หมึกสีดำของไผ่สีทอง
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาในทางปฏิบัติถึงมโนปฏิบัติ เป็นผู้คงที่ ระงับแล้ว มีสติทุกเมื่อ,, การไม่ทําบาปทั้งปวงหนึ่ง การยังกุศลให้ถึงพร้อมหนึง การชําระจิตใจของตนให้ผ่องแผ้วหนึ่ง นี่แลเป้นคําสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
4 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 
พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 5



พรหมวิหารสี่ ตอนที่ 5

ท่านสาธุชนพุทธ บริษัททั้งหลาย สำหรับเวลานี้ท่านทั้งหลาย ได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อนี้ไป ก็ขอได้โปรดสดับเรื่องราวของพรหมวิหาร 4 สำหรับการเจริญพระกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขอได้โปรดจงอย่าทิ้งอารมณ์ของ อานาปานุสสติกรรมฐาน หรือว่าคำภาวนาใดใด ที่สามารถทำกำลังใจของท่าน ให้พ้นจากความฟุ้งซ่านของจิต หมายความว่า จิตอารมณ์อันเข้ามาคิดแทน การฝึกสมาธิย่อมมีประโยชน์ ในการที่ให้จิตมีกำลังควบคุม ด้วยอำนาจของสมาธิ เมื่อจิตมีกำลังควบคุม ด้วยอำนาจของสมาธิแล้วเมื่อจิตเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ การเจริญพระกรรมฐานที่ทำกัน ได้ดีก็เพราะว่า

ถ้า จิตต้องการคิด เราก็หาทางคิดในขอบเขต ในวงการของกรรมฐานบทนั้นๆ ถ้าเห็นว่า จิตซ่านออกไป กำลังใจคุมไม่อยู่ อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมครู ทรงแนะนำให้ทิ้งอารมณ์คิดเสีย หันมาจับ อานาปานุสสติกรรมฐาน คือ กำหนดรู้ ลมหายใจเข้า หายใจออก ถ้ากำลังจิตเป็นสุขทรงตัวดี ที่เรียกกันว่า เอกัคตารมณ์มีอารมณ์สบายใจ ไม่สอดส่าย ไปหาอย่างอื่น ก็หันเข้าไปใช้การพิจารณาใหม่ เพราะทำกันแบบนี้ ผลดีจึงเกิด ถ้าหากว่าทำกันประเภทส่งเดชมันก็ใช้อะไรไม่ได้

และ อีกประการหนึ่ง อารมณ์สมาธิก็ดี อารมณ์คิดก็ดี คิดไหมว่า ต้องคิดอยู่ในขอบเขตของวงการกรรมฐาน ที่เราต้องการ ก็จงอย่ามีแต่เฉพาะเวลาที่เราใช้อารมณ์สงัด หรือว่าเวลาสงัด เช่นตั้งเวลาไว้ว่า เวลา 2ทุ่ม บ้าง 3 ทุ่มบ้าง ตี 1 บ้าง ตี 2 บ้าง ถ้าใช้เฉพาะเวลาอย่างนี้ละก็ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีผล กำลังใจของเราที่เรียกกันว่า สมาธิ คือ การทรงกำลังจิตให้มันคิดอยู่ในขอบเขต ของกรรมฐาน ที่เราต้องการ ว่ากันตามปกติ ก็คือ ทั้งวัน ถ้าจิตเรามีงานอย่างอื่น ก็ทำอย่างอื่นไป จิตว่างจากงานนั้นเมื่อไร ก็หันมาจับอารมณ์ ของกรรมฐานอย่างนี้ ทั้งสมถะ และวิปัสสนา จะมีผลกับท่านอย่างรวดเร็ว และก็เกินคาด อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้อารมณ์ฝึกมโนมยิทธิก็ดี ฝึกทิพจักขุญาณก็ดี ที่ได้ยากนั้นก็หมายความว่า ทิ้งอารมณ์คือ ไม่ทรงอารมณ์ไว้ นี่อย่างหนึ่ง และ ประการที่ 2 เวลาที่กระทำ ตั้งใจคิด อยากจะไปเกินไป จัดว่าเป็น อุทธัจจะ ในนิวรณ์ 5 ประการ อย่างนี้ไม่ได้ผล

เขา ต้องใช้คำภาวนาให้จิตมันทรงตัว ถ้าจิตทรงตัวมีอารมณ์เป็นสมาธิ สมาธิเกิดขึ้นเมื่อไหร่ จิตมีอารมณ์เป็นทิพย์เมื่อนั้น ถ้าต้องการทิพจักขุญาณ พอเข้าถึง อุปจารสมาธิชั้นสูง อันดับสูงใกล้จะถึงปฐมฌานผลก็เกิด

ถ้าต้องการมโน มยิทธิ ถ้าจิตทรงสมาธิ ถึงฌาน 4 เมื่อไหร่ ผลก็เกิด ผลจะเกิด หรือไม่เกิด มันอยู่ตรงนี้ วันทั้งวันเราไม่ทิ้งอารมณ์นั้น ผลมันจึงจะเกิด ไม่ใช่ว่าจะมาเลือกเวลากันเฉพาะเวลาฝึก เฉพาะเวลาฝึกเรา ถึงจะใช้อารมณ์นั้น อย่างนี้นานหน่อย ที่ได้เร็วก็หมายความว่า ต้องเป็นคนที่เคยได้มาแต่ในกาลก่อน

ทีนี้ สำหรับวันนี้ ก็จะขอพูดเรื่อง พรหมวิหาร 4 คือ มี เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตา จิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร อุเบกขา วางเฉย วันนี้เห็นจะเป็นการครบคุณของพระอนาคามี ความจริงท่าน ทั้งหลายที่ทรงพรหมวิหาร 4 เริ่มมา ตั้งแต่ต้น จนมาตั้งชนในระดับนี้ การทรงพรหมวิหาร 4 ของท่านทรงตัว กว่าจะมาถึงพระอริยเจ้าขั้นพระโสดาบันนั้น พรหมวิหาร 4 มันต้องดีแล้ว เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไม่ดี เป็นพระโสดาบันไม่ได้ แต่ว่าคนที่ทรงพรหมวิหาร 4 ถ้ามีความจริงจัง เขาก็คิดว่าเริ่มต้นขั้นประถมของ พรหมวิหาร 4 ควรเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่ฌานโลกีย์ นี่การเจริญพระกรรมฐานต้องรู้จุด คือ ต้องรู้จุดที่จะต้องลง ไม่ใช่เป็นนักบินที่ไม่รู้จักสนามบินที่จะลง ถ้าไม่รู้จักสนามบินลง ไม่ช้าน้ำมันหมดตกลงมาตาย

อย่าง กับนักเจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย หาจุดไม่ได้ ก็ว่ากันเรื่อยไป คุยกันถึงเรื่อง นั่งนาน ภาวนานาน เดินนาน ยืนนอนนาน นั่งนาน เอานานๆ เข้าว่ากัน ไม่มีอะไรเป็นผล ผลมัน อยู่ที่จิตบริสุทธิ์ หรือที่จิตทรงตัว คือผลจริงๆ ที่เราต้องการก็คือ ความเป็นพระอริยเจ้า อย่างเลวที่สุดเราควรจะเป็นพระโสดาบัน นี่ผมพูด ตามความต้องการของพระพุทธเจ้า อย่างดีที่สุด เราต้องการความเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นหากว่าท่าน ผู้ตั้งใจทรงพรหมวิหาร 4 อย่าลืมนะครับว่านักปฏิบัติ ไม่ว่าปฏิบัติทาง โลกทางธรรม ชั้นต่ำชั้นสูง ถ้าขาดอิทธิบาท 4 ก็ไม่มีทางมีผล อิทธิบาท 4

1. ฉันทะ มีความพอใจในอารมณ์ทีเราต้องการ คือในกรรมฐานอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่เราต้องการพอใจคือ จิตนึกถึงอยู่เสมอ เหมือนกับ ชายหนุ่ม หญิงสาว ก็เริ่มรักกัน ก็นั่งนึกถึงกัน อยู่ตลอดเวลา จะอยู่ใกล้ หรืออยู่ไกล ก็นึกถึงกันได้เสมอ นี่ฉันทะความพอใจ

ประการ ที่ 2 วิริยะ ความเพียร ในเมื่อไม่มั่นใจ ว่าเขาจะรักเราแน่ ก็ต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้เขารัก จะอยู่ไกลแสนไกล ประการใดก็ตาม ก็ต้องเพียร เข้าถึงกันให้ได้ ข้อนี้ฉันใด การเจริญพระกรรมฐาน ก็เหมือนกัน เพราะกำลังใจเรา กลับจาก อารมณ์ แห่งความชั่ว มาเป็นอารมณ์ของความดี มันก็ต้องต่อสู้ ความชั่ว มันเข้ามาครองจิตอยู่ก่อน เราจะเอาความดี เข้ามาครองเมื่อภายหลัง ผู้ครองก่อนก็ต้องประกาศสงครามกัน เราก็ต้องใช้ความพยายาม ห้ำหั่นตัวร้าย ที่ครองในจิตใจ ของเรา ให้พินาศไปให้ได้ นี่เป็นความเพียร เราจะไม่ยอมแพ้ วันนี้แพ้วันหน้าสู้ใหม่ เวลาแพ้นี่แพ้ เวลาหน้า สู้ใหม่ คำว่า แพ้ หมาย ถึงการทรงกำลังใจ มันทรงไม่อยู่ แพ้แพ้ก็เลิก ซ่านเกินไปก็เลิก อารมณ์สบาย ตั้งท่า ว่ากันใหม่ อย่างนี้ไม่ช้าไม่นานเท่าไหร่ เราก็ชนะ

3. จิตตะ เอาใจจดจ่อในอารมณ์นั้นตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

4. วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณา ใคร่ครวญ ว่าการปฏิบัติ การใช้อารมณ์ แบบนี้ ถูกต้อง ตามคำแนะนำของครู บาอาจารย์ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนแล้วหรือยัง ถ้าไม่ถูกต้องตามนั้น แสดงว่าใช้ไม่ได้

ต้อง ใช้หลัก 4 ประการนี้คุมใจอยู่ตลอดเวลา ความจริงที่จะพูดไปถามว่ายากไหม ผมไม่เห็นยากเลย ถ้าเราเป็นคนเอาจริง เสียอย่างไม่มีอะไรจะยาก ไอ้คำว่า ยากหมายความว่า กำลังใจไม่มีความจริง หาจริงไม่ได้สักแต่ว่าทำผลุบๆ โผล่ๆ ประเภทศรัทธาหัวเต่า ผลุบเข้าผลุบออก แบบนี้มันไม่ได้ ทำศาสนาเขาเสื่อมเสียด้วย

ต่อแต่นี้ไป ก็มาพูดกันถึง การเมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร มุทิตาจิต อ่อนโยน อุเบกขาวางเฉย ตัวนี้ถ้ามีจริงๆจังๆ เป็นกำลังของฌานทรงตัว และจิตน้อมเข้าไปถึง พระนิพพานเป็นอารมณ์เริ่มต้น ก็เป็นพระโสดาบันกับสกิทาคามี

ตอนนี้มาว่ากันถึง เรื่องของ พระอนาคามี ได้กล่าวมาแล้วว่า เราควรจะมี ความรักในจิตใจของเราว่า จงอย่ามัวเมาในกามคุณ เพราะการมัวเมาในกามคุณ 5 คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ไม่ได้สร้างประโยชน์ ไม่ได้สร้างความสุข มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ คนที่เขาแต่งงานกันน่ะเห็นไหม เขาทะเลาะกันมีบ้างหรือเปล่า เวลาก่อนที่ จะแต่งงานกัน เลือกแล้วเลือกอีก สวยหรือไม่สวยดีหรือไม่ดี แหมเลือกกันจ้ำจี้จ้ำไช เลือกน้อย เลือกใหญ่ สืบสาว ราวเรื่อง สืบตระกูล กันไม่หวาดไม่ไหว พอแต่งงานกันไม่เท่าไหร่ ทะเลาะกันแล้ว ความทุกข์ทั้งหลาย อย่างอื่น มันก็ติดตามเข้ามา ความสวยความสง่าผ่าเผยที่ต้องการในระดับแรก ในที่สุดความเศร้าหมองมันเกิดทรุดโทรมลงไปทุกวันๆ ดูคนที่เขาแต่งงาน ผ่านระยะเวลา มาประมาณ 20 ปี แล้วไปขอดูรูปถ่าย ที่เขาถ่ายมาวันแต่งงานนะ มันคล้ายคลึงกันไหม ดีไม่ดี เราอาจจะจำไม่ได้ คิดว่าผีหลอกก็ได้

เพราะ มันทรุดโทรมขนาดนั้น มีลูกมีเต้าออกมา มันมีความสุขหรือความทุกข์ แบกภาระต้องการลูกอย่างหนัก ในที่สุดต่างคนต่างตาย แล้วร่างกายของคนที่เรารักสกปรก หรือว่ามันสะอาด ตอนนี้ต้องเรารักจิตของเรา เราเรียกว่า ตัวเรา คือ จิต คิดว่า อารมณ์อย่างนี้ อาการอย่างนี้ มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เราแสวง หาความสุขทำไม จึงจะก้าวเข้าไปสู่ในกฎของกามคุณ มันดึงชาวบ้านให้เขาทุกข์ยากลำบาก ต้องพลัดพรากจากกัน

ปิย โต ชายเต โสโก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวว่า ความเศร้าโศก เสียใจเกิด จากความรักพอพลัดพรากจากกัน ตามกฎธรรมดาเท่านั้นแหละ

ร้องไห้ กันงอแง ทำไมจึงไม่คิดว่า คนเราเกิดมาแล้ว มันต้องตาย ญาติผู้ใหญ่คนอื่น เขาตายให้ดู ทำไมจึงไม่มอง ไปคิดว่า ไอ้คนที่เรารักของที่เรารัก มันจะอยู่กับเราตลอดกาลตลอดสมัย พอจากกันหน่อยตามกฏธรรมดาก็ร้องไห้ อันนี้น่าสังเวชจิต

นี่เราใช้เมตตา คือ อารมณ์แห่งความคิด รักตัวเองว่า อย่าก้าวเข้าไปหาความทุกข์ประเภทนั้นเลย จงใช้อสุภกรรมฐานกับ กายคตานุสสติกรรมฐาน เข้ามาพิจารณา และก็จับมรฌานุสสติกรรมฐาน คือ ความตายเข้ามาร่วมด้วย ช่วยคิดว่าไอ้สิ่งสกปรกของร่างกายเราก็ดี ร่างกายเขาก็ดีนี่ว่ามันอยู่ ประคองกันอยู่ ตลอดกาลตลอดสมัยไปได้หรือเปล่า หรือว่ามันตายในวันสุดท้าย ก็ปรากฏว่ามันตาย ถ้ามันตายจากกัน จะไปสร้างความลำบากทำไม อยู่คนเดียวไม่ดีกว่าหรือ

ที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เอกายโน อยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสทธิยา แปลเป็นใจความ ตามเนื้อความว่า ทางของ บุคคล เดียวจัดว่าเป็นทางเอก เป็นทางนำมาซึ่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่หมายความว่า แค่ตัวเราตัวเดียวเท่านั้น มันก็ทุกข์พระพุทธเจ้า ยังแย้งเข้ามาอีกว่า ไอ้ร่างกายของเรา ที่เราเรียกว่า มันเป็นเรา เป็นของเรานี่ มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ ของเรา นี่เราไม่ ต้องการเขา และไม่ต้องการเราเสียด้วย คำว่าเรา ในที่นี้ คือ ร่างกายเราจริงๆ ไม่ใช่กาย กายเป็นเพียงร่างกายที่อาศัยชั่ว คราว เราคือ อทิสสมานกาย หรือ ที่เรียกกันว่า จิต เข้ามาสิงสถิตอยู่ในกาย ใช้กายเป็นเครื่องเป็นที่อยู่ ใช้กายเป็นแดน อาศัย จะทำอะไร จะพูดก็ใช้ กายพูด จะทำก็ใช้กายทำ

เราจริงๆ ไม่ใช่กาย คือจิต ที่มีความรู้สึกนึกคิด อะไรต่ออะไรต่างๆ นั่นคือ เรา และก็มองดูร่างกาย ว่ามันเป็นเราเป็นของเราไหม มองเห็นไม่ยาก ตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ร่างกายมันเป็นธาตุ 4 คือ ตัณหาสร้างขึ้น อาศัยธาตุ น้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มีอากาศธาตุ วิญญาณธาตุ

คำว่า วิญญาณธาตุ นี่ เราเรียกกันว่า ประสาท คือ ความรู้สึก แล้วจิตก็ใช้ทำงานต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ทรุดโทรมลงไปทุกวัน มีโรคภัยไข้เจ็บรบกวน มีความหิวความกระหายตลอดเวลา ไม่ช้ามันก็ตาย ถ้ามันเป็นเราจริงเป็นของเราจริง มันจะตายได้อย่างไร

เป็น อันว่าปลงใจเสียว่า ร่างกายของเราสกปรกมันทรุดโทรมทุกวัน มันเป็นของไม่ดี กายนี้เราไม่ต้องการมันอีก และกายคนอื่นเราก็ไม่ต้องการ วัตถุธาตุใดๆ ที่จะเป็นสมบัติต่อไปในเบื้องหน้า ไม่มีสำหรับเรา คือ ชาติหน้า ชาตินี้ต้องมีเพราะ ต้องกินต้องใช้ ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไหร่ ก็เลิกกัน ถ้าคิดอย่างนี้ มันก็เลยเป็นพระอรหันต์กันไปเลย พระอรหันต์เขาคิดแค่นี้ แต่ตอนนี้เราเอาแค่ตัดกามฉันทะกันก่อน

ย้อนกล่าวมา ถึง กามฉันทะ แต่นี้อนาคามี ก็ต้องมี ปฏิฆะ อีกอันหนึ่ง คือ ตัดระงับกามฉันทะได้ ตัวนี้ไม่ระงับมันตัดขาดไปเลย ความรู้สึกในเพศไม่มี เจอหน้าคนที่เราเคยรัก ลักษณะอย่างนี้ เราเคยรัก เจอะสีสันวรรณะ ที่สวยสดงดงาม ที่เราเคย ชอบฟังเสียงที่เราเคยหลง ดมกลิ่นที่เราเคยปรารถนา แตะรสที่เราต้องการว่าอร่อยเหลือเกิน สัมผัสระหว่างเพศที่เราต้องการ อาการอย่างนี้ไม่ปรากฏในจิต มีความรู้สึกอยู่ว่ารูปก็ดี รูปสวยมันโกหก เดี๋ยวมันก็พัง เสียงเพราะมันโกหก เสียงเพราะ เพราะนี่ไม่แน่หรอก วันนี้เราได้ฟังเสียงหวานหวานชื่นใจชะโลมใจ พูดจาดี สละสลวยช่วยให้มีความสุข แต่นี้ไม่ดีประเดี๋ยว ก็ด่าส่งจะไปสนใจอะไรกับเสียง

ไอ้กลิ่นก็เหมือนกัน กระทบจมูกแล้วก็หายไป อย่างรสนี่สัมผัสปลายลิ้น กับกลางลิ้น มีความรู้สึกถึงโคนลิ้น ก็หายไป การสัมผัสร่างกาย ซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทั้ง 5 ประการ ไม่ได้สร้างความสุข ไม่ได้สร้าง ความทรงตัว เราได้มาทั้งหมด เราก็แก่ไปทุกวัน มันไม่ได้ห้ามความแก่เราได้มันมาทั้งหมด เราก็มีการป่วยไข้ มีความทุกข์ มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่ได้ช่วยให้เราหายเหนื่อย เราได้มันมาแล้วเราก็ตายไปคบมันทำไม เลิก พูดกันอย่างย่อๆ

ต่อนี้ไปก็ว่ากันถึง ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอารมณ์ ความจริงท่านที่ทรงพรหมวิหาร 4 เป็นพระอนาคามีง่ายผมอยาก จะบอกว่าบุคคลใด มีความชำนาญใน พรหมวิหาร 4 ผมไม่อยากจะบอกว่า ท่านว่า เป็นพระโสดาบันเมื่อนั่น เป็นสกิทาคามีเมื่อนี่ ผมไม่อยากจะพูดอย่างนี้ ผมอยากจะพูดว่า บุคคลใดถ้าทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ คนนั้นควรจะเริ่มต้น เป็นพระอริยเจ้าด้วยพระอนาคามี เห็นไหม พรหมวิหาร 4 นี้ มีคุณประเสริฐมาก

ตอนนี้เรามาพูดถึงปฏิฆะ คือการที่ไม่ชอบใจ อารมณ์ที่มันไม่ชอบใจ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราก็มานั่งคิดว่า ทำไมถึงต้องไม่ชอบใจ วาจาที่เขากล่าว จริยาที่เขาแสดงออก มันมีเหตุมีผลอะไร แล้วมันดีไหม การแสดงความไม่ชอบใจนี้ มันดีหรือมันชั่ว ถ้าไม่ชอบใจเล็กมันก็บ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่มันก็บ้าใหญ่ คือว่า ไม่ชอบใจเล็กจิตมันโกรธอารมณ์ขุ่น หน้ามันชักนิ่ว คิ้วไม่สวย อาการที่แสดงออกก็ไม่งามนี่เริ่มบ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่ มันทนไม่ไหวปากด่ามือตี นี่เป็นอันว่าบ้าใหญ่เพราะ ไม่ชอบใจใหญ่ อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มันเป็นปัจจัยของความสุข หรือ ความทุกข์ นั่งนึกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ นี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ไม่ใช่ความสุข

ทุกข์ ตรงไหนล่ะ ถ้าโกรธเขาขึ้นมาแล้ว กินไม่ไต้นอนไม่หลับ คิดไว้เสมอว่า เมื่อไหร่กูจะฆ่ามึง ให้ได้หนอ เมื่อไหร่เราจะทำร้ายมันให้ได้ เมื่อไหร่แกล้งให้มัน ฉิบหายเสียให้ได้ นั่งคิด นอนคิด คิดมากเท่าไหร่ อารมณ์ฟุ้งซ่านใจ ก็ไม่เป็นสุขมีแต่ ความเร่าร้อน นอนก็เลยไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับมันก็กินไม่ได้ แล้วใครตายก่อนละ คนที่ถูกโกรธตายก่อน หรือคนที่โกรธ ตายก่อน ถ้าบังเอิญคนที่เขาถูกโกรธเขายังไม่รู้เขานอนหลับสบาย กินได้นอนหลับจิตเป็นสุข เราก็มีแต่อารมณ์กระสับกระส่าย หาความสบายไม่ได้ มีแต่ความเร่าร้อน นอนไม่หลับกินไม่ได้ ร่างกายมันก็ทรุดโทรม ผ่ายผอมลงไปทุกวัน ประสาทก็ เริ่มมีอาการเสื่อม จิตมีกำลังใช้มากเกินไป ประสาททนไม่ไหวในที่สุดก็โทรมโทรมแล้วก็ตาย มีประโยชน์ไหม

ถ้า สมมุติว่า เราฆ่าเขาได้ เราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ คนที่เขาทำให้เราไม่ชอบใจ ฆ่ามันเสียเลย ไม่เอาไว้เฉพาะหน้า ขืนอยู่ร่วมโลกกันไม่มีความสุข ถ้าเราฆ่าได้โดยสะดวกเขาไม่ต่อสู้ ก็ลองนึกถอยหลังมาว่า มันจะสุขหรือมันจะทุกข์เพราะคน ในโลกนี้ไม่มีแต่เขากับเราสองคน มันมีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าเราไปฆ่าเขาตาย ญาติพี่น้องของเขา เพื่อนที่รักของเขา ก็จะสร้างความแค้นเคืองให้เกิดขึ้นกับเรา แต่นี่เราก็ต้องคอยหลบคอยระวัง เกรงว่าเขาจะมาแก้มือ

หรือมิฉะนั้นคนที่รับอาสาแก้ มือที่มีความสำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องจับเราไปขัง หาว่าเป็นอาชญากรหมดอิสรภาพ หมดความสุข และต่อไปเจ้าหน้าที่ ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล เข้าตัดสินเข้าคุกเข้าตะรางแลถูกประหารชีวิต นี่อาการที่เราโกรธ แต่ทำได้ตามความประสงค์ของเรา มันก็เป็นความทุกข์ เราจะนั่งโกรธทำอะไรกันล่ะ ก็คนที่เขาสร้าง เขาทำไม่ดีด้วยทาง กาย พูดไม่ดีทางวาจาก็คนผู้นั้นมันคนบ้า

เราก็นั่งคิด เอ๊ะ พวกคนบ้านี่จะไปถือมันทำไม โบราณท่านบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา บ้าอะไรบ้า อำนาจวาสนา อยากจะเป็นคนเก่ง บ้าความอิจฉาริษยา คนอื่น อยากจะดีแต่ผู้เดียว รวมความว่า บ้าทำลายความสุข คือ ทำลายความเป็นมิตร คนประเภทนี้ ปัญญาไม่มีจะคิด มีแต่อารมณ์บ้าเข้าครองใจ ไอ้คนบ้าประเภทนี้ มันไม่มีความสุข มันมีแต่ความทุกข์ ตลอดกาลตลอดสมัย ทำไมเราจะต้องบ้าตาม

ตอน นี้ ต้องหันมาเมตตา ตัวเราเองก่อน โอ้หนอคนนี้ช่างโง่เหลือเกิน เขาไม่น่าจะทำลายความเป็นมิตรของเรา ถ้าเขาเป็น มิตรกับเรา เขายังมีความสุข เขาจะไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องทุกข์ เพราะเราไม่ได้เป็นศัตรู การที่เขาประกาศ เป็นศัตรูกับเรานี่ ก็ตัดความสุขกับคนไปพวกหนึ่ง ไม่ใช่เฉพาะเรา พรรคพวกของเรา อีกหลายคนที่ต้องเกลียดเขา เป็นศัตรูกับเขา และถ้าเราไปโกรธกับเขาด้วย มันจะช่วยให้มีความสุขไหม มันก็ไม่มีความสุข อาการที่เขาแสดงออก ด้วยความไม่พอใจ มันสร้างให้เราแก่เร็วลงไปไหม ถ้าเราอ้วนอยู่มันทำให้ผอมหรือเปล่า เราเป็นคนร่างกายแข็งแรงทำให้เราป่วยหรือเปล่า

ถ้า เรา ไม่รับเสียอย่างเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรมาถึงเรา เรานอนเป็นสุข แต่อยากจะด่า บ้าไปคนเดียวก็ไปคนเดียว มันบ้ายิ่งนินทาว่าร้าย เขามากเท่าไหร่ ชาวบ้านเขาก็เกลียดมากเท่านั้น เราก็เฉยเสีย ต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้า ใครว่าอะไร ท่านก็เฉย ตัวเฉยตัวนี้แสดงว่า พรหมวิหาร 4 ตัวสุดท้าย เรานำมาใช้ เรานึกเมตตาว่า คนนี้ ไม่ควรจะสร้างศัตรู สงสาร คิดว่าถ้าเขาไม่เป็นมิตร เรายังมีความสุขนี่เขาต้องมีความทุกข์ เขาประกาศตนเป็นศัตรูกับเราใช้ข้อท้าย อุเบกขา เข้ามาระงับกับอารมณ์ ของใจ ว่าใครเขาจะบ้าอย่างไรก็ช่างเขา เ ราจะไม่ดี เราจะไม่ชั่ว ทั้งคนรัก ทั้งคนเกลียด เราจะดีหรือจะชั่ว ยังมีความสุข และความทุกข์ ที่อาศัยความสงบของจิต คือไม่รับทั้งชั่ว ไม่รับทั้งดี ไม่รับทั้งคำสรรเสริญ และนินทา เป็นสำคัญ

เราจะขอ ยึด คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เป็นอุเบกขา ความวางเฉย ทำใจให้เป็นสุข นึกสนุกว่า โอหนอโลกนี้ ยังมีคนบ้าอยู่มาก ถ้าหากว่า เราบ้าตามเขาเมื่อไหร่ ตายเราก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ถ้ากำลังใจของเราเป็นสุข ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมา ช่างเขา เขาอยากจะตกนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นคนที่ใช้การไม่ได้ต่อไปข้างหน้า มันเป็นเรื่องของเขา เราขอเอาความสุข คือ ยอมจิตสงบ ไม่ยอมรับนับถือคน วาจาของคนชั่วประเภทนั้น คิดตาม แบบขององค์สมเด็จพระภควันต์ที่ตอบกับพราหมณ์

พราหมณ์ ด่าพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้าแพ้ เพราะ ไม่ตอบ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ฉันคิดว่า คนที่ด่าฉัน แล้วฉันด่าตอบ ฉันคิดว่า ฉันเลวกว่าคนที่เขาด่าฉัน นี่เป็นอันว่า คนที่ด่าเราว่าเรา ทำให้เราไม่ชอบใจเขา เลว เราจงอย่าเลว มากกว่าเขา ถ้าเราไม่ยอมรับซะเพียงใด เขาก็เลวแต่ผู้เดียว เป็นอันว่า ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท คิดไว้อย่างนี้ ความเป็นพระอนาคามี ก็เกิดขึ้นกับท่าน จะรู้ได้ต่อเมื่อบุคคลใด จิตเรามีความสุข ไม่สะทกสะท้านในคำด่า เมื่อเขายังด่ามาก ออกท่ามาก เราจะคิดว่า โอยนี่มันบ้ามากอย่างนี้ เราไม่เอาด้วย ไม่ยอมบ้าแล้ว อย่างนี้ชื่อว่า ท่านปฏิบัติตามกระแส พระสัทธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว อาศัยพรหมวิหาร 4 เป็นพระอนาคามีได้สบาย

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาการที่จะแสดงกันพูดกันก็หมด แต่เพียงเท่านี้ สำหรับต่อนี้ไป ขอทุกท่านตั้งกาย ให้ตรงดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก ใช้คำภาวนา แล้วพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะถึงเวลาที่ ท่าน เห็นว่าสมควร.....สวัสดี

---------------------------------------------

เรื่องพรหมวิหารสี่ ทั้งหมดมี 6 ตอนครับ โปรดติดตามอีกตอนจบนะครับ
เพลง หยดน้ำ ~ เบิร์ด ธงไชย



Create Date : 04 มิถุนายน 2552
Last Update : 4 มิถุนายน 2552 14:19:36 น. 15 comments
Counter : 947 Pageviews.

 
สวัสดีค่ะ คุณไผ่

มาอ่านตอนที่ 5 ค่ะ

ชอบข้อ 3 จิตตะ เอาใจจดจ่อในอารมณ์นั้นตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

เพราะคิดว่าค่อนข้างยากที่จะทรงอารมณ์นั้นๆ ไว้
แต่ก็เพียรเรื่อยๆ เสมอๆ ค่ะ

มีความสุขมากๆ นะคะ

ปล.อ่านคร่าวๆ นะคะ เด๋ว เย็นๆ ค่อยมาอ่านแบบพิจารณาค่ะ

ขอโมทนากับคุณไผ่ ในการเผยแพร่นะคะ




โดย: พ่อระนาด วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:14:17:50 น.  

 
ตอนนี้มีคำบาลีเยอะจังเลยครับพี่
อ่านแล้วเข้าใจยากนิดหน่อยครับ



โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:15:57:07 น.  

 
มาแล้ว ตอนที่ 5 ขยันจัง ขออนุโมทนา สาธุ กับความพยายามพิมพ์ค่ะ

เอ่อ...มีคำถามเลย สำหรับ paragraph แรกๆ ที่บอกว่า อย่าทิ้งคำบริกรรม (อย่าง พองหนอ-ยุบหนอ) เพื่อให้จิตทรงตัวง่ายขึ้น ทำไมบางที่จึงบอกว่า พยายามไม่บริกรรม ก็จะดีที่สุด เพราะบริกรรม คือ ยึดติด อย่างไหนโอ อ่ะคะคุณไผ่

เรื่องด่า แล้วทำใจเราเองไม่ต้องสนใจ ยากมากมาก บ้านตรงข้ามปล่อยหมาเห่า แล้วมายังด่าเราอีก งวดก่อน แพ้ใจตัวเอง ไปด่าตอบกับเขา อยากให้มาด่าอีก จะไม่ด่าตอบแล้ว แต่อัดเสียงเขาไว้ แล้วเปิดใส่ลำโพงตอนหมาเขาเห่าอีก ได้มั๊ยคะ


โดย: Mermaid AI วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:17:30:17 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณหมึกดำ
อ่านจบเรียบร้อยแต่เก็บได้เท่าไหร่ว่ากันทีหลังนะคะ
เรื่องมีคนมาด่าว่านี่ปกติก็ไม่ตอบโต้ในลักษณะเดียวกันอยู่แล้ว ต้องถามต้นสายปลายเหตุกันก่อน
ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็เฉยดีที่สุด
สิ่งทุกอย่างที่เกิดมีเหตุทั้งนั้น ถ้าเราเป็นคนทำผิดคงวางอุเบกขาไม่ได้แล้วต้องรีบแก้เค้าจะได้ไม่มาด่าเอาไงคะ


โดย: busabap วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:18:28:24 น.  

 
ยายแวะมาอ่านแล้วคะ พรหมวิหาร 4 มีอยู่ในตัวยาย
มาตั้งแต่เด็กแล้วคะ โดยเฉพาะข้อ 4 ยายจะวางเฉย
เวลาผู้ใหญ่เรียก เรียก 5-6 ครั้งจึงจะขานรับ(ยายเป็นเด็กที่อืดอาด เชื่องช้ามาก) คุณยายของยายเขาจะว่า
ยาย ด้าน แฮะๆ ๆ ๆ ยายจะบอกว่าไม่ใช่ด้านนะ อุเบกขาต่างหาก แต่ทำไม พอโตขึ้นนิสสัยเปลียน
ไม่อืดอาดแล้วคะ
แล้วจะแวะมาติดตามตอนต่อไปคะ


โดย: กัดหมอน วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:21:22:37 น.  

 
ตอบคุณเอ๋..

เอ่อ...มีคำถามเลย สำหรับ paragraph แรกๆ ที่บอกว่า อย่าทิ้งคำบริกรรม (อย่าง พองหนอ-ยุบหนอ) เพื่อให้จิตทรงตัวง่ายขึ้น ทำไมบางที่จึงบอกว่า พยายามไม่บริกรรม ก็จะดีที่สุด เพราะบริกรรม คือ ยึดติด อย่างไหนโอ อ่ะคะคุณไผ่

คำบริกรรมต่างๆ ทำเพื่อให้จิตมีสมาธิ
ให้มีสติ อยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ไม่ให้มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
คำบริกรรมเป็นการเจริญสมถะภาวนา
นักเจริญพระกรรมฐาน หากบริกรรมคำภาวนาไม่ว่าแบบไหน จนสมาธิของจิตลำดับไปจนถึงฌานที่2 คำบริกรรมเหล่านั้นจะหายไปเอง

หากมีสติอยู่เสมอ หรือมีสมาธิ ก็ไม่ควรไปยึดติดกับคำภาวนา ครับคุณเอ๋
หากยังไม่มี ก็ยึดเอาไว้ก่อนครับ

คำด่า คำสรรเสริญ พระท่านว่า เป็นโลกธรรม8 ไม่ควรยึด ยึดเมื่อไหร่ ทุกข์เกิดเมื่อนั้นครับ

เคยอ่านหนังสือมานะครับ
หากคนถูกด่าไม่ีมี คนด่าก็ไม่มี


โดย: หมึกสีดำ วันที่: 4 มิถุนายน 2552 เวลา:23:13:19 น.  

 

สวัสดีค๊า....ไผ่สีทอง....

อัพเร็วจังตอนสี่แล้วเหรอค๊า
ขนาดอ่านข้ามนิดนุงยังรุ้สึก
กับถ้อยคำกับงานเขียนอันนี้อ่า
คนเราก็ทุกข์ สุข ความคิด และสำนึก
อยู่ในหัวใจมนุษย์ และทุกคนมีสรรพสิ่ง
ตามติดโดยเป็นทั้งนามธรรม รูปธรรม ยึดถือ

มีความรู้สึกในรู้สึกแห่งรสแห่งกายา
และวจีแห่งรู้สึกด้วยดี
ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ค๊า

*★.• •*.:。✿✲-•(¯`°.•°•.★* *★ .•°•.°´¯)*¤°•★
•.★*... ...*★.• •*.:。✿✲-•(¯`°.•°•.★* *★ .•°•.°´¯)*¤°•★

ปล...ไผ่สีทองชื่อเท่อ่ะ...เรียกแพมเฉยๆก็ได้นะค่ะ




โดย: มัททะนะ (mastana ) วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:0:19:38 น.  

 
^
^

อ้าว!!....
รัยเนี่ย...ไผ่สีทอง...ค๊า
ช่วยลบให้แพมด้วยน๊า...


โดย: mastana วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:0:24:11 น.  

 
title=

สวัสดีค่ะ คุณไผ่
วันนี้วันศุกร์ ขอให้มีความสุขเหมือนชื่อวันนะคะ


โดย: พ่อระนาด วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:7:07:13 น.  

 
ตามมาอ่านแล้วคะ
เห็นคอมเมนต์คุณไปอยู่ใน โดนแบน ได้ไงเนี่ยะ
ยัง งงๆ เหมือนกัน สงสัยระบบขังข้องมั้งคะ
ต้องขออภัยด้วยนะคะ


โดย: บุปผาลีลาวดี วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:8:30:26 น.  

 
สวัสดีคะหลาน
ยายอ่านแล้ว วันนี้ขอยึดนำมาปฏิบัติในข้ออุเบกขา
นะคะ วันละข้อก็ยังดีและยึดตลอดไป ใจเราจะได้เป็นสุขไงคะ
อนุโมทนาสาธุด้วยคนคะ ที่หลานได้นำคำสอนของ
พระพุทธเจ้ามาเผยแพร่คะ


โดย: กัดหมอน วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:8:45:37 น.  

 


โดย: tukta (tukta510 ) วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:11:35:26 น.  

 
หนูแวะมาเยี่ยมแต่คงยังไม่ได้อ่านนะคะ วันนี้แวะมาเอาของที่บ้านแม่เลยได้เข้าเนต ไว้หนูมีเวลาจะมาตามอ่านต่อนะคะ


โดย: tukta (tukta510 ) วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:11:36:22 น.  

 
ตอนนี้เรามาพูดถึงปฏิฆะ คือการที่ไม่ชอบใจ อารมณ์ที่มันไม่ชอบใจ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา เราก็มานั่งคิดว่า ทำไมถึงต้องไม่ชอบใจ วาจาที่เขากล่าว จริยาที่เขาแสดงออก มันมีเหตุมีผลอะไร แล้วมันดีไหม การแสดงความไม่ชอบใจนี้ มันดีหรือมันชั่ว ถ้าไม่ชอบใจเล็กมันก็บ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่มันก็บ้าใหญ่ คือว่า ไม่ชอบใจเล็กจิตมันโกรธอารมณ์ขุ่น หน้ามันชักนิ่ว คิ้วไม่สวย อาการที่แสดงออกก็ไม่งามนี่เริ่มบ้าเล็ก ถ้าไม่ชอบใจใหญ่ มันทนไม่ไหวปากด่ามือตี นี่เป็นอันว่าบ้าใหญ่เพราะ ไม่ชอบใจใหญ่ อารมณ์ที่ไม่ชอบใจ มันเป็นปัจจัยของความสุข หรือ ความทุกข์ นั่งนึกอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ นี่มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ไม่ใช่ความสุข

^^^^
ป้าอิ่มเป็นบ่อยๆเลยค่ะ
ไม่สามารถปลงได้สักที
นับ 1-100 ก็ไม่ได้ค่ะ


โดย: ฟ้าทลายโจร (ป้าอิ่ม ) วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:13:00:34 น.  

 
ขอบคุณค่ะ สำหรับคำตอบค่ะ
เข้าใจแล้วหล่ะ เพิ่งจะรู้ว่า พอเราแม่น จิตมั่น เข้าสมาธิได้เร็ว ต่อไปคำบริกรรม จะหายไปเอง


โดย: Mermaid AI วันที่: 5 มิถุนายน 2552 เวลา:18:12:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมึกสีดำ
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมึกสีดำ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.