พิมตะวัน ตอนที่05
ตอนที่๕ คุ้น


พี่ดอนและเพื่อนอีกสามคนมีเวลาอีกสี่วันเต็มๆก่อนจะเริ่มฝึกงานตามกำหนดการณ์
แต่ถึงอย่างนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นไอ้คุณชายเชที่ตื่นก่อนเพราะมันเป็นเด็กอนามัยนอนแต่หัวค่ำ ก็จัดการแงะเพื่อนอีกสามคนที่เหลือออกจากความอบอุ่นบนที่นอนให้มาพบกับอากาศ เย็นจัดนอกโปงผ้าห่มจนได้

ด้วยความที่ไม่มีเสบียงอย่างอื่นเลยนอกจากโรตีสายไหมหลากสี....ขนมหลอกเด็ก ที่เหมาซื้อมาสามชุดใหญ่ๆจากริมทางตั้งแต่รถวิ่งผ่านอยุธยาเพื่อเป็นของฝาก ให้พี่ๆที่แผนก แต่กว่าจะมาถึงตาก ปริมาณสามชุดก็เหลือแค่สอง ทั้งสี่คนจึงทำแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ใส่เสื้อกันหนาวตัวหนา แล้วพากันลากอีแตะออกไปเดินตลาดเช้าตามทางที่พี่กุ้งขับรถพาไปชี้ให้ดูไว้ ตั้งแต่เมื่อคืน
ไอ้คุณก่อกรรมพิเศษหน่อยเพราะมันโชว์แมนออกจากบ้านโดยไม่สนใจจะใส่เสื้อกัน หนาว แต่กลับหยิบกล้องDSLR ที่ลูกพี่ลูกน้องหิ้วมาฝากจากญี่ปุ่นสดๆร้อนๆคล้องคอมาด้วย

เดินเข้าไปจนสุดซอยเลี้ยวซ้ายเลียบกำแพงวัดจนทะลุออกถนนเลียบริมแม่ปิงก็พบ กับตลาดเช้าที่กำลังวุ่นวาย แผงขายอาหารเรียงรายทั้งของสดของแห้ง ด้านหนึ่งเป็นอาหารที่ปรุงสุกพร้อมให้ผู้ซื้อซื้อไปแล้วกินได้เลย ส่วนอีกแถบเป็นแผงที่ขายจำพวกวัตถุดิบประกอบอาหาร

ภาพผู้คนในเสื้อผ้าอาภรณ์หลากสีสันและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของทั้งผู้ซื้อและ ผู้ขายในสำเนียงเฉพาะถิ่นล้วนเป็นส่วนประกอบให้รู้สึกกระตือรือร้น เด็กกรุงเทพแท้ๆสามคนกับคุณชายเชที่บอกว่าตัวเองเป็นเด็กต่างจังหวัดแต่ บริเวณบ้านขนาดน้องๆสนามฟุตบอลของมันก็อยู่แค่ปริมณฑลอย่างนครปฐมรู้สึกราว กับได้มาอยู่ในอีกโลกที่ต่างจากเมืองหลวงที่ชีวิตทุกๆเช้าต้องเริ่มต้นด้วย ความเร่งรีบ

หลังตื่นตาตื่นใจกับอาหารหลากหลายชนิดและปล่อยให้ไอ้คนบ้าเห่ออย่างคุณก่อ กรรมมันกดชัตเตอร์เก็บทั้งภาพตลาดเช้าและภาพเพื่อนตัวเองจนคนเดินตลาดเริ่ม บางตา สุดท้ายทั้งสี่คนก็มานั่งโจ้อาหารคุ้นลิ้นอย่างโจ๊กหมูใส่ไข่กันอย่างเอร็ด อร่อย ที่พิเศษนิดก็ตรงโจ๊กร้านนี้ใส่กระเทียมเจียวเหลืองกรอบส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ระหว่างที่ผู้ชายสามคนจัดการกับโจ๊กชามที่สองไอ้คุณจี๊ดเลยลุกไปแผงข้างๆ ซื้อข้าวโพดต้มควันฉุยมานั่งแทะรอ

“อากาศดีว่ะ เย็นนี้ออกมาวิ่งกัน”
สิ้นเสียงเอื่อยๆจากปากไอ้คนพูดน้อยที่เพิ่งกวาดเก็บโจ๊กก้นชามเข้าปากเป็น คำสุดท้าย เพื่อนอีกสามถึงกับอ้าปากค้างพร้อมเบิกตาโต ไอ้คุณชายเชนี่คิ้วเลิกสูงแทบจะจดตีนผมอยู่แล้วมั้งนั่น

“อะไรของแก เลิกบ้าวิ่งมาเป็นเดือน จู่ๆมาชวน....อ๊ะๆ ทำใจเรื่องน้องขวัญน่ารักได้แล้วอะดิ?”
ไม่ให้คุณเพื่อนๆถามได้ไง ในเมื่อก่อนหน้าจะมีแฟนเป็นนักกีฬาไอ้คุณดอนของเพื่อนๆออกกำลังกายอย่างมาก คือเล่นปิงปองหย็องแหย็งอยู่บนตึกคณะ แต่พอได้แฟนนักกีฬาปุ๊บนายอรุณรุ่งก็ปรับตัวเองให้ตื่นเช้าตามชื่อ แถมยังขยันทำหน้าตาสดชื่นไปจ๊อกกิ้งรอบเช้าเป็นเพื่อนน้องขวัญน่ารัก ก่อนหอบสังขารชื้นเหงื่อขึ้นบีทีเอสให้เหล่าพนักงานออฟฟิศเหล่รังเกียจ แล้วไปขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดฟอร์มฝึกงานที่ห้องแล็บเลือดของโรง พยาบาลที่ฝึกงานที่พี่คณะเป็นรองหัวหน้าอยู่แทบทุกเช้าอย่างหน้าด้านๆ

“จะว่างั้นก็ได้ ก็....ที่จริงเรากับน้องก็เลิกกันด้วยดี....”
สามคนแปะมือให้ไอ้คุณก่อลุกไปจ่ายค่าโจ๊ก ก่อนจะพากันเดินเรื่อยๆมุ่งหน้ากลับบ้านเช่า มื้อไม้แต่ละคนก็หิ้วขนมหลอกเด็กบ้าง น้ำเต้าหู้บ้าง ปากก็คุยกันไปเรื่อย

“แล้วทำไมไม่วิ่งตอนเช้าเหมือนเคยวะ?” คุณชายเชยกสองนิ้วโพสท่าชนะเลิศใส่กล้องให้เพื่อนก่อที่เดินล้ำอยู่ข้างหน้า แล้วหันกลับมาเก็บภาพเพื่อนที่กำลังเดินกันอย่างสบายๆตามประสาคนบ้าเห่อไป ปากก็ป้อนคำถามให้นายอรุณรุ่งไป

“ไม่เอาอะ วิ่งตอนเช้าเดี๋ยวคิดถึงน้องขวัญ” พี่ดอนแกก็ตอบได้หน้าตาเฉย แต่พอคุณเพื่อนทั้งสามหันมามองหน้าเจ้าตัว ถึงได้เห็นว่าแววตาหลังกรอบแว่นมันวิบวับเหมือนกับเจ้าของมันอยากจะปล่อย เสียงหัวเราะออกมาเต็มที

“โฮ้ยยยยยย ไอ้น้ำเน่า!!”
เสียงประณามดังจากปากผู้หญิงคนเดียวในกลุ่ม ตามด้วยแข้งขวาเตะตัดเข้าตรงเป้าที่ข้อพับเข่า เล่นเอาเข่าแทบทรุด คนถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่ได้ตั้งตัวอย่างพี่ดอนจะหันไปตอบโต้ไอ้เพื่อนตัว จี๊ดก็วิ่งหน้าเริ่ดไปใช้ตัวโตๆของไอ้บ้ากล้องเป็นโล่เสียแล้ว



ถึงน้องรุ่งที่รัก

ตอนนี้พี่อยู่บนดอยค่ะ ดอยที่สูงสุดในสยามซะด้วยสิ อย่าๆ อย่ามาทำหน้าไม่เชื่อเชียวนะคะ เพราะพี่พูดจริง ฮ่าๆๆๆๆ ก็เพราะพวกพี่ขึ้นมาตากกันเร็วกว่ากำหนดเริ่มฝึกงานแบบมีจุดประสงค์ไงคะ นอกจากมาเตรียมทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง จุดมุ่งหมายอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือเราตั้งใจขึ้นมาเที่ยวค่ะ

พวกพี่รอจนเพื่อนอีกกลุ่มที่มันมาฝึกงานที่เชียงใหม่มาถึงเช้าวันศุกร์ แล้วก็งัดตัวเองออกจากที่นอนตั้งแต่ยังไม่ทันสว่างแชร์ค่าน้ำมันขับรถขึ้น เชียงใหม่ พอมาถึงก็จอดรถไอ้คุณเชไว้ที่บ้านเช่าของเพื่อนกลุ่มนี้ แล้วเราทั้งหมดเลยเหมารถไปอำเภอจอมทอง จากนั้นก็ต่อสองแถวสีเหลืองขึ้นดอยอินทนนท์มานี่แหละค่ะ

หลังจากปล่อยให้ไอ้ก่อมันถ่ายรูปจนเกือบเต็มเม็มตรงจุดชมวิวพวกเราก็ย้อนลง มาติดต่อเช่าบ้านพักที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ แต่ว่าไม่มีบ้านพักเหลืออยู่เลยเพราะเราไม่ได้จองไว้ก่อน และฤดูหนาวแบบนี้ก็เป็นฤดูที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นดอยกันมาก พี่ๆเจ้าหน้าที่ที่นั่นเสนอว่าจะเช่าเต็นท์ก็ได้ ไม่งั้นก็ลองนั่งรถย้อนกลับลงไปไม่เกินห้ากิโลก็จะเจอกับหมู่บ้านแม่กลาง หลวง ที่นั่นเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยง เขามีบ้านพักเปิดให้บริการด้วย พวกเราเลยลองไปตามที่พี่เขาบอก

บ้านแม่กลางหลวงเป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงเผ่าที่เรียกว่าปกาเกอะญอค่ะน้องรุ่ง พี่ที่เป็นเหมือนผู้จัดการเรื่องนักท่องเที่ยวเป็นผู้ชายอายุสามสิบต้นๆ ตอนพวกเราเข้าไปถึงพี่เขาก็แนะนำตัวว่าชื่อสมชายถามว่ากลุ่มเราใช่มั้ยที่ พี่ๆเจ้าหน้าที่อุทยานแนะนำมา พี่ล่ะอยากเขกกะโหลกไอ้ก่อจริงๆแทนที่มันจะพูดกับพี่สมชายเขาดีๆ มันดันเลียนสำเนียงพี่เขา พูดแบบไม่มีเสียงตัวสะกดไปด้วยซะอย่างนั้น (อันนี้พี่มารู้ตัวทีหลังว่ามันไม่ได้ตั้งใจ แต่พอฟังพี่สมชายแกพูดมากเข้าปากกับลิ้นเลยเผลอทำหน้าที่แบบเข้าเมืองตา หลิ่วต้องหลิ่วตาตามไปเอง ฮ่าๆๆๆๆๆ)

จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ทั้งๆที่มีบ้านพักว่างอยู่พอให้พวกเราทั้งหมดเก้าคนเช่าพักนอนได้ แต่เมื่อได้มาเห็นทิวทัศน์ของผืนนาขั้นบันไดหลังฤดูเก็บเกี่ยวที่มีแต่สีทอง ของฟางข้าวสลับกับชั้นดินที่ถูกต้นหญ้าสีเขียวแห้งผากขึ้นปกคลุมเรียงรายและ พื้นหลังเป็นทิวเขาสูงเสียดฟ้าปกคลุมไปด้วยสีเขียวอ่อนแก่สลับแดงส้มของป่า เบญจพรรณฤดูหนาว พวกเราก็เปลี่ยนใจขอเช่าเต็นท์มาสองหลัง แล้วกางคู่กันอยู่บนพื้นปูฟางที่เคยเป็นนาข้าวในฤดูทำนากันง่ายๆ

พี่สมชายแกเตือนว่าให้กางเต็นท์ในบริเวณที่จัดเตรียมไว้กลางคืนจะได้ก่อไฟ ได้ แต่พวกเราก็ดื้อ บอกไปว่าไม่ต้องก่อไฟก็ได้แต่เราอยากนอนตรงนี้(ที่ห้ามก่อไฟ ก็เพราะพื้นเป็นฟางข้าวนี่แหละค่ะ เดี๋ยวประกายไฟได้ท่วมทุ่งแน่ถ้าทำแบบนั้น) พอตกกลางคืนพวกพี่เลยได้รับรู้รสชาติของความหนาว พี่ดอนเข้าใจแล้วค่ะ ไอ้ที่เขาว่าหนาวจนเข้ากระดูกน่ะ....มันเป็นยังไง ก่อนจะต่างคนต่างล้มตัวลงนอนแบบแทบจะไหล่เกยไหล่เพราะอาศัยไออุ่นของกันและ กัน พวกพี่ก็เอาไฟฉายผูกไว้กับยอดเต็นท์แล้วงัดสำรับไพ่ออกมาเล่นกันให้ครึก ครื้น

พอเช้าวันรุ่งขึ้นพี่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าไอ้เชมันทำตัวสม่ำเสมอดีมาก นอนก่อนตื่นก่อนสมความเป็นเด็กอนามัยตามเคย แต่น่าแปลกที่มันไม่ลุกขึ้นไปจัดการล้างหน้าแปรงฟัน ตามด้วยปลดปล่อยซัมธิงสีเหลืองทอง ซึ่งหลังจากคบกันมาเกือบสี่ปี ไปค้างอ้างแรมด้วยกันมาหลายหน พวกพี่ก็พบความจริงของชีวิตคุณชายอย่างมันว่าระบบขับถ่ายทำงานดีแถมยังตรง เวลาอย่างกับมีนาฬิกาปลุกตั้งไว้ตรงลำไส้ใหญ่ส่วนปลายต่อเชื่อมกับไส้ตรงของ มันเลยล่ะค่ะ

แล้วน้องรุ่งอย่าได้คิดเชียวว่าเราเช่าเต็นท์สองหลังเพื่อแบ่งชายหญิงตามขนบ เปล่าเลยค่ะ เราเช่าเต็นท์สองหลังแล้วแบ่งกันนอนตามความสนิทเหมือนเคย ฮ่าๆๆๆๆ เต็นท์ของพี่เลยนอนกันสี่คน โดยที่คราวนี้ไอ้พยาธิตัวจี๊ดมันไม่ยอมนอนริม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันกลัวผี แต่ไอ้ตัวปากดีมันบอกว่านอนริมแล้วหนาว

ตอนพี่ที่นอนอยู่ริมอีกด้านของไอ้ตัวจี๊ดลืมตาขึ้นมาถึงได้เห็นว่าไอ้คุณชาย เชที่นอนขนาบอีกข้างของไอ้ผู้หญิงปากดีคนเดียวในกลุ่มกำลังจับสายตาอยู่ เฉพาะใบหน้าของมัน แววตาแบบนี้พี่คุ้นเคยดี เพราะมันแทบจะเหมือนกับแววตาที่พี่เคยเห็นจากกระจก เมื่อพี่ได้แต่แอบมองพี่ภพในตอนนั้น.....
คงไม่ต้องถึงกับใช้บริการศาสตราจารย์แลงดอนมาถอดรหัสลับดาวินชีหรอกนะคะ แต่การตื่นเช้าพร้อมอาการปวดหลังเพราะนอนนิ่งอยู่ท่าเดียวของพี่เมื่อเช้า นี้ทำให้พี่ได้รู้ความลับของเพื่อนรักซึ่งเกี่ยวกับเพื่อนรักอีกคนแบบจังๆ เข้าให้แล้ว เฮ้อ......แอบรักคนอื่นว่าแย่แล้ว พี่ดอนสงสารไอ้เชจังค่ะ เพราะแอบรักเพื่อนตัวเองนี่.....ท่าทางจะสาหัสกว่า
ก็ดูสิคะ......อยู่ใกล้แค่นี้ แต่ที่ทำได้คือแค่มอง ความรักนี่.....เป็นเรื่องเข้าใจยากจริงๆนะคะ

เอาล่ะค่ะ พี่เล่าแค่นี้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกมันที่โหวกเหวกโวยวายเรียกอยู่จะด่าพ่อล่อแม่เอาได้(ไม่ดีหรอกค่ะ เดี๋ยวปะป๊าจะสะดุ้งอยู่บนสวรรค์ ฮ่าๆๆๆ) เพราะบ่ายนี้พวกพี่แจ้งพี่สมชายเอาไว้ให้หาคนนำทางให้ เพราะจะเดินป่าระยะสั้นแค่กิโลกว่าๆขึ้นเขาไปหาน้ำตกผาดอกเสี้ยว
พอถามว่าหน้าแล้งแบบนี้น้ำตกมีน้ำเหรอพี่ พี่สมชายแกก็บอกว่า ‘มีสิค้า....มีน้อ แตะก็มีน้า ลอเดอดู ไม่ทะเหนื่อกะถือและ เดาะม้าก็สัว’ เจ้าของพื้นที่เขาภูมิใจนำเสนอขนาดนี้จะปฏิเสธก็กระไรอยู่ น้อรุ่ว่าม้า?

มุ่งหน้าสู่น้ำตกที่ถึงมีน้อยแต่ก็สวยนะแล้วนะครับ
พี่ดอนผู้ตั้งใจจะเฝ้าดูสถานการณ์เพื่อนรักเพื่อนไม่ให้คลาดสายตา



ปล. สงสัยพี่ดอนจะหลอนไปเองนะครับ แต่พี่รู้สึกคุ้นๆกับเจ้าBMW สปอร์ตเปิดประทุนสีขาวที่ตอนนี้มันปิดประทุนเรียบร้อยแถมสียังกลายเป็น น้ำตาลแดงเพราะเคลือบฝุ่นดินมาเต็มที่คันที่จอดอยู่หน้าทางเข้าบ้านพี่สมชาย นั่นจัง ไอ้บ้าประเภทไหนกันนะครับ ที่พยายามพารถแบบนี้ขึ้นดอยมาได้ มันต้องไม่ใช่คนปกติแหงๆ



..โปรดติดตามตอนต่อไป..



Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 23 กุมภาพันธ์ 2554 10:14:22 น.
Counter : 287 Pageviews.

2 comments
  
ขอย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ...หน้าหนาวก็จะแห่แหนขี้นไปกางเต้นท์นอนเพื่อที่ตอนเช้าจะได้ตื่นขึ้นมาดู คนิ้ง แต่เมื่อก่อนอากาศหนาวมาก คิดถึงอดีตจังพออ่านถึงตอนนี้ ...

จะตามติดและรอติดตามอ่านตอนต่อไปคะ
โดย: ต่างแดน IP: 81.220.79.63 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:51:34 น.
  
นี่คนเขียนก็เขียนจากที่ไปมาจริงๆเมื่อสัก6-7ปีก่อนค่ะ

คิดถึงจังเลยนะคะ ที่คิดถึงมากก็คือเพื่อน พอเรียนจบก็แยกกันไปคนละทาง เวลาที่จะไปเที่ยวไกลๆด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆแบบนั้นไม่มีอีกเลย

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
โดย: paina วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:19:37:07 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

paina
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed

 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านที่ผ่านเข้ามานะคะ


ที่นี่ก็แค่ห้องเล็กๆของผู้หญิงธรรมดา......ที่พยายามจะเป็นคนดี.....เท่านั้นเอง
กุมภาพันธ์ 2554

 
 
1
3
6
8
16
18
19
20
21
22
24
27
 
 
All Blog