Paris encore-45 ชั่วโมงที่ปารีส(2)
(อัพเรื่องปารีสต่อจากคราวที่แล้วที่ค้างไว้นานค่ะ)
วันอาทิตย์...วันที่สองของปารีส เราสองคนตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น เพราะหลังจากกลับถึงโรงแรม หัวถึงหมอนก็แข่งกันกรนดังสนั่น (ไม่รู้หรอกว่ากรนไหม เพราะเหนื่อยเกินไปกว่าจะตื่นมาได้ยินเสียงกรนกัน) และวันนี้ก็ตั้งใจอีกเช่นกันว่าจะไม่เที่ยวแบบหักโหมอีกแล้ว ขอเที่ยวอะไรเบา ๆ ชิว ๆ ไม่เหนื่อยเกินไปก็พอ
ก็เลยตกลงกันอย่างพร้อมใจว่าจะไป La Père-Chaise หรือว่าหลุมศพชื่อดังของปารีสนั่นเอง
La Père-Chaise เป็นหลุมศพของผู้คนมีชื่อเสียงในหลายสาขา นักเขียน นักร้อง ศิลปิน อัศวิน คนชั้นสูง และผู้คนต่าง ๆ นานาที่มีชื่อเสียงหรือมีความสำคัญของฝรั่งเศส ฉันเคยได้ยินแต่ชื่อจากหนังเรื่อง Paris Je t'aime คราวนี้เลยตั้งใจว่าต้องไปเยี่ยมเยือนให้ได้ ซึ่งสุสานที่นี่ไม่ใช่แค่สุสานฝังคนมีชื่อเสียงธรรมดา แต่ว่าเป็นเหมือนสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจของคนปารีสด้วยเช่นกัน เพราะว่าขนาดที่ใหญ่มาก และต้นไม้ร่มครึ้ม สงบ และสวยงาม
เช้าวันอาทิตย์วันนี้ก็เป็นวันที่อากาศดีมากวันหนึ่งทีเดียว ลมเย็น แดดดี แต่ว่าฟ้าครึ้มแปลก ๆ เหมือนฝนจะตกรำ ๆ ไร ๆ ทำให้สุสานตอนเช้า ๆ ดูอึมครึมและหลอน ๆ แปลก ๆ ที่ว่าอยากจะไปเที่ยวที่สงบ ๆ ก็ได้มาที่สงบ ๆ จริง ๆ ด้วย...หลุมศพบางหลุมก็ตกแต่งสวยงามดี แต่บางหลุมก็หลอน ๆ ยังไงไม่รู้ เดินเล่นไปมาแม้ว่าจะเพลินใจความกว้างขวางและอนุสรณ์สวยงาม ก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่าอันที่จริงนี่มัน "ป่าช้า" ดี ๆ นี่เอง และก็มีคนตายอยู่ข้างล่างนั่นเต็มไปหมดเลยนะ บรื๋อออ!!!
พยายามจะเดินหาชื่อที่รู้จัก แต่ก็ไม่เจอเลยสักกะคน ขนาดว่าไปหยิบโบชัวร์แผนที่ของสุสานมาดูแล้ว และก็พยายามเดินไปหาหลุมของคนที่ชื่อคุ้น ๆ หรือรู้จักผลงาน ก็ยังหาไม่เจอ เพราะว่าหลุมแต่ละหลุมอยู่ติดกันเบียดเสียด ประชากรแออัดหนาแน่นมาก แต่ยังโชคดีที่เจอหลุมที่หาและอยากเจอ คือ Edith Piaf นักร้องเสียงเอกลักษณ์ชื่อดังอีกคนของฝรั่งเศส หลังจากเยี่ยมหลุมศพเธอ ฉันก็ฮัมเพลงเธอไปตลอดทั้งวันเหมือนว่าเธอจะตามหลอนฉันยังไงไม่รู้นะ!!
เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ใบไม้สีสวยดี บางคนที่มาเยี่ยมที่นี่ก็เป็นนักท่องเที่ยว บางคนก็มาเคารพหลุมศพญาติมิตร คนรู้จัก
หลุมศพของ Edith Piaf นักร้องชื่อดังที่ร้องเพลง La Vie en Rose
วันนี้พอจะไปไหนมาไหน จะพยายามนั่งรถไฟใต้ดินกันตลอด เพราะว่าเหนื่อยและเมื่อยขากันเหลือเกิน แล้วก็อยากจะใช้บัตรที่ซื้อมาให้คุ้มด้วยล่ะ ไม่รู้ว่าใครเคยมีโอกาสขึ้นรถใต้ดินของปารีสบ้างหรือเปล่า รุ่นพี่ฉันบอกว่าเหมือน "โพรงปลวก" ฉันได้ยินแล้วก็ขำเพราะว่าจริงเหลือเกิน รถใต้ดินแต่ละสายจะเชื่อมกันหมดและเชื่อมกันด้วยอุโมงค์ใต้ดินที่ต้องเดินไปตามป้ายที่ชี้ไว้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่จุดไหน ได้แต่เดินไปตามโพรงที่แยกไปแยกมา ว่าไปแล้วก็เพลินดีไปอีกแบบ แต่ต้องใช้สมองเยอะหน่อยในการจำชื่อสถานีต้นทางปลายทาง สถานีที่จะต้องเปลี่ยนสาย สถานีที่จะต้องลง...เล่นเอาเหนื่อยกว่าเรียนในห้องเรียนอีกนะบางที
อันที่จริงแล้วที่มาปารีสคราวนี้ ก็มีสาเหตุอีกอย่างหนึ่งก็คือ มาเจอเพื่อนร่วมโรงเรียนชาวญี่ปุ่นอีกสองคน ที่เพิ่งย้ายมาปารีสได้สองวัน เป็นเพื่อนที่สนิทกันพอสมควร กินข้าวกลางวันด้วยกัน ไปเที่ยวร่าเริงด้วยกันบ่อย ๆ แต่พอเริ่มเปิดเรียนที่มหาลัยก็เริ่มต้องแยกย้ายไปตามเมืองต่าง ๆ กันแล้ว รุ่นพี่ฉันก็เหมือนกัน จะต้องย้ายไปเมือง Toulouse อีกไม่นานนี้ เพื่อนสนิทชาวเกาหลีของฉันอีกสองคนก็จะย้ายไปเหมือนกัน ใจหายไม่น้อยที่ต้องคอยมาร่ำลาเพื่อนสนิทที่สถานีรถไฟ และคิดว่าชีวิตที่คุ้นเคยกับเพื่อนฝูงจะต้องเปลี่ยนไป
พวกเรานัดสองหนุ่มที่ Montmartre โบสถ์สวยชื่อดังอีกที่ของปารีส นอกจากมาเจอและทักทายกันแล้ว ฉันและรุ่นพี่ยังหอบของมาให้เค้าด้วย เรียกว่าช่วยย้ายของว่างั้นเหอะ
Montmartre
รุ่นพี่ฉันและหนุ่มญี่ปุ่นทั้งสอง
Montmarte เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งของปารีสที่ใครไปก็พลาดไม่ได้ นอกจากมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และความสวยงามแล้ว ยังเป็นจุดชมวิวของเมืองปารีสอีกจุดหนึ่งด้วย ซึ่งเมื่อไต่ขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว (หรือขึ้นด้วยรถรางก็ได้) จะได้เห็นมุมมองมุมสูงของเมืองปารีสทั้งหมดทีเดียว
พิราบนอนเล่นหน้ามงต์มาร์ต
วันที่ฉันไป คนเยอะมาก เป็นเพราะเป็นวันอาทิตย์ด้วย คนชาวเมืองก็ออกมาพักผ่อนหย่อนใจ นักท่องเที่ยวก็เยอะแยะไปหมดเหมือนกัน แล้วก็มีคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ของหนุ่มนักดนตรีอิสระคนหนึ่งมาเล่นอยู่ตรงบันไดทางขึ้นพอดี คนนักฟังเยอะมาก ฉันกับเพื่อนก็ไปหยุดยืนฟังอยู่พักหนึ่ง เป็นหนุ่มอิตาเลียนร้องเพลงภาษาฝรั่งเศสสลับกับภาษาอิตาลีด้วยจังหวะคึกคักสนุกสนาน และเอาเนื้อเพลงที่แต่งเองมาใส่กับทำนองเพลงดังต่าง ๆ ด้วยเนื้อหาตลกครึกครื้น ทำให้คนดูคนฟังหัวเราะไปตาม ๆ สร้างบรรยากาศที่ฟ้าครึ้ม ๆ ให้อารมณ์ร่าเริงขึ้นมาได้เยอะทีเดียว
หลังจากเยี่ยมเยียนโบสถ์และเดินเล่นกันพักหนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจไปอีกที่ที่น่าสนใจของปารีส นั่นคือ Le Centre Georges Pompidou ห้องสมุดขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นในสมัยประธานาธิบดีจอร์ด ปอมปิดูเมื่อประมาณปี 1970 ออกแบบและก่อสร้างโดยกลุ่มวิศวกรชาวอิตาลีและอังกฤษ นอกจากเป็นห้องสมุดแล้วยังเป็นพิพิธภัณฑ์และแกลลอรี่แสดงผลงานศิลปะตลอดทั้งปีด้วย
เจ้าตึกประหลาดตัวนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางปารีสที่ตึกสีน้ำตาลคลาสสิค แต่แบบของตึกนี้ทันสมัยล้ำหน้าเกินกว่าย่านโดยรอบ ทำให้มีผู้วิพากษ์วิจารณ์มากมายในสมัยนั้นว่ามันช่างอัปลักษณ์เสียนี่กระไร ซึ่งฉันเห็นดีเห็นงามด้วยว่ามันไม่สวยเอาเสียเลย ยิ่งมองมาจากมุมสูงอย่าง Montmarte แล้ว ยิ่งดูโดดเด่นอย่างไม่สอดคล้องกับบริเวณรอบข้าง และพอได้ไปดูตึกมันจริง ๆ ก็ยิ่งย้ำความคิดเดิมของตัวเอง คือ ตัวตึกมันเองก็ไม่สวยอยู่แล้วในความคิดฉัน และยังไม่เข้ากับย่านเก่า ๆ ของปารีสเอาเสียเลยด้วย
อย่างน้อยก็ยังมีอะไรบ้างละนะ ที่ทำให้ฉันไม่ชอบปารีสบ้าง ค่อย ๆ ทำความรู้จักไป อาจจะมีอะไรมากกว่านี้ที่ทำให้ฉันไม่ชอบปารีสไปเลยก็ได้
เดินเล่นไปมาแถวนั้นสักพัก ก็แวะไปนั่งคุยกินกาแฟยี่ห้อสีเขียวกันสักแก้ว เพราะว่าวิชชี่ไม่มีให้กิน แล้วก็นั่งคุยกันนู่นนั่นนี่ไปตามประสา พอถึงเวลาก็ร่ำลาแยกย้ายกันกลับไป
............
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ทำความรู้จักกับปารีสอย่างแท้จริงหลังจากมาสัมผัสแค่ผิว ๆ ไม่กี่ชั่วโมงเมื่อนานมาแล้ว คราวนี้ก็ยังคงผิว ๆ กับสถานที่ต่าง ๆ อยู่ดี แต่ได้ไปเห็น ไปเดินเล่น ไปเยี่ยมเยียนสถานที่ท่องเที่ยวแบบนักท่องเที่ยวเสียจนเกือบจะครบแล้ว
ปารีสยังคงทำให้ฉันประทับใจอยู่ดี ฉันชอบความมีเสน่ห์ที่ปารีสนำเสนอออกมา มีความเป็นตัวของตัวเอง แบบน่าค้นหา มีความหลากหลายของผู้คนที่อยู่อาศัย มีเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายอยู่เบื้องหลัง ยังคงมีอะไรอีกมากที่ฉันอยากจะทำความรู้จักแบบลงลึกกับเมืองปารีส อยากจะมาลองใช้ชีวิตอยู่เป็นสาวปารีเซียงบ้างเหมือนกัน คงมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ทำเยอะแยะมากมายทีเดียว แต่กระนั้น ปารีสก็เป็นเมืองใหญ่เกินไป มีอะไรมากมายเกินไปที่น่าจะสร้างความลำบากกับคนอยู่อาศัยได้ไม่น้อยเลย
ถ้าฉันได้มาอยู่ปารีส ฉันอาจจะรักปารีสแบบที่ปารีสเป็นจริง ๆ หรือในที่สุดอาจจะไม่เหลือความรักให้เลยก็ได้หลังจากค้นพบอะไร ๆ ในด้านที่ไม่น่าพึงใจ ฉันจึงเลือกที่จะมองปารีสอย่างฝัน ๆ เก็บเอาไว้เพ้อ ๆ และตกหลุมรักบ้า ๆ บอ ๆ อย่างนี้ไปดีกว่า เพราะบางทีเมื่อเรารู้จักกับอะไรหรือใครจริง ๆ แล้ว ความจริงเข้ามาแทนที่ความฝัน แล้วภาพที่คิดกับความรู้สึกที่มีให้กลับหายไป
ปารีส...ฉันว่าเป็นเมืองที่เอาไว้ท่องเที่ยวและตกหลุมรัก แต่ไม่ใช่เมืองที่ไว้อยู่อาศัย อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ในตอนนี้หรือเร็ววันนี้ ฉันสรุปกับตัวเองเบื้องต้นในวันนั้น
Create Date : 09 กันยายน 2553 |
|
34 comments |
Last Update : 22 ตุลาคม 2553 4:27:22 น. |
Counter : 1251 Pageviews. |
|
|
|
อย่างที่หนึ่ง...คือเหลือบเห็นวันที่ที่อัพบล็อก
คือปอยอัพค้างไว้นานแล้ว แต่เพิ่งมาเติมเต็ม
ที่ว่าบังเอิญ...คือเมื่อวานนี้ ที่แจงเพิ่งอัพบล็อกไป
คือบล็อกท่องเที่ยว ต่อเนื่องจากคราวก่อน (หิมะ)
อัพดองไว้ในบล็อกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม..โน่นแล้ว
แต่เพิ่งมาเติมข้อความ ข้อเขียนลงไป..เมื่อวานนี้
บังเอิญที่สอง...คือเพิ่งพาจาดาไปไหว้หลุ้มศพย่า
เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง...(เดี๋ยวจะเอามาลงที่บล็อกบ้าง)
บังเอิญที่สาม เมื่อเช้าเพิ่งนอนอ่านนิยายของชญาน์พิมพ์
คือเรื่อง "เพียยงเธอ" อ่านในเนทค่ะ มีตัวอย่างให้อ่านเจ็ดตอน
บังเอิญที่ว่า ก็คือเรื่องนี้ ใช้ฉากหลังของเรื่องราวทั้งหมด ที่ฝรั่งเศส
...
...
มาเข้าเรื่องรูปและข้อความในบล็อกนี้ดีกว่า
ชอบภาพที่มีต้นไม้ กิ่งไม้ด้านบนสีเขียวแกมเหลือง
และมีคนสองคนเดินอยู่บนถนน สวยมากค่ะภาพนั้น...
ที่บางที่ เหมาะสำหรับเอาไว้พักพิง เป็นที่อยู่อาศัย
แต่บางที่ก็สวยงาม เพียงเพื่อให้แก่การแวะผ่าน และท่องเที่ยว
ก็คงเหมือนกับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยมังคะ
คนบางคน เหมาะสำหรับการผ่านเข้ามาพบพาน...ทำให้ใจเต้นแรง
แล้วก็ผ่านไป...แต่ใครบางคน เหมาะที่จะอยู่ด้วย อบอุ่น เอาไว้พักพิง
ปล.จะรออ่านความเคลื่อนไหวอยู่เรื่อยๆ นะคะ มาอัพบ่อยๆ