หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
31 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 

พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 3



พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 3

ท่านพระ โยคาวจรทั้งหลาย วันนี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว โปรดตั้งใจสดับเรื่องราว ของพรหมวิหาร 4 ต่อไป สำหรับการเจริญพระกรรมฐาน เพื่อหวังมรรคผล หรือว่าเพื่อฌานสมาบัติ หรือว่าเพียงแค่จิตสงบ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน อย่าลืมกฎสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า บุคคลใดที่คล่องใน อิทธิบาท 4 หมายความว่า เป็นผู้ชำนาญในอิทธิบาท 4 บุคคลผู้นั้น จะทำอะไรก็ตาม จะมีผลสำเร็จทุกอย่าง ฉะนั้นขอท่านทั้งหลายที่ตั้งใจสร้างความดีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความดีที่ท่านทั้งหลายตั้งใจทำกัน นั้นก็คือ ความดีแห่งการหมดทุกข์ แต่ทว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมความรู้สึกของท่าน คือ สติ สัมปชัญญะ และปัญญา ก่อนที่จะพูดก่อนที่จะทำอะไร ใช้สติเป็น เครื่องระลึก ใช้สติสัมปชัญญะเป็นเครื่องรู้ตัว ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเสียก่อน

ทั้ง นี้ เพราะอะไร เพราะว่า แม้แต่การสอนพระกรรมฐาน เราสอนกันอยู่เป็นปกติ ฟังกันเป็นปกติ แต่ก็มีความรู้สึกที่ว่าบางท่าน ขาดสติสัมปชัญญะอยู่มาก และบางรายไร้ทั้งสติสัมปชัญญะ และก็ปัญญา อาการที่ แสดงออกมา จากการพูดก็ดี การ กระทำก็ดี บางทีก็ทำให้คนอื่นคลายศรัทธาปสาทะ การผิดพลาดในการปฏิบัติในงาน ย่อมมีเป็นของธรรมดา แต่ทว่าถ้าหากว่า ท่านผู้นั้นทำไป เพราะอาศัยไม่มีเจตนาร้าย ก็ยังไม่ควรจะติ อีกปะการหนึ่ง การจะติ หรือการจะแนะนำ การจะเตือน ก็จงใช้ปัญญาพิจารณา เสียก่อนว่า เราควรจะพูดอย่างไร ให้เพื่อนร่วมสำนักกัน มีความเข้าใจว่า จริยาอย่างนั้นหรือการกระทำ อย่างนั้นมันไม่ดี และก็ควรใช้วาจา ประเภทสัมโมทนัยกถา เราติแต่ว่าแกมชม หรือว่า ชมแต่ว่าแกมติ ให้คนนั้นรู้สีกว่าการ กระทำของเขาเป็นการทำผิด แต่ทว่าอย่าให้ถึงกับสะเทือนใจเกินไป

เว้นไว้แต่ว่า ใช้วาจาอย่างนี้ นิสัยคนหยาบย่อมไม่รับฟัง ไม่รับการปฏิบัตินั้น จึงควรใช้วาจาที่หนักเพราะว่า นิสัยคนหยาบ ถ้าปลอบรู้สึกว่า จะไม่รู้สึก ก็ต้องใช้ขู่ตะคอกนี้ เป็นของธรรมดา อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จริยาของเรา มีสองอย่างคือ นิคคัยหะ ปัคคัยหะ ถ้าใครดีเราก็ชมเชย ถ้าไม่ดีเราก็ข่มขู่ แต่ว่า จริยาที่องค์สมเด็จพระบรมครู ก่อนที่จะข่มขู่ และอาการรุนแรง หาเหตุหาผลแวดล้อม มาพูดให้เข้าใจก่อน ถ้าไม่เชื่อองค์สมเด็จพระชินวร ก็ปัพพาชนัยกรรม คือขับออกไปจากสถานที่

ดูตัวอย่าง พระวักกลิ เป็นต้น อย่างองค์สมเด็จพระทศพล ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ให้พระวักกลิ นั่งเฉยๆ ชมเฉยๆ อยู่ตั้ง 3 ปี แต่ว่าพระวักกลิก็เอาความดีอะไรไม่ได้ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา จึงลงโทษโดยปัพพาชนียกรรมคือ ขับออกจากสำนัก ฉะนั้นพวกเราเหล่าพุทธบริษัท คือ ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาทุกคน จงรู้ตัวของตนว่า วาจาที่กล่าวไปก็ดี และการที่เราทำออกไปก็ดี มันดี หรือว่ามันเลว การทำลายจิตใจ ของบรรดาเพื่อนสหธัมมิกด้วยกันให้ท้อแท้ จากการบำเพ็ญกุศล นี้ชื่อว่า ใจของเราหมองหม่น ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อุปาทานและกุศลกรรม จะว่ากันไปอีกทีก็ขาดพรหมวิหาร 4 ที่เรากำลังศึกษากันอยู่

สำหรับ พรหมวิหาร 4 นี้ เมื่อวันที่แล้ว ได้พูดมาถึงลักษณะของพรหมวิหารให้ ตั้งใจไว้ใน ขั้นพระโสดาบันว่า พรหมวิหาร 4 นี้ ท่านบอกว่า ต้องทรงฌาน คำว่า ฌาน ในพรหมวิหาร 4 นี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงทราบ ไม่ใช่เราจะไปนั่ง ภาวนาว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตา กรุณามุทิตาอุเบกขา ถ้านั่งภาวนาอย่างนี้ กี่แสนชาติ พรหมวิหาร 4 ก็ไม่ทรงฌาน

สำหรับอารมณ์ที่จะทรงฌานให้เป็นปกติ นั้นก็คือ อานาปานุสสติกรรมฐาน เราจะควบกับพุทธานุสสติกรรมฐาน ธัมมานุสสติกรรมฐาน สังฆานุสสติกรรมฐาน หรือว่า อุปสมานุสสติกรรมฐาน ก็ได้ ตามใจชอบเวลาที่ เราต้องการ ทรงจิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว ก็ใช้อารมณ์มาคิด สำหรับพรหมวิหาร 4 นี้ จะมีการทรงฌานของ อาการคิด คือใคร่ครวญ น้อมจิตจากอารมณ์ชั่ว มาเป็นอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว ก็คือ ความโหดร้าย คิดจะประทุษร้าย ต่อบุคคลอื่น คิดจะกลั่นแกล้งบุคคลอื่น เกลียดชังหวังจะ ทำให้เขามีความทุกข์

แต่ทว่าสำหรับพรหมวิหาร 4 นี้เป็นปัจจัย แสวงหาความสุขทั้งเราและทั้งเขา ความจริงเรื่อง นี้พรหมวิหาร 4 นี้ ดูเหมือนว่า ผมจะพูดมาสักหลายสิบครั้ง แต่ว่ายังมีบางท่าน ที่เป็นผู้ไร้ปัญญาไร้สติสัมปชัญญะ ยังไม่ใช้ปัญญาและก็สติสัมปชัญญะ และก็ปราศจากการใคร่ครวญพิจารณายังมีอยู่ อาการอย่างนี้ น่าสงสารองค์ สมเด็จพระบรมครู ที่พระพุทธเจ้าพร่ำสอนพวกเรามา กว่าจะได้สำเร็จ พระสัมมาสัมโพธิญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารบำเพ็ญบารมี ตั้ง 4 อสงไขยกับแสนกัป กว่าบารมีจะ เต็ม เอาความรู้อย่างนี้มาสอนเราแต่ว่า ถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่ง ไม่คำนึงถึงความดี ขององค์สมเด็จพระชินศรีทรงสอน ก็เป็นการสมควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องกลับไปลงอเวจีมหานรก

ตั้งต่อแต่นี้ไป จะกล่าวถึงวิธีการทรงฌาน ในพรหมวิหาร 4 ว่าจิตของเรามีสองอารมณ์ บางอารมณ์มันเป็น อารมณ์ชอบคิด บางคราวชอบคิด และบางคราวชอบสงบ เวลาที่จิตของเรา ต้องการความสงบเรา ก็ยึดอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นพื้นฐาน ให้จิตทรงตัว แต่การที่ท่านจะภาวนา ว่าอย่างไร ร่วมด้วย อันนี้ผมไม่ห้าม คำภาวนา เป็นเครื่องโยงจิต ให้ทรงสมาธิ บางท่านไม่ต้องการภาวนาก็ใช้แต่เพียงกำหนด รู้ลม หายใจเข้าหายใจออกทั้งสองแบบ คือ แบบมหาสติปัฏฐานสูตร หายใจเข้า หายใจออก ก็รู้อยู่ หายใจเข้า ยาวหรือสั้น หายใจออก ยาวหรือสั้นก็รู้อยู่ อย่างนี้ตาม แบบมหาสติปัฏฐานสูตร ถ้าตามแบบกรรมฐาน 40 ใช้กำหนดรู้ลมหายใจสามฐาน เวลาหายใจเข้าลมกระทบจมูกรู้ กระทบหน้าอกรู้ กระทบศูนย์เหนือสะดือ รู้เวลาหายใจออกก็ลมกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบจมูกหรือว่าริมฝีปากก็รู้ เอาจิตจับจุดเพียงแค่นี้ ประเดี๋ยวเดียวจิตก็ทรงฌาน ถ้าหากว่าจะภาวนาว่าอย่างไรด้วยก็ตามใจ หรือไม่ภาวนาเลยก็ตามใจ ทำเพื่อจิตสงบทำให้จิตทรงตัว

ที นี้ขณะจิต ต้องการคิดในพรหมวิหาร 4 ต้องใช้อารมณ์คิด คิดหาเหตุหาผลว่า คนและสัตว์ ทุกคนในโลกนี้ มีเราเป็นต้น ไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการแต่ความสุข เราไม่ต้องการศัตรู เราต้องการความเป็นมิตร เรื่องคิดไม่ต้องไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงเรา กิริยาเช่นใด หรือวาจาเช่นใด ที่คนอื่นใดเขาทำกับเรา เราไม่ชอบก็จงมีความรู้สึกว่า อาการวาจาหรือกิริยาเช่นนั้น ถ้าเรากระทำกับคน อื่นคนอื่นก็ไม่ชอบเหมือนกัน

นี้ การศึกษาธรรรมะ ในศาสนาขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์ เขาสอนเขาคิด เข้ามาหาตัว เอาใจเราเป็นเครื่องวัด ว่าเราต้องการความเมตตาปรานีจากคนอื่นฉันใด บุคคลทั้งหลายก็ ต้องการความเมตตาปรานี จากเราเหมือนกัน ตอนนี้เห็นว่า พอจะมีความเข้าใจ ฉะนั้นอารมณ์ใจของเรา ก็คิดไว้เสมอว่า เราจะรักคน และรักสัตว์นอกจากตัวเรา เหมือนกับเรารักตัวเรา เราจะสงสารเขา เหมือนกับที่เราต้องการให้คนอื่นเขาสงสารเรา เราจะรักเขาเหมือนกับเขารักเรา ต้องการให้เขารัก เรา เราจะสงสารเขาคือผู้อื่นทั้งหมดเหมือนกับเรา ต้องการให้เขาสงสารเรา เราจะไม่อิจฉาริษยาใครเมื่อบุคคลอื่นใครได้ดี เหมือนกับสมมุติว่า ถ้าเรามีลาภสักการะเรามีความดี ถ้าคนอื่นมาแสดงความยินดีด้วย เราก็พอใจฉะนั้นเวลาที่ใครเขาได้ดี แทนที่เราจะอิจฉาริษยา เราก็พลอยยินดีกับความดีของเขา ทำใจให้สบายแบบนี้

อีก ประการหนึ่ง จะมีอะไรก็ตามที ที่มันมีอารมณ์ขัดข้องใจ เป็นไปตามสภาวะของโลก เช่น ความแก่ความป่วย ความตาย อารมณ์ที่เราชอบใจบ้าง การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มันเกิดขึ้นมันเป็นของประจำโลก ถือว่านี้ของธรรมดา โดยคิดไว้เสมอว่า เราเมื่อเกิดมาแล้วต้องมีความแก่เป็นของธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความแก่ไปได้ เราต้องมีความป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ เราจะต้องมีความตาย เป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นความตายไปได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นธรรมดา ไม่สามารถจะล่วงพ้นไปได้ ทำใจให้มันมีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดา

เมื่อ อาการอย่างนั้น ปรากฏขึ้น อารมณ์เราก็ปกติ ไม่มีการหวั่นไหวใดใดทั้งหมด มีอารมณ์เฉยๆ ไม่กระทบกระทั่งใจ เป็นอันว่า อย่างนี้เรียกว่า อุเบกขา หรือว่า โลกธรรมใดใดมันเกิดขึ้น ความมีลาภเกิดขึ้นเมื่อลาภสลายตัวใจไป การได้ยศมายศ สลายตัวไป ความสุขจากกามารมณ์โลกีย์วิสัยเกิดขึ้น สุขนั้นสลายไป มีทุกข์มาแทน ได้รับคำนินทาและคำสรรเสริญอาการ อย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา เราก็มีความเฉยๆเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือว่าเป็นธรรมดาของชาวโลก เกิดมาอย่างนี้มันต้อง กระทบกระทั่ง ไม่มีใครสามารถจะล่วงพ้นไปได้

อย่างนี้เชื่อว่า พรหมวิหาร 4 ของเราครบถ้วน ถ้าเราถูกนินทาว่าร้าย แทนที่เราจะโกรธ กลับสงสารคนที่เขาว่าเรา เขานินทาเรา เขาว่านั่นเขาสร้างศัตรู คือ สร้างความทุกข์ และก็คอยดู คนที่เขานินทาว่าร้ายเรา เขาจะหาความสุขอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจิตใจของเรา ทรงพรหมวิหาร อยู่เป็นปกติ เขาคิดทำลาย เราประเภทไหน อาการอย่างนั้น นั่นแหละ มันจะเข้าถึงกับเขาภายในไม่ช้า ที่โบราณท่านกล่าวว่า การตบมือข้างเดียวไม่ดัง หรือว่า การถ่มน้ำลายรดฟ้า ก็ลงหน้าตัวเอง แทนที่เราจะโกรธ เรากลับสงสารว่า เขาไม่น่าจะทำเขาอย่างนั้น

สำหรับ อารมณ์จิตที่เป็นฌานในพรหมวิหาร 4 ก็คือว่า มีอารมณ์อยู่อย่างนี้เป็นปกติ ไม่มีความหวั่นไหวใดใด ที่เข้ามากระทบกระทั่งใจ แทนที่จะเกลียด แทนที่จะโกรธ เราก็มี เมตตา ความรัก เรามีความกรุณา ความสงสาร มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉา ริษยาเขา เมื่อเขาพลาดพลั้ง เราไม่ซ้ำเติมเฉยถือว่า เป็นกฎของกรรม นี่ถึงว่าโดยอาการของการทรงพรหมวิหาร 4 ให้เป็น ฌาน คำว่า ฌาน นี่ ไม่ใช่นั่ง หลับตา ฌานนั่งหลับตานะ มันเป็นฌานไม่จริง ฌานจริงๆ นั่นก็คือว่า อารมณ์มันทรงเป็นปกติ หลับตา หรือลืมตาพูดอยู่คุยอยู่ ทำงานอยู่ จิตใจเยือกเย็น มีความสุข ปรารถนาที่จะเกื้อกูลบุคคลที่มีความทุกข์ ไห้มีความสุข นี่ชื่อว่า ฌาน ของพรหมวิหาร 4 คืออารมณ์ 4 ประการ ต้องทรงตัว

จะ ทรงตัว เพราะอะไร ใจของเรา ทรงอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะเรามีความพอใจในพรหมวิหาร 4 อาการอย่างใด ที่เข้ามาขัดข้อง คือความโหดร้ายของใจมันจะมีขึ้น อารมณ์อิจฉา ริษยามันจะมีขึ้น อย่างนี้เราต้องใช้ วิริยะ ความเพียร เตือนใจว่า นั่นมันเป็นความเลวของจิต มันไม่ใช่สถานะที่สร้างความเป็นมิตร สร้างความสุข หาความทุกข์มาให้ตน อารมณ์ที่เป็นอกุศลอย่างนี้ จะต้องไม่มีสำหรับเรา เพียรทำลายมันเสีย จิตตะ เอาใจจดจ่อ มีความรู้สึก นึกอยู่เสมอ ในเรื่องของ ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่าไปท่องแบบนี้นะ เรื่องของความรัก ความสงสาร ความไม่อิจฉาริษยาใคร ใจวางเฉยต่ออารมณ์ทั้งปวง

ดู ตัวอย่าง พระพุทธรูป ทำใจของเราให้เหมือนใจพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านยิ้มตลอดเวลา หนาวก็ยิ้ม ร้อนก็ยิ้ม ใครเขา เอาอะไร ไปถวายก็ยิ้ม เขาไม่ถวายก็ยิ้ม เขาด่าท่านก็ยิ้ม เขาชมท่านก็ยิ้ม พระพุทธรูป ไม่มีจิตวิญญาณ แต่ทว่าเราที่มีจิต วิญญาณ ควรทำอาการของใจวางเฉย เช่นเดียวกับพระพุทธรูป นี่ว่ากันว่าถึง อารมณ์การทรงฌาน ของพรหมวิหาร 4 แต่ว่า การทรงฌานเพียง เท่านี้ยังดีไม่พอ เพราะอะไรดีไม่ได้ ยังไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เราต้องทรงให้มันดีไปกว่านั้น

ที นี้เราพูดกัน เมื่อกี้นี้ เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร ต่อแต่นี้ไป เราก็มาสร้าง ความรัก สร้างความสงสารในตัวเราให้มาก ก็ทำอารมณ์ก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอนาคามี สำหรับพระสกิทาคามีนี่ ผมไม่พูดถึง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าคนที่ ทรงพรหมวิหาร 4 ถ้าทรงพรหมวิหาร 4 จริงๆ นี่ การเป็นพระโสดาบัน กับสกิทาคามี อยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องมีอะไรมาก พระอริยะสองระดับ นี้อยู่ในกระเป๋าแน่นอน เป็นอันว่า ได้กันแน่ ไม่มีทางที่จะหลีกพ้นไปได้ ถ้าทรงพรหมวิหาร 4 จริงๆนะ ต้อง เป็นพระอริยเจ้าชั้นนี้ได้จริงๆ ถ้าทรงไม่จริง มันก็ลงนรกกันเท่านั้นแหละ ขาดพรหมวิหาร 4 ตัวใดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรหมวิหาร 4 นี่ ถ้าเราพร่องตัวใดตัวหนึ่ง หรือข้อใดข้อหนึ่ง นั้นคือ เราลงนรกแน่

พรหมวิหาร 4 ผมได้ บอกแล้วว่า เป็นอาหารเลี้ยงจิตในด้านศีล เลี้ยงสมาธิ เลี้ยงปัญญา เป็นอันว่า การเจริญพรหมวิหาร 4 นี่เป็นพระอรหันต์ ง่ายที่สุด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า มีแต่สภาพเย็น

ต่อไป เราก็นั่งมานั่งคิด เมตตาตัวอุเบกขา วางเฉย กับใจของเรา ผมพูดแบบนี้นี่ ดีไม่ดีนักปราชญ์เขาจะหาว่าผมบ้านะ โดยความจริงผมก็พร้อมแล้วที่จะรับความเป็นบ้า เพราะอะไร เพราะผมบ้ามานานแล้ว ผมเป็นคนชอบบ้า บ้าแบบไหน เดียวจะคิดออกนอกลู่นอกทาง

คือ อาการอย่างใด ที่ชาวโลกเขาต้องการกัน ถ้าอาการอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างเขา เขาก็หาว่า บ้า อย่างคนเขากินเหล้าเรา ไปนั่งพูดธรรมะ เขาก็หาว่าเราบ้า คนเขาคุยธรรมะกันอยู่ เราไปกินเหล้าในวงธรรมะ เขาก็หาว่าเราบ้า อาการอย่างใด ถ้าไม่เหมือนกับสังคมหนัก เขาก็หาว่าเราบ้า

ตอน นี้เราก็มาบ้ากัน บ้ารักใจตัวเอง บ้าสงสารใจตัวเอง บ้ายินดีกับใจของตัวเอง บ้าวางเฉยกับใจของตัวเอง บ้าตรงไหนละ เราก็มานั่งเมตตาจิตของเราว่า โอ้หนอ การปรารถนาในกามารมณ์ ปรารถนาในการครองคู่ ที่เขาถือว่า การแต่งงาน เป็นความสุขนะ เราต้องพิจารณาดูคนที่ เขาแต่งงาน มันสุขหรือมันทุกข์ ดูคนที่เขาแต่งงานแล้ว กิจการงานมันก็เพิ่มขึ้น ก่อนที่เขาจะแต่งงานกัน เขาเลือกแล้วสวยแล้ว วิเศษแล้ว แข็งแรงดีแล้ว แต่ว่าแต่ละคนทรงสภาพอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่ช้าก็แก่ลงไปทุกวันทุกวัน และคู่วิวาห์นั้นเขา นั่งยิ้มอยู่ตลอดวันตลอดคืนหรือเปล่า ดีไม่ดี แกก็นั่งทะเลาะกันให้เราฟัง แต่ก็มีลูกมีหลานขึ้นมา มาสร้างความสุข หรือว่าสร้างความทุกข์ หาความจริง ก็แล้วกัน ดูของจริงคือ ของจริงเขามีให้เราดูว่า คู่วิวาห์ แต่ละคู่นะ เขาสุขหรือว่าเขาทุกข์ มองหากันเอง อยู่คนเดียวทำอะไรได้ตามใจชอบ ถ้ามีคู่ครองเราจะต้องเอาใจคู่ครอง จะทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง ตามใจชอบไม่ได้ แล้วคู่ครองทุกคู่ เขาเคยทะเลาะกันไหม คู่ครองทุกคู่ เคยต้องลำบากยากเย็น เพราะอำนาจของคู่ครองมีไหม การมีบุตรมีภรรยานะ มันมีความสุข หรือ ความทุกข์ มีบุตรธิดา คือ มีลูกหญิง ลูกชาย เป็น อันว่า อาการทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอาการของความทุกข์ ถ้าไม่รู้จักทุกข์แล้วก็ไป นั่งจ้องมองดูเขา

เราก็มาตัดสินกำลังใจเราว่า เราจะมาหลงไหลใฝ่ฝันกับกามารมณ์ มันเรื่องอะไร ว่าร่างกายของคนมีสภาพสกปรก หันเข้าไปจับ กายคตานุสสติกรรมฐาน แล้วก็หันเข้าไปจับ อสุภกรรมฐาน ตามที่กล่าวมาแล้ว ในตอนต้น ตอนนี้ เห็นจะไม่ต้องว่ามาก จนกระทั่งกำลังใจของเรา คิดว่า คนทุกคนมี ร่างกายนี้ มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายเต็มไปด้วย สภาพสกปรก การอยู่สองครองคู่เต็มไปด้วยความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ เราจะปล่อยใจของเรา ให้ไปหลงระเริงอยู่ในกามารมณ์ เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าเรารักใจเองเรา เราก็ห้ามใจมันไว้ว่า สิ่งเหล่านี้ มันเป็นทุกข์ ถ้าเราสงสารใจของเรา เราก็ห้ามใจมันไว้ ว่าอย่าไปยุ่ง กับความทุกข์ มันไม่ใช่แดนของความสุข ถ้าเราสามารถห้ามมันได้ จิตมันทรงตัว จนกระทั่งไม่มีอารมณ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง เราก็ยินดีกับจิตของเราที่ได้ตัวมุทิตา

ต่อมาก็ใช้ สังขารุเปกขาญาณ คือ อุเบกขาวางเฉย จนเราทั้งอารมณ์ของเรา มีความรู้สึกว่า เห็นเพศตรงกันข้าม เราไม่มี ความรู้สึกนึกจะรักอยากจะครองคู่ แต่จิตเมตตาจิตสงสารมีอยู่ปรารถนาจะเกื้อกูลเขาให้มีความสุข มีฐานะที่ทรงตัว ถ้าจิตใจของท่านทั้งหลาย สามารถทรงได้อย่างนี้ ก็เชื่อว่า เข้าไป 50 เปอร์เซ็นต์ ไนการที่จะเป็นพระอนาคามี อย่าลืมนะ ค่อยๆ ทำไป มันง่าย ถ้ามันไม่แน่ใจ ก็หันไปจับ กายคตานุสสติกรรมฐาน และอสุภกรรมฐาน กับ สักกายทิฏฐิ บวกกันถอยหลังไป ฟังตอนต้นๆ ก็แล้วกัน พูดไปมัน ก็มากความเปล่าๆ เพราะอธิบายมาแล้ว

เอาละบรรดา สาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เวลานี้ เวลาที่จะพูดหมดไปแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อแต่นี้ไป ขอ ทุกท่านตั้งกายให้ตรงดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถที่ท่านต้องการว่ามันเป็นความสุขจนกว่าจะถึงเวลาอันสมควร .....สวัสดี




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2552
21 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 16:52:47 น.
Counter : 852 Pageviews.

 

มาตามอ่าน พรหมวิหาร 4 ตอนที่ 3 ค่ะ

ตรงที่บอกว่า

สังขารุเปกขาญาณ คือ อุเบกขาวางเฉย จนเราทั้งอารมณ์ของเรา มีความรู้สึกว่า เห็นเพศตรงกันข้าม เราไม่มี

แบบว่า ยังไม่ถึงขั้นค่ะ คุณไผ่ฯ
ถ้าถึงขั้นนี้มะไหร่ จะบอกนะคะ อิอิ




ปล. ขอโมทนากับคุณไผ่ฯ ด้วยค่ะ
มีความสุขมากๆ ในวันหยุดพักผ่อนนะคะ

 

โดย: พ่อระนาด 31 พฤษภาคม 2552 16:48:00 น.  

 

อนุโมทนาค่ะ

ขนาดพระด้วยกันยังโดนเทศน์เลยนะคะ เห็นหลวงพ่อจรัญบอก เป็นพระ ถ้าทำบาป จะบาปหนักกว่าชาวบ้านอีก

อย่างที่คุณพ่อระนาดบอก...ยาก ทำยากจริงๆ

 

โดย: Mermaid AI 31 พฤษภาคม 2552 18:17:21 น.  

 

แหะๆๆ ขอมาทักเฉยๆได้มั้ยค่ะ..
แบบว่าเป็นคนอ่านอะไรยาวๆ ไม่ค่อยได้คะ

จะว่ากันมะเนื่ย..

 

โดย: อาลีอา 31 พฤษภาคม 2552 18:21:40 น.  

 

เหมือนคุณอาลีอาเลยครับ อ่านยาวๆไม่ค่อยได้ แต่ก็ขอบคุณนะครับที่นำสิ่งดีๆมาให้ ขอโมทนาด้วยนะครับ ^_^

 

โดย: JohnV IP: 125.26.106.238 31 พฤษภาคม 2552 19:45:46 น.  

 

สวัสดีค่ะ
ความรู้แน่นมากค่ะ

 

โดย: ชีวิตมีลีลา 31 พฤษภาคม 2552 20:59:05 น.  

 

ท่านอธิบายละเอียดมากเลยนะครับพี่


 

โดย: กะว่าก๋า (กะว่าก๋า ) 31 พฤษภาคม 2552 21:27:19 น.  

 

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ
แต่บางครั้งเนื้อหามันแยะเกินปายยยยยย อ่านม่ายหวายตาลายยยยยย

 

โดย: หนูดำจำมัย 31 พฤษภาคม 2552 21:29:02 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

แหล่มค่ะอนุโมทนาบุญด้วยจ๊ะ

 

โดย: อุ้มสี 31 พฤษภาคม 2552 22:02:04 น.  

 

พี่หมึกสีดำ

เดี๋ยวหนูกลับมาอ่านนะคะ

ขอแว๊บไปแปล๊บนึงค่ะ

 

โดย: tukta IP: 125.24.228.85 31 พฤษภาคม 2552 23:03:38 น.  

 

ส่งเข้านอนนะคะ คุณไผ่

ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

 

โดย: พ่อระนาด 31 พฤษภาคม 2552 23:25:24 น.  

 

พี่หมึกสีดำคะ กลับมาอ่านแล้วนะคะ

หนูวนเหมือนลิงคงวางเฉยยากแน่เลยค่ะ555 ล้อลเล่นขำขำนะคะ


ขอบคุณพี่หมึกสีดำมากนะคะสำหรับสิ่งดีดีที่นำมาแบ่งปันกันค่ะ

 

โดย: tukta (tukta510 ) 1 มิถุนายน 2552 1:52:39 น.  

 

ความรักเป็นก้าวแรกของการทำดี
รัก คนรอบข้าง ก็ต้องทำดีกับเขา
เหมือนคุณหมึกดำ
ที่รักความสิ่งที่ดี เลยนำความสิ่งที่ดีมาแบ่งปันกัน
ขอบคุณนะค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 1 มิถุนายน 2552 6:28:05 น.  

 

title=

สวัสดีเช้าวันจันทร์ค่ะ

 

โดย: พ่อระนาด 1 มิถุนายน 2552 6:57:47 น.  

 

ตามมาอ่านตอนที่ 3 ค่ะ... ท่าน สว
(รีบบอกว่า สูงวัย ซะงั้น อิอิ)

มีความสุข สงบในวันจันทร์นะคะ
..ยิ้มแย้มแจ่มใส..

 

โดย: ปลิวตามลม 1 มิถุนายน 2552 7:48:36 น.  

 

มาสวัสดีตอนบ่ายเช่นกันค่ะ ทานอะไรยังเอ่ย

 

โดย: Mermaid AI 1 มิถุนายน 2552 12:54:51 น.  

 



สวัสดีบ่ายวันจันทร์จร้าคุณหมึกสีดำ....


มีความสุข มาก มาก น๊า....

ขอบคุณที่นำบทความมาลงให้อ่านนะคะ จะพยายามทำตามค่ะแต่มะรุจะได้แค่ไหนหงะ เป็นคนปากไม่ค่อยดีซะด้วย พูดรัยไม่ค่อยคิด เลยกลายเป็นคนพูดแบบไร้สติป่าวเนี่ย... ทุกอย่างอยู่ที่ใจค่ะ ใจสุข กายก็พลอยสุขไปด้วย...

 

โดย: หนุ่มน้อยแห่งลุ่มแม่น้ำบางปะกง 1 มิถุนายน 2552 13:55:57 น.  

 

สวัสดีครับพี่

รออ่านตอนสี่อยู่ครับ อิอิิอิ




 

โดย: ก.ก๋า (กะว่าก๋า ) 1 มิถุนายน 2552 16:51:32 น.  

 



หวัดดีตอนเย็น ๆ ค่ะ
มีความสุขมาก ๆ เช่นกัน นะคะ

 

โดย: มินทิวา 1 มิถุนายน 2552 17:49:32 น.  

 

อนุโมทนาค่ะ

ขออนุญาต ก๊อป เอาไปอ่าน ไว้เตือนสติค่ะ


ขอบคุณนะคะ

 

โดย: นายกุหลาบ 1 มิถุนายน 2552 19:02:58 น.  

 

คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ
กลับมาแล้วจ้า!!! ขอบคุณค่ะที่ห่วงใยหนูดำแต่ว่าผิดศีลข้อ5 จะอ่านธรรมะ ได้ป๊ะ

 

โดย: หนูดำจำมัย 1 มิถุนายน 2552 21:07:44 น.  

 

เห็นภาพผีเสื้อตอมดอกไม่แล้ว
คิดว่า ตัวเองเป๋นผีเสื้อบิน ๆ ๆ

ผู้หญิงก็เป็นผีเสื้อได้เนอะ สวน
กระแสโลกสักหน่อย ..ยิ้มขำ ๆ..

 

โดย: ปลิวตามลม 1 มิถุนายน 2552 21:57:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.