sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๙ เดินหน้า



ชายกลางคนในเครื่องแต่งกายภูมิฐานจ้องท่าทางร้อนรนของสตรีที่กำลังผุดลุกผุดนั่ง เดินวกไปวนมาอยู่ภายในห้องนั่งเล่นแล้วพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเบนไปยังโทรศัพท์เครื่องเล็กที่แผดเสียงขึ้น แต่ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบ มือเรียวของภรรยาก็คว้าหมับและกรอกเสียงทักทาย

“สวัสดีค่ะคุณพี่...ทางโน้นเขาว่าอย่างไรบ้างคะ” คำถามร้อนรนที่ดังขึ้นทำให้เขาหยุดสายตาอยู่ที่ใบหน้าของภรรยา

“น้องร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว...ป่านนี้ยายหนูจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้”

แม้ไม่ทราบว่าอีกคนตอบกลับมาอย่างไร แต่น้ำเสียงที่สั่นเครือจนรับรู้ถึงความห่วงใยระคนหวาดหวั่นของคนพูดที่เอ่ยกลับไปก็ทำให้พอเดาได้ว่าคนที่อยู่อีกฟากคงยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

“ใจเย็นๆ ตากรัณย์โทรมาบอกข่าวคืบหน้าแล้วว่า ตอนนี้กำลังคุยรายละเอียดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ เห็นบอกว่ารอเพื่อนอยู่หากมาถึงก็จะออกเดินทางไปตากทันที”

“ตากรัณย์จะลงพื้นที่เองเลยหรือคะคุณพี่...ได้ยินอย่างนี้แล้วน้องค่อยเบาใจขึ้นมาหน่อย”

ใบหน้าที่นิ่วเพราะความกังวลใจมาหลายสิบนาทีเริ่มผ่อนคลาย แม้สิ่งได้ยินจะไม่ได้ให้ความหวังอะไรมากนัก แต่เธอก็นึกเบาใจเพราะอย่างน้อยคนที่กำลังออกตามหาบุตรีก็เป็นบุคคลที่ไว้ใจได้

วลัยพรรณหันไปมองหน้าสามีซึ่งจ้องเขม็งมาที่ตนแล้วเสมองไปทางอื่น ก่อนจะพาเรือนร่างสะโอดสะองเพราะเจ้าของเอาใจใส่ไม่ให้ร่วงโรยหรือเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลากลับมาทรุดนั่งลงบนโซฟา เธอยังคงพูดคุยกับคนที่อยู่ปลายสายอีกพักใหญ่ จนกระทั่งอีกฝ่ายเห็นว่าสมควรแก่เวลาจึงเอ่ยตัดบท

“ทำใจให้สบายนะวลัย กรัณย์รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอย่างไรก็จะพาน้องกลับมาให้ได้ เราทุกคนต่างก็ห่วงนภัสกันทั้งนั้น เอาล่ะถ้ามีข่าวอะไรคืบหน้าพี่จะรีบโทรมาบอก แค่นี้นะ”

“ขอบคุณค่ะคุณพี่ สวัสดีค่ะ”

มือเรียวกดปิดเครื่องมือสื่อสารวางลงบนโต๊ะเงยหน้ามองสามีที่จ้องอยู่ก่อนแล้ว พร้อมเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า

“คุณพี่บอกว่าตอนนี้ตากรัณย์กำลังเดินทางไปแม่สอด”

“กรัณย์จะลงพื้นที่ด้วยตัวเองเลยหรือ...”

“เห็นว่าอย่างนั้นนะคะ แล้วทางนี้ล่ะดำเนินการไปถึงไหนแล้ว น้องไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับเรา ยายหนูอยู่ทางโน้นน้องก็กำชับเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพื้นที่ให้สอดส่องเป็นหูเป็นตาขนาดย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องอารักขาอย่างใกล้ชิด แต่ดูสิดูลูกทั้งคนพวกนั้นยังปล่อยให้ใครก็ไม่รู้มาฉกไป...โธ่ยายหนูลูกแม่ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้...เป็นเพราะคุณพี่นั่นแหละไม่รู้จักห้ามลูกโรงพยาบาลในเมืองมีเป็นร้อยเป็นพันทำไม๊ทำไมถึงสนับสนุนให้ลูกไปอยู่ชายแดน...”

คนที่กำลังจะตอบคำถามในหัวข้อแรกถึงกับอ้าปากไม่ขึ้น นอกจากร้อง...อ้าวอยู่ในใจ...เมื่อภรรยาสุดที่รักเล่นถามแต่ไม่ยักรอคำตอบ ก่อนจะเปรยออกมาฉอดๆ แล้วตบท้ายด้วยการโยนความผิดให้เขาเต็มๆ

“ว่าไงคะทางสถานทูตดำเนินการอะไรไปบ้างแล้ว”

พอคำถามที่ถูกพัดหายไปวกกลับมาใหม่อีกครั้ง คนที่นั่งมึนงงกับอารมณ์ของภรรยาก็ถึงกับทำหน้าไม่ถูก นอกจากตอบเสียงแผ่วๆ

“ตอนนี้ทางสถานทูตได้ประสานไปยังกองทัพของพม่าแล้ว เห็นว่าทางกองทัพจัดทีมเจ้าหน้าที่ฝีมือดีที่สุดของหน่วยออกช่วยเหลือ โดยจะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยรบพิเศษของไทยเข้าร่วมอยู่ในทีมด้วย”

“น้องอยากจะรู้นักว่าใครหน้าไหนมันกล้ามาแตะลูกของเรา”

“ถ้าพวกเขาส่งข่าวมาบ้างก็คงดี อย่างน้อยก็จะได้รู้ความต้องการของพวกนั้น แต่นี่ทุกอย่างเงียบเชียบแบบนี้เราก็คงทำได้แค่รอ...”

“แล้วเราจะต้องรอถึงเมื่อไหร่กัน คุณพี่ก็เหลือเกินลูกหายไปทั้งคนแต่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้...น้องถามจริงๆ เถอะคุณพี่ไปขัดแข้งขัดขากับพวกคนใหญ่คนโตเขาหรือเปล่า...”

ท่านทูตผู้มีแต่ความรอมชอมอยู่ในจิตวิญญาณถึงกับปรับอารมณ์ตามคนที่กำลังโยงทุกอย่างให้เป็นความผิดของเขาแทบไม่ทัน ก่อนจะลอบถอนใจ...แล้วเอ่ยเพียงสั้นๆ ว่า

“ใจผมก็ร้อนเป็นไฟเหมือนกันนั่นแหละคุณวลัย”

“แน่ใจเหรอคะน้องเห็นคุณพี่ได้แต่นั่งเฉยๆ ไม่ยักตื่นเต้นตื่นตูมอย่างคนอื่นเขา”

“การที่ผมนิ่งไม่ได้แปลว่าผมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่จะให้ผมลุกขึ้นโหวกเหวกโวยวายวิ่งพล่านเหมือนกระต่ายตื่นตูมมันคงไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมา เวลานี้เราทำได้แค่เพียงประสานไปยังหน่วยงานที่เขามีความชำนาญทั้งพื้นที่และการวิเคราะห์เพื่อประเมินสถานการณ์ เราจำเป็นต้องรอและอดทนกับการรอคอยนั้นด้วย”

“ทำไมจะต้องอดทนนี่มันไม่ใช่สถานการณ์ด้านการเมืองระหว่างประเทศที่เราจะต้องรอมชอม เวลานี้มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายลูกถูกใครไม่รู้จับตัวไป...เป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้...น้องเป็นห่วงลูกเข้าใจไหมคะ”

พอสิ้นเสียงน้ำตาของคนพูดก็พรั่งพรูออกมา เมื่อเห็นภรรยาร่ำไห้คนเป็นสามีจึงเดินไปทรุดลงเคียงข้างดึงคนที่กำลังสะอึกสะอื้นเข้ามาสวมกอดแล้วปลอบโยน

“ผมรู้ว่าคุณห่วงลูกส่วนผมก็เป็นห่วงไม่ต่างกัน แต่เวลานี้เราทำอะไรไม่ได้นอกจากรอคอยเข้าใจใช่ไหมคุณวลัย ตอนนี้ทางการไทยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจทุกฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก เจ้าหน้าที่ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ อีกอย่างกรัณย์ก็เข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยไม่ใช่หรือ ผมเชื่อว่าลูกเราเป็นคนดีและคุณงามความดีรวมถึงบุญกุศลที่เราสองคนได้กระทำมาจะต้องปกปักรักษาคุ้มครองยายหนูให้แคล้วคลาดปลอดภัย...ทำใจให้สบายอย่าคิดอะไรที่เป็นภัยกับสุขภาพ...”

ดวงหน้าที่อาบรื้อไปด้วยหยาดน้ำตาเงยมองใบหน้าเคร่งขรึมของสามีก่อนจะนั่งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ เมื่อสำนึกได้ว่าเวลานี้ทุกฝ่ายต่างก็ระดมทั้งกำลังและมันสมองเพื่อออกตามหาบุตรี คนที่ห่วงลูกจนลืมตัวก็พยักหน้าน้อยๆ

“หากเป็นเช่นนั้นน้องขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกปักรักษาคุ้มครองยายหนูให้ปลอดภัยด้วยเถิด”

สองสามีภรรยาจ้องหน้ากันและกันด้วยความหวังที่ยังคงริบหรี่ แม้ทุกอย่างจะยังคงมืดมนแต่ในความมืดมิดนั้นพวกเขาก็ยังหวังว่าจะมีแสงสว่างสอดส่องเข้ามานำทางให้ทุกอย่างแจ้งกระจ่างในเร็ววัน


เฮลิคอปเตอร์ร่อนลงจอดบนทุ่งโล่งอย่างนุ่มนวล พอเท้าแตะพื้นดินภูริชจึงก้าวเข้าไปรายงานตัวกับคนที่ยืนรอรับทันที

เมื่อรายงานตัวกับหัวหน้าทีม ร้อยเอกภูริชและนายเรืออากาศเอกกรัณย์จึงเดินตามนายทหารรุ่นใหญ่และเพื่อนร่วมทีมอีกนับสิบนายเข้าไปยังเต้นท์ชั่วคราวเพื่อรับทราบภารกิจของตน โดยมีผู้นำระดับสูงในพื้นที่เป็นผู้อธิบายแผนการทั้งหมดอย่างละเอียด เมื่อเข้าใจว่าหน้าที่ของตนคืออะไร ภารกิจที่มีชีวิตของแพทย์หญิงถึงสองคนอยู่ในความรับผิดชอบก็เริ่มเดินหน้าในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา

“ฉันจะรอนายอยู่ที่ค่ายทหารพม่า...พานภัสกลับมาให้ได้นะเพื่อน” กรัณย์วางมือลงบนบ่าแข็งแรงของเพื่อนรักแล้วตบด้วยจังหวะหนักหน่วงเมื่อเดินมาถึงจุดนัดหมายระหว่างรอผู้นำทาง

“ฉันว่านายเอาฮอบินไปรับเธอที่ค่ายพวกมันไม่ดีกว่าเหรอ” ภูริชยังมีแก่ใจกระเซ้าเพื่อน

“ฉันไม่บ้าเลือดขนาดขับเครื่องบินของกองทัพไปโฉบเป็นเป้างามๆ ให้ไอ้พวกนั้นมันล็อกเป้าเล่นหรอกน่า...”

“ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยนะกรัณย์...ฉันว่าน่าสนออก”

“ไอ้น่าสนมันก็น่าสนอยู่หรอก แต่ฉันว่าตอนนี้นายไปทำหน้าที่...ไอ้ม่องเท่งให้มันเรียบร้อยก่อนเถอะ...ประสบการณ์แฝงเข้าไปเสี่ยงในค่ายของกะเหรี่ยงที่มีทั้งระเบิดและฝ่าตีนนับไม่ถ้วนแบบนี้มันก็เป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของนายเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

“ฉันชื่อ...มองเทร์...เป็นทหารกะเหรี่ยงที่ปราดเปรื่องในทุกๆ เรื่อง...เรียกซะเป็นมงคลเลยไอ้เพื่อนเวร”

“เออนั่นแหละ...ม่องเท่งหรือมองเทร์มันก็เหมือนๆ กัน...ขอให้แกปลอดภัยนะริช...ฉันจะรออยู่ที่ค่าย...”

“ฉันจะพาเธอไปที่นั่นให้ได้...และสาบานว่าจะไม่ให้เธอเป็นอะไรแม้ปลายก้อย...”

ร้อยเอกหน้าเข้มตบต้นแขนเพื่อนด้วยจังหวะหนักหน่วงไม่ต่างกัน พร้อมให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น ก่อนหมุนตัวเดินลงจากเนินเขาขนาดย่อมหายลับเข้าแนวป่าไปกับผู้นำทาง ซึ่งเป็นทหารพม่าที่แทรกซึมอยู่ในชุมชนกะเหรี่ยงอีกสามนาย

กรัณย์มองตามร่างสูงใหญ่ของเพื่อนไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เขาหวังว่าหากภูริช กลับมาอีกครั้งข้างร่างสูงใหญ่แข็งแกร่งนั่นจะมีหญิงสาวที่มีความสำคัญต่อทุกคนในครอบครัวเดินเคียงคู่กลับมาด้วย...


ขณะภูริชกำลังมุ่งหน้าทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายด้วยความมุ่งมั่น ณ กระท่อมหลังเล็กในค่ายทหารกะเหรี่ยงแพทย์หญิงทั้งสองต่างนั่งหวาดผวากับชะตากรรมของตัวเอง

เพราะหลังจากฟื้นคืนสตินภัสชลกับวริสาก็ต้องโผเข้าหากันด้วยความตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ภายในกระท่อมหลังเล็กๆ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวงพร้อมกับเงี่ยหูฟังเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่หน้ากระท่อม

แพทย์หญิงทั้งสองนั่งลำดับเหตุการณ์อยู่เป็นนานกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แม้จะขวัญเสียกับสิ่งที่กำลังเผชิญแต่พวกเธอต่างก็มีสติที่จะนิ่งคิดและประเมินสถานการณ์อยู่เงียบๆ ว่าควรจะทำอย่างไรอีกทั้งพยายามคิดวิธีหาทางรอดให้ตัวเอง มากกว่าจะโหวกเหวกโวยวายให้เสียขวัญ

ทั้งสองถูกขังอยู่ภายในกระท่อมหลังเล็กมานับสองวัน โดยไม่มีใครเยี่ยมกรายเข้ามาแจ้งจุดประสงค์ว่าต้องการอะไร นอกจากตอนเช้าของทุกวันจะมีหญิงสาวอายุราว 20 ต้นๆ เป็นชาวกะเหรี่ยงพอพูดภาษาไทยได้จึงสื่อสารกันได้แม้จะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตามที

ทุกเช้าและเย็นหญิงสาวชาวกะเหรี่ยง ชื่อลาแอร์จะพาพวกเธอไปยังลำธารซึ่งอยู่ถัดจากเนินขนาดย่อมห่างจากกระท่อมไปราว 300 เมตรเพื่อชำระร่างกายโดยมีทหารหน้าตาถมึงทึงถือปืนคุ้มกันอยู่ห่างๆ และนำอาหารเข้ามาส่งให้ครบทั้ง 3 มื้อ

ทุกอย่างยังคงวนเวียนอยู่ซ้ำซากราวกับมันเป็นวัฏจักร จวบจนย่างเข้าวันที่สามหลังจัดการธุระส่วนตัวและทานอาหารเช้า ช่วงสายของวันนั้นอยู่ๆ ก็มีคนมาพาตัววริสาออกไปราวสามสิบนาทีก่อนจะพากลับมาส่ง แม้จะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นแต่สิ่งที่ทำให้นภัสชลเกิดความกังวลใจก็คือ เพื่อนที่เคยช่างพูดดูเงียบขรึมจนผิดสังเกต

นภัสชลเหลือบมองใบหน้าอิดโรยของเพื่อนที่นั่งเงียบมานับชั่วโมง หลังถูกนำตัวกลับจากเรือนหลังใหญ่บ่อยครั้งแต่ อีกฝ่ายกลับนั่งนิ่งราวกำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ในใจ

“ลีมีอะไรหรือเปล่า...คนพวกนั้นทำอะไรเธอไหม”

เมื่ออดไม่ได้นภัสชลจึงเอ่ยขึ้นเพราะนึกห่วงใยกับอาการแปลกไปของเพื่อน แต่คำตอบที่ได้มีเพียงใบหน้าที่ส่ายไปมาช้าๆ พร้อมกับดวงตาเหม่อลอยจนน่าสงสัยเท่านั้น

“เขาบอกไหมว่าต้องการอะไร” วริสาพยักหน้าแทนคำตอบ

“เขาต้องการอะไรงั้นเหรอ”

ร่างเพรียวบางโผเข้าไปแล้วใช้มือเขย่าแขนของเพื่อน พร้อมคำถามที่แสดงความกระตือรือร้นอยู่ในที

“เราละอายเกินกว่าจะบอก” คนพูดเงยหน้าจ้องใบหน้าเรียวหวานของเพื่อนที่ขมวดคิ้วจนยุ่งเหยิง ก่อนจะเสไปทางประตูแล้วถอนใจลึก

“เราไม่เข้าใจ...ลีถ้าสิ่งที่คาใจเธออยู่มันหนักมากก็ปล่อยออกมาเถอะเราเป็นเพื่อนกันนะ”

พอเห็นดวงตาของเพื่อนรักดูเหม่อลอยพิกล นภัสชลจึงทรุดนั่งลงเคียงข้างก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ

“มาจ้องหน้าเราทำไม”

“สีหน้าลีดูไม่ดีเราก็เป็นห่วงน่ะสิ”

“เราแค่กำลังใช้ความคิด...เฮ้อ...มันสับสนน่ะ...เรื่องที่รบกวนจิตใจเรามีทั้งดีและร้าย”

“มันมีทั้งดีและร้ายเชียวหรือ...” วริสาพยักหน้าน้อยๆ แล้วพ่นลมหายใจครั้งที่ร้อยออกมา

“ใช่...เรากลัวว่าถ้าเธอรู้ความจริงบางที...ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปและสุดท้ายแม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่เหลือให้กับเรา”

“ทำไมเธอพูดแบบนั้นล่ะลี...เราสองคนคบหากันมานานเราเรียนแพทย์มาด้วยกัน...พอเลือกที่บรรจุด้วยอุดมการณ์อันแน่วแน่ที่มีไม่ต่างกันเราจึงเลือกมาทำงานที่นี่...พวกเราเป็นเพื่อนกันนะลีต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นยังไงความเป็นเพื่อนก็ยังอยู่”

แม้จะงุนงงกับคำพูดและท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายแต่นภัสชลก็ยังแสดงถึงความจริงใจที่มีต่อเพื่อน...ทั้งยืนยันว่าไม่มีอะไรมาทำลายคำว่ามิตรภาพให้สิ้นสุดลงได้

“เธอมองเห็นแต่ด้านปกติของเรา...มองว่าเราทำงานนี้เพราะอุดมการณ์...มองว่าสิ่งที่เราทุ่มเทคือการทำเพื่อมนุษยธรรม...แต่รู้ไหม...ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เลยเราไม่ได้เป็นคนดีอะไรถึงขนาดนั้นหรอก”

และคำพูดที่ปนมากับเสียงถอนใจยาวก็ทำให้คนฟังถึงกับงงหนักเข้าไปอีก

“เราไม่เข้าใจ” เธอบอกเสียงแผ่วพลางส่ายหน้าไปมา

“เราขอโทษที่พาเธอมาเดือดร้อนด้วย...”

“ลีมีอะไรก็บอกมาเถอะ...เรางงไปหมดแล้ว” วริสาเม้มปากแน่นก่อนจะคลายออกแล้วบอกสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจออกมา

“คนพวกนี้ต้องการตัวเรา...ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นใครเลยจับมาทั้งสองคนเพียงเพราะเราพักอยู่ด้วยกัน” หญิงสาวยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นอีกคนทำท่าจะขยับปากถามแล้วเริ่มเล่าต่อ

“พวกนั้นต้องการตัวเราไปต่อรองกับคุณพ่อ...” นภัสชลที่กำลังจะอ้าปากถามว่าต่อรองเรื่องอะไรถึงกับอ้าค้างอีกครั้ง เมื่อคำตอบที่เธอต้องการทราบหลุดออกมาก่อน

“พวกนั้นต้องการอาวุธที่คุณพ่อกำลังจะเอาไปส่งให้ลูกค้า...ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขา” วริสาหลับตาถอนใจลึกเหมือนกำลังลังเลแต่ก็เลือกพูดต่อ

“เรารู้ว่าพ่อเป็นนายหน้าค้าอาวุธเถื่อนมานานแล้ว แม้ทราบว่ามันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม แต่เราก็ไม่มีปัญญาห้ามปราม ใครๆ ต่างก็มองว่าเราเป็นคุณหนูมีชีวิตที่สุขสบาย แต่เบื้องลึกไม่มีใครเข้าใจหรอกว่าการเกิดอยู่บนกองเงินกองทองที่ต้องแลกกับเลือดเนื้อและชีวิตของคนอีกมากมายซึ่งเราไม่รู้ว่าเป็นใครมันน่าอดสูขนาดไหน”

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของเธอนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่”

แม้จะตกใจกับเรื่องราวที่เพิ่งได้ยินแต่นภัสชลก็ยังคงมีความปรารถนาดีต่อเพื่อนไม่เปลี่ยนแปลง

“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ...ถึงเราจะไม่ผิดแต่ก็อดรู้สึกผิดกับงานของพ่อไม่ได้ หลายครั้งที่เราพยายามพูดให้ท่านเลิก แต่งานแบบนี้มันก็เหมือนคนกระโดดขึ้นหลังเสือนั่นแหละ จะลงก็ลงยากนอกจากทำไปจนตายหรือยอมตายเมื่อคิดอยากเลิก เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงคิดว่าตัวเองควรทำอะไรเพื่อช่วยลดความผิดบาปของท่าน หลังจากนั้นเราจึงตั้งใจเรียนและพยายามสอบเข้าคณะแพทย์ให้ได้ และคิดอยู่เสมอว่าหากเรียนจบจะขอมาอยู่ชายแดนเพื่อช่วยเหลือคนที่อาจเป็นเหยื่อของอาวุธพวกนั้น”

คำบอกเล่าของวริสายังคงพรั่งพรูออกมาพร้อมๆ กับเสียงพ่นลมหายใจหนักๆ ไม่ขาดสาย

“อย่าคิดอะไรมากเลยลี...ทุกอย่างเรากลับไปแก้ไขไม่ได้” เธอปลอบเพื่อนเสียงเครือเพราะรู้สึกเห็นใจมากกว่าคิดรังเกียจ

“เธอไม่รังเกียจที่เรามีพ่อเป็นอาชญากรหรือณภัส...” เพราะบิดามีหน้าที่การงานที่แตกต่างจากบิดาของเพื่อนกันราวฟ้ากับดินจึงทำให้วริสาอดถามขึ้นไม่ได้

“เราจะไปรังเกียจเธอทำไม...เรื่องครอบครัวก็เป็นเรื่องหนึ่ง...เราเป็นเพื่อนกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง...จะเอามาปะปนกันได้อย่างไร...อีกอย่างแม้คุณพ่อของลีท่านจะทำเรื่องผิดกฎหมายมันก็เป็นเรื่องของท่าน บางครั้งผู้ใหญ่ก็มีเหตุผลที่เรายากจะเข้าใจปล่อยให้มันเป็นเรื่องของท่านเถอะอย่าเอามาคิดให้ปวดหัวเลย”

“แต่เรื่องของท่านกำลังทำให้เธอซึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องด้วยต้องมารับความเดือดร้อนนะ ป่านนี้คุณลุงกับคุณป้าคงร้อนใจที่เธอหายตัวไปแบบนี้” วริสามองหน้าเพื่อนอย่างสำนึกในความผิด

“ช่างมันเถอะ...เราแก้ไขอะไรไม่ได้นี่นา...อีกอย่างคนพวกนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าจะทำอันตราย อยู่ไปสักพักพอได้ในสิ่งที่ต้องการเขาคงปล่อยพวกเรากลับไปเองนั่นแหละ” นภัสชลยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูดปลอบใจตัวเอง

“เราขอให้พวกนั้นรีบพาณภัสกลับไปส่งและบอกด้วยว่าเธอเป็นใคร พอรู้ก็หน้าเครียดกันใหญ่คงตกใจไม่น้อย”

“โอย...ไม่ได้หรอกจะให้พวกเขาปล่อยเรากลับไปคนเดียวได้ยังไง...มาด้วยกันก็ต้องกลับไปด้วยกันสิ”

“ไม่ได้หรอกเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของเรากับพวกเขาอย่ามาเสี่ยงด้วยเลย อีกอย่างหากมีอันตรายเกิดขึ้นกับเธอเราคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย” คนพูดส่ายหน้าไปมาเมื่อเห็นท่าทางดื้อดึงของเพื่อนรัก

“เวลานี้มันไม่มีเรื่องของใครหรอกนะลี...อยู่ก็ต้องอยู่ด้วยกันไปก็ต้องไปด้วยกันเธอบอกว่าคนพวกนั้นต้องการต่อรองเรื่องอาวุธไม่ใช่เหรอ...บางทีหากพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการทุกอย่างอาจจะดีขึ้นก็ได้...แล้วท่าทีพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”

“เท่าที่เห็นพวกเขาดูเหมือนทหารมากกว่าโจร คนเป็นหัวหน้าพูดไทยชัดมากท่าทางน่าเกรงขามมีเหตุมีผล ตางี้ดุอย่างกับมีดโกนแน่ะแต่หล่อชะมัด อ้อเราเห็นมีผู้ชายอีกคนท่าทางไม่น่าใช่ทหารแต่งตัวสะอาดสะอ้านดูมีความรู้เวลาพูดน้ำเสียงไม่ดุดันเหมือนอีกคนพูดจามีหลักการเชียวล่ะ”

“แล้วคนอื่นล่ะ” คนถูกถามนิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังใช้ความคิด

“คนอื่นๆ เท่าที่เห็นก็เหมือนคนที่เฝ้าพวกเรานั่นแหละ ออกจากนี่เดินตัดกระท่อมอีกหลังไปทางฝั่งขวาราวสองร้อยเมตรเราเห็นเรือนพยาบาลมีทหารอยู่กันพลุกพล่าน ทหารบางคนมีหนวดเครารุงรังเห็นแล้วน่าผวา ถัดออกไปรอบๆ เป็นหมู่บ้านเท่าที่สังเกตเห็นมีชาวบ้านอยู่กันหนาตาดูจากเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมรวมถึงภาษาที่ใช้น่าจะเป็นชาวกะเหรี่ยง”

“อืม...บางทีอาจจะเป็นหมู่บ้านของลาแอร์...”

“คงใช่เพราะตอนขากลับเราได้ยินเขาชี้ไปที่หมู่บ้านแล้วสั่งอะไรบางอย่างกับคนของเขาไม่นานลาแอร์ก็มา...อ้อเราก็ได้ยินลาแอร์เรียกเขาว่าผู้กองยินๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ...พูดแล้วใจเต้นเกิดมาเพิ่งเห็นกะเหรี่ยงหล่อก็วันนี้” นภัสชลมองดวงตาวับวามของเพื่อนแล้วยิ้มน้อยๆ

“อย่าบอกนะว่าเธอกำลังตกหลุมรักคนป่าพวกนี้...ไม่ตลกเลย”

“จะบ้าเรอะ...ใครจะไปหน้ามืดตกหลุมรักคนที่ไม่มีอนาคตกัน ตอนนี้เราอยู่ในป่าในดงกับคนหน้าโจรเป็นโขยงเจอคนหน้าตาดีๆ เราก็แค่เก็บมาชื่นชมมันผิดตรงไหนยะ”

นภัสชลมองท่าทางค้อนขวับของเพื่อนแล้วหัวเราะออกมา แม้จะไม่สบายใจกับสิ่งที่ได้ยินแต่พอเห็นท่าทางของเพื่อนกลับมาร่าเริงอีกครั้งเธอจึงพยักหน้าเออออ และถอยกลับไปนั่งที่เตียงของตนทอดสายตามองบานประตูแล้วผ่อนลมหายใจ แม้ไม่รู้ว่าจะหาทางหลบหนีไปจากที่นี่ด้วยวิธีไหน แต่พอทราบจุดประสงค์ของคนพวกนั้นรวมถึงท่าทีของเพื่อนเธอก็รู้สึกเบาใจขึ้น

เพราะอย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีที่แสดงว่าเป็นอันตรายกับพวกเธอ...เท่าที่ฟังและประเมินจากสถานการณ์เธอจึงมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่าหากมีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่วริสาเอ่ยถึง...บางทีพวกเธออาจจะได้กลับบ้านในเร็ววัน





Create Date : 27 ธันวาคม 2554
Last Update : 27 ธันวาคม 2554 22:07:34 น. 2 comments
Counter : 414 Pageviews.

 
หลังจากเนทล่มไม่เป็นท่ามาหลายวัน วันนี้เข้าได้เลยรีบมาอัพให้ในระหว่างเจ้าตัวเล็กหลับคร่อกๆ อ่านให้สนุกนะคะ


โดย: sansook วันที่: 27 ธันวาคม 2554 เวลา:22:17:44 น.  

 
ติดตาม ตามติด ^ ^


โดย: Kwanita IP: 58.8.156.253 วันที่: 31 ธันวาคม 2554 เวลา:11:05:52 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.