จอห์น กริชแชม จะพาคุณกลับไปยังที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้น
ณ ศาลอันเลื่องชื่อในเมืองแคลนตัน
เจค บริแกนซ์ ได้เข้าไปพัวพันกับคดีซึ่งมีความขัดแย้งรุนแรงอีกรอบ
เป็นคดีซึ่งจะเผยให้เห็นความตึงเครียดแต่หนหลังในเรื่องของสีผิว
และบังคับให้เทศมณฑลฟอร์ดต้องเผชิญหน้ากับประวัติศาสตร์อันน่าเจ็บปวดของตัวเอง
เซ็ท ฮับบาร์ด ชายผู้ร่ำรวยที่กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็งปอด เขาไม่ไว้ใจผู้ใด
ก่อนผูกคอตายที่ต้นซิคามอร์ ฮับบาร์ดได้ทิ้งพินัยกรรมฉบับใหม่ซึ่งเขียนด้วยลายมือตัวเองไว้
มันเป็นการกระทำที่ลากเอาลูกซึ่งโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเข้ามาเกี่ยวข้อง
และแม่บ้านผิวดำของเขา รวมถึงเจค บริแกนซ์ก็ถูกโยงเข้าสู่ความขัดแย้งที่ทั้งน่าตื่นเต้นและเร้าใจ
เช่นเดียวกับคดีฆาตกรรมที่ทำให้บริแกนซ์กลายเป็นประชากรที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง
ของเทศมณฑลฟอร์ดเมื่อสามปีก่อนหน้านี้
พินัยกรรมฉบับที่สองก่อให้เกิดคำถามมากกว่าให้คำตอบ
ทำไมฮับบาร์ดจึงทิ้งทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของตัวเองไว้ให้หญิงรับใช้
คีโมฯ กับยาแก้ปวดมีผลต่อความสามารถในการคิดให้ได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือเปล่า
และทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งครั้งหนึ่งเรียกกันว่า ซิคามอร์ โรว์ อย่างไร
จอห์น กริชแชม จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปยังสถานที่และตัวละครที่เคยติดตาตรึงใจ
ที่ซึ่งสร้างให้เขาได้เป็นนักเล่าเรื่องยอดนิยมของอเมริกา
และในหนังสือเล่มนี้...กริชแชมก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ของเรื่องราวตื่นเต้นทางกฎหมายอยู่เช่นเดิม
คำนำจากผู้แปลเอง
มีคำกล่าวที่ว่าใครเล่าเรื่องได้เก่งที่สุดเป็นผู้ชนะคดีคำกล่าวนั้นหมายถึงทนายว่าความซึ่งสามารถสร้างเรื่องและเล่าเรื่องราวที่สร้างขึ้นนั้นได้เก่งเพื่อเอาชนะคดีให้ลูกความของตัวเอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทนายว่าความบางคนกลายเป็นนักเขียนเลื่องชื่อเพราะนอกจากจะเล่าเรื่องได้เก่งแล้วยังวางโครงเรื่องได้แน่นและน่าเชื่อถืออีกด้วย ทนายความคนหนึ่งในจำนวนนั้นคือจอห์น กริชแชม
นับแต่นิยายเรื่องแรกที่เขาเขียนเมื่อ 27 ปีก่อน A Time to Kill ซึ่งไม่มีสำนักพิมพ์ไหนยอมรับพิมพ์เพราะไม่มีใครรู้จักนักเขียนคนนี้ ทนายความที่เขียนนิยายสมัยนั้นก็มีเพียงไม่กี่คน จอห์นเล่าว่าเขาต้องไปจ้างสำนักพิมพ์ที่กำลังจะปิดตัวอยู่รอมร่อชื่อ Wynwood Press พิมพ์ให้ในจำนวน 5,000 เล่ม ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยมากในประเทศที่มีตลาดสิ่งพิมพ์ขนาดยักษ์อย่างสหรัฐอเมริกา พิมพ์แล้วเขาต้องขนใส่รถไปวางขายเองตามห้องสมุดบ้าง ขอพื้นที่ขายชั่วคราวในร้านหนังสือเล็กๆ บ้าง ทุกวันนี้ edition แรกของ A Time to Kill กลายเป็นของหายากและซื้อขายกันในราคาสูงลิ่ว เหตุก็เพราะหลังจากเรื่องนี้วางขายไม่นาน เรื่องต่อมาของเขาอย่าง The Firm,The Pelican Brief, และ The Client กลายเป็นนิยายขายดีชนิดถล่มทลายทุกเล่ม จนเกิดความสนใจในนิยายเรื่องแรกของเขาขึ้นมา และคราวนี้สำนักพิมพ์ขนาดใหญ่อย่าง Doubleday เป็นฝ่ายติดต่อขอพิมพ์เป็นปกแข็งตามด้วย Dell Publishing พิมพ์เล่มปกอ่อน และต่อจากนั้นก็มีการสร้างเป็นภาพยนต์และละครเวทีอีกหลายรอบ และนับแต่นั้นมา จอห์น กริชแชม ก็กลายเป็นนักเขียนนิยายประเภท Legal Thriller แถวหน้าสุดของโลกไป ความสำเร็จของเขาทำให้เกิดนักเขียนซึ่งมาจากทนายความเช่นกันขึ้นมากมายแต่แม้ทุกวันนี้ เกือบ 30 ปีผ่านไป ก็ยังไม่มีใครทาบรัศมีเขาได้ ไม่แม้แต่ Scott Turow เพื่อนร่วมวิชาชีพซึ่งหันมาเขียนนิยายก่อนกริแชมไม่นานก็ยังขึ้นไม่ถึงระดับเดียวกัน
ว่ากันว่าA Time to Kill คือนิยายที่ดีที่สุดของจอห์นกริแชม เรื่องเริ่มด้วยฉากเหตุการณ์ที่สะเทีอนอารมณ์ผู้อ่านชนิดถึงแก่น เป็นเหตุการณ์แสดงความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน 27 ปีผ่านไป ใน Sycamore Row กริชแชมกลับไปเมืองเดิมสถานที่เดิม ที่ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้น และจัดให้เป็นสถานที่ซึ่งเกิดเหตุการณ์ใหม่ที่สะเทือนอารมณ์ไม่ต่างกัน เป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอีกเช่นกัน และฉากนั้นจะตราตรึงอยู่ในใจผู้อ่านไปอีกนานเท่านานพอๆ กับฉากเปิดเรื่องใน ATime to Kill
จอห์นเคยบอกว่าวิธีการสร้างเรื่องของเขามีง่ายๆ จับคนบริสุทธิ์สักคนให้เข้าไปพัวพันกับกรณีสมคบคิดอะไรสักอย่างแล้วคุณพยายามช่วยให้เขารอดพ้นออกมาให้ได้ ฟังดูง่าย และเขาก็ใช้สูตรนี้กับทุกเรื่องที่เขียนและอย่างได้ผลทุกครั้ง ใน Sycamore Row เรื่องเริ่มง่ายๆ เมื่อเซ็ต ฮับบาร์ด ชายแก่คนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งปอดขั้นสุดท้ายฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอกับต้นซิคามอร์ในบริเวณที่เรียกกันว่าซิคามอร์โรว์ เรื่องคงจบแค่นั้นในเมื่อเซ็ตทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดมานานและเหลือเวลาอีกเพียงไม่มาก ถ้าเพียงแต่ไม่มารู้กันในภายหลังว่าเขาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองแคลนตัน หรืออาจจะทั้งรัฐมิสซิสซิปปี้เลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังตัดลูกหลานทุกคนออกจากกองมรดก ทิ้ง 90% ของมรดก 24 ล้านดอลลาร์ให้แม่บ้านผิวดำซึ่งเขาเพิ่งจ้างมาทำงานได้เพียงสามปี คำถามคือทำไม และแน่นอน ลูกสองคนกับหลานอีกสี่คนของเซ็ตฮับบาร์ดคัดค้านพินัยกรรมนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเจค บริแก้นส์ ทนายความหนุ่มจาก ATime to Kill ซึ่งเซ็ตเขียนจดหมายว่าจ้างเป็นทนายความของพินัยกรรม ให้เป็นผู้ดูแลบังคับใช้พินัยกรรมนั้นให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ เจคต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเซ็ตมีสภาพจิตใจที่ไม่บกพร่องในเวลาที่เขียนพินัยกรรมนั้นด้วยลายมือของตัวเอง ทั้งยังรู้ดีว่ากำลังทำอะไร
ความขัดแย้งในเรื่องดูง่ายๆ แค่นั้นเอง แต่ความสามารถในการสร้างพล็อตและพรสวรรค์ในการเล่าเรื่องของจอห์นทำให้เมื่อเริ่มอ่านแล้ววางไม่ลงเลยจริงๆ พล็อตเรื่องของเขาแน่นจนแม้แต่เอาทุกฉาก ตัวละครทุกตัว ทุกการกระทำของตัวละครแต่ละตัวมาวิเคราะห์ ก็จะมองเห็นว่าขาดอะไรไปไม่ได้เลยแม้เพียงอย่างเดียว ไม่มีส่วนไหนขาด และไม่มีส่วนไหนเกินเข้ามาโดยไม่จำเป็น เรื่องอาจเริ่มเนิบๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเหตุการณ์เริ่มกระชั้นขึ้น เหตุการณ์เรียบๆ นำไปสู่การเปิดเผยเบื้องหลังที่ทำเอาช็อคและสะเทือนใจผู้อ่านได้อย่างถึงรากถึงโคน เป็นเหตุการณ์ที่อธิบายเรื่องราวได้ทั้งหมด เมื่ออ่านจบและกลับไปทบทวนใหม่ตั้งแต่ต้นก็จะเห็นถึงความสามารถในการวางโครงเรื่องของเขา ตลอดเรื่องนับแต่บทแรกเขาทิ้งเงื่อนงำไว้เป็นระยะๆ เพียงแต่เราผู้อ่านมองข้ามไปเท่านั้นเองและเมื่อตามเก็บเงื่อนงำเหล่านั้นหมดแล้ว เราก็จะเข้าใจว่าทำไมเซ็ตจึงทำอย่างที่เขาทำ
ถ้า A Time to Kill เป็นนิยายเรื่องที่ดีที่สุดของจอห์นกริแชม Sycamore Row ก็คงเป็นอันดับ 2 ของเขา หรืออาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุดอีกเรื่องของเขาก็ได้เช่นกัน แต่ที่แน่ๆ คือเรื่องนี้ช่วยให้เขาคงเป็นเจ้ายุทธจักรนิยายประเภท Legal Thriller ไว้ได้อีกเหมือนเดิม และคงอีกนานกว่าจะหาใครมาแทนที่ได้
รายละเอียดจากเวบสำนักพิมพ์ค่ะ
เล่มนี้คงวางแผงก่อนงานหนังสือนิดหน่อย แล้วคงไปโปรโมทในงานหนังสือค่ะ
เล่มก่อนของ John Grisham มีผู้อ่านติงว่าคำนำผู้แปลเล่าเรื่องหมดเลย หวังว่าคราวนี้คงไม่บอกอะไรมากนะคะ
กำลังไม่สบายและอยู่ในระยะรักษาตัวค่ะ 5 เดือนมาแล้วที่ไม่สบาย กว่าหมอจะสรุปได้ว่าเป็นอะไรแน่ เล่นเอาแทบแย่ นิยายที่เขียนทิ้งไว้ 2 เรื่องก็เลยเขียนไม่จบเสียที แต่ยังอุตส่าห์แปลหนังสือได้จบ 2 เล่มเลยนะ ตอนนี้กำลังแปล Hunchback of Notre Dame ต่อค่ะ ภาษาโบราณ ก็เลยยากนิดหน่อยเล่มนี้
ชอบอ่านงานของจอห์น กริชแฮมค่ะ เค้าเล่าเรื่องเก่งจริงค่ะ เพราะมันจะมีเหตุชวนเราลุ้นเอาใจช่วยตัวเอกเสมอเลย
a time to kill เนี่ยไม่ได้อ่านค่ะ แต่ได้ดูฉบับดภาพยนตร์ บอกเลยว่าประทับใจมาก (ซามูแอล เล่นดีสุด ๆ )
มหกรรมหนังสือนี้จะตามไปอุดหนุนค่ะ