พิมตะวัน ตอนที่07
ตอนที่๗ คำลา


ทางแคบชันและความชื้นที่แทรกอย่างหนาแน่นในอณูอากาศทำให้อรุณรุ่งต้องผ่อนฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว

ก้อนหินใหญ่น้อยริมทางและซากไม้เก่าแก่ล้วนถูกปกคลุมด้วยมอสและตะไคร่น้ำ เถาวัลย์ห้อยย้อยกีดขวางทางเดินให้ต้องคอยระวังก้าวข้ามหรือก้มลอดอยู่เป็นระยะ กลุ่มเห็ดหลากสีชูดอกดกดาษอยู่ตามซอกหลืบอับชื้น

คนคุ้นทางกว่าที่ตามมาข้างหลังค่อยกระชั้นเข้ามาทีละน้อย และยามใดที่มีสิ่งน่าสนใจก็จะออกแรงดึงรั้งที่ชายเสื้อของคนเดินนำที่คอยแต่จะก้มหน้าก้มตาเดินแล้วชี้ชวนให้มองตาม

“สวย ดอกอะไรน่ะ?”
พออรุณรุ่งหันไปตามที่คนรั้งไว้บุ้ยปากไปก็พบกับช่อไม้ดอกเป็นพวงระย้า กลีบดอกสีพื้นขาวตรงกลางมีแต้มม่วงเข้มและยังจุดเล็กๆสีม่วงอ่อนที่กระจายไปทั่ว กำลังบานไล่กันจนเกือบจะหมดทั้งช่อขาดก็แต่อีกสองสามดอกที่ปลายช่อเท่านั้นที่ยังเป็นดอกตูม

“ช้างกระ คำเมืองเปิ้นก็ว่า เอื้องต๊กโต”
คำตอบที่มาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆในหน้าทำให้คนฟังยิ้มออกไปด้วย และเพราะคนตอบทำเสียงอ่อนเสียงหวานพยายามออกสำเนียงคนเมืองโดยไม่เข้ากับหน้านั่นเอง ท่าทางที่เหมือนกับจะเอาแต่จ้ำไปข้างหน้าของคนฟังจึงผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

“หึ ดอกไม้สวย แต่สำเนียงไม่ผ่าน....”
อรุณรุ่งเบือนหน้าเปื้อนยิ้มเสมองสบตากับเจ้ากิ้งกือที่ขดตัวจนเป็นก้นหอยเมื่อรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากฝีเท้าสองคู่ พลางนึกแปลกใจตัวเองที่ตัดสินใจร่วมทางมากับคนแปลกหน้าที่เพิ่งได้เจอกันแค่สองครั้งง่ายๆ ลอบเหลือบตามองคนที่หยุดยืนรอก็ต้องแปลกใจว่าทำไมไม่เห็นยกกล้องที่คล้องติดคอมาถ่ายไว้ แต่ก็ปากหนักไม่ทักถาม

ชายหนุ่มลอบมองเพื่อนร่วมทางแล้วก็นึกขำในใจ ว่าผู้ชายคนนี้ขนาดใส่กางเกงขาสั้นแค่เข่ากระเป๋าเยอะเต็มไปหมดแถมแต่ละใบดูก็รู้ว่าได้ใช้งานตามสภาพจนตุงออกมาจริงๆกับเสื้อยืดคอกลมสีขาวแขนยาวที่รูดๆอย่างไม่ตั้งใจไว้เหนือศอก แล้วยังรองเท้ายางรัดส้นสภาพสมบุกสมบันแบบนี้ แม้จะดูแตกต่างจากที่มองว่าเนี้ยบกริบไปทั้งตัวแบบที่เห็นครั้งแรก แต่ทั้งๆที่ใบหน้าที่ประดับไปด้วยคิ้วหนาที่พาดเกือบจะเป็นเส้นตรงกับตาสีดำเข้มจัดลึกล้ำนั่นมีหยดเหงื่อผุดพรายตามหน้าผากจนแทบจะย้อยหยดจากหางคิ้ว ผู้ชายคนนี้ก็ยังพูดได้เต็มปากว่าดูดีอยู่นั่นเอง

อรุณรุ่งกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดขณะที่ขาก็ก้าวไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านไปไม่ถึงสามนาทีชายเสื้อก็ถูกรั้งไว้อีกแล้ว และคราวนี้แค่เพียงหันไปทางขวาดอกไม้สีขาวที่บานอวดเกสรสีเหลืองสดก็อยู่ห่างปลายจมูกไปไม่ถึงคืบ กลิ่นหวานหอมพุ่งเข้าปะทะกะทันหันทำให้ชายหนุ่มตกใจจนก้าวถอยออกห่างโดยอัตโนมัติ ก่อนจะค่อยขยับเข้าไปใกล้แล้วลองสูดกลิ่นดอกไม้แสนสวยตรงหน้าช้าๆอีกครั้ง

ปฏิกิริยาของหนุ่มน้อยที่รู้สึกสะดุดตากับบางสิ่งบางอย่างที่คุ้นเคยในใบหน้าและท่าทางตั้งแต่แรกเห็นทำให้ชายหนุ่มอีกคนเผลอตัวยกกล้องในมือขึ้นมากดชัตเตอร์จับภาพไว้เงียบๆ หากเสียงจากกล้องที่ดังแชะเบาๆก็ทำให้คนที่กำลังทำความรู้จักกับเอื้องดอกขาวหันขวับมาทันที

“ทำอะไร?”

“ถ่ายรูป”
เสียงเรียบเรื่อยที่เอ่ยปากตอบคำสั้นแสนสั้นเรียกอาการขมวดคิ้วบนใบหน้าของคนถามได้ทันควัน พร้อมกับที่สายตาหาเรื่องมองเจ้าของกล้องอย่างไม่ยอมหลบ

“.............................”

“ยอมแล้ว.....ก็แค่ถ่ายรูปดอกไม้ มันสวยดีไม่ใช่หรือ?”

“แค่นั้น?”

“ทำไม หรือคิดว่าผมแอบถ่ายคุณ?” เจ้าของกล้องเจ้าปัญหาจัดการปิดหน้ากล้องแล้วเคลื่อนตัวเข้ามาจนเหลือระยะห่างระหว่างกันไม่ถึงคืบพร้อมกับเลิกคิ้วสูงประกอบคำถามเสียด้วย

“ก็........” อรุณรุ่งแข็งใจเงยหน้าสบตากับคนที่เข้ามาใกล้เหมือนตั้งใจเอาความสูงเข้าข่มโดยไม่ยอมหลบหรือแม้แต่ถอยห่างแม้แต่นิดเดียว

“หึๆๆ เห็นเงียบๆนิ่งๆ.......”

“ทำไม เห็นแบบนี้แล้วผมทำไม!!?”

“ก็ไม่ทำไม.....แค่คิดว่าเงียบๆนิ่งๆอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองเป็นตุเป็นตะได้ มั่นใจมากไปหน่อยมั้ย......เด็กน้อย”


น้ำเสียงเรียบเรื่อยขัดกับเนื้อหาของคำพูดที่คนพูดตั้งใจใช้ได้ผลชะงัดนัก ไอ้ดอนของเพื่อนๆถึงกับตอบโต้ไม่ได้ไปไม่เป็น ได้แต่อ้าปากกว้างเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่แล้วก็กลับหุบปากฉับแถมด้วยอาการขบฟันลงกับริมฝีปากล่างแล้วหมุนตัวออกเดินต่อ กระนั้นก็ยังไม่วาย....คนตามหลังยังส่งเสียงหัวเราะยั่วเย้าลอยมาเข้าหูอีก


แค่ไม่ทันเหนื่อยนายอรุณรุ่งก็ต้องมาอ้าปากค้างอีกรอบ ทางข้างหน้าช่วงนี้ถูกชาวบ้านนำไม้ไผ่ท่อนยาวสองสามท่อนมามัดรวมกันแล้วพาดข้ามธารน้ำใสสะอาดที่ดูจากสีแล้วคงลึกพอสมควรเป็นสะพานสำหรับเดินผ่าน ฝั่งตรงข้ามที่ห่างออกไปราวสิบเมตรมีทางเดินต่อที่มองไปเห็นว่าถ้าเดินขึ้นไปจนสุดจะไปจบลงตรงโคนไม้ยืนต้นที่คะเนด้วยสายตาแล้วสูงกว่าสิบเมตรที่ตอนนี้ออกดอกขาวอมชมพูปกคลุมทุกกิ่งก้าน

แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของชายหนุ่มไว้ในตอนนี้กลับเป็นม่านน้ำกว้างกว่าห้าเมตรที่แข่งกันกระโจนลงจากหน้าผาหินระดับเดียวกับต้นดอกเสี้ยว จุดกำเนิดเสียงดังสนั่นและละอองน้ำเย็นฉ่ำที่กระจายเข้าใส่ผู้มาเยือนโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

ชายหนุ่มที่ก้าวมาถึงก่อนยิ้มออกมาเต็มที่กับภาพสวยงามที่เห็น แล้วเลยเผื่อแผ่รอยยิ้มกว้างขวางไปให้ผู้ร่วมทางคนเดียวที่เพิ่งจะรู้สึกอยากต่อยให้ปากแตกแก้อาการปากเสียไปเมื่อกี้ จนคนที่ชวนให้ร่วมทางมาด้วยกัน ถึงกับเหวอไปกับอารมณ์ที่โกรธง่ายหายเร็วอย่างเหลือเชื่อของหนุ่มน้อยลูกครึ่งนัยน์ตาสีน้ำตาลตรงหน้า

“อีกนิดเดียวเอง”

“อื้ม....ไปต่อเลยมั้ย?”

อรุณรุ่งพยักหน้ารัวๆรับคำ รอให้คนที่เพิ่งตามมายืนอยู่เคียงข้างควักถุงพลาสติกออกมาจากกระเป๋าโดราเอมอนที่กางเกงด้านหลังแล้วบรรจุกล้องของตัวเองลงไปก่อนจะผูกปากถุงอย่างรวดเร็ว โดยดึงส่วนสายคล้องคอออกมาคล้องคอไว้เหมือนเดิม

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจัดการกับของที่ดูท่าจะทั้งรักทั้งหวงเรียบร้อยแล้ว อรุณรุ่งจึงเริ่มก้าวเดินออกไปบนสะพานไม้นั้นช้าๆ มือข้างหนึ่งเกาะยึดกับลำไม้ไผ่เรียวเล็กที่ชาวบ้านนำมาผูกไว้ให้พอใช้เป็นราวจับช่วยทรงตัวส่วนอีกมือก็ปล่อยตามสบาย หากแต่ความลื่นและชื้นของสะพานไม้ก็ทำให้เกือบจะเสียการทรงตัวจนต้องกางแขนออกช่วยให้เกิดความสมดุลอยู่เป็นระยะ รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากคนที่เดินตามติดอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับว่าระยะห่างที่เคยมีมันถูกร่นลงจนแทบจะกลายเป็นศูนย์ แต่ก็ไม่กล้าหันกลับไปมองเลยสักครั้ง


“เฮ้ย!! ยังมีทางเดินขึ้นไปอีกนี่”
หลังจากข้ามสะพานไม้ไผ่มาอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องลงไปเล่นน้ำเย็นโดยไม่ตั้งใจสองคนก็เร่งฝีเท้าจนขึ้นมาถึงจุดที่หมายตาไว้ แต่คนที่ตั้งท่าจะไชโยโห่ร้องกับการพิชิตยอดน้ำตกก็เป็นอันต้องอุทานออกมาด้วยเสียงละห้อยแทน ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอปล่อยแววตาเหมือนเด็กถูกขัดใจออกมาให้คนที่จับตามองอยู่เก็บมาอมยิ้มอย่างพึงใจแค่ไหน

“หึๆๆก็ใช่น่ะสิ นี่เพิ่งชั้นเจ็ดเอง”

“อ้าว.......แล้วมันมีกี่ชั้นล่ะ?”

“สิบเอ็ด นี่เข้ามาเที่ยวไม่ได้หาข้อมูลเลย?”
เรือนร่างสูงใหญ่ของคนถามก้าวยาวๆไปทรุดตัวนั่งบนหินใหญ่ที่มีหน้าตัดราบเรียบราวกับธรรมชาติจงใจสร้างมาเพื่อเป็นที่นั่งพักขาเพื่อคนเดินทางโดยเฉพาะ มือก็ปลดกล้องออกจากที่ห่อกันน้ำไว้ ในขณะที่สายตาเหลือบมองหนุ่มน้อยร่างสูงโปร่งที่เหมือนจะกลายเป็นเด็กไปอีกครั้งที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปชะเง้อคอยืดคอยาวอยู่ริมผาน้ำตก

“ก็ไม่เห็นจำเป็น ดูคุณรู้จักที่นี่ดีจังนะ”
อรุณรุ่งหันกลับมามองเพื่อนร่วมทางที่นั่งห้อยขาอย่างสบายอยู่บนหินก้อนใหญ่ แล้วเลยมองหาที่เหมาะๆจะยึดเป็นที่นั่งพักขาบ้าง ก่อนจะตัดสินใจเลือกเอาโคนต้นไม้สูงลิบที่ปล่อยดอกเสี้ยวร่วงลงเกลื่อนเต็มพื้นนั่นแหละเป็นชัยภูมิส่วนตัว แต่จะให้นั่งทับลงไปบนกลีบดอกไม้สีขาวแสนสวยก็กลับนึกสงสาร กลัวมันจะเจ็บขึ้นมา

“นี่ครั้งที่สามน่ะ ผมติดใจ”
กล้องในมือถูกเปิดขึ้นส่องกับแสง ก่อนมือหนาหากคล่องแคล่วจะถอดเลนส์ออกมาแล้วใช้ลูกสูบเป่าลมไล่ไอน้ำออกอย่างพิถีพิถัน ชายหนุ่มก้มหน้าซ่อนยิ้มกับท่าทางของเด็กน้อยในสายตาที่ก้มๆเงยๆอยู่ตรงโคนต้นไม้ห่างออกไปเกือบสามเมตรที่ค่อยๆเก็บดอกไม้ที่ร่วงลงมา แล้วพอได้เป็นกอบเป็นกำก็เอาไปปล่อยให้ร่วงหล่นลงไปตามกระแสน้ำ

“คุณไม่เบื่อเหรอ มาเที่ยวที่ซ้ำๆ?”
ทำภารกิจปล่อยดอกไม้ไปเที่ยวเสร็จอรุณรุ่งก็นั่งชันเข่าเอนหลังพิงโคนต้นไม้ใหญ่ จับตามองไปรอบทิศ แล้วสุดท้ายโดยไม่รู้ตัวนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจางก็จับจ้องอยู่แต่ที่มือซึ่งเคลื่อนไหวไปมาของผู้ชายตัวโตที่นั่งอยู่บนหินตรงกันข้าม ก่อนสายตาจะเลื่อนขึ้นจนสบกับดวงตาเข้มจัดที่ยิ่งส่งประกายลึกล้ำเมื่อจู่ๆมือหนาคู่นั้นก็หยุดนิ่งก่อนจะวางอุปกรณ์ทุกอย่างในมือลงกับพื้นหิน แล้วตอบโต้มาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นราวกำลังให้คำมั่นสัญญา

“ผมก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าชอบ......ต่อให้บ่อยแค่ไหน หรือนานเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันเบื่อ”


“เอ่อ.....แล้วดอกไม้สีขาวนั่นดอกอะไรเหรอ?”

.
.
“ไอ้ดอน!! ดอนโว้ยยยยยยยยยยย ด๊อนนนนนนนนนนนนนน!!”

เสียงตะโกนโหวกเหวกผสานกันดังขึ้นฝ่าเสียงอื้ออึงของน้ำกระแทกหินบ่งว่ากลุ่มคนเกือบสิบชีวิตกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ดวงตาสีอ่อนพลันเบือนหลบ ในขณะที่อีกคนเริ่มเก็บข้าวของแยกใส่ไว้ตามกระเป๋ารอบกางเกงอย่างรวดเร็ว แล้วก้าวยาวๆแค่สองสามก้าวเข้าไปหาหนุ่มน้อยที่นั่งก้มหน้าก้มตามองดูดินกอดเข่านิ่งอยู่
ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายหวานโดยอีกฝ่ายไม่มีโอกาสได้เห็นเมื่อมองเห็นเสี้ยวหน้าขึ้นสีชมพูจัดลามมาถึงใบหูอีกครั้ง ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้จนได้ยินเสียงหายใจที่เร็วกว่าปกติอย่างชัดเจน

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ดอว์น”
และระหว่างที่นายอรุณรุ่งยังตะลึงกับวิธีเรียกชื่อเล่นที่ตลอดมามีพ่อคนเดียวที่เคยเรียกแบบนี้ คนเรียกชื่อให้ใจสั่นก็หยิบขวดน้ำเปล่าขวดเล็กๆจากกระเป๋ากางเกงยัดใส่มือที่ยังค้างอยู่ในท่ากอดเข่า แล้วเดินหายลับไปทางตรงกันข้ามกับเสียงเรียกจากเพื่อนๆเสียแล้ว



ถึงน้องรุ่งคนดีของพี่

พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกที่พวกพี่เริ่มฝึกงานที่โรงพยาบาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แต่เมื่อพฤหัสที่แล้วพี่กับไอ้สามตัวนี้แวะเข้าไปเสนอหน้าทำความรู้จักที่แผนกมาแล้วค่ะ
แผนกกายภาพบำบัดของที่นี่มีคนทำงานทั้งหมดแปดคน เป็นนักกายภาพบำบัดห้าคน(รวมพี่กุ้งหัวหน้าแผนกแล้ว) และพวกพี่ๆผู้ช่วยอีกสามคน พอพวกพี่โผล่เข้าไปในแผนกเอาโรตีสายไหมอยุธยาเข้าไปเซ่น พวกพี่ๆเขาเลยลองให้ดูแฟ้มประวัติคนไข้แล้วถามโน่นนิดนี่หน่อยเหมือนจะประเมินคร่าวๆว่าพวกเรามีอะไรในหัวมาแค่ไหน และเท่าที่เห็น...พี่ดอนว่าพี่ๆที่แผนกเขาพอใจพวกเราในระดับหนึ่งนะคะ

เท่าที่ดูจากสถิติคนไข้ย้อนหลังจากบอร์ดในแผนก คนไข้ที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นคนไข้โรคระบบทางเดินหายใจกับกลุ่มออโธปีดิกส์(พี่หมายถึงพวกกระดูกและข้อน่ะค่ะ) พี่ดอนก็บอกพี่ๆเขาไปแล้วแหละค่ะว่าตั้งแต่ฝึกงานมาแปดโรงพยาบาลเข้าไปแล้ว พี่ยังไม่เคยได้เคสโรคระบบทางเดินหายใจเลยสักครั้ง พี่กุ้งเลยเรียกให้พี่ฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ผู้หญิงอีกคนท่าทางเคี่ยวชื่อพี่ดา เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้พี่ดาจะเดินวอร์ด แล้วพี่ดอนของน้องรุ่งก็ถูกวางตัวให้เดินวอร์ดด้วยเพราะจะได้ได้เจอกับคนไข้โรคระบบทางเดินหายใจเยอะๆ

พอรู้ล่วงหน้าแบบนี้เมื่อกี้ก่อนหลบมาเขียนจดหมายพี่เลยเอาหนังสือและชีทเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจทั้งหมด(ของไอ้คุณชายเชมัน)มาทวนซะเต็มที่ ส่วนไอ้สามตัวที่เหลือเลยลอกเลียนพฤติกรรมทำตัวเป็นคนขยันไปด้วย ผลัดกันเอาสเต็ทฯมานาบฟังเสียงปอดเสียงหัวใจ ท่องโลบปอดกันจ้าละหวั่น
นี่กำลังขำพี่อยู่รึเปล่าคะที่มัวไปเที่ยวจนต้องมาเร่งอ่านเอาตอนนี้ หึๆๆ เอาน่า ห่างหูห่างตาหม่าม้าพี่ดอนขอเกเรบ้างนิดๆหน่อยๆคงไม่เป็นไรหรอกนะคะ น้องรุ่งอย่าไปเข้าฝันฟ้องหม่าม้าเชียว ไม่งั้นพี่ไม่เล่าอะไรให้ฟังอีกแน่ๆ(นี่คือคำขู่)

เฮ้อ......ตอนแรกพี่กะจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน แต่ว่ามันมีอะไรบางอย่างสะกิดใจ
น้องรุ่งจำผู้ชายคนที่พี่เคยเล่าว่าเขามองพี่ดอนแปลกๆที่ร้านอาหารของคุณยายสามคนได้มั้ยคะ? เขาเป็นคนคนเดียวกับเจ้าของBMWคันที่พี่เจออีกครั้งที่บ้านแม่กลางหลวงค่ะ

บ่ายวันนั้นตอนที่พวกเราเก้าคนเดินขึ้นไปเล่นน้ำตกผาดอกเสี้ยว พี่ดอนเดินแยกออกไปก่อนกะจะไปดูต้นดอกเสี้ยว แล้วก็เผอิญไปเจอเขาเข้า เขาแสดงออกเหมือนว่ากำลังจะเดินขึ้นไปชั้นบนไปดูดอกเสี้ยวเหมือนพี่ เราสองคนเลยเดินขึ้นไปด้วยกัน แต่พี่ดอนมารู้ทีหลังจากพี่สมชายว่าคุณคนนั้นแกจ้างรถของเจ้าหน้าที่ให้ไปส่งที่น้ำตกชั้นสิบเอ็ด(ชั้นบนสุด) แล้วจะเดินจากชั้นบนสุดถ่ายภาพมาเรื่อยๆจนลงมาถึงชั้นล่างแล้วเข้าหมู่บ้าน
ซึ่งนั่นก็แปลว่า......เขาเดินย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อไปเป็นเพื่อนพี่.......
น้องรุ่งว่า...ที่พี่คิดแบบนี้ จะถือเป็นการเข้าข้างตัวเองรึเปล่าคะ?

หลังกลับลงมาจากน้ำตกพวกพี่ก็ผลัดกันอาบน้ำแต่งตัวใหม่เตรียมเก็บของลงจากดอยกัน พี่กะว่าถ้าไม่มีความบังเอิญครั้งที่สาม พี่กับเขาคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

แต่ขณะที่เรากำลังจะเดินออกไปรอรถสองแถวปากทางหน้าหมู่บ้าน พี่สมชายก็กวักมือเรียกพี่แล้วก็ส่งกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆมาให้ น้องรุ่งลองอ่านดูสิคะ......แล้วถ้าทำได้ ช่วยมาเข้าฝันบอกพี่ที ว่าควรจะทำยังไง

ดอว์น.......
คุณยังไม่ได้บอกผมเลย ว่ารู้สึก “ยินดี” ที่เราสองคนได้มารู้จักกันเหมือนกันกับผมรึเปล่า.....
ผมถือว่าคุณยังติดค้างคำตอบนี้อยู่นะครับ
เพชร......


แล้วพอพี่พลิกด้านหลังดูก็เจอกับอีเมลแอดเดรสของคนแปลกประหลาดคนนั้น เป็นไงคะ น้องรุ่งว่าคุณเพชรคนนี้แกแปลกจริงสมกับที่ดั้นด้นพยายามขับสปอร์ตขึ้นดอยรึเปล่า?

รักและคิดถึงน้องรุ่งเป็นกิจวัตร
พี่ดอนผู้กำลังสับสนแต่ก็ต้องสนใจกลีบปอดมากกว่าข้อความจากคนประหลาด



ปล.อย่าลืมอวยพรกับการฝึกงานตัวสุดท้ายของพี่ด้วยนะคะ


...........................................

..โปรดติดตามตอนต่อไป..




Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2554 8:18:59 น.
Counter : 256 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

paina
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านที่ผ่านเข้ามานะคะ


ที่นี่ก็แค่ห้องเล็กๆของผู้หญิงธรรมดา......ที่พยายามจะเป็นคนดี.....เท่านั้นเอง
กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
3
6
8
16
18
19
20
21
22
24
27
 
 
All Blog