หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 6 (ตอนจบ)


พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 6

ท่านสาธุชนพุทธ บริษัท ทั้งหลาย สำหรับเวลานี้ ท่านทั้งหลายได้พากัน สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไปขอท่านทั้งหลาย ได้โปรดตั้งใจสดับในเรื่อง ของเมตตา คือ พรหมวิหาร 4 ในขั้นสุดท้ายความ จริงพรหมวิหาร 4 นี้ ผมได้พูด ไว้แล้วว่า ถ้าหากว่าท่านผู้ใดตั้งใจจริง มีอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะความพอใจ วิริยะมีความพากเพียร ต่อสู้กับอารมณ์ที่เป็นข้าศึก จิตตะสนใจฝักใฝ่ในเรื่องนั้นอย่างแท้จริง คือพรหมวิหาร 4 วิมังสาใช้ปัญญาดูว่า อารมณ์ที่ผ่านมาภายนอกเป็นอารมณ์ ของความดี หรือว่าเป็นอารมณ์ของความชั่ว ถ้าเป็นอารมณ์ของความดีเราก็รับ ถ้าเป็นอารมณ์ของความชั่ว เราก็ไม่รับ ถ้าจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลาย ทรงอิทธิบาท 4 นี้ครบถ้วน สำหรับพรหมวิหาร 4 ก็จะสามารถทำให้ท่านทั้งหลายเป็นพระอรหันต์ได้โดยรวดเร็ว

จง อย่าลืมธรรมะ อีกข้อหนึ่งว่า เราจะแก้กิเลสตัวไหน กิเลสตัวนั้นมันเข้ามายุ่ง กับใจเราเสมอ เพราะมันเป็นข้าศึก ถ้าหากว่าเราจะแก้ความโลภ ทรัพย์สมบัติมันจะเกิดขึ้นมามาก โดยที่คาดไม่ถึงถ้าจิตของเราไปติดทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านั้น แสดงว่าเราก็แพ้กิเลส ถ้าหากว่าเราจะแก้ราคะ ความรักในเพศ และความสวยสดงดงามนั้น จะพบกับแขก ที่มีเพศตรงกันข้าม มีลักษณะท่าทางสวยงามสง่าผ่าเผย เต็มอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน มีจริยาเพียบพร้อมเป็นที่น่ารักมายั่วยวนถ้าจิตใจ ของเราไม่คล้อยตามไป ชื่อว่า เราชนะ ถ้าเราคล้อยตามไป มีความพอใจ เราก็แพ้แก่กิเลส

เวลา นี้ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ กำลังเจริญพรหมวิหาร 4 มีเมตตาความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิ ตามีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย ต่ออารมณ์ของความชั่ว ในขณะที่เรา ทรงพรหมวิหาร 4 นี่ก็เป็นการตัดกิเลสตัวสำคัญ คือ โทสะ ก็จงระมัดระวังว่า การที่เกิดโทสะ การที่ไม่คาดฝัน จะมีมาถึงเราอยู่เฉยๆ อาจจะมีคนแกล้งมาหาเรื่องก็ได้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ผมประสบมามากในขณะที่ฝึก แต่ว่าเราก็ผ่านมาได้แบบสบายๆ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับกำลังใจ หรือ อิทธิบาท 4 อย่างเดียว

สำหรับวันนี้จะเห็นว่า จะไม่พูดอารัมภบทมาก เพราะเป็นวันจบการเจริญ พรหมวิหาร 4 ของท่าน ผมได้กล่าวมาแล้วถึงขั้น อนาคามีผล หรือว่า การเจริญพรหมวิหาร 4 เป็นพระอนาคามีไม่ยาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะ เรามีเมตตาความรัก รักใคร รักเรานี่แหละเป็นตัวสำคัญ กรุณาความสงสาร เราสงสารใคร เราสงสารตัวเรา มุทิตามีจิตอ่อนโยนไม่อิจฉาริษยา คือไม่มีอารมณ์เครียด ในเมื่อความดีมันเข้ามาถึง อุเบกขา วางเฉย เฉยต่ออารมณ์ภายนอก เฉยต่ออารมณ์ภายใน เฉยต่ออาการของขันธ์ ความจริงการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้เป็นพระอรหันต์ได้ง่าย

ที่ผมว่า รักเราน่ะเพราะอะไร เพราะว่า ถ้าจิตของเรา ไม่ติดในกามฉันทะ ก็เชื่อว่า เราเป็นคนไม่รักตัวเราเอง เพราะกาม ฉันทะ เป็นกามคุณ ก็คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัส ระหว่างเพศ อันนี้มัน เป็นของไม่ดี อะไรที่ไหน มัน สวยจริง กลิ่นที่ไหนมันหอมเสมอ รสที่ไหนอร่อยเรื่อยตลอดวันตลอดสมัย สัมผัสเพียงเหตุเกิดความสุขใจ แต่มันทุกข์อะไรบ้าง นี่มันเป็นของไม่ดี ถ้าเรารักตัวเรา จริงๆเราก็ไม่ไปยุ่ง กับราคะ คือ ความรัก สำหรับโลภะ ความโลภ ความร่ำรวย มัน เป็นของดี หรือว่ามันเป็นของเลว เหตุนำซึ่งความสุข หรือ ความเหตุ นำมาซึ่งความทุกข์ เราจะมองกันจริงๆ คนที่รวยก็แก่ ก็ป่วยก็ตายด้วยกันทุกคนและก็มีอารมณ์เร่าร้อน ทรัพย์สินทั้งหลายที่เขารวบรวมไว้ได้ไม่มีใครนำไปได้ เมื่อเวลาตายหาก ว่าเราไปติดรวย ก็แสดงว่า เราไม่รักตัวเอง การที่เราจะรักตัวเอง เราต้องเป็นคนวางภาระใน ความต้องการร่ำรวยเสีย

นี่ มาอารมณ์โกรธ อารมณ์โกรธนี่เป็นอารมณ์ของความเร่าร้อน ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยเราจะฆ่าเขา เขาก็ตาย เราจะแกล้ง ให้เขามีทุกข์ เขาก็มี ถ้าเราไม่ฆ่าเขา เขาก็ตาย เราไม่กลั่นแกล้ง เขามีทุกข์ เขาก็ทุกข์อยู่แล้ว ฉะนั้นจะต้องไปทำทำไม ถ้าเรารักตัวเรา ก็อย่าสร้างโทสะ ความโกรธ ให้มันเกิดขึ้น มันสร้างความเร่าร้อนเปล่าๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์ ใครจะบ้า ก็ไปให้เขาบ้าไปตามเรื่องตามราว เป็นอันว่า คนที่ทำให้เราโกรธ เราคิดว่า นั้นเขาบ้า บ้าตรงไหน บ้าชีวิต บ้าฐานะ บ้าความเป็นอยู่ เพราะอะไรเพราะคนโกรธก็มีอาการเหมือนคนบ้านั่นเอง ยามปกติคนทุกคน ต้องการความสงบเสงี่ยม ต้องการความเรียบร้อย แต่ทว่าความโกรธเกิดขึ้น สติสัมปชัญญะแห่งความดี มันก็หายไป มันก็เหลือแต่ความเลวมัน หลั่งไหลมานอกหน้า นี่ถ้าเราสงสารตัวเราเอง เราก็จงอย่าโกรธ เพราะถ้าเราไม่โกรธเราก็ไม่บ้า

ดู ตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าธารกำนัล องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ ก็ทรง เฉย พราหมณ์ชี้หน้าบอกว่า พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้วพระพุทธเจ้าทรงถามว่า แพ้ตรงไหน พราหมณ์จึงตอบว่า ฉันด่าแก แกไม่ด่าตอบข้า แกแพ้ข้า สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า พราหมณะดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตคิดว่า ถ้าใครเขาด่า ตถาคต ถ้าตถาคตไปด่าตอบคนนั้น แสดงว่าตถาคตน่ะเลวกว่าคนนั้น

เป็น อันว่า พระพุทธเจ้า ทรงด่าพราหมณ์ อย่างหนัก พราหมณ์มีปัญญารู้สึกตัว คิดว่าตัวผิดไปเสียแล้ว จึงนั่งกระหย่ง ถวายนมัสการ องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว แล้วกล่าวว่า ภาษิต ที่ท่านตรัสวันนี้เป็นของดีมากประเสริฐมาก คล้ายกับ หงายหม้อ กำลังคว่ำอยู่ ให้ปากชูขึ้นรับน้ำฝน แล้วจึงน้อมจิตใจของตน ขอบวชในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยที่รู้ตัวว่าชั่วของพราหม ณ์ ไม่ช้าพราหมณ์ก็ได้สำเร็จอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคล เบื้องสูงในพระพุทธศาสนา

นี่เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่เราควรจะศึกษากัน จงคิดว่า คนที่มีความโกรธก็คือ คนบ้า บ้าในชีวิต บ้าในฐานะเมาในศักดิ์ศรี ซึ่ง มันไม่เป็นของดี ไม่เป็นของจริง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง ถ้าเราเมา เราก็เป็นทุกข์มันเป็นอนัตตา ในที่สุดเราก็ตาย จะแบกยศถาบรรดาศักดิ์ไปทางไหนกัน

เป็นอันว่าเรื่อง ของการเจริญพรหมวิหาร 4 เป็นอรหันต์ง่าย เป็นอรหันต์เพราะเรารักตัวของเราเองเราสงสารตัวของเราเอง เรารักตัวเรา ก็คือเราไม่ทำความชั่ว เพราะความชั่วมันเป็นเหตุแห่งความเร่าร้อนเรา สงสารตัวเรา เราก็ระวัง ไม่ให้ความ ชั่วมันเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 มีจิตอ่อนโยนคือ กำลังจิตไม่แข็งไม่กระด้างใครเขาทำดีทำชั่วช่างเขาเราพยายามรักษากำลังใจของเราให้บริสุทธิ์

อุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ทั้งหมด คืออารมณ์ที่มันมาจากกระแสเสียงก็ดี มาจากอาการทางกายก็ดี ถ้าอารมณ์ภายนอก และอารมณ์ภายใน อารมณ์ภายนอก หมายถึงว่า ตาสัมผัสรูปไม่สนใจในรูป หูสัมผัสเสียง ไม่สนใจในเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ไม่สนใจในกลิ่น ลิ้นสัมผัสรสไม่สนใจในรส กายสัมผัสแตะต้องไม่มีความสนใจในการสัมผัส นี่เรียกว่า เป็นอารมณ์ มาจาก ทั้งภายนอกและภายใน

อารมณ์ภายนอก เราชอบใจในรูปชอบใจในเสียง อารมณ์ภายในได้กำลังใจที่เข้าไปชอบ เห็นรูปสวย เราชอบรูปเป็นอารมณ์ภายนอก ความรู้สึกเป็นอารมณ์ภายใน เราวางเสียให้หมด ถ้าเรารักตัวเรา นี่ถ้าเจริญ พรหมวิหาร 4 จริงๆ พระพุทธเจ้า กล่าวว่า ถ้าเราจะรักใคร เราต้องรักตัวเราก่อน ถ้าเราสงสารเขา ก็สงสารตัวเราก่อน เราจะช่วยเขา ก็ช่วยตัวเราก่อน อย่างภาษิตโบราณท่านได้กล่าวว่า ถ้าจะเอาเตี้ยไปอุ้มค่อม มันก็ไม่มีความหมาย ต่างคนต่างเตี้ยด้วยกัน คนที่จะอุ้มคน ขึ้นมาได้ให้มันพ้น พื้นดิน คนที่อุ้มต้องมีร่างกายสูงกว่า ใหญ่กว่าบุคคลที่ถูกการอุ้มฉันใด แม้แต่การปฏิบัติในพระธรรมวินัยของ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็เหมือนกัน เราจะทำให้ชาวบ้านเขาเป็นสุข เราต้องทำใจของเรา ให้ถึงความสุข เสียก่อน มาตอนนี้ เราก็มาพูดกันว่า เราจะทำอย่างไรล่ะ มันถึงจะสุขจริง ๆ

ขอบรรดาท่าน พุทธบริษัทชายหญิง ทุกวันที่เราลืมตาขึ้นมา จงมองดูพรหมวิหาร 4 เป็นอันดับแรก และก็ดูอิทธิบาท 4 ดูว่า เรามีศีลทั้ง 5 ประการนี้ ให้มันอยู่ครบถ้วน และก็จรณะ 15 จากนั้น ไปดูจิตใจให้มันสบาย แล้วก็มานั่งไล่ เบี้ยสังโยชน์ 10 ประการ ตอนนี้ เรามานั่งไล่เบี้ยกันแล้ว สังโยชน์ 10 ประการ เบื้องต้นคือ อย่างที่มีความร้ายแรง และหนัก เราผ่านมาแล้ว ได้แก่ สักกายทิฏฐิ อันดับต้น มีความรู้สึกว่า เราจะตายแล้วก็ วิจิกิจฉา การสงสัย ในคำสอนขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีในเรา คำว่าไม่สงสัยหมายความว่า พระพุทธเจ้าห้ามอย่างไหนเราละอย่างนั้น ทรงสนับสนุนอย่างไหนปฏิบัติ อย่างนั้น นี่แหละ แล้วสีลัพพตปรามาส เรามีศีลบริสุทธิ์ กามฉันทะ เราตัดมันได้แล้ว จากอนาคามี ปฏิฆะ อารมณ์ที่เข้ามา กระทบใจ คือ บุคคลใดเขาจะกลั่นแกล้งให้สร้างความโกรธ เราไม่โกรธในเขา ให้อภัยทาน อย่างนี้เราชนะมันแล้ว ต่อแต่ นี้ไปก็ไปทบทวนสังโยชน์อีก 5 ประการ ที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า เรื่องนี้ เป็นอนุสัย มันเป็นกำลังใจ ที่คลำยาก สักนิดหนึ่ง สังโยชน์ 5 ประการหลังก็คือ

1. รูปราคะ การหลงใหลใฝ่ฝันในรูปฌาน คือ เมาในการเข้าฌาน เห็นว่าการเข้าฌาน นี่เป็นของประเสริฐเป็นของเลิศเป็นของดี พอที่จะโอ้อวดใครต่อใคร เขาได้ว่า เราทรงฌานได้ดี ใช้เวลานาน การเมาในรูปฌาน อย่างนี้ไม่ดีแน่ คือว่า รูปฌาน ก็ดี อรูปฌานก็ดี ทั้งสองประการนี้ เป็นแต่เพียงบันไดและเครื่องรองรับ ที่จะก้าวไปสู่พระนิพพาน ถ้าจิตใจของเรา ยับยั้งอยู่ แค่อรูปฌาน แล้วอรูปฌาน มันก็ใช้ไม่ได้ท่านทั้งหลาย ถ้าจะทิ้งรูปฌาน หรืออรูปฌาน อันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าได้รูปฌาน หรือได้อรูปฌานด้วยก็ตาม ได้ฌานอะไรก็ตาม จะต้องทรงฌานไว้เสมอ ไม่ใช่ว่า ถ้าเราจะไม่เมาในรูปฌาน และ อรูปฌาน เราไม่เกาะรูปฌาน และอรูปฌาน มันก็ไม่ถูก

เรื่อง ฌานนี้ต้องเกาะแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ยังทรงใช้ ในสมัยที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระที่เป็นอรหันต์ทุกองค์ ก็ต้องทรงฌานเป็นปกติ ตัวฌานของพระอริยเจ้าเรียกว่า โลกุตรฌาน กำลังฌาน ฌานัง แปลว่า การเพ่ง หรือว่า การตั้งใจ กำลังใจพ้น จากสภาวะของโลก นั้นคือไม่ติดอยู่ในกามฉันทะ ไม่ติดในโลภะ ไม่ติดอยู่ในความโกรธ ความพยาบาท ไม่ติดอยู่ในความหลง เป็นกำลังฌานที่ตั้งใจตรงเฉพาะพระนิพพาน ฉะนั้น การที่ไม่ติดในรูปฌาน และอรูปฌาน แทนที่จะติดอยู่โดยเฉพาะว่า รูปฌาน และอรูปฌานเป็นของดี สามารถทรงกำลังจิตให้มั่นคง จิตเราจะตั้งตรงไว้เฉพาะรูปฌาน และอรูปฌาน อย่างนี้ เราไม่เอา

เรา ก็เปลี่ยนไปว่า ใช้กำลังใจ ให้เป็นฌาน แต่ฌานนี้ อยู่ใน อุปสมานุสสติกรรมฐาน คือ เอาอุปสมานุสสติกรรมฐาน เข้ามา เป็นอารมณ์ อุปสมานุสสติกรรมฐาน ก็คือนึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ เห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์ เทวโลกและพรหมโลกเป็นสุขจริง แต่สุขไม่นาน หมดบุญวาสนาบารมีเมื่อไหร่ก็ต้องลงกลับมาเกิดกันใหม่ มันก็ยังเกิดกันอีกเป็นทุกข์เราไม่ต้องการ ฉะนั้นฌานในที่นี้ ให้ตั้งไว้ไนอุปสมานุสสติกรรมฐาน จิตใจมีความพอใจในพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ชื่อว่าไม่หลงใน รูปฌาน และอรูปฌานนะ

ต่อไป ก็มานะ การถือตัวถือตน พระพุทธองค์ตรัสว่า อย่าถือตัวเกินไป คำว่า ถือตัวเกินไปนี่มันเกินพอดี ไอ้ตัวนี่ต้องถือรักษา ศักดิ์ศรี ในฐานะของตน เวลานี้เราเป็น คนจะไปกินข้าวกับหมานะ มันไม่ได้ หรือว่าเราเป็นในฐานะพุทธศาสนิกชน ถ้าเราเป็นพระจะวิ่งเล่นกับเด็ก มันก็ไม่สมควร ในเมื่อถ้าเราเป็นเณร เราจะกินข้าวเย็น ขึ้นต้นไม้เล่นเหมือนลิง มันก็ใช้ไม่ได้ อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย เป็นผู้ทรงศีล จะทำตน อย่างกับชาวบ้าน ที่เขาปราศจากศีลนั้น ก็ไม่ถูก คำว่า ถือตัวนี่ พระพุทธเจ้า ท่านกล่าวว่า อย่าถือตัวเกินไปคำว่าเกินไปมันก็แสดงว่า ยังมีคำว่าถืออยู่ คือให้ถืออยู่ให้สมควรกับฐานะ ที่เราทรงอยู่ ไม่ใช่ ไปรังเกียจชาวบ้านเขา เห็นว่า เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราดีกว่าเขา คนนั้นชั่วคนนี้ดีปล่อยเขา

เราทรงอารมณ์ไว้ ตามอัธยาศัย ในฐานะที่เราเป็นนักพรต ทรงเนกขัมมบารมี แปลว่าถือบวชคำว่า เนกขัมมบารมี แปลว่า ถือบวชนี่ บวชจะห่มผ้าเหลือง หรือไม่ห่มผ้าเหลืองก็ได้ นุ่งผ้าลาย นุ่งผ้าสี ก็ได้ ถ้าใจเป็น พระ ใจปราศจากกิเลส พระพุทธ เจ้า ท่านเรียกว่า พระ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นมา ท่านเรียกเราว่า พระ คือ เริ่มเข้าเขตของความดีที่ เรียกว่าประเสริฐ ฉะนั้น การถือตัวถือตน ที่เรียกว่า มานะ จงวางเสีย แต่ว่าจงถือไว้แต่พอควร ให้สมควรกับฐานะของตน

ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระทศพล พระพุทธเจ้าท่านเป็นพระพุทธเจ้าเป็นจอมอรหันต์ ท่านก็วางพระองค์ของท่าน ให้เหมาะสมฐานะ เป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ทรงถือสา หาความใคร ใครเอาอาหารดี มาให้พระองค์ พระองค์ก็ฉัน อาหารที่ชาวบ้าน เขาเรียกว่า เลว ให้มาแล้วพระองค์ก็ฉัน เวลาฉันก็ไม่เคยจะต้องหาแท่นที่ประทับเสมอไป ที่ไหนก็ได้

อย่าง นางปุณณ์ทาสี เอาแป้งจี่ คือ เอาปลายข้าวกับรำ ผสมกันตำให้แหลก ชุบน้ำ ทำเป็นแผ่น ปิ้งแล้วก็ห่อ ชายพกมา เมื่อสวนกับ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอถวายสมเด็จพระจอมไตรก็ทรงรับ ก็เห็นว่า ถือแก้ออกมา จากชายพกแล้วก็ใส่บาตร พระพุทธเจ้าก็รับ ไม่ได้รังเกียจ เธอก็นึกว่า พระพุทธเจ้าคงจะฉันของดี จากบ้านเศรษฐี มหาเศรษฐีระหว่างเป็น มหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมทรงสวัสดิโสภาคย์ ให้พระอานนท์ ปูผ้าสังฆาฏิตรงข้างทาง และก็ทรงฉันแป้งจี่เดี๋ยวนั้น นางปุณณ์ทาสี ดีใจเกือบตาย ในที่สุดฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าเพียงแค่สั้นๆ เธอก็ได้พระโสดาบันเห็นไหมล่ะ

นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็ทรงถือพระองค์ว่า เป็นพระพุทธเจ้าวางลีลาให้เหมาะสม แต่ทว่า ไม่ถือตัวเกินไป จนกระทั่ง คนเขาให้อะไรตามทางก็ไม่รับ ให้ของเลวไม่กิน นั่นพอนางปุณณ์ทาสีนึกเท่านั้น สมเด็จพระภควันต์ นั่งที่ตรงนั้น แล้วก็ฉันเลย อย่างนี้ ถ้าเราจะมองกันไป สำหรับคนเมาในชีวิต เมาในศักดิ์ศรี จะเห็นว่า องค์สมเด็จพระมหามุนีนี้ น่ากลัวว่า จะไม่เป็นเรื่อง วางตนไม่เหมาะสม ฉะนั้น ความจริง ท่านวางตัวเหมาะสมแล้ว ท่านไม่ได้ไปคลุกคลี กับ นางปุณณ์ทาสี ไม่ได้ไป จับ มือถือแขน แต่ทว่า พระองค์ทรงโปรดปรานว่า เธอเป็นคนจน เธอทำบุญเท่านี้ ก็ดีแล้ว ขึ้นชื่อว่า ทำบุญทำกุศล หีนัง วาปณี ตังวา ของปราณีต ก็ตาม หรือว่า ของเลวก็ตาม ของก็ราคาถูก ถ้าใจของท่าน ผู้ทำบุญมีจิตเป็นกุศลจริงๆ ก็มีอานิสงส์มาก นี่การวางตัวก็ต้องดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค

และ โดยเฉพาะอีกท่านหนึ่ง คือ พระสารีบุตร พระสารีบุตรนี่เป็นเสน่ห์ของคนทุกชั้น ตั้งแต่คนแก่หงำเหงือก จนไปถึง เด็กเล็กๆ ท่านวางตัวสม่ำเสมอเข้าไป ในที่สุด ก็ทำตัวเสมอกับบุคคลนั้น เข้าไปบ้านไหนก็ตาม เด็กเล็กจูงหน้า ดึงแขน ดึงขา ดึงหน้าดึงหลัง บางคนก็ขี่คอ ห้อยคอ โหนคอก็ตามใจ พระสารีบุตรไม่ได้ว่าอะไร ท่านรักษากำลังใจของเด็ก ถือว่าเป็นคน เข้าถึงคนเป็นคนดี นี่การกระทำอย่างพระสารีบุตรนี้ ก็ควรจะเอาตัวอย่าง

แต่ ทว่า อย่าไปเล่นกับเด็ก เราแสดงถึงความเมตตากับเด็ก นี่เป็นการวางตัวนะ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็แสดงว่า เราหมดการถือ ตัวถือตน เป็นการตัดสังโยชน์มาทั้ง 8 ข้อ ใกล้จะเป็นอรหันต์

ต่อ ไป องค์สมเด็จพระทศพล กล่าวว่า อุทธัทจะ ความฟุ้งของจิต เห็นไหมละ เคยบอกแล้วว่า เป็นอนาคามี ยังมีอารมณ์ฟุ้ง และการฟุ้งของอนาคามีนี่ ไม่ได้ฟุ้งลง มันฟุ้งขึ้นและฟุ้งทรงตัวก็ได้แก่ ในการบางครั้งอาจจะมีอารมณ์คิดว่า เราทรงความ เป็นอนาคามีแล้วนี่ องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร กล่าวว่า เราตายจากความเป็นคนแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม เราก็บำเพ็ญบารมีนิพพานบนนั้น ดีไม่ดี จิตจะคิดสั้นลงไป นิดว่าช่างมันเถอะเอาแค่นี้ก็พอ แต่ทว่าชีวิตของเรายังมีอยู่ เราจะรอ เพื่อทำในการต่อไปนั้น ไม่สมควร การทำงานทุกอย่างให้เสร็จเสียเดี๋ยวนี้ นั่นแหละดี

ฉะนั้น อารมณ์ฟุ้ง ของพระอนาคามี มีแค่นี้ แล้วก็ตัดใจโดยเฉพาะ ใช้ อุปสมานุสสติกรรมฐาน เป็นอารมณ์ มีความนิยมว่า เราต้องการนิพพาน ในชาตินี้ จิตรักพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ไม่มุ่งหวังอะไรทั้งหมด มนุษย์โลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เทวโลกก็ดี ไม่เป็นที่นิยมสำหรับเรา อย่างนี้ก็ถือว่า ตัดอารมณ์ฟุ้งไปได้แล้วสบาย

ต่อมา องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตรัสว่า ตัวอวิชชา อวิชชานี่แยกเป็นธรรมออกได้ 2 อย่าง คือ ฉันทะ กับราคะ ไม่ยาก ถึงตอนนี้ ไม่อะไรยาก มันหมดแล้ว ฉันทะ กับ ราคะ ก็คือ ฉันทะ มีความพอใจ ในความเป็นมนุษย์ มีความพอใจ เป็นเทวดา มีความพอใจเป็นพรหม อันนี้ ไม่มีสำหรับเรา ราคะเห็นว่า มนุษยโลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย ไม่มีสำหรับเรา เราต้องการพระนิพพาน อารมณ์อย่างนี้ จะตัดได้อย่างไร ตัดได้เพราะ อาศัยอารมณ์เมตตาจิต คือ มีอารมณ์เย็น หวนกลับเข้า ไปตัดจุดเดียว ไม่ต้องตัดทั้งหมด คือ ตัดจุดเดียวที่สักกายทิฏฐิ มาพิจารณาร่างกายว่า ร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราหรือเปล่า ร่างกาย มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อธิบายมามากแล้ว มันเป็นธาตุ 4 ธาตุ 4 นี้ มันมีการเกิด แล้วก็มีการเสื่อม แล้วก็สลายตัว เมื่อร่างกายนี้ มันไม่เป็นเรา เป็นของเรา แล้วร่างกายของคนอื่นล่ะ ถ้าเราไปรักเขาไปแต่งงานกับเขาไป อยู่กับเขา มันจะอยู่กันได้ ตลอดกาล ตลอดสมัยไหม และมีอะไรบ้าง ที่ร่างกายของเขา จะพยุงร่างกายของเรา ไม่ให้แก่ พยุงร่างกาย ของเราไม่ให้ป่วย พยุงร่างกาย ของเราไม่ให้ตาย พยุงร่างกายของเรา ไม่ให้มีทุกข์ มันทำได้ไหม มันทำไม่ได้

ฉะนั้น เมื่อร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่สนใจในมันเสีย จะสนใจทำไม ไม่ช้ามันก็พังจะตาย เมื่อไหร่ก็เชิญ เมื่อมันตายเสียได้เมื่อไหร่ เราไปนิพพานเมื่อนั้น บรรดาท่านบริษัททุกท่าน ในตอนนี้ต้องทบทวนสังโยชน์ 10 ประการ อยู่เสมอ เรียกว่า ทบทวนกันทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทบทวนข้อต้นว่า ร่างกายไม่เป็นเรา ไม่ใช่เรา เพราะไม่ใช่เรานี่ เป็น ธาตุ 4 เป็นเพียงร่าง ที่อาศัยชั่วคราว แล้วเราจะเกาะมัน เพื่อประโยชน์อะไร มันเดินเข้าไปหาความตาย เราก็รู้ คนอื่นเขา ตายให้เป็นครูถมไป ชาตินี้ชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ที่เราจะเมากายแบบนี้ ร่างกายของคนอื่นเราก็ไม่ถือเป็นสาระสมบัติ ทั้งปวงในโลกทั้งหมด ปรากฏว่า มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ตายแล้วเอาไปไม่ได้ ปล่อยมันไป มันจะไปทางไหน ก็ตามใจ มันจิตใจของเราก็ไม่มีการผูกพันในร่างกายของเราด้วย ไม่มีความผูกพันในร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่มีการผูกพันใน วัดถุธาตุทั้งหลายด้วย คิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีชีวิตอยู่ก็ใช้มัน ตายแล้วก็เลิกกัน จิตก็เป็นสุข

อารมณ์ในตอนนี้ สำหรับอารมณ์ ที่เข้าถึงอรหัตผล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน อารมณ์จะมีความเบา จะกระทบกับอารมณ์ อะไรทั้งหลายก็ตาม มันมีความรู้สึกอยู่ อย่างหนึ่งว่าเป็นธรรมดา ถูกเขาด่าก็ถือว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ ไม่พ้นการนินทาด่าว่า เป็นธรรมดาของชาวโลก พอประสบกับคำสรรเสริญ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่จิตใจไม่หวั่นไหวใจปกติ ที่เขาบอกว่า บัณฑิตมีอารมณ์ไม่ขึ้นไม่ลง คือ ไม่หวั่นไหว ไม่โกรธ เขาด่าก็ไม่โกรธ เขาชมก็ไม่ยินดีเพียงเท่านี้แหละ บรรดาท่านพุทธ บริษัท ขึ้นชื่อว่าพรหมวิหาร 4 ช่วยให้ท่านเป็นอรหันต์ได้ สำหรับพรหมวิหาร 4 ก็ขอยุติไว้ แต่เพียงเท่านี้ จบแล้ว

ต่อแต่นี้ไป ขอสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น อยู่ในอิริยาบถ ที่ท่านเห็นว่าสบาย เจริญ สมถภาวนา พิจารณาและภาวนาไปตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร.....สวัสดี

*****************
ที่มา เวปพลังจิต
ทำนองเพลง ลา่วม่านแก้ว




 

Create Date : 16 มิถุนายน 2552
18 comments
Last Update : 16 มิถุนายน 2552 10:59:28 น.
Counter : 977 Pageviews.

 


๙...เจิม...๙


 

โดย: หนุ่มน้อยแห่งลุ่มแม่น้ำบางปะกง 16 มิถุนายน 2552 11:24:13 น.  

 

หวัดดีวันอังคารค่ะคุณหมึกสีดำ มาอ่านพรหมวิหารสี่ ตอนหกค่ะ อืมถ้าอ่านแล้วทำตามได้จิตคงสงบสุขดีนะคะละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง
ขออนุโมทนาบุญที่นำเผยแผ่ด้วยนะคะ ...

 

โดย: หนุ่มน้อยแห่งลุ่มแม่น้ำบางปะกง 16 มิถุนายน 2552 11:27:24 น.  

 

โมทนาค่ะ คุณไผ่

ตอนจบแล้วเหรอ
มะเช้าฟังธรรม พระเทศน์ว่า
พรหมวิหาร 4 คือธรรมของพรหม
หากผู้ใดปฏิบัติได้ จะได้อริยบุคคล นั้นแล

สาธุ สาธุ สาธุ
ขอให้เจริญในธรรมนะคะ
บุญรักษาค่ะ


ปล.มะเช้าได้ทำทานกับคนแก่ 2 คน ด้วยค่ะ ระหว่าเดินทางมาทำงาน

 

โดย: พ่อระนาด IP: 119.46.72.174 16 มิถุนายน 2552 12:11:25 น.  

 



จากบล๊อก ยินดีในมิตรภาพ และ ขอบคุณสำหรับอาหารว่าง + น้ำชาค่ะ...จิบเพลินเลย อิอิ

 

โดย: หนุ่มน้อยแห่งลุ่มแม่น้ำบางปะกง 16 มิถุนายน 2552 13:39:36 น.  

 


สวัสดีค่ะ พี่ไผ่

พูตามมาเรียนรู้เรื่องราวในตอนจบ
มีเวลาไม่มาก ขออ่านครึ่งเดียวก่อนนะคะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอ่านให้จบค่ะ
อนุโมทนากับพี่ไผ่นะคะ ที่เผยแผ่เรื่องเหล่านี้

 

โดย: พธู 16 มิถุนายน 2552 13:53:43 น.  

 

สวัสดีครับพี่

แวะมาทักทายยามบ่ายครับ




 

โดย: กะว่าก๋า 16 มิถุนายน 2552 14:02:10 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ไผ่

วันนี้ตุ๊กตามาได้จังหวะพอดีเลยนะคะ มาทันได้อ่านตอนจบ


แต่ได้อ่านแค่คร่าวๆเองค่ะ เพราะคงเล่นได้ไม่นานเอาไว้ได้เนตของตัวเองแล้วจะมานั่งอ่านย้อนนะคะ

พี่ไผ่เคยมาอยู่แถวซอยมังกรด้วยเหรอคะ แต่ขอบอกว่าบ้านที่ตุ๊กตาย้ายไปอยู่ชั่วคราวเนี่ยไกลกว่าซอยมังกรเยอะเลยค่ะ ถ้าพี่ไผ่เคยไปเมืองโบราณคงนึกออกว่าบ้านตุ๊กตาไกลแค่ไหน เพราะอยู่ฝั่งตรงข้าม บรรยากาศก็ประมาณ ตากอากาศบางปูหนะคะ คือทะเลและป่าชายเลน


บุญรักษานะคะ

 

โดย: tukta (tukta510 ) 16 มิถุนายน 2552 14:40:05 น.  

 

ขอบคุณค่ะ ที่เผื่อแผ่เรื่องดีดี คอยมาตามให้มาเอาสิ่งดีดีอยู่เรื่อยๆ ตั้งใจไว้แล้วค่ะ ว่าจะท่องไว้ โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่อยากจะไปจองคอนโดที่อบายภูมิ ความโกรธไม่มีประโยชน์จริงๆ

อนุโมทนาบุญกับคุณไผ่ค่ะ

 

โดย: Mermaid AI 16 มิถุนายน 2552 18:16:51 น.  

 

That's really good.

 

โดย: CrackyDong 16 มิถุนายน 2552 18:42:49 น.  

 



หวัดดีค่ะคุณไผ่
อนุโมทนา สาธุบุญกับ การเผยแพร่ด้วยค่ะ
แหม..มินชอบรูปในกล่องเม๊นท์จัง น่ารักมาก ๆ อ่ะ
ปล. เช่นกันค่ะ มีความสุขมาก ๆ นะคะ

 

โดย: มินทิวา 16 มิถุนายน 2552 19:08:57 น.  

 

สวัสดีตอนค่ำค่ะ มาอ่านต่อตอนจบค่ะ ขอบคุณนะค่ะสาธุ นอนหลับฝันดีนะค่ะ

 

โดย: นุ๋ดีค่ะ (kun_isara ) 16 มิถุนายน 2552 21:19:06 น.  

 

ประโยคเด็ด - Hi5 กราฟฟิคสำหรับคอมเมนต์

เอาธรรมะคำสอน มาฝาก อย่าลืมทำทู๊กๆวันนะ

 

โดย: หนูดำจำมัย 16 มิถุนายน 2552 22:12:54 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...


อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณไผ่
มาทักทายกันยามเช้าเหมือนทุกวันนะค่ะ

ตัวของเราเอง ยึดถือ ยึดติด ยิดมั่น
สุดท้ายก็เอาไปไม่ได้
เหลือเพียงชื่อและสิ่งที่ทำเท่านั้น
อนุโมธนากับสิ่งดีที่ทำตลอดมานะค่ะ

 

โดย: ดอกฝิ่นในสายลมหนาว 17 มิถุนายน 2552 6:42:24 น.  

 

อรุณสวัสดิ์คะ
แวะมาตามคำเชิญ และได้อ่านคร่าวๆแล้ว ขอขอบคุณ
ที่หลานหาภาพสวยๆไปลงให้ยาย ยายยังทำไม่เป็นคะ
จะอ่านรอบสอง และบันทึกสิ่งดีๆเก็บไว้ไปคุยกับเพื่อน ได้ความรู้และนำไปปฏิบัติได้ด้วย ชอบคะ

 

โดย: กัดหมอน 17 มิถุนายน 2552 7:13:44 น.  

 

อนุโมทนาสาธุ กับการเผยแผ่ธรรมค่ะคุณไผ่ สวัสดียามเย็นเช่นกันค่ะ...

 

โดย: Arinchaya 17 มิถุนายน 2552 7:14:15 น.  

 

สาธุกับธรรมะของพระพุทธ์องค์ค่ะ
Have a nice day naka

 

โดย: กิ่งไม้ไทย 17 มิถุนายน 2552 10:05:58 น.  

 

ทุกสิ่งที่เรารู้
ล้วนไม่จริง

.
.


แต่สิ่งที่จริง
เรามักไม่รู้


อันนี้ผมเติมให้จบประโยคเลยครับพี่


 

โดย: กะว่าก๋า 17 มิถุนายน 2552 11:29:38 น.  

 

ห่างวัดนานอ่ะ...ต้องมาฟังเล็กเชอร์....

 

โดย: ตัวp_box 17 มิถุนายน 2552 17:13:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.