได้ไหม หรือถ้ามันลำบากมากจะให้ฉันช่วยผ่าเพื่อนที่อยู่ในปากออกให้ก็บอกมา”

ภูริชถึงกับอ้าปากไม่ขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของว่าที่เจ้าสาวของเพื่อนรัก จนอดค่อนขอดไม่ได้ว่าหน้าหวานๆ และท่าทางอ่อนแอของแพทย์หญิงนภัสชลช่างเป็นภาพลวงตาเพราะบทแม่คุณจะเชือดเฉือนก็เอาเรื่องไม่ใช่เล่น

เฮ้อ...ชักเป็นห่วงชะตากรรมของเจ้ากรัณย์แล้วสิ ชายหนุ่มส่งความห่วงใยข้ามฟ้าไปยังนายทหารอากาศผู้น่าเห็นใจก่อนปรายตาไปทางวริสาที่กำลังหัวเราะคิกคักแล้วยิ้มเซียวๆ

“เอาล่ะนายมีอะไรก็ว่ามา” วริสารีบถามเพราะเกรงว่าหากปล่อยให้ทั้งสองโต้วาทีคืนนี้คงไม่ได้บทสรุป

“ผมแค่มาแจ้งข่าว” ภูริชหันไปทางวริสาแล้วบอกจุดประสงค์เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูเป็นมิตรมากกว่า

“แจ้งข่าว...” หญิงสาวถามซ้ำพลางหันไปเลิกคิ้วกับเพื่อนที่กำลังเดินไปยืนกอดอกมองผู้มาเยือนยามวิกาลสีหน้าบ่งบอกชัดว่าไม่ไว้ใจ

“ใช่...พรุ่งนี้ชยินจะพาหมอไปต่อรองเรื่องอาวุธ...ส่วนคุณพวกเขาจะให้อยู่รอที่นี่ อย่าเพิ่งขัดฟังผมพูดให้จบก่อน” ชายหนุ่มกางมือดักคออย่างรู้ทันเมื่อเห็นนภัสชลคลายมือออกก่อนจะพูดต่อ

“ผมรู้ว่าคุณกำลังจะพูดอะไร...ถ้าคุณต้องการไปกับเพื่อนสิ่งที่ควรทำคือพรุ่งนี้ให้บอกกับชยิน”

“ทำอย่างกับว่านายหน้าดุนั่นจะยอมงั้นแหละ” แม้จะทึ่งที่อีกฝ่ายเดาใจได้ถูกเผงแต่คำพูดต่อมาก็ทำให้เธออดกังวลไม่ได้

“คุณก็ต่อรองกับพวกเขาสิ” ภูริชแนะนำนภัสชลแต่สายตากลับจับจ้องไปยังหญิงสาวอีกคน

“เชลยอย่างพวกเรามีสิทธิ์ต่อรองได้ด้วยหรือ” วริสาถามเสียงแผ่ว

“ทำไมจะไม่ได้หมอก็รู้นี่ว่าพวกเขาต้องการอะไร เวลานี้พวกนั้นต้องการอาวุธคุณก็ใช้อาวุธนั่นมาต่อรอง”

“ฉันไม่เข้าใจ”

“เอ้า...ทำหน้าหมางงอีกแล้ว...เฮ้อ...ไหนใครๆ เขาว่าคนเรียนหมอเก่งนักเก่งหนา แต่เรื่องง่ายๆ แค่การต่อรองพวกคุณไม่รู้จริงๆ เหรอว่าต้องทำยังไง” นายทหารหน้าเข้มยังไม่วายแขวะ

“พวกฉันไม่ใช่โจรจะให้มีความคิดเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างพวกนายได้ยังไง” นภัสชลตอกกลับไปบ้าง

“ตกลงคุณจะเถียงผมอยู่นี่ใช่ไหม...เตโชกำลังมานั่นแล้วเอางี้ฟังผมให้ดี...คืนนี้พวกคุณจัดข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็นใส่เป้เตรียมไว้ พรุ่งนี้เช้าก่อนออกเดินทางให้คุณยืนกรานกับชยินว่ายังไงก็จะตามไปด้วยถ้าหมอนั่นไม่ยอมให้หมออ้างชื่อพ่อเอาอาวุธที่พวกเขาต้องการมาต่อรอง คงไม่ต้องให้บอกใช่ไหมว่าจะพูดยังไง” ภูริชตัดบทก่อนหันไปด้านนอกพอเห็นเตโชกำลังเดินมาเขาจึงแนะนำพร้อมกับอธิบาย

“ทำไมฉันต้องเชื่อนายด้วย” นภัสชลเอ่ยขึ้นอย่างคลางแคลงใจ

“เชื่อไม่เชื่อมันอยู่ที่คุณ...ผมแค่มาบอกหากคุณจะเพิกเฉยกับโอกาสก็สุดแล้วแต่”

“ฉันถามจริงๆ เถอะนายแค่หวังดีหรือมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันแน่” คนที่ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจยังตั้งคำถามไม่หยุด

“หน้าที่ของผมไม่ได้มาแค่ขนอาวุธ...ผมถูกส่งมาให้พาพวกคุณออกไปจากที่นี่...คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ เอาล่ะหมอถ้าอยากกลับบ้านก็ทำตามคำแนะนำของผมซะเราไม่มีเวลาอีกแล้ว”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มนำขึ้นมาอ้างทั้งสองสาวจึงหันมองหน้ากันก่อนเบนออกไปนอกกระท่อม พอเห็นเตโชเดินใกล้เข้ามาวริสาจึงหันไปมองหน้านภัสชล

“ก็ได้ฉันจะพยายามเชื่อนาย...แต่พวกเราไม่มีเป้” แม้จะไม่เชื่อใจอีกฝ่ายเต็มร้อยแต่เมื่อเห็นว่ามันคือโอกาสวริสาจึงพยักหน้าแล้วบอกในสิ่งที่ยังขาด

“เรื่องเป้พรุ่งนี้จะจัดการให้เอาเป็นว่าคุณเตรียมข้าวของไว้ก็แล้วกันผมไปล่ะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมโอนอ่อนผ่อนตามชายหนุ่มจึงเอ่ยตัดบทและเป็นจังหวะเดียวกับเตโชโผล่เข้ามาพอดี

“เรียบร้อยแล้วเหรอ” เตโชถามภูริชแต่สายตากลับมองเลยไปยังหญิงสาวทั้งสองพอเห็นสีหน้าของพวกเธอไม่มีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนกับการปรากฏตัวของพวกตนชายหนุ่มจึงพยักหน้าชวนตัวปัญหาแล้วพากันเดินออกจากกระท่อมโดยมีสายตาของแพทย์หญิงทั้งสองมองตามในทุกย่างก้าว



Create Date : 03 มกราคม 2555
Last Update : 3 มกราคม 2555 14:04:24 น. 4 comments
Counter : 572 Pageviews.

 
สวัสดีปีใหม่

หลานสาวสบายดีนะครับ เข้าใจว่าคงไม่ค่อยกวนแล้ว คุณแม่จึงมีสร้างผลงานให้แฟนๆได้อ่าน สมกับที่รอคอยครับ



โดย: Insignia_Museum วันที่: 3 มกราคม 2555 เวลา:14:12:46 น.  

 
มาทีละ 3-4 ตอนนี่อ่านกันมึนเลย
ภูริชนี่ปากจัดเนอะ


โดย: jee IP: 223.205.216.18 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:19:31:05 น.  

 
สวัสดีปีใหม่จ้านู๋เอ๋...ขอให้หนูเอ๋และครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง สมหวังในทุกสิ่งที่ตั้งใจนะค่ะ มีความสุขมากมากจ้า // สงสัยนิดนึงแพทย์หญิงนภัสชล ไม่ได้เป็นคนรักของกรัณย์ นายทหารอากาศหนุ่มนี่นา หรือว่าพี่เอิงสับสน


โดย: เอิงเอย IP: 182.53.131.243 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:22:23:44 น.  

 
ขอบคุณค่ะพี่เอิง ขอให้พี่เอิงมีความสุขสุขภาพดี รวยๆ ค่ะ ส่วนข้อสงสัยรอติดตามไปเรื่อยๆ นะคะ บอกเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น คิดถึงค่ะ


โดย: sansook วันที่: 13 มกราคม 2555 เวลา:20:22:33 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.