sansook
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 40 คน [?]




คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...
โค้ดนี้เป็นภาพพื้นหลังนำไปวางที่ช่อง Script Area ค่ะ https://youtu.be/K2vg5yDgVX4
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add sansook's blog to your web]
Links
 

 
ตอนที่ ๓ หน้าที่กับความขัดแย้ง





หลังจากถกเถียงกันอยู่นับชั่วโมง สุดท้ายคำทัดทานรวมถึงเหตุผลทั้งปวงของชยินก็ไม่อาจทำให้เสียงข้างมากในที่ประชุมเบนเข้ามาอยู่ข้างตนได้ เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับเรื่องที่ถูกหยิบยกเป็นประเด็นหลัก การวางแผนเพื่อชิงตัวแพทย์หญิงซึ่งกำลังมีความสำคัญกับความพลิกผันทางการสู้รบก็เริ่มขึ้น

ทั้งหมดใช้เวลาทำความเข้าใจและวางกำลังตามจุดสำคัญๆ นานนับชั่วโมง เมื่อทุกคนเข้าใจหน้าที่ของตนการประชุมอันเคร่งเครียดก็ถึงคราวยุติ

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องทำถึงขนาดนี้” ผู้กองหนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากนายทหารคนสุดท้ายก้าวออกจากห้องไปได้สักพัก

“มันจำเป็น...สายของเรารายงานว่าอาวุธที่ถูกส่งมาครั้งนี้สามารถถล่มฐานสำคัญๆ ของเราให้ย่อยยับได้ในพริบตาเดียว ตั้งแต่ลอซูทรยศพวกพ้องและแยกออกไปสมรรถภาพของกองกำลังเราอ่อนแรงแค่ไหนแกก็เห็น...เราเคลื่อนไหวเพื่อความเสมอภาคในสิทธิการปกครองตนเอง และความชอบธรรมในการที่จะพิทักษ์ปกป้องพี่น้องเผ่าพันธุ์ของตนให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสันติสุขในพื้นที่ที่เป็นถิ่นฐานเดิม ตลอดจนสามารถเลือกวิถีทางการครองชีวิตตามครรลองของบรรพบุรุษ เราสู้เพื่อความอยู่รอดแต่ลอซูกลับคิดรวมเราเป็นสหพันธรัฐเพื่อต่อรองกับรัฐบาลมันทำเพราะหลงแก่อำนาจ...อุดมการณ์ของมันกำลังจะฆ่าพวกพ้อง” นายพลสูงวัยบอกเสียงเข้ม

“บางทีเราอาจคิดผิด เพราะถ้าเธอถูกลักพาตัวทางการไทยคงไม่อยู่เฉยแน่...เธอเป็นถึงหมองานนี้เผลอๆ อาจกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศ หากเป็นเช่นนั้นชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่คงได้รับอันตราย สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้อะไร”’

“แม้เรามีพื้นที่ในความดูแลไม่มากนัก เพราะสูญเสียพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กับกองทัพรัฐบาล แต่ทรัพยากรอันล้ำค่าที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ก็มีความสำคัญกับคนของเรา เวลานี้เรามีศัตรูถึงสองด้าน ถ้าลอซูรวมแผ่นดินได้เมื่อไรมันก็คงคิดการใหญ่ถึงขนาดใช้ความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งที่เรามีเข้าต่อรองกับรัฐบาล”

“เราจะต้องสู้กันอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่กัน... ” ชายหนุ่มถามน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายเต็มที

“จนกว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนอุดมการณ์ของรัฐในการเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยมีสิทธิในการบริหารและดูแลประชากรของตนในพื้นที่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของพวกเขาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ”

คนตอบบอกน้ำเสียงแผ่วลง เพราะหลังจากสู้รบกันมานานสิ่งที่เขาหวังมันริบหรี่เต็มที ขณะอีกฝ่ายขยับริมฝีปากจะพูดต่อมือหนาอูมก็ยกขึ้นโบกไปมาเชิงห้ามพร้อมกับคำสั่งที่ตามมาติดๆ

“กลับไปพักได้แล้ว...อ้อเย็นนี้อย่าลืมแวะที่บ้านเลอาร์ล่ะ พ่อบอกทางโน้นไว้แล้วว่าแกจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นั่น...พ่อตั้งใจจะให้เจ้าหมั้นหมายกับหล่อนอย่างไรก็ควรใกล้ชิดสนิทสนมกันไว้”

พอได้ยินคำสั่งของบิดาชยินก็ได้แต่ถอนใจ เมื่อคำทัดทานไม่อาจเปลี่ยนความคิดของอีกฝ่ายชายหนุ่มจึงลุกขึ้นโค้งศีรษะคำนับและหมุนร่างเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกที่ยังขัดแย้งอยู่ในที


ซาเยร์เดินตามหลังผู้เป็นนายไปเงียบๆ จวบจนร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปยังห้องทำงาน เมื่อเข้าเขตความเป็นส่วนตัวชยินจึงหันไปถามคนติดตามทันที

“นายว่าใช่เธอไหมซาเยร์” ชายหนุ่มถามพลางยื่นรูปถ่ายไปให้

“ผู้กองหมายถึงอะไร?” คนถูกถามยื่นมือออกไปรับสีหน้างุนงง

“ฉันหมายถึงผู้หญิงที่อยู่ในรูปนายจำเธอได้ไหม?”

“ให้ตายเถอะ...นี่มัน...” ซาเยร์อุทานออกมาเมื่อเพ่งสายตามองภาพนั้น แล้วเห็นใบหน้าเลือนรางของใครคนหนึ่ง

“ตกลงเป็นเธอใช่ไหม” ผู้กองหนุ่มถามพลางจ้องหน้าคนติดตามตาเขม็ง

“ผมไม่แน่ใจว่าคนในภาพจะใช่เธอไหมเพราะเห็นไม่ชัด แต่จำบ้านหลังนี้ได้....คิดว่าน่าจะใช่...แต่ให้ตายเถอะผู้กองทำไมทุกอย่างถึงได้บังเอิญแบบนี้”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง”

“แล้วผู้กองจะทำอย่างไรต่อ...” ชยินมองคนถามพลางส่ายหน้าไปมาก่อนถอนใจยาวแล้วเอ่ยอย่างใจคิด

“เธอควรอยู่ในที่ของเธอ...เวลานี้สถานการณ์ของเราเลวร้ายลงทุกที ถ้าพวกนั้นได้ฐานที่มั่นแล้วตรึงกำลังอยู่ระหว่างชายแดนฝั่งไทยเมื่อไร มันก็ยิ่งเป็นช่องโหว่ให้พวกมันลำเลียงอาวุธเข้ามา” ซาเยร์ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดไปกับคำวินิจฉัยของผู้เป็นนายแล้วพึมพำออกมาเบาๆ

“หากเราไม่มีทางเลือก...”

“ถ้ามันคือหน้าที่ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่น...แต่ไม่กล้าเดาเลยจริงๆ ว่าหากทุกอย่างเปลี่ยนผันเราจะรับมือกับศึกทั้งสามด้านได้อย่างไร แค่กองกำลังของนายพลลอซูที่มีพวกว้ากับอะรากันเข้าแทรกแซงเราก็แทบสู้ไม่ไหว แล้วนี่ยังจะรัฐบาลและทางการไทยอีก ขืนเป็นแบบนี้เราไม่ถูกยำใหญ่หรืออย่างไร...”

“ผมคิดว่าท่านนายพลน่าจะมองเห็นผลดีมากกว่าผลเสียถึงได้กล้าเสี่ยง...”

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงเพียงคนเดียวจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ หนำซ้ำเธอยังเป็นหมอด้วย” น้ำเสียงของผู้กองหนุ่มแสดงชัดว่าไม่เห็นด้วยกับมติในที่ประชุม

“ถ้าเธอเป็นความหวังเดียวของเราบางทีมันอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

“ลอซูมันฉลาดที่คิดรวมแผ่นดินแล้วเอาไปต่อรองกับรัฐบาล แต่คนอย่างมันคงไม่หยุดอยู่แค่ผลประโยชน์เพียงหยิบมือเดียวแน่”

“เพราะอย่างนั้นท่านนายพลถึงต้องใช้วิธีนี้” ซาเยร์แสดงความคิดเห็นออกมา

“แต่ฉันก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดีหากจะดึงผู้หญิงต่างชาติต่างภาษาเข้ามาเสี่ยงกับวิกฤติทางการเมืองที่ไม่มีความแน่นอนแบบนี้...อีกอย่างเธอเป็นหมอความสำคัญของเธอมีมากกว่าแค่ตัวต่อรอง”

“ดูผู้กองจะเป็นห่วงคุณหมอเธอเหลือเกิน...” เพราะท่าทางของเจ้านายดูแปลกไปจึงทำให้คนตั้งคำถามเริ่มเคลือบแคลงสงสัย

“ฉันห่วงเพราะเธอเคยช่วยชีวิต...อีกอย่างฉันกับเธอมีที่มาแตกต่างกันมาก...ยิ่งสถานการณ์แบบนี้มันคงไม่มีทางเป็นไปได้แม้ว่าหัวใจจะปรารถนาเพียงใดก็ตามที” ซาเยร์จ้องใบหน้าหมองหม่นของผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าอย่างเห็นใจเมื่อรับรู้ได้จากกระแสเสียงของคนพูด แม้มันจะบ่งบอกถึงความมั่นคงแต่ก็เต็มไปด้วยความเสียดายที่แอบแฝงอยู่


ขณะชยินกำลังเกิดความขัดแย้งอย่างหนักกับการตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรกับหน้าที่ ณ ศูนย์พักพิงเล็กๆ ในเขตชายแดนไทย- พม่า ก็กำลังโกลาหลกับจำนวนคนไข้ที่ทยอยเข้ามารับการรักษาจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ซึ่งทางโรงพยาบาลจัดทำโครงการออกให้บริการรักษาชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล

นภัสชลยกมือขึ้นซับเหงื่อที่ผุดพรายเมื่อคนไข้รายแล้วรายเล่า ยังดาหน้าเข้ามาให้เธอรักษาด้วยจำนวนที่มากขึ้นทุกที และอาการเจ็บป่วยที่พบส่วนใหญ่ล้วนเป็นโรคเรื้อรังหนำซ้ำยังขาดการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงทำให้อาการของคนไข้หลายรายอยู่ในขั้นวิกฤต

“นภัสเธอน่าจะพักสักหน่อยนะหน้าซีดใหญ่แล้ว” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับแก้วน้ำถูกยื่นมาตรงหน้าทำให้คุณหมอสาวเงยขึ้นมอง ก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมาเมื่อเห็นประกายเหนื่อยล้ากระจายอยู่ในแววตาของคนพูดไม่ต่างกัน

“ขอบใจจ๊ะ...บอกแต่ฉันแล้วเธอล่ะไม่คิดจะพักบ้างเลยหรือ...” หญิงสาวยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำยกขึ้นจิบก่อนวางลง แล้วหันไปฉีกยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนสนิททรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างกัน

“คนเจ็บมากมายขนาดนี้ถ้าเราพักใครจะรักษาพวกเขาล่ะ หมอที่มาด้วยกันแต่ละคนต่างมีงานจนล้นมือทั้งนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นมันก็คงเป็นเหตุผลเดียวกัน...” นภัสชลเลิกขึ้นก่อนย่นจมูกเมื่อถูกเพื่อนดักคอ

“เราอยู่ที่นี่มาจะครบสามวันแล้วฉันไม่เคยเห็นมีวันไหนที่คนเจ็บจะลดน้อยลงทั้งๆ ที่ศูนย์พักพิงก็เล็กนิดเดียว...ตรงกันข้ามกลับมีมากขึ้นเป็นเท่าตัว...ขืนยังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เห็นทีพวกเราคงได้กลายเป็นหมีแพนด้าเพราะไม่มีเวลาพักผ่อน” วริสาเปรยขึ้นเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ แล้วเห็นคนเจ็บรายแล้วรายเล่ายังทยอยเข้ามาในเต้นท์

“ตอนประชุมใครกันนะที่ยกมือเหย็งๆ ขอมาเป็นคนแรก...ทีตอนนี้ล่ะทำบ่นเชียว”

“เราก็แค่พูดให้ฟังเปล่าบ่นเสียหน่อย อีกอย่างเธอก็เห็นว่าที่นี่ต้องการหมอมากแค่ไหน แต่ใครจะไปรู้ว่าศูนย์พักพิงเล็กๆ จะมีคนไข้เยอะแยะขนาดนี้” คนถูกดักคอยังต่อล้อต่อเถียงไม่เลิก

“เลาแปเล่าว่ามีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นทยอยลงมาจากบนเขา และหมู่บ้านทางฝั่งโน้นด้วยเลยทำให้มีคนไข้เพิ่มมากขึ้น...โน่นแน่ะคนไข้มานั่นแล้วรีบรักษาเข้า”

นภัสชลพยักพเยิดไปยังคนไข้รายล่าสุดที่กำลังถูกหามเข้ามา พองานเข้าคุณหมอทั้งสองจึงหันไปทำหน้าที่ของตนโดยไม่พูดอะไรกันอีก

เวลาที่เดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้ช่วยให้จำนวนคนไข้ซาลงแต่อย่างใด จึงทำให้เวลานาทีต่อนาทีมีความหมายกับคนที่กำลังรอการรักษาเลยก็ว่าได้...

แม้จะเหนื่อยล้ากับจำนวนคนไข้ที่ดาหน้าเข้ามารายแล้วรายเล่า แต่รอยยิ้มอ่อนโยนก็ยังคงกระจายอยู่ในใบหน้าของพวกเขาและมันไม่ได้สร้างความเบื่อหน่ายให้กับทีมแพทย์ที่กำลังขะมักเขม้นให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทุกคนยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความเอื้ออารี

หลังจากคนไข้รายสุดท้ายกลับไป นภัสชลจึงเดินออกจากเต้นท์เมื่อเวลาใกล้โพล้เพล้ ดวงตาคู่สวยหากอ่อนล้าเพราะตรากตรำกับการรักษาคนไข้มาหลายวันกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดไปฟอดใหญ่เมื่อหันไปทางใดก็พบแต่ความเขียวขจีของต้นไม้

“เฮ้อ!...ได้พักสักที....โอย...เมื่อยชิปเป๋ง” วริสาที่เดินตามออกมาติดๆ เปรยขึ้นพลางยืดตัวบิดขี้เกียจไปมา

“น่าสงสารคนพวกนี้พวกเราโชคดีแล้วล่ะที่เกิดอยู่ในเมืองไทย...แม้ชาวบ้านที่เห็นจะอยู่กันตามมีตามเกิดแต่ฉันว่ามันยังดีกว่าคนที่นี่เยอะเลย”

“นั่นสิ...อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าเมืองไทยเนอะ...ถึงการเมืองจะแย่แต่เราก็มีบ้านเมืองที่อร่ามเรืองไปด้วยความอุดมสมบูรณ์...ในน้ำมีปลาในนามีข้าวยังไงเราก็ไม่อดตาย”

“ฉันสงสารคนที่นี่...” นภัสชลเอ่ยพลางถอนใจยาว

“สงสารแล้วจะทำอย่างไรได้...ตราบใดที่พวกเขายังรบกันไม่เลิก ตราบนั้นรัฐบาลก็จะยังมองเห็นแต่ความจำเป็นที่จะใช้งบประมาณส่วนใหญ่ของประเทศเพื่อการเสริมสร้างแสนยานุภาพให้กับกองทัพเพื่อปราบปรามกลุ่มต่อต้านเรื่อยไป ในขณะที่ภาคสังคมอื่นๆ ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สาธารณสุข หรือการทำมาหากินของประชาชนกลับได้รับการเหลียวแลน้อยเต็มทนแบบนี้รบกันไปทั้งปีทั้งชาตินั่นแหละ”

“คนพวกนั้นเขาจะรู้กันบ้างไหมว่าการเข่นฆ่าเพื่ออำนาจมันไม่ได้ทำให้ชีวิตของชาวบ้านตาดำๆ เหล่านี้ดีขึ้นมาเลย ที่ร้ายกว่านั้นมันยิ่งเป็นการผลักดันให้พวกเขาต้องอพยพหลบหนีจนไร้ที่อยู่อาศัยไปกับการสู้รบที่ไม่รู้ว่าจะจบสิ้นเมื่อไร”

บทสนทนาของสองสาวแม้จะไม่ดังนักแต่ก็ทำให้ใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลมากได้ยินชัดจนต้องพ่นลมหายใจออกมา...

...นั่นสินะตราบใดการเรียกร้องอิสรภาพและโอกาสในการบริหารปกครองประชากรที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ของตนยังไม่ได้รับการตอบรับ...ตราบนั้นการสู้รบก็จะไม่มีวันจบสิ้น...ชายหนุ่มตอบคำถามนั้นกับตัวเองพร้อมกับหมุนร่างมุ่งหน้าเข้าไปในป่ารกชัฏด้วยความเงียบเชียบเช่นเดียวกับตอนมา





Create Date : 18 ธันวาคม 2554
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 21:05:20 น. 2 comments
Counter : 479 Pageviews.

 
ช่วงนี้เป็นช่วงนะนำสมาชิกใหม่ภาพประกอบจึงเป็นน้องเอมมี่...เพราะความเห่อของคุณแม่ถ้าแฟนๆ เบื่อบอกได้นะคะจะได้เลิกเห่อค่ะ.....วันนี้จะอัพให้หลายๆ ตอนเพราะกลัวเนทล่มอีกค่ะ คนอ่านจะได้ไม่ขัดใจเนอะ....


โดย: sansook วันที่: 18 ธันวาคม 2554 เวลา:21:08:49 น.  

 
แก้มหน้าจูบมากกก


โดย: jee IP: 10.249.112.88, 182.255.13.33 วันที่: 20 ธันวาคม 2554 เวลา:10:53:47 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.