|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 4
พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 4 ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย บัดนี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปโปรดตั้งใจสดับ เรื่องราวของพรหมวิหาร 4 สำหรับ พรหมวิหาร 4 นี้ได้พูดมาแล้วว่า เป็นกรรมฐานที่มีความสำคัญที่สุด บุคคลใดมีกำลังไจทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ คนประเภทนั้น ตายแล้ว หาอบายภูมิเป็นที่ไปไม่ได้ จะต้องกลายเป็นคนโง่ในอบายภูมิ คือ ไม่รู้จักตกนรก ไม่รู้จักเป็นเปรต ไม่รู้จักเป็นอสุรกาย ไม่รู้จักเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าจะบังเอิญเกิดมาเป็นคนก็เป็นคนที่มีรูปร่าง ลักษณะสวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ แล้วก็จะอยู่ในเขตที่เพียบพร้อม ความสุขสำราญ ถ้าเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาที่มีบุญ วาสนาบารมีมาก มีรัศมีกายผ่องใส เป็นพิเศษ ถ้าเรามั่นคงจริงๆ พรหมวิหาร 4 นี้เป็นปัจจัย ให้เกิดเป็นพรหม นี้ว่ากัน ถึงด้านโลกีย์วิสัย คือ มีพรหมวิหาร 4 แบบชาวโลก
ทีนี้หากว่า จะใช้พรหมวิหาร 4 แบบ ชาวโลกุตรโลก เหมือนกับเรา เหนือโลกขึ้นไป โลกุตรแปลว่า เหนือโลก ก็ได้แก่ พระนิพพาน เป็นจิตระดับของพระอริยเจ้า ฉะนั้นการเจริญพรหมวิหาร 4 ยังมีความสำคัญ พรหมวิหาร 4 นี้เป็นอารมณ์คิด เป็นอารมณ์ ใช้ปัญญามากกว่า การใช้อารมณ์ทรงตัว แต่ทว่า ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท และพระโยคาวจรทั้งหลาย จงอย่าทิ้งอารมณ์สมาธิที่เคยบอกไว้แล้วว่า การเจริญพระกรรมฐาน กองใดก็ได้ ถ้าทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐานเสียแล้ว กรรมฐานกองนั้นก็เลอะ เลอะหรือว่าเละ คือใช้ไม่ได้ เพราะว่า สภาวะจิตของเรา ชอบกระสับกระส่าย มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
ฉะนั้น อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐาน แก้อารมณ์ฟุ้งซ่านของจิต นอกจากจะใช้ อานาปานุสสติกรรมฐาน จะใช้ อนุสสติ อื่นๆ รึว่า กสิณ รึว่า อสุภ ควบคุมก็ได้ ตามใจชอบ แต่ว่าจุดใหญ่จริงๆ ต้องยึดอา นาปานุสสติกรรมฐาน ไว้เป็น อารมณ์ นี้เพื่อป้องกัน จิตโยกโคลง หมายความว่า จิตมีความสะทกสะท้านมาก จิตไม่ทรงตัว ถ้าจิตของเรา ไม่ทรงตัว มีการหวั่นไหวมาก การเจริญพระกรรมฐานก็ไร้ผล คำว่าไร้ผลก็หมายความว่า การเจริญพุทธานุสสติกรรมฐานนี้ไม่มีผล ว่าบาง คราวจิตเราจะกระสับกระส่ายมากเกินไป บางคราวจิตก็จะทรงตัวดีพอสมควร เพื่อจิตทรงตัวดีการเจริญพระกรรมฐานทุกอย่าง
อันดับแรก ถ้าจิตชอบคิด เราก็ใช้อารมณ์คิดก่อน คิดอยู่ในขอบเขตของอารมณ์ของกรรมฐาน ที่เราต้อง การ ถ้าเห็นว่าคิด ซ่านมากเกินไปก็ทิ้งอารมณ์คิดเสีย กลับมาจับอานาปานุสสติใหม่ พออารมณ์จิตสบาย เราก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป สลับกันไป สลับกันมาอย่างนี้
วันนี้ ก็ขอพูดถึง พรหมวิหาร 4 ต่อจาก เมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ ดูเหมือนว่า จะพูดเรื่อง การเมตตา กรุณา คือ ความรัก ความสงสารตัวเอง ความจริง การรักการสงสารนี้ พระพุทธเจ้า ทรงแนะนำว่า เราต้องรักเรา ต้องสงสาร ตัวเองให้มาก ถ้าเรารัก เราสงสารตัวเองมากเพียงใด ความรักความสงสาร ในบุคคลอื่น ก็มีมากเพียงนั้น ถ้าเราจะเมตตา ก็ต้องเมตตาตัวเราเองก่อน ถ้าเราจะกรุณา ก็ต้องกรุณาตัวเราเองก่อน ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระ องค์จะช่วยคนอื่นให้รู้เรื่องของนรกสวรรค์พรหมและนิพพาน นี้ก็สามารถจะสอนคนผู้นั้นให้ปฏิบัติเข้าถึงได้ สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงทำพระองค์เองให้เป็นพระอรหันต์ก่อน แล้วจึงช่วยคนอื่นให้มีความสุข
ข้อนี้อุปมาฉันใด ฉะนั้นเมตตานี้ ก็เช่นเดียวกัน สมมุติว่า ในอันดับต้นในสมัยที่เป็นโลกีย์วิสัย การที่เราเมตตาชาวบ้าน รักชาวบ้านสงเคราะห์ชาวบ้าน ยินดีกับความดีของชาวบ้าน มีความวางเฉย เมื่อชาวบ้าน เขาเพลี่ยงพล้ำ ไม่ซ้ำเติม นั่นหมาย ถึงว่า เรารักตัวของเราเอง ต้องการให้เราเอง มีความสุข ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเราไม่ประกาศตนเป็นศัตรูกับใคร เรารัก เขา เขาก็รักตอบ เราสงสารเขา เขาก็สงสารตอบ เราไม่อิจฉาเขา เขาก็ไม่อิจฉาตอบ เขาเพลี่ยงพล้ำ เราไม่ซ้ำเติม เขาก็ ไม่เกลียด อย่างนี้ชื่อว่า เรารักเราสงสารตัวเอง คือเรามีมิดรที่ดีอยู่เสมอ นี้ว่ากันถึงด้านโลกีย์วิสัย
สำหรับตอนนี้ เป็นตอนของ พระอนาคามี เราจะรักเรา จะสงสารตนตรงไหน พระอนาคามีนี้ มีความสำคัญอยู่สองระดับ นั้นก็คือ กามฉันทะกับปฏิฆะ สำหรับท่านที่ทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ ข้อที่เรียกว่า ปฏิฆะ ไม่มีความสำคัญ เพราะว่าเราลบ ล้างมามากแล้ว ส่วนที่หนัก ก็คือ กามฉันทะ คำว่า กามฉันทะ ก็หมายความว่า มีความพอใจในรูปสวยพอใจในเสียงเพราะ พอใจในกลิ่นหอม พอใจในรสอร่อย พอใจในการสัมผัสระหว่างเพศ เราพูดกันง่ายๆ
อันดับแรกก็มาพูดถึงว่า อยากมีสามี อยากมีภรรยา คิดว่าเป็นมีความสุข อันนี้เป็นอารมณ์คิดคิดว่าการแต่งงาน มันมีความสุข ถ้าเรามีพรหมวิหาร 4 เราก็มานั่งรักตัวเอง สงสารตัวเองเสียก่อน ว่าการมีคู่ครองจริงๆ คนที่เขามี กันอยู่แล้วนะ เขามีความสุข หรือเขามีความทุกข์ ไปนั่งพิจารณาหาความจริงให้พบ สัญญาความจำ ของเรามีปัญญาความรอบรู้ของเรามี เรา จะยอมให้จิตโง่เกินกว่ากิเลส อย่าให้กิเลสเข้ามาจูงจิต เราเป็นสำคัญ ต้องหักห้ามกำลังใจ และอาศัยที่เจริญสมาธิจิต โดยใช้ อานาปานุสสติกรรมฐานเป็นตัวนำ นั่นก็หมายความว่าต้องการให้มีกำลังใจเข้มแข็ง
เรามานั่งดู คู่วิวาห์ ที่เขาแต่งงานกัน วันที่จะแต่งงาน รู้สึกว่า จะมีความชุ่มชื่นใจมาก มีศักดิ์มีศรี แต่ทว่า ก่อนจะแต่ง พอเริ่มรักกัน เข้ามาแค่นี้ อารมณ์ก็เริ่มเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร อันดับแรก จิตเริ่มรัก ยังไม่ได้ตกลง ในเรื่องรักแน่นอน อารมณ์ก็เริ่ม เป็นทุกข์แล้วว่า คิดว่าคนที่เราอยากจะรักเขาน่ะ เขาจะรักเราหรือเปล่า ใจเริ่มไม่สบาย แต่เห็นคน ที่เราคิดว่า จะรักหรือกำลังรักเขาอยู่ แต่ยังไม่ตกลงกัน เดินไปกับใคร ไปไหนมาไหนกับใคร ดีไม่ดี เขาไปกับพี่กับน้องของเขา เราก็คิดเสียว่า บางทีเขาจะไป กับคนอื่นซะแล้ว รักคนอื่นเสียแล้ว อารมณ์มันก็ไม่เป็นสุข
พอตกลงรักกันขึ้นมาได้ ความระแวงระไวมันก็มากขึ้น เกรงไปว่าความรัก ของเราจะไม่แน่นอน นี่มันเริ่มทุกข์ไจไม่สบาย นอนไม่หลับ พอเริ่มแต่งงานกันแล้ว อยู่ด้วยกันภาระหนักมันก็เกิดขึ้น กิจการงานต่างๆ ที่ เคยเกียจคร้านได้ไม่ทำอะไรได้ หนาวก็นอน ร้อนก็นอน มีกินแค่นี้ ก็พอไม่ต้องทำต่อไป แต่พอเริ่มทำงานเข้า มันต้องขยันมากขึ้น ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรามันเป็นสองคน นอกจากคนสองคนแล้ว ยังญาติทางฝ่ายสามี ญาติฝ่ายภรรยา เพื่อนฝ่ายสามี เพื่อนฝ่ายภรรยาเราก็ ต้องนั่งเอาใจฝ่ายละหลายสิบคน เริ่มภาระแห่งความทุกข์เกิดขึ้น
ทีนี้ในเมื่อเป็นคนสองคน ก็ต้องมีงานหนักมากขึ้น และ การจับจ่ายใช้สอยมัน ก็มากขึ้น แต่แล้วก็ต้องเป็น ห่วงอารมณ์ซึ่งกันและกัน เกรงจะเป็นที่ขัดเคืองซึ่งกันและกัน ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้น มีความทุกข์ เข้ามารัดตัวเข้ามามากทุกที
ต่อมาพอ มีบุตรมีธิดาเกิดขึ้น ตอนนี้ซิ ดีไม่ดีกำลังนอนหลับสบายๆ ในยามดึก พ่อเจ้าประคุณร้องเข้ามา ในเวลาดึก ทั้งพ่อ ทั้งแม่ก็ต้องลุกขึ้นมา ทั้งๆ ที่นอนยังไม่เต็มตื่น อาการทางร่างกาย จะเปลี้ยเพลีย เพียงใดก็ตามที เพราะอาศัย ความรักลูก สงสารลูก ต้องทำทุกอย่าง ถ้าลูกเกิดป่วยไข้ ไม่สบายขึ้นมายามใดก็ดี ก็ต้องรีบไปหาหมอ การไปหาหมอดีไม่ดีไปกลางค่ำ กลางคืน ถูกเขาฆ่าตายเมื่อไหร่ก็ได้ ไหนกว่าจะเลี้ยงลูกโตขึ้นมา แต่ละคนต้องใช้กำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ เท่าไหร่ ถ้าลูกเป็นคนดี ก็รู้สึกว่า ยังเป็นที่พอใจ ถ้าลูกเป็นเด็กร้าย อกตัญญูไม่รู้คุณพ่อ คุณแม่ อย่างเด็กสมัยนี้ที่เขาพูดกันว่า บิดา มารดา คือ พ่อแม่ไม่ ได้ตั้งใจให้เขาเกิด เขาเกิดกันมาเอง พ่อแม่ อาศัยมีความปรารถนา ในกามารมณ์มากกว่า แล้วเขา จึงเกิดมา แล้วก็เอาใจออกห่างไป เป็นคนทำลายชาติยังจะเปลี่ยนแปลงระบบความเป็นอยู่ของชาติ ให้เป็นทาสกันทั้งเมือง
อันนี้เคยพบมาแล้ว นี่พ่อแม่ถึงกับน้ำตาไหล เคยพบมาเป็นนักเรียนสตรีโรงเรียนที่มีชื่อแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ พ่อเป็นนายพลทหาร อาจารย์ตักเตือนเธอเท่าไหร่ เธอไม่เชื่อฟัง เขาเรียกว่า เป็นหัวซ้ายหัวขวาและอะไรไม่ทราบ ต่อมาท่านอาจารย์ ก็คิดว่า บิดามารดาควรจะตักเตือนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อ เป็นนายพล จึงได้เชิญบิดามารดาไปเพื่อพบให้พูดกับลูก แต่พอเรียกลูกสาวมาพบกับบิดา มารดา ลูกสาวไม่ยักไหว้พ่อไหว้แม่ ไหว้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่ และพูดกับท่านอาจารย์ใหญ่ว่า ไปเรียกเขามาทำไม หนูพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง เขากับหนูพูดกันไม่รู้เรื่อง หนูคิดว่า เขากับหนูขาดกันแล้ว ตั้งแต่วันเกิด ความจริงแกยังเรียนหนังสืออยู่ แกยังใช้เงินของพ่อของแม่ เครื่องแต่งตัวเครื่องเรียนทุกอย่าง อาหารการบริโภคยังกินของพ่อของแม่อยู่ แกพูดอย่างนั้น ท่านผู้เป็นบิดาที่เป็นนายพลกับมารดา ถึงกับก้มหน้าน้ำตาไหล
นี่ถ้าหากว่า เราบังเอิญมีลูก เป็นอย่างนี้เข้า มันจะมีสุขหรือมีทุกข์ แล้วก็หวนกลับไปอีกที ความรักระหว่างคนที่จะแต่งงานกัน มักจะเพ่งกันอยู่เฉพาะในวัยที่มี ความผ่องใสแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า แต่ว่า สภาพของคู่แต่งงานทั้งคู่ จะทรงสภาพอยู่ อย่างนั้นเป็นปกติ หรือว่าเสื่อมลงไป สิ่งที่เรามองเห็นง่ายๆ คนที่เขาแต่งงาน มาก่อนอย่างบิดามารดาปู่ย่าตายายเรา ท่านก็เป็นหนุ่มเป็นสาวกันมาก่อน เวลาที่เราจะเริ่มมีสภาวะ พอจะแต่งงานกับเขาได้นี่ ท่านทั้งหลายเหล่านั้น หนุ่มสาวแล้ว หรือยัง หรือว่าแก่ไปเสียแล้ว บางรายเราก็เห็นหง่อม
ต้องเอานิสัย ของพระเรวัตมาใช้ ที่พระเรวัตที่บรรดาญาติฝ่ายหญิงซึ่งมีอายุ 120 ปี หนังตกกระ ตาฝ้าหูฟางเมื่อรดน้ำสังข์ บรรดาญาติทั้งหลายก็บอกว่า ขอเธอทั้งหลาย จงครองคู่อยู่กันไป จนกระทั่งแก่เฒ่าถือไม้เท้ายอดทอง เหมือนกับคุณยายของฝ่ายเจ้าสาว เมื่อพระเรวัตมองไปดูแล้วก็ใจหาย ถามว่าต่อไปเจ้าสาวของ ผมจะมีสภาพอย่างนี้ไหม คนทั้งหลายก็บอกว่า ถ้ามีอายุยืนอย่างนี้ก็มีสภาพอย่างนี้เหมือนกัน พระเรวัตก็เลยตัดสินใจว่า เจ้าสาวของเราเวลานี้กระปรี้กระเปร่า ผิวพรรณ ผ่องใส แต่ต่อไปข้างหน้า ต้องแก่อย่างนี้ก็ไม่เอาแล้ว ขอบอกศาลาเลยหนีบวช บวชแล้วก็เป็นพระอรหันต์
นี้เราควรจะมีความเมตตา คือความรัก กรุณาความสงสารตัวเอง ว่าเราจะแบกกายแบกใจของเราไปรับความทุกข์เรื่องใน การแต่งงาน เพื่อประโยชน์อะไร เพราะ การแต่งงาน การมีสามีการมีภรรยามีบุตรธิดา มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราจะ แบกความทุกข์ หาที่สุดมิได้ จนกว่าจะตาย แล้วก็มานั่งนึกดูว่า สภาวะของร่างกาย ของเราก็ดี ของเจ้าสาวเจ้าบ่าว ก็ดี ร่าง กายของแต่ละคนนี้ หรือว่าคนอื่นก็เหมือนกัน มันเป็นทรัพย์สินสมบัติของเราจริงๆ หรือว่าเป็นสมบัติของใคร ที่องค์สมเด็จ พระจอมไตรบรมศาสดา ท่านบอกว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกาย มันเป็นแต่เพียงธาตุ 4 เข้ามาประชุมกัน มีอาการสามสิบสอง มีวิญญาณธาตุ มีอากาศธาตุผสม มีจิตเข้ามาอาศัย จิตก็คือ เรา
ทีนี้ร่างกาย ทั้งหลายเหล่านี้ เราบังคับมัน ได้ไหม เราปรนเปรอ มันทุกอย่าง ไม่ต้องการ ให้มันแก่ แล้วมัน แก่ไหม เราไม่ อยากให้มันป่วย มันป่วยไหมล่ะ เราไม่อยากให้มันตาย ห้ามมันได้ไหม ในเรื่องความตายนี่ความจริงเนื้อแท้จริงๆ ห้ามไม่ ได้ ร่างกายเราก็ดี ร่างกายของเจ้าสาวเจ้าบ่าวก็ดี ที่เรารัก คิดกันดูให้ดี ว่าร่างกายของใคร เป็นร่างกายที่สะอาดมีไหมคน ที่เกิดมาแล้ว ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ไม่ต้องอาบน้ำชำระร่างกายเหมือนเทวดา เหมือนพรหมมีไหม เทวดากับพรหมเขาเกิดเข้ามาแล้ว นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันจุติ เขาไม่มีเหงื่อไม่มีไคล ไม่มีสิ่งสกปรกในร่างกาย ร่างกายหอมตลอดเวลา
ร่างกายของมนุษย์เรานี้มีสภาพอย่างนั้นไหม นั่งทำใจนักให้ดีว่าร่างกายที่ เราอาศัยอยู่นี้มันแสนจะสกปรก มีทั้งอุจจาระ มีทั้งปัสสาวะ มีทั้งน้ำเลือด น้ำเหลืองน้ำหนอง มันขังอยู่ในร่างกายมองไม่เห็นแต่พอมันหลั่งไหล มาจากร่างกายนิดเดียวเรา ก็มีความรังเกียจ คิดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้สกปรก แต่ว่าบางทีเรามันเป็นคนลืมง่าย สิ่งสกปรกผ่านไป ชำระร่างกายแล้วเรา ก็นึกว่ามันสะอาด
ข้อนี้องค์สมเด็จพระบรมโลกนารถ ทรงสอนว่า จงอย่าลืม เพราะมันเป็นความจริง ไม่ว่าร่างกายของชายหรือหญิง มันเต็มไปด้วยความสกปรก และก็เสื่อมลงทุกวัน มีอาการเต็มไปด้วยความทุกข์ ด้วยการบริหารร่างกาย มีความเหน็ดเหนื่อย เพราะจะต้องเลี้ยงร่างกายด้วยทรัพย์สิน จะกินก็ไม่สะดวก จะนอนก็ไม่สะดวก การแสวงหาทรัพย์ไม่ใช่ของง่าย กว่าจะได้มาต้อง พบกับอุปสรรคทุกประการ เราทำงานกับผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาไม่ดีเราก็กลุ้ม หรือบางทีผู้บังคับบัญชาดี เพื่อนร่วม งานด้วยกันไม่ดีเราก็กลุ้ม เวลาป่วยไข้ไม่สบายจะพักผ่อนบ้าง ถ้าวันลา ลาผู้บังคับบัญชาเขาไม่ยอมให้ลา เราก็ลำบากกาย ลำบากใจ เป็นอันว่า เราเกิดมาเป็นคนนี่ มันเป็นทุกข์ ถ้ายิ่งเราจะแสวงหาความสุข จากการแต่งงาน แทนที่มันจะคลายความทุกข์ มันก็จะเพิ่มความทุกข์มากขึ้น
ก็เป็นอันว่า เราไม่พบกับความสุข เราพบกับความทุกข์ และก็มานั่งคิดในใจว่า เราเป็นคนมีเมตตาความรัก เราเป็นคนมี ความกรุณาความสงสาร เราควรจะสงสารตัวเราไหมว่า ถ้าเราคิดว่าจะรักใครสักคนหนึ่ง หวังผลในการแต่งงาน ถ้าแต่งงาน แล้วมันเป็นทุกข์นี่ เราควรจะแต่งหรือว่าควรจะไม่แต่ง หากว่าเราคิดว่า มันเป็นความสุขเราก็ควรแต่ง ถ้าคิดมันเป็นความทุกข์ เราควรสงสารตัวเราเองว่า แค่ตัวเราเองแค่นี้ เรายังแบกเกือบจะไม่ไหว ไม่สามารถทรงกำลังกายให้มันเป็นสุขจนได้ ถ้าเราไปแบกอีกคน หนึ่งเข้ามา และต่อมาอีกหลายคนคือ ลูกสาวลูกชาย ความทุกข์ใหญ่มันก็เกิด
เราก็หันกลับมามี เมตตาความรักกับสงสารตัวเอง กรุณาสงสารตัวเองว่า โอหนอ เราอย่าโง่ไปทำไม ร่างกายของเราก็สกปรกถ้าเราต้องการมีคู่ครอง ร่างกายคู่ครองก็สกปรก เราคนเดียวแบกหนึ่งทุกข์ ทุกข์เท่านี้คือขันธ์ 5 ไปมีคู่ครองอีกคนหนึ่ง ก็แบกมาอีก 5 ขันธ์ กลายเป็น 10 ถ้ามีลูกมีหลานมีเหลนออกมาไปกันใหญ่ พระองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ตรัสว่า ภารา หเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งหลาย 5 เป็นภาระอันหนัก เราคนเดียวมี 5 ขันธ์ หนักแค่นี้ ถ้าเพิ่มอีกคน เป็นขันธ์ที่ 10 เพิ่มอีกคน เป็นขันธ์ที่ 15 เพิ่ม อีกคน เป็นขันธ์ที่ 20 มันจะหนักปานไหน
ตอนนี้ เราก็เริ่มรักเริ่มสงสารตัวเอง ตัดกำลังใจว่า ไม่คิดจะพึงหาคู่ครอง เห็นโทษจากความรัก เป็นความปรารถนา ที่มีคู่ครอง เพราะมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ มันหาความสุขไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คู่ครองเขาก็ดี เราก็ดี ยิ่งทรุดโทรม ลงไปทุกวัน ไม่ช้าก็จากกันด้วยความตาย ถ้าเรายังมีความหลงไหลใฝ่ฝัน ด้วยอำนาจตัณหาแบบนี้อีก เราก็ต้องเกิดอีก เราจะหาความสุขอะไรไม่ได้ ควรจะตัดสินใจ แล้วจำพระบาลีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไว้ว่า ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง ความเศร้าโศก เสียใจ เกิดจากความรัก ภัยอันตรายเกิดจากความรัก และสิ่งที่เรารัก มันจะอยู่กับเรา ตลอดกาลตลอดสมัยหรือไม่ สมบัติของโลกมี ความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปในท่ามกลาง และสลายทั้งหมด
องค์สมเด็จพระสุคต เห็นโทษอย่างนี้ สมเด็จพระมหามุนี จึงได้หนีพระนางพิมพา กับพระราหุล ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ บำเพ็ญตนเป็นพระอรหันต์ หมดความทุกข์ มีแต่อารมณ์ความสุขฉันใด เราก็ขอตัดกำลังใจคือจะรักเราและสงสารตัวเราเข้า ไว้ ว่ากรรมใดที่เนื่องจากกามารมณ์เป็นปัจจัยของความทุกข์ นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราไม่ต้องการเราจะแสวงหาความสุข คือ อยู่แต่ผู้เดียว
ตามที่ พระองค์ตรัสว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา เป็นต้น ว่าทางของบุคคลผู้เดียว เป็นทางเอก เป็นทางนำมาซึ่งความสุข เราก็พยายาม จับเอา กายคตานุสสติกรรมฐาน กับอสุภกรรมฐาน พร้อมกับ สักกายทิฏฐิ มาบวกกันเข้า ว่าร่างกายนี้ เป็นแต่เพียงธาตุ 4 มีสภาพสกปรก มันไม่ใช่เราไม่ใช่ ของเราเป็นเรือนร่าง ที่อาศัยชั่วคราว ทำไมเราจะไปรักร่างกายเขาเพื่อประโยชน์อะไร เพราะมันจะเป็นปัจจัยของความทุกข์ หาความสุขมิได้ ถ้ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มีความรักตัวสงสารตัว คิดอย่างนี้เป็นปกติ ไม่ช้ากำลังใจของบรรดาท่าน พุทธบริษัททุกท่าน ก็จะชนะอำนาจกามกิเลสใช้ได้ จัดว่า เป็นครึ่งหนึ่งของพระอนาคามี ยังไม่หมด แต่เวลานี้มันหมด
ต่อแต่นี้ไป ขอบรรดาสาวก ขององค์สมเด็จพระบรมสุคด จงพยายามตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่นอยู่ ในอิริยาบถ ที่เห็นว่าสมควร ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่ สมควรว่า ควรจะเลิก .....สวัสดี
Create Date : 01 มิถุนายน 2552 |
|
33 comments |
Last Update : 1 มิถุนายน 2552 22:21:45 น. |
Counter : 780 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 1 มิถุนายน 2552 22:23:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: tukta (tukta510 ) 2 มิถุนายน 2552 2:46:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 2 มิถุนายน 2552 7:17:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: อาลีอา 2 มิถุนายน 2552 10:12:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: พรหมญาณี 2 มิถุนายน 2552 11:01:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 2 มิถุนายน 2552 12:58:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 2 มิถุนายน 2552 13:58:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: tukta IP: 125.24.207.53 3 มิถุนายน 2552 1:26:31 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน 3 มิถุนายน 2552 8:42:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) 3 มิถุนายน 2552 10:03:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 3 มิถุนายน 2552 12:00:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: mastana 3 มิถุนายน 2552 13:01:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: busabap 3 มิถุนายน 2552 13:06:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: อาลีอา 3 มิถุนายน 2552 14:31:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: กัดหมอน 3 มิถุนายน 2552 22:03:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: มินทิวา 4 มิถุนายน 2552 5:06:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: พ่อระนาด 4 มิถุนายน 2552 7:12:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: พธู 4 มิถุนายน 2552 7:45:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมึกสีดำ 4 มิถุนายน 2552 12:09:14 น. |
|
|
|
|
|
|
|
จริงด้วยนะคะ คนเราต้องรักตัวเอง สงสารตัวเองให้มากๆ ก่อน จึงค่อยไปรักคนอื่น
ถ้าตัวเองยังไม่รักตัวเองแล้ว ใครจะไปรักใช่ป่ะคะ คุณไผ่
ขอโมทนากับคุุณไผ่นะคะ
ขอให้มีความสุขมากๆ
ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค่ะ